วันเวลาปัจจุบัน 24 พ.ค. 2025, 17:26  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ก.ค. 2010, 13:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ต.ค. 2008, 13:20
โพสต์: 820


 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมกำมือเดียวของพระพุทธเจ้า

พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้ว่า ธรรมะของท่านที่มีอยู่ในตัวท่านเท่ากับใบไม้ในป่าทั้งหมด แต่ที่ท่านนำเสนอมาสอนจริงๆ นั้น เท่ากับใบไม้ที่มีอยู่ในกำมือที่ท่านกำอยู่นี้เท่านั้น
ธรรมกำมือเดียวของพระพุทธเจ้านั้น หัวใจก็คือศีลตัวเดียวนั้นเอง ตัวศีลตัวนี้มีความหมายว่าไม่เบียดเบียน รวมความของศีลทั้งหมดก็ตกอยู่ที่ศีลข้อปาณาข้อหนึ่งหมด ผิดศีลข้อไหนเบียดเบียนเกิดขึ้นเมื่อนั้นให้ไล่ไปถึงแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ มุ่งสอนให้เราอย่าเบียดเบียนตัวเองและผู้อื่นนั้นเอง คือให้ทุกคนตั้งมั่นอยู่ในศีลให้มีความรักความเมตตาต่อกันแล้วความสุขสงบเย็นก็ตามมาอย่างหนีไม่พ้น
หัวใจที่มาของตัวเบียดเบียนหรือที่มาที่ทำให้เราไม่มีศีลก็คือตัวความโลภ ความโกรธ ความหลง ถ้าใครมีผีสามตัวนี้เกิดขึ้นในดวงจิตดวงใจเมื่อใด ความโง่ ความทุกข์ ความเดือดร้อน จะต้องเกิดขึ้นตามมาเมื่อนั้นแล้วชีวิตของผู้นั้นก็เท่ากับตกอยู่ในความ ทุกข์ความมืดมนหาความสุขมิได้เลย
ตามสัจจะที่กล่าวมาข้างต้นนี้ก็เท่ากับชี้ให้เราเห็นได้ว่า ถ้าเรามุ่งปฏิบัติศีลตัวเดียวได้สำเร็จเมื่อใด เราก็พ้นทุกข์ทั้งปวง เราก็อยู่กับความสุขความสบายอย่างอมตะ ตรงนี้เองโดยไม่ต้องไปเที่ยวหาครู หาอาจารย์ หาอ่านตำราหาอ่านคัมภีร์ให้หนักสมองไปเปล่าๆ ถึงเราจะศึกษาธรรมรู้ธรรมมาเยอะแยะแต่ไม่มีศีลเลย การพ้นทุกข์ก็ไม่มี การปฏิบัติธรรมก็ล้มเหลวหมด เหนื่อยเปล่าเท่านี้เอง ท่านจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่ปัญญาของท่านก็เท่านี้เอง
ตามที่ข้างต้นที่ได้กล่าวมาว่าที่มาของการไม่มีศีลก็คือ ตัวโลภ โกรธหลง แล้วเรามาไล่ดูต่อไปว่า อะไรเป็นตัวต้นตอที่เป็นบ่อเกิดให้มีตัวโลภโกรธ หลง เกิดขึ้น สิ่งนั้นก็คือ ไอ้ตา ไอ้หู ไอ้ลิ้น ไอ้จมูก ไอ้กาย ที่จิตไปหลงคบ ค้ากับมัน เลยทำให้เสียผู้เสียคนไป เสียยังไงก็เสียตรงที่ว่าทำให้จิตเกิดความอยากเกิดความโลภเกิดความหลงในรูป ในรสในกลิ่นในเสียงในเนื้อหนังที่อ่อนนุ่ม พอไม่สมความอยากก็โกรธ ความทุกข์ความวุ่นวายความเดือดร้อนต่างๆ ก็ตามมาเป็นแถว แล้วเราจะทำอย่างไรจึงจะพ้นทุกข์พ้นความเดือดร้อนและวุ่นวาย ให้ทำอย่างนี้เวลาไปสัมผัสกับรูปที่เป็นของสวยของงามแล้วถามใจว่าของสวยของ งามนั้นมันสวยได้กี่วัน มันจะสวยงามก็ตรงที่เรายังไม่ได้มันมา พอได้มันมาก็ไม่สวยแล้วเบื่อแล้วมันเป็นอย่างนี้แหละ ถ้าเรามีสติตามมันไม่ทันเราก็ต้องทุกข์เพราะมัน เป็นประสาทเพราะมัน แบกภาระเพราะมัน
ของกินของอร่อยก็เช่นเดียวกัน มันก็อร่อยแค่ลิ้นพอกลืนลงท้องไปก็หมดอร่อยแล้วหรือว่าของจะอร่อยตรงที่หิวเท่านั้น พออิ่มก็หมดอร่อยแล้วนี่แหละขอให้รู้ไว้ว่าของอร่อยจริงๆ นั้นไม่มี อย่าไปหลงมันเลยเราจะได้ไม่ทุกข์เพราะมัน
กลิ่นหอมก็เช่นเดียวกัน มันจะหอมก็ตรงที่ได้ดมได้สัมผัสใหม่ๆพอดมบ่อยๆ ดมนานๆ ความหอมจะกลายเป็นความเบื่อความเหม็นไป ความอยากดมของหอมก็หมดไป มันเป็นธรรมดาอย่างนี้แหละ อย่าได้ไปหลงมันเลย
เสียงเพลงเสียงดนตรีเสียงสรรเสริญเยินยอก็เช่นเดียวกัน ถ้าลองให้นั่งฟังนานๆ ทั้งวันทั้งคืนพอไปๆ ก็เบื่อ จึงไม่มีอะไรที่น่ายินดีน่าอยาก
เนื้อหนังมังสาก็เช่นเดียวกัน ที่ว่าน่าอยากน่าสัมผัส ลองให้สัมผัสมากๆ อย่าได้หยุดอย่าได้หย่อน พอถึงจุดอิ่มตัวมันก็เบื่อไม่อยากได้ ไม่อยากสนแล้ว นี่แหละคือตัวอนิจจัง สรรพสิ่งทั้งหลายมาลงเอยในกฎนี้หมด จึงไม่มีอะไรในโลกนี้ที่น่าอยาก น่าสน น่ารัก น่าสวย น่าอร่อย น่าดม น่าฟัง น่าสัมผัสไม่มี มีแต่ผี มีแต่มายา ถ้าเรามีสติไม่ทันมัน เราก็ต้องถูกมันหลอกไม่มีวันสิ้นสุด แล้วก็ต้องทุกข์เพราะมัน แบกภาระมัน ประสาทกินเพราะมัน แล้วมันเรื่องอะไรนี่หรือคนฉลาดให้คิดเอาเอง

คำเตือนสติ

ขอให้ทุกคน จงยอมรับว่า ตัวเองต้องอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรมที่ลิขิตเราไว้ ไม่มีใครที่จะหนีพ้นได้ แม้กระทั่งเป็นพระอรหันต์แล้วก็หนีไม่พ้นเหมือนกันหมด จึงขอให้ทุกคนจงมีชีวิตอยู่ด้วยการรอคอย ให้ทุกคนทำงานไปตามหน้าที่ อย่าได้โลภ อย่าได้หลง อย่าได้เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ถึงเวลามันก็เป็นไปเอง ได้ก็ได้เอง มีก็มีเอง ไม่ต้องเรียก ไม่ต้องร้อง ไม่ต้องขอไม่ต้องวิงวอน ทุกอย่างจะเป็นไปเอาตามผลกรรมของเราโดยอัตโนมัติของมันเอง ขอให้ใจเย็นไว้เท่านั้น โบราณท่านว่า ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม จงอย่าชิงสุกก่อนห่าม ถ้าไม่เชื่อแล้วจะอด แล้วจะผิดหวังในวันหน้า เพราะตัวเองเป็นผู้ทำลายมันไปเสียก่อน สำนึกได้ก็สายเสียแล้ว จึงขอเตือนทุกคน จงอย่าอวดดีอวดเก่ง อวดรู้ไปเลย ว่าตัวกูนี่แหละเป็นผู้ลิขิตตัวกูของกู ไม่มีใครเหนือกูมีกูนี่แหละเหนือสิ่งอื่นใดๆ เพราะคำอวดดีนี้เอง จึงต้องฆ่าตัวตาย เสียผู้เสียคนไปมากต่อมากแล้ว ลูกเอ๋ย หลานเอ๋ย อย่าได้อวดโง่ไปอีกเลย น้ำตาจะได้ไม่ต้องเช็ดหัวเข่า เชื่อพ่อ เชื่อปู่เถิดก็ดี

พระอรหันต์กับปุถุชนต่างกันที่ตรงมีสติ

พระอรหันต์ต่างกับปุถุชนตรงที่มี สติๆ อยู่ตลอดเวลาทุกลมหายใจเข้าออก ไม่เคยที่จะทำให้ขาดสติเลย คือ ควบคุมสติอยู่ตลอดเวลาโดยอัตโนมัติพระอรหันต์จึงเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เพราะไม่ตกเป็นทาสของสรรพสิ่งทั้งหลายจึงไม่ตกอยู่ในเพลิงทุกข์ เพลิงกิเลส จึงเป็นผู้หลุดพ้นแล้ว สงบแล้วสุขแล้ว เย็นแล้ว นิพพานตรงนี้แล้ว
หลุดพ้นในที่นี้ หมายถึงไม่ตกเป็นทาสของเหยื่อแห่งความอยาก หรือความโลภ ความโกรธ ความหลง อีกต่อไป เพราะพระอรหันต์ มีสติอยู่ตลอดเวลา ไม่ขาด คือกิเลสจะเกิดไม่ได้หรือโผล่หัวขึ้นมาไม่ได้ กิเลสจึงดับไปโดยสิ้นเชิง ไม่มีเชื้อที่จะเหลืออยู่ให้ก่อเกิดได้อีกต่อไป เพราะฉะนั้นการเป็นพระอรหันต์นั้น ไม่ได้เป็นสิ่งที่ยากเย็นอะไร ง่ายนิดเดียว ขออย่าขาดสติไปหลงใหลในสรรพสิ่งทีมีอยู่รอบๆ ตัวได้เมื่อใดก็เป็นพระอรหันต์ได้เมื่อนั้น จึงขอให้ทุกคนจงเพียรพยายาม ฝึกสติให้ดีให้ได้ อย่าให้ขาด ก็จะได้เป็นพระอรหันต์กันทุกคน ไม่เห็นยากเย็นเลย ฯลฯ

ตัวกูของกูมันไม่มี มันไม่มีจริงๆ หรือ?
หรือพูดกวนประสาทไปยังงั้นแหละ


จากหนังสือธรรมะของพุทธทาส เกือบทุกเล่มก็ว่าได้ จะเน้นตะโกนบอกอยู่ตลอดเวลาว่า “ตัวกูของกูไม่มี มีแต่ความว่าง” ตะโกนพูดอย่างนี้แหละแต่ผู้อ่านยิ่งอ่านเท่าใด ตัวกูของกูก็ยิ่งโผล่หัวออกมามากขึ้นเท่านั้น จนหัวใจร้อนผ่าว ประสาทกินจะอกแตกตายแล้ว จะนอนก็คิดแต่เรื่องตัวกูของกู ตื่นมาก็แสวงหาเพื่อตัวกูของกู จะหายใจเข้าจะหายใจออกก็เพื่อตัวกูของกูอยู่อีกนั่นแหละ แล้วพุทธทาสบอกว่าตัวกูของกูไม่มีได้อย่างใด? ทุกวันนี้ก็เห็นตำตาอยู่แล้ว ไอ้นั่นเมียกู ไอ้นี่ลูกกู บ้านของกู สมบัติของกูรถของกูเยอะแยะไปหมด ทั้งในบ้านนอกบ้าน มีแต่ของกูทั้งนั้น แล้วบอกว่าตัวกูของกูไม่มีได้อย่างไร ใครเป็นประสาทกันแน่ พุทธทาสท่านก็ตะโกนบอกว่าอีกคำว่า จงอย่าไปยึดมั่นถือมั่นในสรรพสิ่งทั้งหลายเลย จงปล่อยวางเสียให้หมดเพราะตัวกูของกูไม่มี จะฟังเท่าใด จะอ่านเท่าใดก็ไม่เข้าหัวจิตหัวใจอยู่นั่นแหละ ว่าตัวกูของกูไม่มี จนวันหนึ่งธรรมชาติ ท่านเมตตาสงสารถึงความโง่เขลาของเราที่ตีความหมายของ คำว่าตัวกูของกูไม่ออก จนประสาทกิน หัวสมองจะระเบิดร้อนอกร้อนใจไปหมด จึงตะโกนบอกออกมาว่าให้หยุด หยุดๆๆ หยุดทุกสิ่งทุกอย่าง อะไรๆ ก็ไม่ให้เอา ไม่ให้สน ถึงกิเลสมันจะอยาก อยากสักเท่าใดก็ไม่ให้เอาไม่ให้สนอยู่นั่นแหละ แม้กระทั่งทรัพย์สินเงินทอง สมบัติ ข้าวของทุกอย่างการก่อสร้าง ไม่ให้คิดไม่ให้เอาหมด วันหนึ่ง คืนหนึ่ง เดือนหนึ่งให้มีหน้าที่นั่งภาวนาไปเรื่อยๆ ด้วยจิตว่าง ด้วยความปล่อยวางลูกเดียว แล้วก็จะรู้เองเห็นเองถ้าใครปฏิบัติตามนี้ได้ ก็จะเห็นแจ้งในคำสัจจธรรมที่พุทธทาส ได้ตะโกนบอกว่าตัวกูของกูไม่มี แล้วไม่มีจริงๆ ไม่มีจริงๆ เพราะอะไร ก็เพราะว่าเราปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเคยโลภเคยอยากเคยหลงลงไปหมด จิตมันก็ว่างขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด เพราะจิตไม่โลภไม่หลงไม่อยาก ไม่ยึดถืออะไรอีกแล้วตัวกูของกูก็หายสาบสูญหมดไปทันที ไม่โผล่หัวเงยหัวปรากฏออกมาให้เราได้เห็นอย่างนี้จริงๆ พอเห็นได้อย่างนี้แล้ว สรรพสิ่งทั้งหลายที่มีอยู่รอบๆ ตัวเรานี้ เราก็จะไม่หลงใหลไม่มัวเมา เพราะมันเป็นมายา เลยไม่ยึดถือเอามันมาเป็นตัวกูของกูอีก เพราะเอาทีใดมันทุกข์ทุกที ถูกหลอกทุกที กูไม่เอาอีกแล้วๆ ความว่างก็เลยมาปรากฏขึ้นอยู่ในดวงจิตไม่ไปไหน ตัวกูของกูก็เลยไม่มี ไม่มีให้เราได้เห็นตรงนี้เอง นี้แหละถึงนิพพานไม่รู้ตัว ที่เรียกว่า เป็นความสุขอย่างยิ่ง เพราะจิตทั้งอยู่ในความสงบนั่งไม่ไปไหน


ถ้าท่านเห็นความอยาก ความโลภ ความหลง เป็นความโง่
อย่างยิ่ง ท่านจะพ้นทุกข์

เมื่อใด ถ้าท่านเห็นความอยาก ความโลภ ความหลง เป็นความโง่อย่างยิ่ง เมื่อนั้น ท่านก็จะพ้นทุกข์ เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน จะไม่ตกเป็นทาสเป็นเหยื่อของเพลิงทุกข์ของเพลิงกิเลสอีกต่อไป ชีวิตของท่านจะเป็นชีวิตที่ประเสริฐ มีแต่สุขสงบเย็น เป็นพระอรหันต์ โดยไม่รู้ตัว มองอย่างใด เราจึงจะมองได้เห็นความอยาก ความโลภ ความหลงนั้นเป็นความโง่อย่างยิ่งได้ เราต้องมองอย่างนี้คือ ต้องเพียรพยายามทำสมาธิ หยุดดู หยุดพิจารณา ด้วยจิต ด้วยใจของเราให้เป็นเนืองนิจไม่ให้หยุด ไม่ให้ขาด ให้ทำๆๆ จะเป็นเดือนหนึ่ง ปีหนึ่งหรือกี่ปี ก็ไม่ต้องไปสนใจมัน ทำจนกว่าจะเห็นแจ้งประจักษ์ชัดด้วยจิตด้วยใจของเราเอง แล้วก็จะรู้เอง เห็นเองว่าความอยากความโลภ ความหลงนี้ มันเป็นความโง่อย่างยิ่ง ร้อนใจอย่างยิ่ง ทุกข์อย่างยิ่งผู้ใดถ้ามีความอยาก มีความโลภ มีความหลงเกิดขึ้นในดวงจิตดวงใจเมื่อใดผู้นั้นจะหาความสุข ความสงบ เย็นไม่ได้เลย จะต้องถูกไฟแห่งกิเลสแห่งกิเลสตัวนี้ เผาลนหัวใจอยู่ตลอดเวลา ต้องเป็นทาสเป็นเหยื่อของกิเลสนี้ สุดแล้วแต่มันจะชักจูงนำพาเราไป ยิ่งอยาก ยิ่งโลภ ยิ่งหลงมันมาเท่าใด ก็ยิ่งโง่หนัก ยิ่งถูกมันหลอก ถูกมัน ชักจูงไป ไม่มีวันที่จะสิ้นสุด คือ โง่อยู่เรื่อยๆ ถูกมันหลอกอยู่เรื่อยๆ แล้วตัวเองก็หยุดไม่ลง ต้องทำ ต้องหา ต้องร้อน ต้องทุกข์ ต้องเหนื่อยหอบไม่มีวันจะหยุดพักได้ เพราะไอ้ตัวกิเลสนี้ มันไม่รู้จักคำว่าพอ มันจะขาดอยู่เรื่อย พอมันได้อะไรมา หรือมีอะไรขึ้นมาเมื่อใด มันก็ไม่เอาอีกแล้วๆ เบื่อแล้วมันก็อยากจะเอาใหม่ มีใหม่ หาใหม่ ขึ้นมาทุกครั้งเลย มันจะเป็นอยู่อย่างนี้ ไม่มีวันสิ้นสุดให้เราได้ ผลกรรมก็คือ เราต้องตายเพราะมัน ทุกข์เพราะมันตกนรกเพราะมัน
จนกว่าวันหนึ่ง เรามีสติรู้ทันมัน หยุดเชื่อมัน หยุดโลภ หยุดหลงมันเมื่อใด เมื่อนั้น เราก็จะหายโง่ ไม่ตกเป็นทาส เป็นเหยื่อของมันอีกต่อไปความสุขแท้ของเราก็จะปรากฏขึ้นตรงนี้เอง

เกิดมาทำไม?

คำถามนี้ เป็น คำถามที่กว้างมาก สำหรับปุถุชนทั่วไป เพราะปุถุชนทั่วไปจะตอบคำถามนี้ตามอารมณ์ ตามความต้องการของกิเลสตัวเอง จึงตอบได้หลายทางด้วยกัน แต่ส่วนใหญ่จะตอบเป็นคำเดียวกันว่า เกิดมาเพื่อเงินเพื่อทองเพื่อกาม ส่วนปลีกย่อยนั้น บางคนจะตอบว่า เพื่อเล่นเพื่อสนุกบางคนจะตอบว่าเพื่อกินเพื่อดื่ม เพื่อลาภเพื่อยศ เพื่อสรรเสริญ เพื่อความรักเพื่ออะไรแล้วแต่มันชอบ จากคำตอบที่กล่าวมาข้างต้นนี้ จะเห็นได้ชัดว่าต่างก็เพื่อกามกันทั้งนั้นแหละ จึงเห็นได้ชัดว่าปุถุชนทั้งหลายมันโง่ๆ มันจึงต้องตกเป็นเหยื่อแห่งเพลิงทุกข์ตลอดกาลนาน ไม่มีโอกาสที่จะหลุดพ้นจากเพลิงทุกข์นั้นได้ เพราะพวกนี้เห็นกงจักรเป็นดอกบัว ถึงพระพุทธเจ้าโปรดจะช่วยไถ่ช่วยถอนให้เขาทั้งหลายให้หลุดออกจากเพลิงทุกข์ นี้ เขาทั้งหลายก็ไม่เอากลับเห็นเพลิงทุกข์นี้เป็นของดี ของสนุก ของอร่อยไปเสียหมด กรรมของสัตว์ช่วยไม่ได้ จงรับกรรมไปเถิด พวกนี้เหมือนกับแมลงเม่า เห็นไฟเป็นของเล่นเป็นของสนุก ผลกรรมก็คือถูกไฟเผาไหม้ กลายเป็นเถ้าถ่านไปหมด สมน้ำหน้าดีแล้วพวกบัวใต้น้ำก็เป็นอย่างนี้แหละ พระพุทธเจ้าจึงไม่โปรด ปล่อยให้เป็นเหยื่อของ ปู ปลา เต่าไป กรรม ๆ ๆ
เกิดมาทำไมสำหรับผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ท่านจะตอบว่า เกิดมาเพื่อฆ่ากิเลสตัณหาให้หมดสิ้น ไม่ให้มีเชื้อเหลืออยู่เลย ทำไมท่านผู้รู้ ผู้ตื่นผู้เบิกบาน ท่านจึงตอบอย่างนี้ ก็เพราะว่าไอ้ตัวกิเลสตัณหานี้แหละ มันเป็นต้นเหตุ ที่ทำให้คนเราทุกวันนี้ต้องทุกข์ ต้องร้อน ต้องเหนื่อย ต้องหอบ ต้องเสียรู้เสียคน เป็นโรคประสาท ต้องฆ่าตัวตาย ยิงตัวตาย ก่อนสงครามทำให้สังคมต้องร้อนเป็นไฟ วุ่นวายกันไปหมด หาความสงบไม่ได้เลย ถ้าไม่ฆ่าไอ้ตัวกิเลสตัณหานี้ให้ตาย ให้หมดสิ้นแล้วความทุกข์ ความร้อนที่เผาลนหัวใจอยู่นั้นจะไม่มีโอกาสที่จะปราบมันลงได้ มันก็จะเผาหัวใจของคนโง่เขลาให้วอดวายไปหมด การที่จะเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานได้นั้น ก็เพราะเราเป็นผู้ฆ่า ผู้เผากิเลสที่มีอยู่ในสันดานให้หมดไปนั่นเอง จึงได้เป็นผู้พ้นทุกข์ทั้งปวงไปตกเป็นทาสของกิเลสโดยสิ้นเชิง
สรุป คนโง่เท่านั้นที่เห็นกิเลสเป็นของดี ของอร่อย จึงตอบว่าเกิดมาเพื่อแสวงหา และสะสมกิเลส ส่วนผู้รู้นั้นเห็นกิเลสเป็นไฟ เป็นตัวทุกข์จึงตอบว่าเกิดมาเพื่อ ทำลายกิเลส เผากิเลส ฆ่ากิเลสให้มันวายวอดไป

เราฆ่ากิเลสให้ตายได้อย่างไร จึงจะสำเร็จ?

เราจะฆ่ากิเลสให้ตายได้สำเร็จเมื่อใด เมื่อนั้นเราก็จะหลุดพ้นจากเพลิงทุกข์ทั้งปวง ไม่ตกเป็นเหยื่อ เป็นขี้ข้าของมันอีกต่อไป การที่จะฆ่ากิเลสให้มันตายดับสูญไปนั้น มันเป็นเรื่องใหญ่ ไม่ใช่เรื่องเล็กทีเดียว เพราะไอ้ตัวกิเลสตัวนี้ มันฉลาดมาก แล้วฉลาดมากอย่างที่สุดอีกด้วย ปุถุชนยากที่จะทันมันได้ มันมีเล่ห์มีเหลี่ยม มันกลิ้งได้รอบด้าน ยิ่งกว่าลูกบิลเลียดเสียอีก เหมือนกับว่ามันเคยเกิดมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน แล้วมันก็ได้เรียนรู้จิต รู้ใจของคนจนจบแล้วจบอีกคือ รู้ทันจิตใจของคนได้อย่างดีนั่นเอง ถ้าพูดถึงปุถุชนธรรมดาแล้วไม่ต้องพูด ไม่มีทันมันเลย เผลอนิดเดียวมันก็พาจิตเตลิดไปแล้วๆ บางครั้งมันพาจิตเตลิดไปไหนก็ไม่รู้ แล้วไปเสียตั้งนานอีกด้วย จิตก็ยังไม่รู้สึกตัวเลยจิตมันหลงตัวเองอยู่ ว่าจิตยังอยู่กับที่ไม่ได้ไปไหนยังอยู่กับเนื้อกับตัวอยู่ แต่ไอ้ตัวกิเลสที่มันพาจิตเตลิดออกไปนั้น มันคงหัวเราะเยาะแล้วหัวเราะเยาะอีก ว่าไอ้จิตนี้ มันโง่จริงๆ กูพามึงออกไปเที่ยวคิดเที่ยวปรุงตั้งนานแล้ว มึงยังไม่รู้ตัวเลย ยังนั่งโง่ปากก็ภาวนาว่า พุทโธ ๆๆๆ อยู่นั่นแหละมิได้ขาด จิตมันช่างโง่เสียจริงๆ มันไม่เคยทันไอ้ตัวกิเลสตัวนี้เลย จึงถูกไอ้ตัวกิเลสมันหัวเราะเยาะอยู่เรื่อยๆ แล้วก็ถูกมันหลอกถูกมันต้มอยู่เรื่อยๆ จนสุกแล้วสุกอีกจนเปื่อยก็ยังถูกต้มถูกหลอกอยู่อย่างนี้แหละ แล้วเราจะทำอย่างไร จึงจะทันกิเลสมันได้จะได้ไม่ต้องถูกมันต้มถูกมันหลอกอีกต่อไป เราก็ต้องเพียรพยายามตั้งสติให้มันมั่น อย่าให้ขาดๆ คือให้ทำสมาธิเพียรดู เพียรรู้ เพียรเห็น เพียรดับอยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ให้ขาดสาย จนกว่าจิตมันจะนิ่งอยู่กับที่ โดยอาศัยตัวสติมันคอยจ้อง คอยบังคับ คอยเตือนอยู่ตลอดเวลาไม่ให้ตัวกิเลสเข้ามาพาจิตเตลิดออกไป เที่ยวคิดเที่ยวปรุงแต่งเที่ยวสนเที่ยวสัมผัสกับรูป รส กลิ่น เสียงและสัมผัสทางกาย ถ้าจิตออกไปสัมผัส พอสติรู้ทัน ก็ดับมันเสียๆ อย่าให้มีความอยาก อย่าให้มีความหลง อย่าให้มีการปรุงการแต่งเกิดขึ้นได้ ถ้ามีให้เตือนจิตว่าเราอยากหาทุกข์อีกแล้วหรือ ให้มีสติทำอยู่อย่างนี้อย่าให้ขาด ในที่สุดไอ้ตัวกิเลสมันก็ต้องพ่ายแพ้

ท่านดับกิเลสได้สำเร็จ ท่านก็ได้เป็นพระอรหันต์

ถ้าท่านสามารถดับกิเลสตัณหาได้สำเร็จ ท่านก็จะได้เป็นพระอรหันต์ถึงพระนิพพานโดยง่ายดายอย่างไม่มีปัญหา จากคำกล่าวมานี้ จะเห็นได้ว่าการเป็นพระอรหันต์ ถึงพระนิพพานนั้น จะว่ายากมันก็ไม่ยาก ขอให้ดับกิเลสตัณหาได้สำเร็จอย่างเดียวอันเดียวก็จะเป็นพระอรหันต์ ถึงพระนิพพาน ที่เป็นความสุขอย่างยิ่ง มองๆ ดู มันก็กล้วยจริงๆ คล้ายๆ กับว่าพระอรหันต์และนิพพานอยู่แค่เอื้อมเท่านั้น แต่ทำไมไม่เห็นมีใครเอื้อมได้ ถึงมีก็น้อยเสียเหลือเกิน มันยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรเสียอีก แต่ถ้าเราลองมาหยุดดู หยุดพิเคราะห์ให้ดีแล้ว เราจะเห็นได้ว่า การดับกิเลสตัณหานั้น มันก็ไม่ใช่เป็นของยากเย็นอะไรเลย เพียงแต่อย่าไปตามใจไอ้ตัวกิเลสมัน มันจะอยาก มันจะดิ้น มันจะเอา เราไม่ตามใจมันเสียอย่าง ให้ใจแข็งเสียอย่าง ไอ้กิเลสมันก็อยากไม่สำเร็จ ขอให้เรามีสติๆ ทันมันๆ มันก็สิ้นท่าๆ ในที่สุดเราก็ชนะมัน เราก็ดับมันได้สำเร็จ แต่เท่าที่เห็นๆ ปรากฏอยู่ทุกวัน ปุถุชนธรรมดาทั่วไป หรือจะพูดได้ว่าเกือบทั้งหมดก็ได้ ต่างก็ตกเป็นเหยื่อเป็นขี้ข้าของกิเลสจนลืมหูลืมตากันไม่ขึ้นจะบอกจะเตือน มันสักเท่าใด มันก็ไม่ฟังกัน ต่างก็เห็นกิเลสเป็นของดี ของอร่อย เป็นของน่าพิศวาสกันไปเสียหมด ทำไมมันจึงโง่ๆ มันจึงหลงกิเลสจนมืดมนกันไปหมด หาปัญญาไม่ได้เลย เพราะอะไรมันจึงโง่ มันจึงเป็นเช่นนี้ก็เพราะว่ามันยังไม่รู้พิษสงของกิเลสว่ามันร้ายแค่ไหน วันหนึ่งมันจะต้องถูกไอ้ตัวกิเลสมันตบ มันตี มันลาก มันแทง มันเล่นงาน เผาให้มันทุกข์ ให้มันร้อนจนมันทนไม่ไหว จนน้ำตาตกเช็ดหัวเข่าเมื่อใด มันก็จะรู้สึกตัวได้เมื่อนั้นแหละ
ข้อความข้างต้นนี้ หมายความว่า คนที่หลงบ้ากิเลสตามใจกิเลสในวันหนึ่ง จะต้องรับทุกข์ทรมานเป็นหนี้ เป็นสิน จนท่วมหัวเอาตัวไม่รอด และได้รับความผิดหวังอย่างแรงในด้านต่างๆ ที่เนื่องจากความโลภ ความอยากความหลงของกิเลสตัวนี้เป็นต้นเหตุทำให้ต้องรับทุกข์ไปติดคุกติด ตะราง หรือถูกประหารชีวิต พอมาคิดได้ก็สายไปแล้วทุกที ไอ้ไม่สายมันก็มีอยู่บ้าง ที่วิ่งเข้าหาพึ่งพระพึ่งเจ้าแล้วก็ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า พวกนี้จึงพ้นทุกข์ได้ เพราะรู้พิษสงของกิเลสแล้ว จึงกลัวกิเลสๆ จึงเพียรพยายาม ฆ่ากิเลสๆจนหมดกิเลสในที่สุด ก็เลยได้เป็นพระอรหันต์ ถึงซึ่งพระนิพพานที่เป็นความสุขอย่างยิ่ง ฯลฯ

ท่านทราบไหมว่าไอ้ตัวกิเลสตัวนี้ มันก่อกำเนิดขึ้นมาได้อย่างไร?


คำถามนี้ เป็น คำถามที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังใครพูด ใครถามมาแต่เก่าก่อนที่ไหนเลย มีแต่พูดกันว่าอย่าไปตามใจกิเลส อย่าไปหลงกิเลส ระวังกิเลสให้ดีเผลอเมื่อใด มันจะพาเราไปลงนรกไปฉิบหายไม่รู้ตัว กิเลสตัวนี้มันร้ายนักมันไม่เคยที่จะปรานีใคร สงสารใคร ช่วยใครให้ได้ดีเลย มีแต่จะทำลาย ทำร้ายทำความวินาศ ทำให้คนต้องทุกข์ต้องร้อน ต้องเสียรู้ ต้องร้องไห้ ต้องเสียผู้เสียคน ต้องเป็นโรคประสาท ต้องฆ่าตัวตายกันนับไม่ถ้วน ยังมีปัญหาอีกเยอะแยะที่ไอ้ตัวกิเลสตัวนี้ มันเป็นผู้ก่อเหตุร้าย แต่ก็เป็นที่น่าแปลกอย่างที่สุดทีเดียวจากคำกล่าวมาข้างต้นนี้จะเห็นได้ว่า ไอ้ตัวกิเลสตัวนี้มันเป็นตัวร้ายกาจอย่างที่สุดมันไม่มีทางดีเลย มันมีแต่ทางร้ายทางเสียลูกเดียว แต่ทำไมคนจึงหลงมันนักมันหนา หลงมันอย่างลืมหูลืมตาจนเงยหัวไม่ขึ้นเลย ทั้งๆที่รู้ที่เห็นกันอยู่ทุกวันนี้ ไม่มีใครได้ดีเพราะไอ้ตัวกิเลสตัวนี้ มีแต่จะถูกไอ้ตัวกิเลสตัวนี้มันฆ่า มันสร้างปัญหายุ่งวุ่นวายอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ยังชอบยังพิศวาสไอ้ตัวกิเลสมันอยู่นั่นแหละ กรรมของสัตว์แท้ๆๆ เห็นกงจักรเป็นดอกบัว ช่วยไม่ได้ๆ จงรับกรรมไปเถิดๆ เพราะความโง่เขลาของคนนี้แหละๆ ที่ทุกวันนี้ไม่ยอมหันหน้าเข้าหา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นั่นเอง มันจึงโง่ๆ มันจึงต้องถูกหลอกรับทุกข์รับกรรมต่อไปๆ วันหนึ่งมันต้องเจ็บ ต้องทุกข์ถึงที่สุด ถึงกับคิดที่จะฆ่าตัวตายร้องโอดครวญเมื่อใด มันจึงจะยอมเชื่อหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า ยอมปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า เมื่อนั้นแหละมันจึงจะหายโง่ๆ มันจึงจะพ้นทุกข์ เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน แต่เท่าที่ปรากฏ ผู้ที่สำนึกได้หาทำยายากที่มีก็น้อยเต็มทน มีแต่สายเสียแล้วทุกที เลยต้องรับกรรมกันไป


พูดถึงโทษ ถึงพิษสงของกิเลสเสียยาวเหยียดเลย เกือบลืมคำถามที่ว่าไอ้ตัวกิเลส มันก่อเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ไอ้ตัวกิเลสมันก่อเกิดขึ้นมาได้อย่างนี้เดิมทีเดียวจิตเดิมแท้ของคนมันใส สะอาด ใสอย่างที่สุด มันไม่มีอะไรมาทำให้มันขุ่นมัวเลย มันใสสงบเย็นอย่างที่สุด ไม่เคยมีอะไรมากระทบกระเทือนมาก่อกวนจิต จิตเดิมแท้มันจึงอยู่นิ่งๆๆ อยู่อย่างสงบ แต่พอมีไอ้ตา ไอ้หูไอ้จมูก ไอ้ลิ้น ไอ้กาย มันก่อกำเนิดเกิดขึ้นมาได้จิตเดิมแท้มันก็เริ่มเสียผู้เสียคน เพราะมันไปคบค้ากับไอ้ตา ไอ้หู ไอ้จมูก ไอ้ลิ้น ไอ้กายนำพาไปๆสัมผัสกับ รูปเสียง กลิ่นรสเนื้อหนังเข้ามันก็เลยติดอกติดใจๆ เลยทำให้หลงในรูปสวยๆ งามๆ เสียงเพราะๆ กลิ่นหอมๆ รสอร่อยๆ เนื้อหนังที่ชวนสัมผัสขึ้นมา ตั้งแต่นั้นมาไอ้จิตเดิมแท้ที่เคยใสสะอาด อย่างบริสุทธิ์ก็เลยเปลี่ยนรูปเปลี่ยนร่าง กลายเป็นขุ่นมัว มืดดำไปหมด จิตก็เลยมีกิเลสก่อเกิดขึ้นๆ เกิดความอยาก ความโลภความลุ่มหลงในรูปรส กลิ่น เสียง เนื้อหนังนุ่มนวล จนลืมหู ลืมตาไม่ขึ้น นี้แหละคือต้นเรื่องของกิเลสได้ก่อเกิดขึ้นเพราะไอ้ตา ไอ้หู ไอ้จมูก ไอ้ลิ้น ไอ้กาย มันเป็นต้นเหตุ ต้นตอ ถ้าไอ้ตา ไอ้หูไอ้จมูก ไอ้ลิ้น ไอ้กายมันไม่มี ไม่เกิด ไอ้ตัวกิเลสก็ไม่มี มันก็ไม่เกิด ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็ว่างหมด สงบหมด จิตมันก็ใสสะอาด บริสุทธิ์ มันก็ไม่มีอะไรมาทำให้ยุ่งให้วุ่นวาย ให้ฟุ้งทำให้ทุกข์ให้เดือดร้อนดังปรากฏอยู่ทุกวันนี้
ขอยกตัวอย่างสักนิด ถ้าคนเราตาบอดแต่กำเนิดแล้ว มันไม่เคยเห็นอะไรเลย ที่ว่าอะไรสวย อะไรงาม มันก็ไม่รู้จัก มันจะไม่มีกิเลสที่อยากจะได้อยากจะเอา อยากจะมีสรรพสิ่งของทั้งหลายที่เรียกว่าสวยๆ งามๆ ที่คนเราทุกวันนี้ กำลังลุ่มหลงมัน ถึงมีใครจะมาพูดมาเชียร์ว่าของนั้นสวยของนี้งามมันจะไม่สนใจเลยแม้แต่นิด เพราะเขาไม่รู้จักว่าของสวยของงามมันเป็นอย่างไร
สรุป ถ้าคนเรา ถ้าประสาทตา หู จมูก ลิ้น กาย เสื่อมเสียหมด ตั้งแต่กำเนิด หรือในทำนองเดียวกันถ้าตา หู จมูก ลิ้น กาย ไม่ไปสนไม่ไปอยากรูปรส กลิ่น เสียง เนื้อหนังภายนอก จิตก็ไม่มีกิเลส ไม่ยินดี ไม่ยินร้าย ไม่ปรุงแต่งอะไรทั้งหมด จิตมันก็ว่างๆ ตัวกิเลสในความอยากความหลงก็จะไม่มีทางที่จะก่อเกิดขึ้นในคนนั้นเลย คนนั้นก็จะมีชีวิตอยู่อย่างสุขสงบเย็น คืออยู่ในโลกแห่งความว่าง เป็นพระอรหันต์อย่างสบายไปเลย

เคล็ดลับในการที่จะเข้าถึงธรรมเห็นธรรม

เคล็ดลับ ในการที่จะเข้าถึงธรรมเห็นธรรมนั้น หัวใจสำคัญอยู่ที่การทำสมาธิทำจิตใจให้สงบด้วยการฝึกสติให้ปล่อยให้วางให้ ลดละ ความอยากที่เกิดขึ้นในดวงจิตให้ค่อยๆ หมดไป ด้วยการหยุดดู หยุดพิจารณา ถามตัวเองว่าความโลภ ความอยาก ความหลง ความโกรธ ที่เกิดขึ้นในดวงจิต ในแต่ละครั้งมันเป็นความโง่หรือความฉลาดมันเป็นสุขหรือความทุกข์ อะไรกันแน่ ให้หยุดดูหยุดถามจิตตัวเอง อย่างนี้แหละ จะเป็นกี่วันกี่เดือนกี่ปี ก็ถามจิตมันอย่างนี้แหละ ถามมันไปเรื่อยๆ แล้ว สักวันหนึ่งจิตก็จะตอบออกมาให้เรารู้เองเห็นเองตอนนี้แหละเราจะเห็นแจ้งใน ธรรมที่เรียกว่า ทางแห่งการพ้นทุกข์ การเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ก็เกิดขึ้นตรงนี้เอง ถ้าใครยังเข้าใจว่าการเข้าถึงธรรม เห็นแจ้งในธรรมต้องอ่านตำรา ค้นคัมภีร์ หาครู หาอาจารย์ ก็จงตีตั๋วโง่ต่อไป ก็เท่านี้เองแต่ความจริงตามสัจจะแล้ว ตำราคัมภีร์ครูอาจารย์เป็นเพียงบันไดขั้นหนึ่งเท่านั้น เพื่ออาศัยเป็นแนวทาง ชี้ทางให้เราเท่านั้น แต่ความสำเร็จที่จะถึงจุดหมายแห่งการพ้นทุกข์นั้นต้องขึ้นอยู่กับเรา เราต้องเดิน เราต้องทำ ต้องปฏิบัติภาวนา ทำสมาธิ นี่แหละคือ หัวใจในการเข้าถึงธรรม เห็นธรรมตรงนี้เอง

นิพพานอยู่ตรงนี้ หยุด ๆ ๆ ๆ

ทุกวันนี้ มัว บ้าหลงหาแต่อาจารย์ ผู้วิเศษกัน จริงๆ ว่าที่นั้นสำเร็จที่นี้สำเร็จ ขอถามสักคำเถิดว่าอาจารย์องค์ไหนบ้างสามารถดับกิเลสตัวเองได้บ้าง ถ้ายังดับกิเลสไม่ได้ก็ไอ้คือกันนั่นเอง จงอย่าหลงบ้าไปเลย การหลุดพ้นมิใช่อยู่ที่อาจารย์ แต่มันอยู่ที่ตัวเราต่างหาก ว่าเราสามาถทำตัวหยุดได้สำเร็จแล้วหรือยัง ถ้าได้ นี่แหละคือทางแห่งการหลุดพ้น
คำภาวนา ให้ว่าหยุด ไม่เอา ๆๆๆ ให้มีสติภาวนาอยู่อย่างนี้แหละจนกว่าจิตจะสงบก็สำเร็จ ไม่ต้องไปหลงบ้าหาอาจารย์ผู้วิเศษนอกตัวนอกตนให้เสียเวลาไปเปล่าๆ หยุดแล้วจะพบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระอาจารย์ที่ในตัวเราเอง ส่วนที่เห็นข้างนอกนั้นมันเป็นของเทียม ไม่ใช่ของแท้ขอให้ทราบไว้ด้วย จะได้ไม่ต้องหลงผิดอีกต่อไป หยุด ๆๆๆๆ
สรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนี้ มีไว้สำหรับอาศัย ชั่วระยะหนึ่งเวลาหนึ่งของชีวิตเท่านั้น ธรรมชาติไม่ได้ให้เรามากอบโกย แต่ทุกวันนี้ คนเรามันโง่กลับไปเข้าใจผิดหลงผิด หาว่าสรรพสิ่งทั้งหลายของธรรมชาติ เป็นของของกูไปหมด แล้วก็ไปยึดถือมันไปเสียหมด แต่แล้วก็ยึดไม่สำเร็จ มีแต่ได้รับความผิดหวังแล้วก็น้ำตาตก เพราะมันไม่รู้ว่าธรรมชาตินั้น มันเป็นอนัตตา มันไม่มีตัวตน มันยึดถือไม่ได้ มันเกิดขึ้นแล้วตั้งอยู่ แล้วมันก็ดับไป มันเป็นอยู่อย่างนี้ของมัน ถ้าใครเข้าไปยึดมันเมื่อใด คนๆ นั้นก็ทุกข์อยู่นั่นแหละ ไม่มีวันที่จะพ้นทุกข์ได้ ก็เป็นกรรมของสัตว์เท่านั้น

ที่มา http://thai.mindcyber.com/buddha/why2/1136_2.php


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร