วันเวลาปัจจุบัน 06 พ.ค. 2025, 10:26  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ค. 2010, 16:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอจงสลัดเหยื่อล่อ แล้วก้าวต่อบนหนทาง เรื่องโดย แม่ชีศันสนีย์ เสถียรสุต

เมื่อย่างเข้าเดือนพฤษภาคม พวกเราชาวพุทธก็ดูจะมีความเบิกบานที่มาจากสำนึกภายในว่า เรากำลังจะได้ระลึกถึงวันวิสาขบูชา จึงเป็นวันที่องค์พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเปลี่ยนแปลงชีวิตพระองค์ เอง ด้วยการเฝ้าสังเกต

จากการทดลองที่ยืนยันและพิสูจน์ว่ามนุษย์เป็นอิสระได้ด้วยการ ฝึกฝน แล้วก็ทำให้เห็นว่าการเกิดอีกครั้งจากการเป็นเจ้าชายสิทธัตถะสู่การเป็นมหา บุรุษที่ยิ่งใหญ่ของโลกนี้ ทำให้โลกธาตุสั่นสะเทือนในศักยภาพของมนุษย์ ที่จะพ้นทุกข์ได้เพราะการฝึกฝน

เหตุการณ์นั้นจึงเป็นดัง “ธงชัย” ของพวกเราทุกคน ที่จะสามารถเบิกบานใจในการเกิดครั้งนี้ได้ว่า

ไม่ว่าเราจะมามืดหรือมาสว่าง แต่เราสามารถจะไปสว่างได้

องค์พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงประกาศชัยชนะแทน มนุษยชาติเมื่อ วันตรัสรู้ ที่เราเรียกว่า วันวิสาขบูชา และจากการทรงงานอย่างหนักของพระองค์ใน 45 พรรษาที่ได้ทรงนำธรรมะของพระองค์ซึ่งพิสูจน์ได้ ไปบอกกล่าวกับมหาชน จึงทำให้เรามีพุทธศาสนามาจนถึงทุกวันนี้

วันวิสาขบูชาจึงเป็นวันที่พวกเราพึงระลึกถึงการประสูติ ตรัสรู้และปรินิพพานของพระพุทธองค์ผู้ทรงประดิษฐานพระพุทธศาสนาความอัศจรรย์ ที่เกิดขึ้นในวันเพ็ญเดือนหกนั้น มิใช่เฉพาะว่าวันดังกล่าวเป็นวันที่ก่อเกิดความรู้ซึ่งพระพุทธองค์หรือวัน ที่ทรงสิ้นพระชนมชีพเท่านั้นหากยังอยู่ที่ความรู้ซึ่งพระพุทธองค์ทรงค้นพบ และเผยแพร่ด้วย เพราะความรู้ดังกล่าวนั้นเป็นสิ่งที่นำมาปฏิบัติได้และให้ผลจริง คือมนุษย์สามารถพ้นทุกข์ได้จริงหากมุ่งมั่นปฏิบัติ ทุกเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นในวันวิสาขบูชานั้น จึงล้วนแต่เป็นสิ่งสำคัญที่พึงระลึกถึง

พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) ได้เมตตากล่าวถึงความสำคัญและความอัศจรรย์ของวันวิสาขบูชาไว้อย่างละเอียด ว่า

“การประสูติ ของพระองค์มีความหมายเตือนให้เราระลึกว่า คนทุกคนแม้จะเริ่มต้นชีวิตโดยความเป็นมนุษย์ มีกำเนิดไม่แตกต่างกัน แต่ต่อจากจุดเริ่มต้นนั้นแล้ว มนุษย์ก็แสดงความเป็นสัตว์ประเสริฐออกมา ด้วยความเป็นผู้ที่สามารถจะฝึกฝนอบรมได้ เป็นบุคคลผู้มีจุดหมายอันสูงสุด มุ่งบำเพ็ญความดีงาม ปรับปรุงตนอยู่ตลอดเวลาอาศัยความเพียรและสติปัญญาฝึกฝนตนให้บรรลุความเป็น มนุษย์ผู้เยี่ยมยอด ได้กลายเป็นศาสดาที่เคารพบูชาของปวงเทพและหมู่มนุษย์นำประโยชน์สุขมาให้ ไม่เฉพาะแต่ตนเองผู้เดียว แต่เกื้อกูลแก่ชาวโลกทั้งหมดด้วย พระพุทธเจ้าทรงเป็นตัวอย่างแสดงประจักษ์พยานเช่นนี้ ทุกคนจึงควรมีกำลังใจเพียรพยายามใช้สติปัญญาพิจารณาบำเพ็ญความดีงาม ฝึกฝนปรับปรุงตนให้เป็นมนุษย์ที่ประเสริฐยิ่งอยู่เสมอ

“การตรัสรู้ เป็นเครื่องเตือนให้ระลึกว่า สิ่งสำคัญที่เป็นผลสำเร็จเป็นจุดมุ่งหมายแห่งความเพียรพยายาม และการใช้สติปัญญาของพระพุทธเจ้า ซึ่งทำให้พระชนมชีพของพระองค์กลายเป็นสิ่งมีคุณค่าอย่างสูงสุดนั้น หาใช่การได้มาซึ่งสิ่งสำหรับปรนเปรอ บำรุงบำเรอความสุขส่วนตนไม่ แต่เป็นการเข้าถึงความดีงามอย่างสูงสุด ที่ทำให้พระชนมชีพของพระองค์เต็มเปี่ยมสมบูรณ์ พร้อมทั้งเผื่อแผ่ขยายความเต็มเปี่ยมสมบูรณ์นั้นออกไปให้แก่ชีวิตอื่นๆ ด้วย เรียกว่านำมาซึ่งประโยชน์สุขแก่โลก การเข้าถึงความดีงามนี้เองที่ทำให้เจ้าชายสิทธัตถะผู้เป็นมนุษย์กลายเป็นพระ พุทธเจ้า ทำให้มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลกความดีงามที่ว่านี้ คือสิ่งที่เรียกว่า “ธรรม” หรือ “พระธรรม”

“การเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้า ทำให้ธรรมปรากฏขึ้นในโลก ธรรมปรากฏขึ้นแล้วก็กระจายความดีงามออกไป ด้วยคำสอนที่สาดแสงสว่างส่องทางแห่งการดำเนินชีวิตที่ดีงาม นำไปสู่ประโยชน์สุขและความส่องทางแห่งการดำเนินชีวิตที่ดีงาม นำไปสู่ประโยชน์และความอยู่ร่วมกันอย่างสงบร่มเย็น นอกจากนี้การตรัสรู้ยังสอนเราด้วยว่าการบรรลุผลสำเร็จที่ดีงามนั้นมิใช่จะ กระทำได้ง่าย พระพุทธเจ้ากว่าจะตรัสรู้ได้ ต้องทรงบำเพ็ญเพียรพยายาม ใช้สติปัญญาแสวงหาค้นคว้าทดลองด้วยความเด็ดเดี่ยวและอดทน จนบางคราวแทบจะสิ้นพระชนมชีพตลอดเวลายาวนานถึง 6 ปี ครั้นตรัสรู้แล้วเมื่อทรงนำธรรมอันเป็นหลักแห่งความจริงความดีงามนั้น ไปสั่งสอนผู้อื่นก็ต้องทรงเสียสละ ลำบากพระวรกาย เสด็จเที่ยวไปทุกถิ่น แม้ทีแสนจะกันดาร และฝ่าภยันตราย บุคคลที่จะทำความดีงาม บำเพ็ญประโยชน์สุขแก่หมู่ชน ก็ควรดำเนินตามพุทธปฏิปทา โดยการเพียรพยายามด้วยความเสียสละ อดทน ไม่ยอมท้อถอย

“การปรินิพพาน มีความหมายที่เป็นอนุสติให้ระลึกว่า พระชนมชีพของพระพุทธเจ้าในฐานะที่เป็นชีวิตมนุษย์ เมื่อถึงคราวสิ้นสุดก็ดับสิ้นไปตามกาลเวลา แต่พระธรรมที่ได้ทรงค้นพบ เปิดเผยไว้ ทำให้ปรากฏในโลกแล้ว เป็นหลักแล้วความจริงและความดีงามอันอมตะ ไม่เคลื่อนคลาดแตกดับ เป็นสิ่งไม่ตาย ยังคงสิ่งทางแห่งปัญญาเพื่อบรรลุประโยชน์แก่มนุษย์สืบต่อไป และทั้งพระพุทธเจ้ายังได้ทรงตั้งคณะสงฆ์ไว้ทำหน้าที่รักษาสืบทอดส่งต่อ ประทีปแห่งธรรมแทนพระองค์ต่อมาอีกด้วย แม้ว่าพระพุทะเจ้าจะทรงหยุดเลิกพุทธกิจ ก็ได้ทรงหยุดเลิกในเมื่อมีอมตธรรมสำหรับอำนวยอมตประโยชน์สืบต่อมา การปรินิพพานเป็นการดับสนิทในเมื่อกิจสำเร็จ การดำเนินให้เข้าถึงอมตธรรมและบรรลุอมตประโยชน์ เป็นหน้าที่ของเราทั้งหลายทั้งที่จะต่างคนต่างทำและร่วมกันช่วยกันทำต่อไป”

และเมื่อนับ 45 พรรษานั้นมารวมกันกับจำนวนปีที่เสด็จปรินิพพานไปแล้ว คือเมื่อ 2,553 ปีผ่าน เราก็จะพบตัวเลขที่น่าสนใจคือ 2,598 ซึ่งก็เท่ากับอีก 2 ปีข้างหน้าคือ 2555 อันจะเป็นปีที่ชาวพุทธทั่วโลกร่วมพุทธชยันตี 2,600 ปีแห่งการตรัสรู้ธรรมขององค์พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า

เมษายน ที่ผ่านมานับเป็นเดือน ที่ทำให้เราเห็นถึงการทำงานที่มีการวางแผนไว้อย่างรู้ตัวว่าเราคือธิดาของ พระองค์ และเพื่อยืนยันในคำที่พ่อสอนไว้ว่า “ธิดาของเราเป็นผู้มีปัญญามาก ฉลาดทั้งในทางและมิใช่ทาง”

เสถียรธรรมสถานได้เริ่มต้นการเฉลิมฉลองพุทธชยันตีด้วยการบวช พุทธสาวิกา จึงได้วางแผนการทำงานที่เลือกจะเดินอยู่บนหนทางของอริยะ ซึ่งก็คือหนทางแห่งอริยมรรคประกอบไปด้วยองค์ 8 อันเป็นหนทางที่จะทำให้เราไปสว่างได้ทุกคน ถ้าเราอยู่บนหนทางนี้โดยผ่านการบวชพุทธสาวิกา

ด้วยความตั้งใจที่จะทำงานนี้ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ พระบรมราชินีนาถ การบวชพุทธสาวิกา ภาคฤดูร้อนนี้ เราจึงได้ผู้สมัคร 94 คนที่มีความจงรักภักดีถวายการทำงานครั้งนี้ เป็นพระราชกุศลแด่พระองค์ โดยมีตั้งแต่เด็กอายุยังไม่ถึง 5 ขวบ ไปจึงถึงเด็กสาวแรกรุ่น และเนื่องจากมีผู้ใหญ่หลายคนอยากอยู่บนหนทางในฐานะที่เป็นแม่กับลูก หรือว่าย่า-ยาย เราจึงมีว่าที่พุทธสาวิกาอายุตั้งแต่เกือบ 5 ขวบถึง 60 ปีมาบวชร่วมกัน เมื่อรวมกับแม่ชีในสังฆะ 22 คน สังฆะแม่ชีของเสถียรธรรมสถานจึงมีจำนวนทั้งสิ้น 116 คนซึ่งไม่เคยปรากฎมาก่อน

มรรค คือ หนทาง

สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ชี้ทาง

พระอรหันต์ทั้งหลายเป็นเพื่อนร่วมทาง

อยู่แต่เราจะสลัดเหยื่อล่อและก้าวเดินหรือไม่

วิสาขบูชา ขอให้พวกเราทั้งหลายจงสลัดเหยื่อล่อ แล้วก้าวเดินอยู่บนมรรคแห่งการตื่น มีปัญญา ศีล สมาธิ เป็นเครื่องมือ มีปัจจุบันขณะเป็นเวลาอันประเสริฐสุด และมีพระนิพพาน เป็นเป้าหมาย

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ค. 2010, 11:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b39: ไม่ว่าเราจะมามืดหรือมาสว่าง แต่เราสามารถจะไปสว่างได้

:b39: มรรค คือ หนทาง

สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ชี้ทาง

พระอรหันต์ทั้งหลายเป็นเพื่อนร่วมทาง

อยู่แต่เราจะสลัดเหยื่อล่อและก้าวเดินหรือไม่



สาธุ สาธุ สาธุค่ะ...พี่ธรรมบุตร

:b48: ธรรมรักษาค่ะ :b48:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร