วันเวลาปัจจุบัน 05 พ.ค. 2025, 20:55  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 8 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 15:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


บทสัมภาษณ์พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก นิตยสาร LIPS
"ธรรมนำทาง The Art of Happiness"


สัมภาษณ์ ธนชัย อุชชิน(ป๊อด)



รูปภาพ


อะไรคือชีวิตที่น่าพอใจ...ชีวิตน่าจะมีอะไรที่มีคุณค่ามากกว่านี้...

ด้วยคำถามที่เต็มเปี่ยมอยู่ในหัวใจ พระมิตซูโอะ คเวสโก
จึงออกสัญจรรอนแรมจากบ้านเกิดเมืองนอน ที่ประเทศญี่ปุ่น ไปยังสถานที่ต่าง ๆ
ทั้งถิ่นอุดมสมบูรณ์และถิ่นทุรกันดาร ตั้งแต่ปี พ.ศ.2514
แล้ววันหนึ่งเมื่อพระอาจารย์ ได้เดินทางไปพบสัจธรรมจากคำสอนของพระพุทธเจ้า
ท่านจึงหยุดการแสวงหาจากภายนอกเข้าสู่การค้นหาภายใน
โดยสิ่งที่ท่านค้นพบนั้นได้ถูกนำมาเผยแพร่เพื่อเป็นประโยชน์แก่พุทธศาสนิกชนจำนวนมาก
เมื่อปี พ.ศ.2541 ป๊อด-ธนชัย อุชชิน ได้เดินทางเข้าสู่การค้นหาภายใต้ร่มกาสาวพัสตร์
ณ วัดสุนันทวนาราม จ.กาญจนบุรี ซึ่งมีพระมิตซูโอะ คเวสโก เป็นเจ้าอาวาส
ถึงแม้ภายหลังจะลาสิกขาออกมาแล้ว นักร้องขวัญใจคนรุ่นใหม่ผู้นี้ก็ยังคงฝากตัวเป็นศิษย์
และนำหลักธรรมของพระอาจารย์มาใช้ในชีวิตประจำวันเสมอ


ธนชัยออกตัวว่าเขาไม่ใช่ศิษย์ที่ช่างสงสัยนัก และเขาเอาก็ทราบดีว่าคำตอบในวิถีแห่งธรรม
ไม่อาจได้มาด้วยการตั้งคำถามเพียงเท่านั้น หากแต่ต้องตั้งมั่นในการปฏิบัติ
ด้วยคำถามที่เขาตั้งขึ้นในวันนี้จึงเปรียบเสมือนคำถามแทนใจผู้คนมากมาย
ที่ยังเวียนว่ายอยู่ในวิถีแห่งโลก และคำตอบที่พระอาจารย์เมตตาในวันนี้
จึงไม่ต่างอะไรจากคบไฟนำทางซึ่งมีแสงสว่างแห่งปัญญาเป็นเป้าหมาย


:b48: ถาม :ทุกวันนี้คนเรามีความทุกข์กันมาก ควรทำอย่างไรให้หายทุกข์ครับ

รูปภาพ


:b44: ตอบ ปัจจุบันนี้ปัญหาทางด้านจิตใจกำลังเป็นปัญหาใหญ่ของมนุษยชาติ
จะเห็นได้จากรายงานของกรมสุขภาพจิตเมื่อไม่นานนี้ว่า
มีคนไทยประมาณ 2 ล้านคนกำลังเป็นโรคซึมเศร้า
นี่ขนาดยังไม่รวมคนที่เป็นโรคทางจิตประเภทอื่น ๆ
หรือที่องค์การอนามัยโลกได้เคยออกรายงานเกี่ยวกับ
โรคที่เป็นอันตรายร้ายแรงของมนุษยชาติในปัจจุบันนี้ 5 อย่าง
โรคเกี่ยวกับจิตก็เป็น 1 ใน 5 นั้น
และเชื่อว่าอีก 10 ปีข้างหน้าจะเป็นโรคร้ายอันดับหนึ่งของมนุษยชาติทั่วโลก
จึงเป็นสิ่งที่น่ากังวลและทุกคนควรร่วมกันเอาใจใส่ตั้งแต่เดี๋ยวนี้
เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นปัญหาใหญ่ต่อไป
ทีนี้เราลองพิจารณาดูในครอบครัวกันบ้าง
สมมติถ้ามีสมาชิกในครอบครัวของเราเป็นโรคทางกาย
ทุกคนในครอบครัวก็ต้องมีภาระมากขึ้นในการช่วยกันสอดส่องดูแลสุขภาพ
แต่ถ้าสมาชิกคนหนึ่งเป็นโรคซึมเศร้า โรคประสาท โรคเครียด
หรือโรคจิตชนิดต่าง ๆ ก็จะมีอิทธิพลต่อสภาพจิตใจของทุกคนในครอบครัว
ลักษณะเหมือนการขยายพันธุ์ของหนู
ถ้าคนหนึ่งเป็นโรคก็จะขยายออกไปได้ครั้งละเป็นสิบคน
จึงเป็นปัญหาที่น่ากลัวกว่าโรคทางกายเสียอีก เพราะฉะนั้นเราต้องไม่ประมาท
และให้ความสำคัญในการแก้ปัญหานี้ตั้งแต่ต้น ไม่ปล่อยให้ทวีขึ้นเป็นปัญหาใหญ่


โรคเครียดเกิดจากอะไร ก็เกิดจากเราไม่เข้าใจตัวเอง
ไม่เข้าใจชีวิต ไม่เข้าใจกฏแห่งกรรม ไม่เข้าใจธรรมะ

สิ่งเหล่านี้เป็นต้นเหตุให้เกิดความเครียด หม่นหมอง เศร้าหมอง
พระพุทธเจ้าสอนไว้ว่า อย่าเพิ่งให้ความสำคัญกับความสำเร็จ
ที่นำมาซึ่ง ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่แน่นอน
และมีความเสื่อมลาภ เสื่อมยศ การนินทา ความทุกข์แฝงตัวอยู่ด้วยเสมอ
ดังนั้นไม่ว่าทำอะไรก็ตามให้เราตั้งใจทำให้ดีที่สุดด้วยอิทธิบาท 4
อันประกอบด้วย ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ทุกสิ่งทุกอย่างจะสำเร็จตามที่ตั้งใจ
เพราะใจเป็นประธาน ใจเป็นหัวหน้า หากเราปฏิบัติตามหลักอิทธิบาท 4
เมื่อเราทำดีที่สุดแล้ว ผลที่ได้เป็นสิ่งไม่แน่นอน ผลจะออกมาอย่างไร
เราควรทำใจเป็นสันโดษ ปล่อยวางยินดีพอใจในผลที่ได้


พระพุทธเจ้าตรัสว่า ความรักอื่นเสมอรักตนไม่มี
มนุษย์เรานี้ควรรักและเมตตาแก่ตัวเอง เราจึงต้องรู้จักโอปนยิโก
คือน้อมเข้ามาดูกายดูจิตใจของเรา แล้วให้ความเมตตาความรักแก่ตัวเองก่อน
เริ่มต้นที่สร้างค่านิยมอย่างนี้ในระดับบุคคล และสร้างค่านิยมในระดับประเทศ
ถือเป็นวาระแห่งชาติที่จะรู้จักตัวเอง มีเมตตาแก่ตัวเอง
โดยเริ่มต้นที่เราก่อนแล้วก็ขยายไปแก่คนทุกคน
รู้จักรักษาสุขภาพจิตใจตัวเอง
โดยให้ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว
พระพุทธเจ้าทางวางแนวทางปฏิบัติไว้ให้นั่นก็คือ ศีล 5
อันเป็นหลักธรรมพื้นฐานเพื่อให้ตั้งมั่นอยู่ในความดี
ละเว้นความชั่วและทำจิตใจให้บริสุทธิ์
เพราะเมื่อเรารักษาศีลได้ นั่นก็เท่ากับเรารู้จักรักตัวเองแล้ว
และเมื่อรักตัวเองเป็น ก็จะเป็นรากฐานสำคัญในการรักผู้อื่น

เพื่อให้เราและคนที่เรารัก ต่างมีความสุขด้วยกันทั้งสองฝ่าย
ความเครียดความหม่นหมองของคนในสังคมก็จะรักษาได้


อีกวิธีหนึ่ง อาจารย์เรียกว่าหัดตายทุกวัน
เริ่มต้นก็ให้ถือเอาช่วงเวลาก่อนนอนเป็นช่วงสำคัญของชีวิต
เราควรจะจัดเวลาไว้สัก 20-30 นาที เพื่อทบทวนชีวิต

ตั้งแต่เช้าที่เราได้ประสบเหตุการณ์ต่าง ๆ ทั้งเรื่องที่ทำให้เราพอใจและไม่พอใจ
ให้ตั้งสติระลึกทบทวนเพื่อจะได้เป็นบทเรียนไว้แก้ไขปรับปรุงตัวให้เข้าใจว่า
เหตุการณ์ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตล้วนเป็นบทเรียนที่ทำให้เราได้เรียนรู้
ได้พัฒนาจิตใจ ทุกข์เป็นเหมือนยาบำรุงกำลังที่ทำให้เราเข้มแข็งขึ้น
แล้วก็พิจารณาปล่อยวางความทุกข์นั้นไว้กับอดีต
พิจารณาการนอนหลับเปรียบเหมือนความตาย
ถ้าทำใจให้ปล่อยวางได้ก็เหมือนเจริญวิปัสสนา การหลับที่ดีทำให้เป็นสุข
การตายด้วยจิตใจปล่อยวาง สบายใจ ก็ไปสู่สุคติ
ตอนเช้าตื่นขึ้นมารเมื่อลุกจากที่นอนก็ลุกขึ้นอย่างมีสติรู้ตัว
ดูจิตใจของเราว่าเป็นอย่างไร เบิกบานหรือเศร้าหมอง
ทุกเช้าเริ่มต้นวันใหม่ให้ทำความรู้สึกเหมือนกับว่าเป็นวันเกิดของเรา
จัดเวลาไว้สัก 20-30 นาที เพื่อเจริญเมตตาภาวนา
หายใจเข้าลึก ๆ หายใจออกยาว ๆ ตั้งสติระลึกถึงลมหายใจ
ตั้งจิตอธิษฐานในใจว่า

“หลักการดำเนินชีวิตของเราคือ คิดดี พูดดี ทำดีในทุกสถานการณ์”
เริ่มต้นที่ชีวิตของเรามีความสุข แล้วจึงแผ่ขยายออกไปให้คนอื่น ๆ ในสังคม
ก็จะทำให้สังคมมีความสุขได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 15:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b48: ถาม: หากมีความอยากและความต้องการมาก
เราจะทำให้ลดลงได้อย่างไรครับ



:b44: ตอบ: ถ้าเราสังเกตดูวันหนึ่ง ๆ เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัวมากมาย
ล้วนมีอิทธิพลต่อเราทั้งทางกายและทางจิตใจ
กระตุ้นให้เราเกิดความอยากและพยายามวิ่งเต้นตามความอยากนั้น
ชีวิตของเราก็เหมือนการเล่นฟุตบอล เราออกแรงวิ่งตามลูกฟุตบอลนั้น
แล้วเมื่อได้ลูกฟุตบอลก็รู้สึกเบื่อหน่าย ไม่พอใจ ไม่มีความสุข
จึงเตะออกไปอีก แล้วก็วิ่งตามอีก

เราวิ่งลักษณะแบบนี้มาตลอดชีวิตอุปมาอุปไมยว่า
ถ้าเรายังไม่มีพาหนะเดินทางเราก็อยากจะมีรถจักรยาน
พอได้รถจักรยานมาจริง ๆ ก็อยากมีรถมอเตอร์ไซค์
พอได้มาก็อยากได้รถปิ๊กอัพ พอได้รถปิ๊กอัพก็อยากจะมีรถเก๋ง
พอได้รถเก๋งก็ยังไม่พอ
เพราะความอิ่มขของตัณหาหรือความอยากนี้ไม่เคยมี
หรือที่แย่กว่านั้นคือ ในบางครั้งเมื่อได้สมปรารถนาแล้วก็ทำให้ทุกข์มาก
เช่น เรายังไม่มีแฟน ก็พยายามทำทุกวิถีทางที่จะมีแฟน
พอสมปรารถนาก็เริ่มมีปัญหา บางคนถึงกับว่าตกนรกทั้งเป็น
ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสยืนยันว่าที่ใดมีรักที่ นั่นมีทุกข์
ความรักอยู่ที่ไหน ความเศร้าโศกอยู่ที่นั่น
เริ่มต้นที่เกิดความรู้สึกวิตกกังวล กลัวว่าเขาจะนอกใจ
หรือว่าใครจะแย่งเขาไปเกิดอารมณ์หึงหวง
อาจถึงทำให้มีการตีกันฆ่ากันก็ได้
ซึ่งเป็นธรรมชาติของความอยากที่ทำให้เราเข้าใจว่า
ถ้าได้สมปรารถนาแล้วจะมี ความสุข
แต่พอได้มาจริง ๆ กลับมีความทุกข์ ตัณหาก็มีลักษณะอย่างนั้น
ถ้าเราสังเกตก็จะค่อย ๆ เห็นว่าการสมปรารถนาในตัณหาไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง



อีกกรณีหนึ่งเป็นเรื่องของโยมชาวอเมริกันคนหนึ่ง
เขาบวชพระชั่วคราวแล้วมาเยี่ยมพระอาจารย์ที่วัด
โดยเล่าประวัติของตัวเองให้ฟังว่า
ตั้งแต่เรียนจบได้ประกอบอาชีพเป็นหมอศัลยกรรมมีฝีมือดี มีชื่อเสียง
จนเขามีฐานะทางการเงิน มีชื่อเสียงในสังอย่างกว้างขวาง
มีบ้านในอเมริกาอยู่ 6 หลัง ชีวิตของเขาเหมือนคนระดับวีไอพีในหนังฮอลลีวู้ด
แต่เขาก็มักจะถูกฟ้องร้องว่าทำศัลยกรรมผิดพลาด
คล้าย ๆ กับถูกแกล้งเพื่อเรียกร้องค่าเสียหาย
เมื่อมี 3-4 คดีที่ทนายความเห็นว่าคงสู้คดีลำบาก เขาจึงยอมแพ้
แล้วฝากสมบัติไว้กับเพื่อน ๆ แต่แล้วก็ถูกโกงอีกจนหมดตัว
จากนั้นเขาจึงเดินทางมาเมืองไทย และตัดสินใจบวชพระสักพักหนึ่ง
แต่เมื่อบวชได้ไม่นานเขาก็ย้งระลึกถึงอดีตที่เคยรุ่งเรือง มีความสุข
เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับชีวิตปัจจุบันนี้ที่บวชเป็นพระอยู่
ก็เห็นว่าชีวิตพระเรียบง่ายและมีความสุขมาก จากประสบการณ์ของพระท่านนี้
ก็แสดงให้เห็นว่า ถึงแม้จะมีเงิน มียศตำแหน่ง มีสรรเสริญ
ถ้าใจไม่ดีก็หาความสุขไม่ได้



สำหรับฆราวาสที่ยังมีความอยาก ไม่ว่าจะอยากเรียนหนังสือให้จบ
หรืออยากสร้างฐานะ ก็ให้ทำด้วยใจสงบ
แม้แต่ความอยากที่จะรู้จักตัวเองก็เหมือนกัน
ต้องทำด้วยใจสงบอยู่ในศีลธรรม จริยธรรม มีอิทธิบาท 4
รู้จักขยัน เอาใจใส่ อยู่บนพื้นฐานจิตใจที่เป็นปกติ รักษาสุขภาพใจให้ดี
ทำความเข้าใจว่า ถ้าได้ก็ดี ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นอะไร พยายามทำดีที่สุด
ผลปรากฏอย่างไรก็ยอมรับได้คือสันโดษ


ความอยากทางโลก เช่น อยากจะเป็นนักดนตรี นักแสดง พิธีกร
เราก็ทำเหมือนกันแต่ต้องใช้อิทธิบาท 4 รักษาจิตใจเป็นปกติ
ถึงแม้ว่าจะสมปรารถนาหรือไม่ก็ไม่ให้ยึดมากมาย
เน้นอยู่ในพื้นฐานของใจที่เป็นปกติก็จะเป็นความอยากที่ประกอบด้วยสติปัญญา
หรือว่ารู้จักความพอดี สิ่งสำคัญคือต้องเฝ้ราดูชีวิตจริง ๆ ของเรา
หมั่นทบทวนชีวิตที่ผ่านมาแล้วเอามาเป็นบทเรียนสำหรรับอนาคต
หรืออาจจะสังเกตประสบการณ์ชีวิตของคนรอบข้าง
แล้วก็รู้จักน้อมเข้ามาศึกษาและนำมาพัฒนา เพื่อรักษาสุขภาพใจของเราต่อไป


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 16:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b48: ถาม: ชาวพุทธเองก็นิยมนับถือเทพต่าง ๆ ด้วยเพื่อความเป็นสิริมงคล
พระอาจารย์มีความคิดเห็นอย่างไรครับ



:b48: ตอบ: ต้องยอมรับว่ามนุษย์เรานี้จิตใจอ่อนแอหรือเรียกว่าโง่ก็ได้
ตามประวัติศาสตร์ในการเกิดศาสนาต่าง ๆ บนโลกนี้
เมื่อเราเป็นทุกข์กลัวตาย ก็ต้องหาสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ
เริ่มตั้งแต่ธรรมชาติ เช่น ต้นไม้ ภูเขา พระอาทิตย์ พระจันทร์ และภูตผีต่าง ๆ
เราก็มักจะวิงวอนขอร้องให้ช่วยคุ้มครองเรา
ต่อมาเมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาน
พระองค์ได้แสดงสัจจะความจริง ตลอด 45 พรรษา 84,000 ธรรมขันธ์
เพื่อสอนแนวทางในการดำเนินชีวิตให้เกิดความสุข
ความสงบ หรือว่านิพพาน เป็นเป้าหมายสูงสุด
พระพุทธศาสนาอาจเปรียบเหมือนเป็นมนุษย์คนหนี่ง
ที่ประกอบด้วยสิ่งภายนอก มีการแต่งหน้าแต่งตัว ใส่เสื้อผ้า
นั่นก็เป็นเปลือกนอก ส่วนการกระทำ ความสามารถ จิตใจก็เป็นสิ่งภายใน
มนุษย์เราส่วนใหญ่ก็ติดเฉพาะเปลือกนอกนี่เอง
เช่น พยายามแต่งตัวดี มีรถยนต์ราคาแพง มีบ้านหลังใหญ่
เพื่อให้คนอื่นยอมรับ ยกย่องสรรเสริญ
แต่ทำงานอะไรก็ไม่ได้ ไม่มีความสามารถ
จิตใจคอยระวังว่าใครจะดูถูก หรือใครจะดีกว่าตน
อย่างนี้เรียกได้ว่ามีแต่เปลือกไม่มีเนื้อหา


แก่นแท้ของพระพุทธศาสนานั้นเป็นการปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์แปด
แต่มนุษย์เราก็โง่หรือว่าจิตใจอ่อนแอ จึงมักจะติดอยู่ที่พิธิกรรมเป็นส่วนใหญ่
มีลักษณะติดอยู่ที่เปลือกหรือว่าสิ่งภายนอก ไม่เข้าถึงเนื้อหาจริง ๆ
อันนี้ก็เป็นปัญา เราก็ต้องหาทางเข้าถึงแก่นแท้ด้วยการเน้นที่ไตรสิกขา
คือศึกษาในเรื่องทาน ศีล ภาวนา หรือศีล สมาธิ ปัญญา
หรือถ้าเป็นในระดับโลกียะก็เน้นศึกษาเรื่องกฏแห่งกรรม
ถ้าเราเชื่อเรื่องนี้ชีวิตของเราก็จะละความชั่ว
ทำความดี ทั้งกาย วาจา ใจ และเข้าสู่แก่นแท้
ด้วยการเจริญสติปัฏฐานสี่ อริยสัจสี่ อันเป็นไปเพื่อโลกุตระสรุปง่าย ๆ
ก็คือถ้าเราเชื่อว่ากฏแห่งกรรมมีจริง เกิดศรัทธา เกิดปัญญา
การยึดติดสิ่งภายนอกก็จะน้อยลง
แต่ศาสนวัตถุ หรือว่าพิธีกรรมต่าง ๆ บางอย่าง
ก็เป็นส่วนหนึ่งของพระพุทธศาสนาเหมือนกัน
อันนี้เราก็รักษาด้วยความเข้าใจด้วยสติปัญญา
พิจารณาถึงความศรัทธาในพิธีกรรมต่าง ๆ ว่า
เป็นไปเพื่อเข้าถึงแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาหรือไม่
เราต้องช่วยกันรณรงค์ให้ศรัทธาในปัจจุบันประกอบด้วยปัญญา
สิ่งสำคัญที่สุดในปัจจุบันก็ศึกษากฏแห่งกรรม
ตั้งใจอยู่ในศีลธรรมจริยธรรมแล้ว ความสงบในสังคมก็จะเกิดขึ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 16:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b48: ถาม: คนที่ทำงานในสายอาชีพที่ต้องเกี่ยวข้องกับการปรุงแต่งมาก ๆ
เช่น งานบันเทิง งานศิลปะ ดนตรี การแสดง และแฟชั่น
พระอาจารย์มีคำแนะนำอย่างไรครับ



:b44: ตอบ: มนุษย์ 6,500 ล้านคนล้วนเกิดมาด้วยกิเลส ความโลภ ความโกรธ ความหลง
ชีวิตตั้งแต่ยุคหินเป็นต้นมา มนุษย์ก็อยู่ท่ามกลางทุกข์
ท่ามกลางอันตรายจากภายนอก ทั้งจากธรรมชาติ จากมนุษย์ด้วยกันเอง
และจาก เกิด แก่ เจ็บ ตาย มนุษย์จึงต้องคอยปกป้องชีวิตตัวเองตลอดเวลา
เมื่อเห็นว่าชีวิตเป็นทุกข์ การแสดงบ้าง หรือว่าศิลปะต่าง ๆ
มาช่วยทำให้จิตใจผ่อนคลาย เพื่อหนีความทุกข์ที่เกิดขึ้น
เราในฐานะที่เป็นพุทธศาสนิกชชน
ก็ต้องพิจารณาการดำเนินชีวิตให้อยู่ในพื้นฐานของศีล
เช่น ถ้าเราร้องเพลงที่ไม่ได้ส่งเสริมในการผิดศีลห้า ก็ไม่ได้ผิดอะไร
การแสดงออกทางศิลปะก็มีลักษณะเดียวกัน
หากเป็นไปในกรอบของศีลห้า ก็จะช่วยให้มนุษย์มีความผ่อนคลาย
ในลักษณะที่เหมาะสมได้ อย่างพุทธศาสนามหายาน
หรือนิกายเซนก็มีการแสดงออกเป็นดนตรีบ้างศิลปะบ้าง
โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้จิตใจสงบบริสุทธิ์


เมื่อเราอยู่ในวงการบันเทิง วงการแฟชั่น ดนตรี หรือว่าศิลปะก็ตาม
เป็นอาชีพที่ต้องอาศัยการปรุงแต่ง เกี่ยวข้องกับสิ่งปรุงแต่งอยู่มาก
ในการทำอาชีพก็ให้ปรุงแต่งให้เต็มที่เพื่อให้ผลงานออกมาดีที่สุด
แต่อย่ายึดมั่นถือมั่น ในวันหนึ่งเมื่อถึงเวลาจบแล้วก็หยุดคิดทำใจสงบ
ปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่าง เช่น ก่อนนอนให้จัดเวลาสักครึ่งชั่วโมงหรือ 1 ชั่วโมง
สำหรับเจริญสติ หายใจเข้าลึก ๆ หายใจออกยาว ๆ
น้อมเข้าไปในลมหายใจ หมายถึงน้อมเข้าไปในสภาวะสงบ
สุขในจิตใจของตัวเองตามที่อาจารย์อธิบายในเรื่องวิธีปฏิบัติให้ฝึกหัดตายทุกวัน



คนในวงการบันเทิงก็เป็นบุคคลสาธารณะหรือว่าเป็นฮีโร่ เป็นนักร้องบ้าง
นักแสดงบ้าง หรือเป็นอะไรต่าง ๆ ก็ถือว่ามีคนรักชอบจำนวนมาก
ดังนั้นจึงมีบทบาทสำคัญในสังคม หรือในชีวิตของแฟน ๆ
ดังนั้นเราต้องมีความรับผิดชอบต่อบทบาทของเรา
เช่น ถ้าเป็นนักร้องก็ควรมอบสิ่งดี ๆ แง่คิดดี ๆ ให้แก่ผู้ฟังเพลงของเรา
หรือพยายามแทรกหลักธรรมะเข้าไปบ้าง
เช่น ถ้าอกหัก คนไม่รัก แล้วควรคิดอย่างไร ก็สอนไว้ในเนื้อเพลง
หรือความรักที่บริสุทธิ์เป็นอย่างไร
เราสามารถนำหลักธรรมะไปใช้กับความรักได้อย่างไร
นักแสดงหรือคนทำหนังก็เหมือนกัน
ถ้าเราสามารถนำธรรมะแทรกเข้าไปในเนื้อหาได้ก็จะช่วยสังคมได้เยอะ
หรือว่าเมื่อดาราดัง ๆ สนใจศึกษาธรรมะก็มีอิทธิพลมาก
อาจจะเป็นแบบอย่างให้แก่แฟน ๆ ที่ชื่นชอบ
เป็นการสร้างค่านิยมที่ดีต่อคนในสังคม
หรือถ้ารู้จักนำหลักธรรมะมาใช้แก้ปัญหาชีวิต
สื่อมวลชนที่คอยติดตามทำข่าวก็จะช่วยเผยแพร่ออกไปในวงกว้างมากขึ้น
ถ้าเมื่อไรเราประสบปัญหาชีวิตแล้ว
เราสามารถนำหลักธรรมะมาแก้ปัญหาชีวิตได้ก็
จะเป็นแบบอย่างให้แก่คนในสังคมที่สนใจเรา
สิ่งเหล่านี้ก็เป็นการสอนธรรมะโดยปริยายถึงแม้เราไม่บรรยาย
แต่สื่อมวลชนก็จะช่วยเผยแพร่ให้เอง
การกระทำของเราทั้งในด้านการบันเทิง และในด้านการใช้ชีวิตจริง
ก็มีส่วนช่วยสอนธรรมแก่คนจำนวนมากได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 16:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b48: ถาม: พระอาจารย์ออกเดินทางตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น
ด้วยคำถามที่ว่า “ชีวิตคืออะไร” ถึงวันนี้พระอาจารย์ได้คำตอบว่าอย่างไรครับ



:b44: ตอบ: อาจารย์เกิดที่อำเภอชิสุกุอิชิ จังหวัดอิวาเตะ ประเทศญี่ปุ่น
ซึ่งเป็นบ้านเกิดเดียวกันกับนักประพันธ์ที่มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่งของประเทศญี่ปุ่น
ชื่อ มิยาซาวะ เคนจิ อาจารย์เคยอ่านงานเขียนของเขา
เกี่ยวกับจินตนาการถึงโลกในอนาคตว่า มนุษยชาติจะใช้ภาษาพูดเดียวกัน
อยู่ร่วมกันอย่างสันติ อยู่กับธรรมชาติ มีภูเขา ต้นไม้ มีลำธาร มีนกร้อง
มีสัตว์ป่าต่าง ๆ ผู้คนหน้าตายิ้มแย้มสดใส ไม่มีอาชญากรรม ไม่มีการลักขโมย
หรือเบียดเบียนกัน ต่างคนต่างรักใคร่กัน ยิ้มแย้มให้แก่กัน
เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ รักสงบ สันติ สังคมมีความอบอุ่น เหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน
สิ่งเหล่านี้นักเขียนคนนั้นได้ความคิดจากจังหวัดบ้านเกิด
ที่มีลักษณะคล้าย ๆ กับโลกในจินตนาการนั้น
อาจารย์ก็มีความประทับใจในงานเขียนของเขา
เพราะเหมือนได้เกิด และอยู่ท่ามกลางโลกที่สมบูรณ์แบบ
เหมือนในงานเขียนของนักประพันธ์คนนั้น


ในบ้านเกิดของอาจารย์มีภูเขาใหญ่ลูกหนึ่ง
ครี่งหนึ่งเป็นทางลาดชันลักษณะคล้ายภูเขาฟูจิ
แต่ด้านบนเป็นพื้นหญ้าเรียบขนานไปกับแนวขอบฟ้า
บนลานพื้นหญ้านั้นมีต้นซากุระเก่าแก่อยู่ต้นหนี่ง
ยืนต้นตัดกับขอบสันเขา ดูสงบ มั่นคง และให้ความรู้สึกอบอุ่น
พอซากุระต้นนี้ออกดอก โทรทัศน์ก็จะออกข่าวไปทั่วประเทศ
ทุกคนก็จะมาชื่นชมซากุระต้นนั้น หลายคนมาเที่ยวแล้วก็ถ่ายรูปเป็นที่ระลึก
หรือเอากลับไปฝากคนที่ไม่ได้มาอาจารย์ก็รู้สึกประทับใจว่าต้นซากุระต้นเดียว
ทำให้คนจำนวนมากมีความสุขได้
เราก็อยากให้ชีวิตเป็นเหมือนดั่งซากุระต้นหนี่งที่มีความงาม
และให้ความสุขแก่ผู้คน “งาม” ตามความหมายของพระพุทธศาสนา
ก็คืองามในศีล สมาธิ และปัญญา



อาจารย์ใช้ชีวิตในช่วงเด็กและวัยรุ่นอยู่ที่ชิสุกุอิชิ เติบโตมาอย่างเรียบง่าย
อยู่ในสภาพแวดล้อมที่สงบ สันติ จึงมักมีคำพูดอยู่เสมอว่า
“รักสันโดษ รักสงบ ใช้ชีวิตให้มีคุณค่า ใช้ชีวิตให้มีประโยชน์”
เวลาว่างส่วนใหญ่ก็ชอบอยู่คนเดียว ชอบเดินในป่า
พิจารณาถึงชีวิตว่า ชีวิตคืออะไร ก่อนที่จะตายไปจากโลกนี้
อยากมีความพอใจในชีวิตของตัวเองที่ผ่านมา
แม้ไม่มีใครเห็นคุณค่าของชีวิตเราก็ไม่เป็นอะไร
แต่อย่างน้อยที่สุด ขอให้ตัวเองมีความพอใจในชีวิตที่ผ่านมาก็ใช้ได้
อาจารย์ชอบธรรมชาติ รักการปีนเขา เริ่มปีนเขาตั้งแต่เรียนอยู่ชั้นมัธยม
แล้วก็เข้าร่วมแข่งขันปีนเขามาหลายครั้ง และเคยเป็นตัวแทนโรงเรียน
เข้าแข่งขันในระดับประเทศทุกครั้งที่อาจารย์ขึ้นไปบนภูเขาสูง
ก็มักจะมองออกไปไกล ๆ แล้วคิดเสมอว่าโลกนี้กว้างใหญ่
มีอะไรให้เราต้องศึกษาอีกมาก ต่อมาเมื่อจบการศึกษาระดับ ปวช. สาขาเคมี
อายุได้ 19 ปี อาจารย์ก็ตัดสินใจเข้าทำงานกับบริษัทขุดเจาะน้ำมันในทะเล
เวลาทำงานที่ต้องขึ้นไปบนหอสูง ๆ แล้วมองออกไปในทะเล
ก็มักตั้งคำถามกับตัวเองเสมอว่าหน้าที่ของเราในชีวิตนี้ คืออะไร
และชีวิตนี้คืออะไรในที่สุดเมื่อมองไม่เห็นใครในสังคมญี่ปุ่น
ที่พอจะเป็นตัวอย่างสำหรับชีวิตเราในอนาคตได้
จึงคิดว่าน่าจะเดินทานออกทัศนศึกษาต่างประเทศ
ดูชีวิตของคนต่างถิ่นต่างวัฒนธรรมเพื่อเป็นการศึกษาชีวิตของตัวเรา


เมื่ออายุ 20 ปี อาจารย์จึงตัดสินใจเดินทางไปต่างประเทศ
โดยมีเงินเก็บพอสมควรสำหรับเดินทางระยะยาว
จึงบอกลาครอบครัวและเก็บสัมภาระออกเดินทาง เพื่อแสวงหาคำตอบของชีวิต
ตอนนั้นแม่ของอาจารย์ก็ไม่ได้ห้ามอะไร เพียงแค่บอกว่า
จะไปไหนทำอะไรก็ได้ แต่อย่าให้ตำรวจต้องเดือดร้อนหรือว่าอย่าทำผิดกฏหมาย
อาจารย์จึงเริ่มออกเดินทางเพื่อหาคำตอบในชีวิตตั้งแต่นั้น
เริ่มต้นก็สะพายเป้ใบหนึ่งเดินทางไปอินเดีย เนปาล
การกินการอยู่แบบประหยัดที่สุด ตั้งใจจะไปภูเขาเอเวอร์เรสต์ ซึ่งเส้นทางทุรกันดารมาก
มีแต่ทางสำหรับเดินเท้าอย่างเดียว อาจารย์ก็ว่าจ้างผู้นำทาง 1 คน
และผู้ช่วยแบบสัมภาระอีก 1 คน ตั้งใจไปให้ถึงเบสแคมป์ซึ่งสูงประมาณ 5,500 เมตร
อาจารย์ใช้เวลาเดินหลายสัปดาห์ ยิ่งสูงออกซิเจนในอากาศก็น้อยลง ๆ
เดิน 3 ก้าวแล้วก็หายใจไม่ได้ ต้องหยุดปรับลมหายใจ
แต่เมื่อขึ้นไปถึงเบสแคมป์แล้วมองเห็นยอดเขาเป็นสีชมพู
สีฟ้า สีทองก็รู้สึกประทับใจมาก
รู้สึกพอใจที่ได้ทำตามความฝันสำเร็จ หลังจากนั้นก็เดินทางต่อไปอัฟกานิสถาน
ตุรกี เยอรมนี แล้วก็กลับมาที่อินเดีย ใช้เวลาประมาณปีกว่า
พอมาถึงพุทธคยา สถานที่ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ก็เปลี่ยนชุด
ทำตัวเหมือนนักบวชในอินเดีย ใช้ผ้าสองชิ้นสีครีมมานุ่งห่มเป็นสบงชิ้นหนึ่ง
อีกชิ้นหนี่งก็ห่มข้างบน แล้วก็นั่งสมาธิบ้าง หัดเล่นโยคะบ้าง
พักอยู่ที่วัดทิเบตในบริเวณพุทธคยาประมาณ 1 เดือน
ส่วนใหญ่ก็ใช้เวลานั่งสมาธิอยู่ใต้ต้นศรีมหาโพธิ์
แล้วก็มีอยู่วันหนึ่งมองดูพระพุทธเมตตา ซึ่งเป็นพระประธานของที่นั่น
ก็ฉุกคิดขึ้นมาว่าพระพุทธเจ้าเกิดในพระราชวังสมบูรณ์พร้อมด้วยโลกียสุข
แต่แล้วในที่สุดท่านก็ออกจากพระราชวังเข้าป่า เพื่อแสวงหาทางพ้นทุกข์
ใช้เวลาหลายปีในการค้นหาแล้วก็บรรลุโพธิญาณ ตอนนั้นก็นึกขึ้นมาได้ว่า
สิ่งที่เราแสวงหาคือ จิตบริสุทธิ์ เหมือนพระจันทร์เต็มดวงลอยอยู่บนฟ้า
แต่มีเมฆหมอกปิดบังทำให้มองไม่เห็นความจริง
ที่เรากำลังสงสัยหรือไม่สบายใจหรือเป็นทุกข์ก็เพราะเราไม่รู้จักและไม่
สัมผัสจิตบริสุทธิ์ของตัวเอง เราไม่เห็นตัวเอง ไม่รู้จักตัวเอง
ก็ได้ขข้อคิดว่าสิ่งที่เราแสวงหานี้น่าจะอยู่ในตัวเรา
จิตใจของเราบริสุทธิ์เหมือนพระจันทร์แต่มีสิ่งสกปรกมาบดบังอยู่เหมือนเมฆ
หมอกที่ปิดบังพระจันทร์ ถ้าเมฆหมอกผ่านไปแล้ว
ก็จะเห็นพระจันทร์เต็มดวงสดใส สว่า สงบ
ตอนนั้นอาจารย์ก็ยังไม่ได้สนใจศึกษาพุทธศาสนา
แต่มีความคิดว่าพระพุทธเจ้าน่าจะบำเพ็ญโยคะมา และจุดเด่นของอินเดียก็คือโยคะ
จึงเดินทางไปที่อาศรมฤาษีเกษีมีคนมากมายเชื่อว่าที่นั่นเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์
และมีโยคีปฏิบัติธรรมจำนวนมาก อาจารย์มุ่งไปที่นั่น
ช่วงนั้นคุรุจีผู้เป็นเจ้าสำนักเดินทางไปยุโรป มีแต่อาจารย์ที่เป็นลูกศิษย์ของคุรุจี
ถึงอย่างนั้นอาจารย์ก็เริ่มฝึกนั่งสมาธิ และโยคะประมาณ 3 เดือน


ครั้งหนึ่งอาจารย์ก็เริ่มเห็นผลการปฏิบัตินั่งสมาธิกำหนดแสงสว่างที่หน้าผาก
แล้วก็จิตรวมเกิดสมาธิ ความรู้สึกว่ากายหายไปสิ่งที่รับรู้ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย หายไป
เหลือแต่ตัวรู้ ผู้รู้ อาจารย์เห็นนิมิต แล้วจิตจ้องดูนิมิตที่สวยงาม เงียบสงบ
เห็นออกไปไกล ๆ อย่างไม่มีขอบเขต ไม่มีกาย ไม่แต่จิตตัวรู้ที่เห็นอยู่ทั่วทิศ
เมื่อออกจากสมาธิแล้วก็ทบทวนความเงียบ ความสุข
ประสบการณ์ในสมาธิกับความสุขที่ผ่านมาในชีวิต ก็เปรียบเทียบกันไม่ได้
ภายหลังเมื่อบวชพระแล้วก็พบภาษิตที่ว่า “นัตถิ สันติ ปะรัง สุขัง”
ความสุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี ซึ่งอาจารย์เข้าใจในความหมายอย่างชัดเจน
คิดว่าชีวิตก็น่าจะมีหน้าที่เพื่อทำสิ่งนี้ คือการเจริญกรรมฐานหรือว่าทำสมาธิ



ช่วงนั้นชีวิตประจำวันของอาจารย์เริ่มจากนั่งสมาธิ เล่นโยคะ
เล่นลมปราณอะไรต่าง ๆ ไปทั้งวัน โดยค่อนข้างจะทุ่มเทปฏิบัติมาพอสมควร
พอคุรุจีกลับมาลูกศิษย์ชาวต่างชาติก็โฆษณาว่าคุรุจีนี่เป็นโยคีที่เก่งมาก
เราจึงมีศรัทธา พออาจารย์เห็นคุรุจีครั้งแรกก็รู้สึกประทับใจมาก
ไม่คิดว่าจะมีมนุษย์คนหนึ่งทำให้เรารู้สึกประทับใจได้อย่างนี้
คุรุจีเป็นคนแรกที่ทำให้รู้สึกว่าถ้าเราแก่ก็อยากน่าเลื่อมใสศรัทธาอย่างนี้
ตอนนั้นก็ตั้งใจว่าจะอยู่อินเดียตลอดชีวิต แต่ไม่ได้รับอนุญาตให้ต่อวีซ่า
และให้ออกจากประเทศภายใน 15 วัน


จากกนั้นก็มีชาวพรชาวฝรั่งเศสแนะนำอาจารย์ว่า
ให้มาบวชพระที่วัดเบญจนบพิตร ประเทศไทย
ถ้าบวชพระแล้วก็ปฏิบัติธรรมได้ ไม่ต้องห่วงเรื่องปัจจัยสี่
ตอนนั้นเป็นช่วงปลายปี พ.ศ.2517 อาจารย์เดินทางมาเมืองไทยเพื่อบรรพชาเป็นสามเณร
และเริ่มเรียนภาษาไทยพออยู่ได้พักหนี่งก็อยากจะปฏิบัติธรรม
พระฝรั่งที่นั่นจึงพาไปภาคใต้เพื่อแสวงหาที่ปฏิบัติ
แต่ก็ยังไม่เจอสถานที่ที่อยากอยู่ก่อนจะไปที่วัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี
ทำให้ได้พบหลวงพ่อชา สุภัทโท แล้วอาจารย์ก็อุปสมบทที่นั่นเมื่อ พ.ศ.2518
ช่วงแรกจิตใจของอาจารย์ก็คิดว่าสักวันหนึ่งจะกลับไปญี่ปุ่น
แต่หลังจากปฏิบัติมาเรื่อย ๆ จนครบ 5 พรรษา
แล้วก็อยากจะตั้งใจปฏิบัติโดยเน้นการนั่งสมาธิ
แล้วในที่สุดก็เข้าห้องกรรมฐานอยู่ 2 ปี ช่วงนั้นก็เน้นเจริญสติปัฏฐานสี่
เช่น พิจารณากายนั่ง พิจารณาทุกขเวทนา
โดยมีศรัทธามั่นคงว่าการเจริญสติปัฏฐานสี่เป็นหัวใจสำคัญในพระพุทธศาสนา
ตามที่พระพุทธเจ้ายืนยันว่าการเจริญสติปัฏฐานสี่เท่านั้น ที่จะทำให้จิตใจบริสุทธิ์ได้
เมื่อเข้าใจว่าการปฏิบัติธรรมแล้วอาจารย์ก็คิดว่าจะเป็นพระในพระพุทธศาสนาตลอดไป



ที่มา...http://www.watsunan.org/node/96

:b48: :b8: :b48:


แก้ไขล่าสุดโดย ลูกโป่ง เมื่อ 20 พ.ค. 2010, 16:32, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 16:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7820

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


cheesy :b8: ขออนุโมทนาสาธุการกับบทสัมภาษณ์ข้างต้นด้วยจ๊ะ ลูกโป่ง :b20: smiley

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 19:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

:b8: อนุโมทนา..สาธุ..จร้า..น้องลูกโป่ง :b8:

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ค. 2010, 20:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

อนุโมทนาสาธุด้วยครับคุณลูกโป่ง tongue tongue tongue tongue tongue

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 8 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร