วันเวลาปัจจุบัน 06 พ.ค. 2025, 00:35  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 8 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ค. 2010, 07:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มิ.ย. 2004, 16:16
โพสต์: 114


 ข้อมูลส่วนตัว


ทุกคนในโลกนี้มีสิทธิ์ที่จะมีความหวังได้ สามารถจะตั้งความหวังไว้สูงอย่างไรก็ได้ แต่ต้องระลึกไว้เสมอว่า ความหวังนั้นจะต้องประกอบไปด้วยความเพียร เพราะความหวังที่ไม่ประกอบไปด้วยความเพียร หวังมากก็ต้องผิดหวังมาก ไม่หวังเลยจึงจะไม่ต้องผิดหวัง


ทำไมจึงต้องตั้งความหวัง ก็เพราะทุกวันนี้โลกมีแต่ความเดือดร้อนด้วยภัยต่างๆ ที่เกิดขึ้น ภัยพิบัติจากการต่อสู้กัน สงครามระหว่างประเทศกำลังจะเกิดขึ้น และยิ่งเพิ่มความรุนแรงขึ้นทุกที


พระพุทธทำนายจากพระโอษฐ์ของพระพุทธองค์ คือพระสมณโคดม ซึ่งดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว ว่าศาสนาของท่านจะคงอยู่ได้เพียง ๕,๐๐๐ ปี หลังจากนั้นก็เกิดไฟประลัยกัลป์ ไฟนี้จะเผาผลาญให้เกิดความทุกขเวทนาขึ้นในโลก จนถึงความพินาศสิ้นไปโดยพลันทุกรูปทุกนาม แม้ขณะนี้ยังไม่ทันถึง ๕,๐๐๐ ปีแห่งศาสนาของพระสมณโคดมเลย ความเสื่อมโทรมก็ได้เกิดขึ้นมากแล้ว ทั้งนี้ก็เป็นไปตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ทุกอย่างตกอยู่ภายใต้กฎของอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือความไม่เที่ยง ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ และไม่มีใครสามารถบังคับบัญชาให้เป็นไปตามที่ตนพอใจได้ ดวงอาทิตย์ก็เช่นเดียวกับสิ่งอื่นๆ คืออยู่มานานก็ต้องเสื่อม พลังอำนาจที่จะควบคุมความเป็นไปของดวงดาวในจักรวาลนี้ก็ย่อมจะเปลี่ยนแปลงไปในทางเสื่อมสลาย แต่ความเสื่อมนี้เป็นไปทีละน้อยจึงไม่สามารถสังเกตเห็นได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อพุทธศาสนาได้มีมาเกินกว่าครึ่งหนึ่งคือภายหลัง ๒,๕๐๐ ปีมาแล้ว พลังอำนาจของดวงอาทิตย์ก็จะลดลงอย่างเห็นได้ชัดมากเข้าๆ ดวงอาทิตย์ไม่สามารถควบคุมดินฟ้าอากาศให้เป็นไปตามปกติ ฉะนั้น ในอนาคต ความแห้งแล้ง หรือน้ำท่วมแผ่นดินไหว ฯลฯ ก็ย่อมจะต้องเกิดขึ้นมาได้อย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้นความวิปริตผันแปรต่างๆ ก็เริ่มต้นขึ้นเพื่อที่จะรุกคืบหน้าไปถึงวิกฤตกาลของไฟประลัยกัลป์นั่นเอง


หลังจากที่ดวงอาทิตย์เข้าถึงจุดเสื่อมระยะสุดท้ายก็คือการแตกตัวออกไปเป็นชิ้นๆ กระจัดกระจาย ความร้อนเผาผลาญทุกสิ่งจนกระทั่งหมดสิ้น ทุกชีวิตก็จะดับลงแล้วก็ตั้งต้นใหม่ ครั้งแรกที่อบายภูมิคือนรก

แต่จุดจบของชีวิตนั้นหาได้สุดสิ้นอยู่ที่นั่นเหมือนกันไม่ ผู้ที่ได้ฝึกปรือตนเองไว้ด้วยการประพฤติชอบประกอบไปด้วยสติและสัมปชัญญะเป็นอย่างดีแล้ว นรกไม่อาจจะฉุดรั้งให้อยู่ที่นั่นได้นานแน่นอน อำนาจกุศลกรรมย่อมผลักดันให้ได้จุติจากที่นั่น ขึ้นมาปฏิสนธิใหม่ในภูมิที่ดีกว่าได้อย่างรวดเร็ว และ นั่นคือความหวังที่ทุกคนควรจะปรารถนา

อย่างไรก็ดี ความปรารถนาที่จะพ้นจากนรกภูมิขึ้นมาได้โดยเร็วนั้นก็ยังมิใช่ความหวังอันสูงสุด เพราะเมื่อยังมีการเกิดอยู่ตราบใด ความทุกข์อันเป็นของประจำชีวิตก็ย่อมจะติดตามมาได้ เพราะชีวิตเกิดขึ้นโดยไม่พ่วงเอาทุกข์มานั้นไม่มีเลย และก็หนีไม่พ้นจากการที่จะต้องเวียนตายเวียนเกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยไม่รู้จบสิ้น ตราบใดที่เรายังไม่พบมรรคผลนิพพาน เราก็จะต้องพบกับไฟประลัยกัลป์ในคราวต่อๆ ไป ทุกครั้งที่จบสมัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์แล้ว พระองค์เล่า

ฉะนั้น จึงมีพุทธศาสนิกชนมากหลายที่พากันตั้งความหวังว่าจะได้พบพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป ซึ่งพระสมณโคดมได้ทรงมีพระพุทธทำนายว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นจะมีพระนามว่า “พระศรีอริยเมตไตรย” และปรารถนาจะได้ฟังพระธรรมจากพระโอษฐ์แล้วได้บรรลุถึงซึ่งมรรคผลนิพพาน เป็นผู้หนึ่งในความสามารถของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น จะรื้อจะขนไปจากโลกอันมีคำแปลว่า “ความวินาศ” นี้โดยเด็ดขาด

ชาวพุทธที่มีศรัทธาในพระพุทธศาสนาได้แนะนำสั่งสอนบุตรหลานของตนไว้ว่า เวลาทำบุญให้อธิษฐานขอให้บุญกุศลที่ได้กระทำจงช่วยอุดหนุนส่งเสริมให้ได้เกิดทันพระศรีอาริย์ จึงทำให้ผู้ที่ได้รับคำสอนเพียงสั้นๆ นั้นคิดไปว่าเพียงคำอธิษฐานเท่านั้นก็จะมีผลสมความปรารถนาได้โดยง่าย และเมื่อได้ตั้งความหวังฝากสวัสดิภาพแห่งชีวิตของตนเองไว้กับพระศรีอาริย์แล้ว ก็คิดเอาเองว่าพระศรีอาริย์ซึ่งปัจจุบันนี้คงจะอยู่บนเทวภูมิจะหยั่งรู้ความปรารถนาของตน และเอื้อมพระหัตถ์ลงมาโอบอุ้มด้วยอานุภาพของพระองค์ท่าน

เมื่อความหวังนี้แจ่มจ้าอยู่ในจิตใจ พอได้ยินข่าวว่าพระศรีอริยเมตไตรยลงมาที่ใด จะโดยมีผู้บอกเล่าว่าได้พบเห็นในสมาธิ หรือจะโดยการเข้าทรงที่สำนักหลายแห่ง ต่างก็พากันกรูเกรียวไปเคารพกราบไหว้ ขอให้ท่านดลบันดาลช่วยเหลือกำจัดภัยพิบัติต่างๆ หรือประสิทธิ์ประสาทลาภยศให้แก่ตน โดยหารู้ไม่ว่า การกระทำดังกล่าวนั้นเป็นการหันหลังให้แก่คำสอนในพระพุทธศาสนาอย่างสิ้นเชิง

เขาไม่ทราบว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ย่อมมีหนทางเดินแห่งชีวิตไปในทางเดียวกันทั้งหมด โดยการสร้างสรรค์บารมีขึ้นในพระองค์เอง อย่างครบถ้วนและแก่กล้าเกินกว่าบุคคลทั่วไป แล้วตรัสรู้เรื่องราวของอริยสัจธรรมทั้ง ๔ ประการ เหมือนกันหมด ขณะที่ยังทรงพระชนม์ชีพอยู่ภายหลังการตรัสรู้แล้ว ก็จะต้องอบรมสั่งสอนเวไนยสัตว์ให้รู้จักเหตุ รู้จักผล สอนให้รู้จักละเว้นจากความชั่ว ซึ่งจะเป็นเหตุให้ประสบกับความทุกข์ ความเดือดร้อน สอนให้รู้จักความดีและลงมือกระทำ จะได้เป็นเหตุให้ประสบกับความราบรื่นในชีวิตระหว่างที่ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏ ทั้งสอนวิธีการที่จะทำจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องใส ด้วยการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเพื่อสร้างเหตุให้พบกับความสุขอันสถาพร คือไม่ต้องเกิดมาประสบกับความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่สามารถบังคับบัญชาให้สิ่งต่างๆ เป็นไปตามความพอใจของตนได้ต่อไปอีก

.....................................................
เป็นประธานมูลนิธิอภิธรรมมูลนิธิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ค. 2010, 07:08 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มิ.ย. 2004, 16:16
โพสต์: 114


 ข้อมูลส่วนตัว


พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์จะไม่สอนว่า พระองค์จะดลบันดาลแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้ชีวิตของใครเป็นไปตามใจชอบได้ แต่ทุกคนจะต้องลงมือกระทำเหตุของตัวเอง และตนนั้นแลเป็นที่พึ่งแห่งตน ตนเองเป็นผู้แก้ไขปัญหาของตนเอง ต้องรับผลที่ตนกระทำเอง และต่างคนต่างมีกรรมเป็นของตน

คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอดีตที่ล่วงแล้วมากี่พระองค์ก็เป็นอย่างนี้ พระสมณโคดม ซึ่งเป็นผู้ประกาศพระพุทธศาสนาที่ยังดำรงอยู่จนทุกวันนี้ก็สอนเช่นนี้ ผู้ที่มาตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตกาลจะมีอีกนับจำนวนไม่ถ้วนก็จะต้องสอน เหมือนกันทั้งหมด ฉะนั้น ความคิดที่นอกไปจากคำสอนอันเป็นกฎตายตัวนี้ จึงต้องถือว่าเป็นคำสอนนอกพระพุทธศาสนา

ผู้ที่มีความปรารถนา ตั้งความหวังว่าจะได้พบพระศรีอริยเมตไตรยจึงควรต้องศึกษาว่า พระศรีอริยเมตไตรยนั้นมีคุณลักษณะอย่างไร เพราะโดยกฎแห่งกรรมแล้ว ผู้ที่จะได้มาเกิดและพบกับใครก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นญาติ-มิตร หรือคนที่รักใคร่กัน ก็จำเป็นจะต้องมีจริตอัธยาศัยคล้ายคลึงกัน ได้กระทำกรรมชนิดเดียวกัน มีปริมาณแห่งการกระทำกรรมใกล้เคียงกัน จึงจะมีโอกาสได้พบกัน ผู้ที่มิได้สั่งสมคุณสมบัติไว้ในตนอย่างพอเพียง ก็อาจพบแต่ผ่านเลยไปโดยมิได้บรรลุธรรมตามรอยบาทพระพุทธองค์ก็ได้ ฉะนั้น เมื่อเราต้องการจะได้พบพระพุทธเจ้าองค์ที่กล่าวถึงนั้น ก็จำเป็นต้องศึกษาความเป็นไปแห่งพระองค์ท่าน เพื่อจะได้ดำเนินชีวิตให้ตรงไปสู่เป้าหมาย เพราะความหวังนั้นจะต้องประกอบไปด้วยความเพียรเพื่อจะได้ไม่ผิดหวัง


พระนาม “พระศรีอริยเมตไตรย” ปรากฏขึ้นครั้งแรกจากพระโอษฐ์ของพระสมณโคดม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นเจ้าของคำสอนในพระพุทธศาสนาที่เราได้รู้จักกันอยู่ในปัจจุบัน พระองค์เป็นผู้มีทิพยจักขุอันหยั่งรู้ในอนาคตไกลเกินกว่าที่ใครๆ จะสามารถทำได้ ทรงทำนายไว้ว่า...

หลังจากที่พระองค์ได้ดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว พระพุทธศาสนาของพระองค์จะดำรงไปได้เพียง ๕,๐๐๐ ปี ภายหลังจากนั้นก็จะเสื่อมสิ้นลง จะเกิดไฟประลัยกัลป์ โลกจะถึงความพินาศ ทุกรูปทุกนามจะดับชีวิตลงสิ้นแล้วต่างก็ปฏิสนธิใหม่ในภพภูมิที่เริ่มต้นแห่งทุกขเวทนา เพราะทุกชีวิตที่ประสบความเผาผลาญของไฟประลัยกัลป์ก็จะตกนรกทันที

เมื่อพ้นจากนรกขึ้นมาโดยความเบาบางของอกุศลกรรมแล้ว ก็จะเริ่มต้นปฏิสนธิใหม่จากสัตว์สะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบก ค่อยๆ วิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงตามความเป็นไปของดินฟ้าอากาศ เจริญเติบโตแยกเผ่าออกมาเป็นสัตว์บก สัตว์น้ำ

ต่อมาก็ค่อยๆ วิวัฒนาการมาจนกระทั่งมีรูปร่างเป็นมนุษย์นานเข้าก็มีการแบ่งแยกให้มีชั้นวรรณะกันขึ้นมา เพราะจำนวนคนเกิดขึ้นมามาก จึงสืบพืชพันธุ์แตกขยายเหล่ากอออกไป เกิดการแก่งแย่งชิงกันเพราะข้าวยากหมากแพง ถึงเวลานั้นก็จะมีหญิงชายในตระกูลพราหมณ์แต่งงานอยู่กินเป็นสามีภรรยากันแล้วจะมีบุตร ชื่อ ศรีอริยะ นับจากนี้ไปถึงเวลานั้น ประมาณอย่างเร็วที่สุดก็คือ ๗,๐๐๐ ปีเศษ แต่ตอนนี้ยังไม่มีใครชื่อนั้น นี่คือพุทธทำนาย

ขณะนี้ ท่านผู้นั้นก็คือเทวดาองค์หนึ่ง กำลังบำเพ็ญเพียรสร้างความดีของตนเองเพื่อจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ในอนาคต

ใครที่ทำอนันตริยกรรมเช่น มีการฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ฆ่าพระอรหันต์ เมื่อตายจากชาตินี้ไปแล้วก็จะต้องตกนรกขุมลึก เรียกว่าอเวจีมหานรก มีอายุขัย ๑๕,๐๐๐ ปี ชีวิตหนึ่งในนรก ๑๔,๐๐๐ ปี เอา ๗,๐๐๐ ปีลบออก พระพุทธเจ้ามาแล้ว ไม่มีทางเจอกัน นี่คือเหตุหนึ่งที่ทำให้ไม่ได้พบพระพุทธเจ้า

นอกจากนั้น แม้ว่าจะไม่ได้ตกนรก แต่ถ้าไม่ได้สร้างเหตุไว้ให้สมบูรณ์ ก็จะไม่มีโอกาสพบพระพุทธเจ้าเช่นเดียวกัน คือไม่ได้ทำบุญไว้ ไม่ได้คบหาสัปบุรุษ ไม่ได้ฟังธรรมของสัปบุรุษไม่ตั้งตนไว้ชอบ แม้จะเกิดทันทีพระศรีอาริย์ พบกันแล้วลูกก็จะเดินไปทางอื่น

เพราะฉะนั้น เราต้องสร้างทาง อยากได้อย่างไร อยากเหมือนเขา เช่นเห็นใครเขาเก่งด้านศิลปะ เราอยากมีอาชีพเก่งเหมือนเขา เราก็เริ่มหัดที่ตนเอง อยากเจอพระพุทธเจ้า ต้องเรียนรู้ว่าพระพุทธเจ้าท่านเป็นอย่างไร จะได้สร้างเหตุให้ไปทางเดียวกับท่าน พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ จะต้องมีบุคลิกลักษณะคล้ายคลึงกัน ๙๙ เปอร์เซ็นต์ คือ...

.....................................................
เป็นประธานมูลนิธิอภิธรรมมูลนิธิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ค. 2010, 07:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มิ.ย. 2004, 16:16
โพสต์: 114


 ข้อมูลส่วนตัว


๑. เป็นผู้ที่มีความอดทน อันดับแรกเลย จิตใจของพระพุทธเจ้าที่มีมาแล้วในอดีต และที่จะมีมาในอนาคต ก็คือมีความอดทนอันสูง เหนือมนุษย์ทั้งโลกรวมกัน เหนือเทวดาทุกชั้นรวมกัน เหนือกว่าเทวดากับมนุษย์รวมกันในโลก เอาความอดทนในจิตใจมารวมกัน นั่นคือความอดทนของพระพุทธเจ้า ถ้าเราอยากพบพระพุทธเจ้า เราก็ต้องสร้างตัวเองให้มีความอดทน มีขันติ

๒. พระพุทธเจ้าทุกพระองค์มีจิตใจพร้อมจะบริจาคทุกเมื่อ เสียสละอารมณ์ ไม่เห็นแก่ได้ ฉะนั้น เราอยากพบพระพุทธเจ้า เราต้องเพียรพยายามชำระความเห็นแก่ได้ เห็นแก่ตัวออก

๓. พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์มีจิตใจพร้อมแล้วซึ่งเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา อย่างเหนียวแน่น ฉะนั้น อยากพบพระพุทธเจ้า ต้องเป็นคนมี เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

๔. พระพุทธเจ้าทุกพระองค์พ้นแล้วจากความโง่ พ้นจากความยึดมั่นถือมั่น อยากพบพระพุทธเจ้า ก็ต้องทำตนเองให้พ้นจากความโง่ ความยึดมั่นถือมั่น

๕. พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ไม่เอาชีวิตไปเนื่องด้วยผู้อื่นเป็นตัวของตัวเอง ข้อนี้สำคัญ ฉะนั้น เริ่มเป็นตัวของตัวเองเสียแต่บัดนี้



นี่คือการสร้างทางที่จะไปสู่ความเจริญ ไปสู่ความเป็นพระอรหันต์ และพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ต้องเดินทางนี้


เมื่อผู้ใดต้องการพบพระศรีอริยเมตไตรย เพื่อจะให้ท่านรื้อขนออกไปจากสังสารวัฏ ก็จำต้องประพฤติปฏิบัติในหนทางที่จะนำไปให้ได้พบกับท่าน เราได้รู้กันแล้วว่า พระพุทธเจ้านั้น ท่านจะต้องบำเพ็ญเพียรสร้างบารมีอย่างสูงส่ง

ได้ยินคนเป็นจำนวนมากพูดกันว่า บุคคลนั้น บุคคลนี้มีบารมีมาก มีบารมีสูงแล้วก็พากันไปกราบไหว้บูชาเพื่อจะขอบารมีท่านมาคุ้มครองปกป้องตนเองให้ประสบสิ่งอันเป็นสิริมงคล แต่แล้วก็หาทราบไม่ว่า บารมี คืออะไร จะเกิดมีขึ้นได้อย่างไร ไม่ทราบแม้แต่ว่าบารมีนั้น ทุกคนสามารถทำให้เกิดขึ้นในตนเองได้ ใครทำใครได้ และทำมากได้มาก

ในโลกนี้ไม่มีใครทำอะไรครั้งเดียวสำเร็จ แม้แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า การบำเพ็ญเพียรเพื่อสร้างบารมีของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นมากมายหลายร้อยพันชาติ โดยเฉพาะสิบชาติสุดท้ายที่เรียกว่า ทศบารมี ที่มี ทานบารมี ศีลบารมี ฯลฯ ที่เราได้อ่านเรื่องพระเจ้าสิบชาติกันนั้น เป็นการบำเพ็ญบารมีของพระองค์ท่านทั้งสิ้น

บารมี หมายถึง อำนาจอันเหนือใจ เป็นอำนาจเหนือใจที่มีกันอยู่โดยปกตินั่นเอง

เราต้องมาดูกันว่า ใจที่เป็นปกติเป็นอย่างไร ใจของคนเราที่เป็นไปโดยปกติก็คือใจที่เต็มไปด้วยความทะยานอยาก ความดิ้นรน และความงมงาย นี่คือใจที่เป็นไปตามปกติ พิสูจน์สำรวจดูว่าจริงหรือไม่ เราพร้อมที่จะพอใจในสิ่งที่ดีๆ เราพร้อมที่จะปฏิเสธในสิ่งที่ไม่ดี ทุกคนออกมาจากท้องพ่อท้องแม่มีอาการเสมอเหมือนกันหมด และเอาอาการเช่นนั้นแสดงออกไปตลอดชีวิต คือ แบมือเหมือนกันหมดว่า สิ่งที่ดีๆ ฉันรับนะ พร้อมที่จะอยากได้ สิ่งที่ไม่ดี ฉันปกป้อง คุ้มครองตนเองให้พ้นจากสิ่งที่ฉันไม่ชอบ นั่นคือลักษณะปกติสามัญ เพราะความพอใจกับความไม่พอใจมาตัดสินอารมณ์ต่างๆ อยู่เสมอ เป็นปกติวิสัยของปุถุชนที่พร้อมจะเป็นไปกับความโลภ ความโกรธ ความหลง แต่บารมีเป็นอำนาจที่เหนือใจปกติ ก็คืออำนาจอันเหนือกิเลสนั่นเอง

.....................................................
เป็นประธานมูลนิธิอภิธรรมมูลนิธิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ค. 2010, 07:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มิ.ย. 2004, 16:16
โพสต์: 114


 ข้อมูลส่วนตัว


มาดูว่า บารมีทั้ง ๑๐ มีอะไรบ้าง

๑. ทาน คือ การให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ตนเองมีอยู่ให้แก่ผู้อื่นได้โดยไม่หวงแหน ทั้งการให้นั้นไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ทำไมจึงเป็นบารมี เพราะคนเรานั้นพร้อมจะแบมือรับ การหยิบออกให้ผู้อื่นนั้นยากเย็นเข็ญใจที่สุด จริงหรือไม่เรารักตัวเอง เป็นห่วงอนาคตของตัวเองอยู่เสมอ ฉะนั้น การที่เราหยิบของตนเองออกมาให้ผู้อื่นได้ ขณะนั้น ต้องมีอำนาจเหนือความโลภที่อยากจะได้ ฉะนั้น ทานจึงจัดเป็นบารมี เป็นอำนาจเหนือโลภะ ความปรารถนา ความหวงแหน ยึดมั่นในสิ่งต่างๆ เรียกว่าทานบารมี

๒. ศีล คือการงดเว้นประพฤติชั่วเด็ดขาด เช่น ศีล ๕ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติ
ผิดในกาม ไม่พูดปด ไม่เสพสุรายาเมา ถามว่า ๕ อย่างนี้ที่กระทำลงไปได้เพราะอะไร ตอบว่าเพราะกิเลส



การฆ่าสัตว์ เกิดขึ้นมาได้เพราะอำนาจโทสะ หรืออำนาจของโลภะ โมหะ ได้ทั้งนั้น

การลักทรัพย์ เพราะอำนาจของกิเลสโลภะ โทสะ โมหะ

การประพฤติผิดในกาม คือการล่วงเกินบุคคลอื่น เกิดขึ้นมาได้เพราะอำนาจของกิเลส โลภะ โทสะ โมหะ

การพูดปด เกิดขึ้นได้เพราะอำนาจกิเลสโลภะ โทสะ โมหะ

การเสพสุรายาเมา ก็เพราะอำนาจกิเลสโลภะ โทสะ โมหะ

เพราะฉะนั้น การที่งดเว้นจากการผิดศีลด้วยการสำรวมระวัง ก็มีศีลรักษาให้ชีวิตเป็นไปโดยปราศจากบาปอกุศลจึงเป็นอำนาจที่เหนือกิเลส เป็นบารมีที่เกิดจากศีล เรียกว่าศีลบารมี

๓.เนกขัมมะ คือ การละอารมณ์จากความกำหนัด ที่เคยมีความยึดติดและผูกพัน ตกเป็นทาสของสิ่งต่างๆ ได้โดยเด็ดขาด และอำนาจของเนกขัมมะนี้ก็คือ การไม่อ่อนข้อต่อตัณหา ตัณหาคืออะไร ตัณหาคือความทะยานอยาก อยากได้เห็น อยากได้ยิน อยากได้กลิ่น อยากได้รู้รส อยากได้สัมผัส สิ่งที่ดี อยากได้ อยากมี อยากเป็น ไม่อยากได้ ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น นี่แหละคือความกำหนัดต่างๆ เราสามารถสละละออกจากอารมณ์ที่เป็นตัณหาทั้งสิ้นได้ เรียกว่าเนกขัมมบารมี เพราะเป็นอำนาจใจที่เหนือกิเลสโลภะ โทสะ โมหะ

๔.ปัญญา คือการสร้างความรู้จริงให้เกิดขึ้น ความรู้นี้คือรู้ความเป็นจริงตามสภาวธรรม
อันเป็นสัจธรรมของชีวิต โดยธรรมชาติวิสัยของคนเรานั้น ไม่ชอบขุดคุ้ยเรื่องของตนเอง แต่ชอบขุดคุ้ยเรื่องราวของคนอื่น ใครที่เรียนธรรมะแล้วไปเปรียบเทียบ ตำหนิติเตียนว่าคนอื่นผิดอย่างนั้น ผิดอย่างนั้น ผิดอย่างนี้ เป็นการเรียนที่ผิดทาง พระพุทธองค์ทรงสอนให้เราเข้าใจเรื่องราวของชีวิต ด้วยการหันกลับมาดูตนเอง พิจารณา ศึกษาความเป็นไปในชีวิตของตนเอง ว่าอะไรถูก อะไรผิดเพื่อจะได้รู้จักตนเองและแก้ไขที่ตนเอง

ผู้ใดที่เรียนพระอภิธรรมอันเป็นคำสอนของพระองค์แล้ว จะรู้สึกเหมือนกับว่าได้เรียนกับพระองค์เฉพาะตัวทีเดียว ถ้าทุกคนมีความรักธรรมะอย่างลึกซึ้ง จะไม่ผิดหวังเลยว่าพระพุทธองค์ทรงทอดทิ้งเรา

ยกตัวอย่างเช่น ทรงสอนว่า ถีนมิทธะเป็นนิวรณ์ เครื่องกั้นจิตมิให้บรรลุความดี ได้แก่ความง่วง ใครเป็นผู้ง่วงตัวเราเองที่เป็นผู้ง่วง ความรู้สึกอยากเป็นโลภะ โลภะเป็นกิเลส สภาวะของโลภะคือความอยาก ใครเป็นผู้มีโลภะ ตัวเราเองคือผู้มีโลภะ

การรู้เรื่องตนเองแต่ผู้เดียว เป็นปัญญาที่มีอำนาจเหนือกิเลส เหนือความปรารถนานานาประการ เหนือความอยากมี อยากเป็น อยากได้ เพราะเป็นการขุดคุ้ยเรื่องราวของตนเองที่เราเคยเอาตัวเองออกไปแสวงหา แต่การเรียนรู้เรื่องตัวเอง เป็นการหยุดการแสวงหา กลับมาแสวงหาภายในตัว จึงเป็นอำนาจเหนือกิเลส เรียกว่าปัญญาบารมี

.....................................................
เป็นประธานมูลนิธิอภิธรรมมูลนิธิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ค. 2010, 07:12 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มิ.ย. 2004, 16:16
โพสต์: 114


 ข้อมูลส่วนตัว


๕.วิริยะ คือความเพียร ไม่ย่อท้อ ความย่อท้อเกิดขึ้นจากอำนาจของกิเลส คือโทสะ เกิดจากโมหะ คือถีนมิทธะ ความง่วงเหงาหาวนอนซึ่งเป็นกิเลสทั้งสิ้น ทำให้ความเพียรหยุดลง วิริยะหมายถึงความเพียรที่จะทำคุณงามความดี เช่น เพียรสร้าง เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ให้เกิดขึ้นในจิตใจ เพียรรักษาศีล เจริญภาวนา เพียรศึกษาเล่าเรียน อบรมบ่มนิสัย เพียรขับความจัญไรให้ออกไปจากตนเอง ความเพียรนี้ต้องมีอำนาจเหนือกิเลส จึงเป็นวิริยบารมี

๖. ขันติ คือความอดทน อดกลั้นต่อสภาวะเร้า ได้แก่สิ่งที่มากระทบใจ ตามธรรมดาวิสัยของคนเรา เมื่อมีอะไรมากระทบใจก็จะแสดงออกตอบสนองสิ่งเร้านั้น ด้วยการประทุษร้ายต่ออารมณ์ เช่น มีการกล่าววาจาหยาบคาย หรือเมื่อมีความอยากได้ ก็จะทำกิริยา วาจา แสดงความต้องการสิ่งที่ได้พบเห็น เป็นที่พอใจนั้น ทั้งมีกิเลส คือ โมหะเข้าร่วมด้วยทุกครั้ง ฉะนั้นการอดกลั้นการแสดงออกเพื่อตอบสนองสิ่งเร้าได้ จึงเป็นอำนาจเหนือกิเลส เป็นขันติบารมี อดกลั้นความปรารถนาของตนเองได้

๗. สัจจะ คือพูดแต่สิ่งที่จริง ตามความเป็นจริง รักษาวาจาสัตย์ของตนเองให้อยู่กับความเป็นจริงได้อย่างสม่ำเสมอ โดยปกติวิสัยของคนเราพูดเอาตัวรอด ทุกคนมีนิสัยพูดเอาตัวรอดทั้งสิ้น ไม่มีใครเคยพูดตำหนิตนเองให้คนอื่นฟัง หรือพูดว่าตนเองให้คนอื่นเห็นความไม่ดีของตน ที่มีการพูดดำหนิตนเองนั้นเป็นเพราะความสันทัดในขันธสันดานเท่านั้น ที่อุทานว่า “ฉันท่าจะบ้า” แต่ตามความเป็นจริงแล้วทุกคนจะไม่ต้องการให้คนอื่นเห็นความไม่ดีของตน การแสดงออกมากับบุคคลภายนอกไม่มีใครแสดงให้คนอื่นเห็นความไม่ดี เพราะทุกคนมีความลำเอียงเข้าข้างตนเองอยู่เสมอ นี่คืออุเบกขาที่ลูกยังทำไม่ได้เพราะยังเอาตัวเองเทียบกับคนอื่น เช่นเวลาเลือกของ ฉันเลือกเอาที่ดีก่อน เวลาล้างชามช่วยเขาล้าง แต่ต้องเลือกเอาที่สกปรกน้อย ล้างง่ายก่อน มีการเปรียบเทียบ เลือกคัด เข้าข้างตัวเองที่จะออกมาในการกระทำอยู่ตลอดเวลา ตามนิสัยของคนเช่นนี้จึงไม่มีใครจะพูดอะไรได้ตรงตามความเป็นจริงได้ตลอดเวลา ไม่สามารถจะรักษาวาจาสัตย์ตลอดไป เพราะฉะนั้น การพูดน้อยผิดน้อยนี้เป็นการสร้างสัจจะแห่งวาจาให้เกิดขึ้นมา

วาจาที่จะให้เป็นสัจจะนี้เป็นของยาก เพราะความไว การตอบโต้ไวเป็นอุปนิสัย การควบคุมจึงยาก เราควบคุมวาจาสัตย์ได้ยาก แต่เราสามารถควบคุมความไวได้ เมื่อความไวน้อยลง ความบกพร่องก็น้อยตาม ฉะนั้น ก่อนจะพูด หยุดสักนิดหนึ่ง คิดก่อนพูด แล้วพูดน้อย จะได้ผิดน้อย ไม่พูดเลย จะเป็นการควบคุมวาจาสัตย์ให้เกิดขึ้นได้ เป็นอำนาจเหนือกิเลส คือไม่พูดด้วยโลภะ ไม่พูดด้วยโทสะ ไม่พูดด้วยโมหะ เรียกว่า สัจบารมี


๘.อธิษฐาน คือเมื่อตั้งใจจะทำสิ่งใดแล้ว ต้องทำให้สำเร็จ จะเร็ว จะช้า จะนานแค่ไหนก็จะต้องเพียรพยายามกระทำให้สำเร็จให้ได้ เหนื่อยก็พัก หนักก็วาง แต่ใจตั้งมั่นว่าจะต้องเพียรพยายามทำให้ได้สมความตั้งใจ โดยไม่ต้องคำนึงว่าจะนานเท่าใด

การอธิษฐาน กับ การขอ ไม่เหมือนกัน การขอเช่น ขอให้ได้ดีมีสุขโดยไม่ได้ทำอะไร บางคนขอให้คนอื่นได้รับความเดือดร้อน อย่างนี้ไม่ใช่อธิษฐาน เป็นกิเลส โลภะ โทสะ โมหะ

แต่การอธิษฐาน คือ มีปัญญา มีสติ มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีเข้าในการอธิษฐานนั้น เช่น ขออานิสงส์แห่งการกระทำคุณงามความดีทั้งหลาย จงเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้าเกิดในภพชาติใด ขอให้ยังชีวิตด้วยสติด้วยปัญญา นี่เรียกว่าอธิษฐาน มีอำนาจตัดกิเลสออกไป มีความดิ่งตรงต่อปรมัตถ์ สติสัมปชัญญะคุ้มครอง อย่างนี้เป็นแรงอธิษฐาน มีอำนาจเหนือกิเลส เรียกว่า อธิษฐานบารมี

๙. เมตตา คือความปรารถนาดีต่อเพื่อนมนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งปวง ใครบ้างที่มีแล้ว บางคนมีเมตตา แต่มีเฉพาะของของฉัน และมีกับคนอื่นได้เป็นบางขณะ เมตตาจิตของเรานั้นมิได้สมบูรณ์ เราเมตตาคนใกล้ชิด เมตตาคนที่เรารัก หรือมิฉะนั้นก็เมตตาในขณะที่เกิดความสงสารขึ้นมาอย่างจับใจ แต่สรรพสัตว์ทั้งปวง เรามิได้มีให้ เพราะเรามีกิเลสร้อยรัดอยู่ตลอดเวลา ฉะนั้น การมีเมตตาจิต หมายถึงจิตที่ปรารถนาดีต่อเพื่อน ร่วมเกิดแก่เจ็บตายทั้งปวง เห็นอกเขา อกเรา เห็นทุกข์ของเขาก็เหมือนทุกข์ของเรา เห็นความเจ็บป่วยของเขาก็เหมือนความเจ็บป่วยของเรา เห็นความเสื่อมไปของเขาก็เหมือนกับความเสื่อมของเรา เพราะว่าเขากับเรามีชีวิตอยู่ในขันธ์ ๕ อันตกอยู่ใต้ลักษณะทั้ง ๓ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เหมือนกัน ดังนั้น ผู้ที่เข้าถึงปรมัตถ์และเห็นความจริง จึงจะมีเมตตาได้มากขึ้น เมตตาจึงเป็นอำนาจเหนือกิเลส คือความเห็นแก่ได้ เห็นแก่ตัวฝ่ายเดียว จัดว่าเป็นเมตตาบารมี

๑๐.อุเบกขา คือความสงบเสงี่ยม มั่นคง และหนักแน่นอยู่กับสติ สัมปชัญญะเสมอ โดยปกติวิสัยของมนุษย์ปุถุชนทั่วไปมีความลำเอียงเข้าข้างตนเอง เข้าข้างคนที่ตนรักหรือสิ่งที่เป็นของตนอยู่เสมอ มักเพ่งโทษ หาข้อบกพร่องผิดพลาดของผู้อื่น ตำหนิติเตียนผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าเป็นความบกพร่องผิดพลาดของตัวเอง หรือของคนที่เรารัก สิ่งที่เป็นของเรา เรากลับมองข้ามหรือแม้จะเห็นก็ถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย ทั้งนี้ก็เพราะทุกคนมีความลำเอียงอันเกิดจากความยึดมั่นถือมั่นในชีวิต ความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ทำให้มีความลำเอียงอยู่เสมอ ฉะนั้น ผู้ที่สละละออกจากความลำเอียงเข้าข้างตนเอง เข้าข้างผู้ที่ตนรักเสียได้ โดยอาศัยศรัทธา ๔ เป็นพลังช่วยเตือนใจให้ระลึกอยู่เสมอว่า “ที่กระทบคือวิบาก ที่กำลังกระทำนั้นคือกรรม” ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราได้รับอยู่เป็นผลของกรรมในอดีตของเราเองทั้งสิ้น หาใช่มีผู้อื่นมาเป็นเหตุให้เราไม่ และ “สัตว์โลกต่างมีกรรมเป็นของตน” ไม่มีใครสามารถดลบันดาลให้ใครได้รับสิ่งที่ดีที่ชั่ว ต่างคนต่างทำมาเอง ก็จะทำให้อุเบกขาเกิดขึ้นในจิตได้อย่างมั่นคง เป็นอุเบกขาบารมีได้


.....................................................
เป็นประธานมูลนิธิอภิธรรมมูลนิธิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ค. 2010, 07:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มิ.ย. 2004, 16:16
โพสต์: 114


 ข้อมูลส่วนตัว


บารมีทั้งสิบนี้ต้องถูกสะสมไว้ในอดีตชาติที่ผ่านมา ชาตินี้จึงจะมีฉันทะที่จะสร้างเสริมต่อไปอีกได้ ถ้าในอดีตไม่มีอยู่บ้างแล้ว ก็ยากที่จะทำให้เกิดขึ้น อาศัยเหตุอดีตเป็นเหตุปัจจัย แล้วเราก็ต้องกระทำต่อในปัจจุบันชาติ เพราะว่าสิ่งที่กระทำในชาตินี้ก็จะเป็นอดีตของชาติหน้า เมื่อเราต้องการจะมีบารมีแก่กล้าในอนาคต เราก็ต้องรีบทำเสียตั้งแต่ปัจจุบันชาติ รีบทำ เพราะชาติหน้าลูกยังต้องเกิดแน่

นี่คือการสร้างทางเพื่อจะได้ไปพบพระศรีอาริย์ ไม่ใช่ด้วยการอธิษฐานขอแล้วก็รออยู่โดยไม่ได้ทำอะไร ความหวังต้องประกอบด้วยความเพียร มิฉะนั้น หวังมากก็ต้องผิดหลังมาก เราต้องพยายามรักษาสุคติภูมิเอาไว้ให้ได้ พระศรีอริยเมตไตรยจะมาตรัสรู้ก็ต้องตรัสรู้ที่มนุษยภูมิ ฉะนั้นผู้ที่เกิดอยู่ในนรก เปรต อสุรกาย หรือสัตว์เดรัจฉาน ย่อมไม่อาจจะฟังธรรมบรรลุธรรมในเวลานั้นได้

สัญญาณเตือนภัยเกิดขึ้นมามากแล้ว พ่อได้บอกว่าพระพุทธองค์ทรงทำนายว่าเมื่อกึ่งพุทธกาล พ.ศ. ๒๕๐๐ แล้ว เราจะพบกับสิ่งที่แปลกประหลาดมากขึ้น เช่น โรคภัยไข้เจ็บ เมื่อก่อนนี้โรคเรื้อนเป็นโรคที่น่าเกลียดน่ากลัว รักษาไม่ค่อยหายต้องเอาไปไว้ในชนบท ห่างไกลความเจริญ ให้รวมกันอยู่เป็นนิคมโรคเรื้อน ต่อมาโรคเรื้อนถูกกลบเกลื่อนความน่ากลัวด้วยโรคมะเร็ง เดี๋ยวนี้มะเร็งที่ว่าร้ายยังพ่ายแพ้โรคเอดส์ โรคนี้เป็นโรคของอำนาจกรรม


ภัยพิบัติกำลังเรียงคิวเข้ามา เป็นไปไม่ได้ที่ใครจะหยุดยั้งห้ามแดดไม่ให้ออก ห้ามฝนไม่ให้ตกไม่ได้ฉันใด หยุดอำนาจกรรมก็ไม่ได้ฉันนั้น พระพุทธองค์ทรงทำนายว่าพระพุทธศาสนาจะสูญจะเสื่อม คำว่าเสื่อมก็เพราะทุกอย่างเมื่อขึ้นสูงสุดแล้วก็ต้องตกลงมา ทุกอย่างไม่เที่ยง ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ และบังคับบัญชาไม่ได้ เปรียบเสมือนโต๊ะหมู่บูชาตั้งพระพุทธรูปที่คนเคารพบูชาด้วยชีวิต มิมีใครกระชากให้ตกลงมาจากที่ก็จะกลิ้งตกลงมาเอง ที่ทำนายไว้ก็เพื่อให้รู้แล้วรีบรักษาใจ ฝึกจิต ผลิตปัญญา คิดแก้ไข ใจให้มีกุศล มองตนให้มาก เรื่องยุ่งยากจะหมดไป

ท้ายที่สุดนี้ ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักดฺิ์สิทธิ์ในสากลโลก จงคุ้มครองรักษาทุกๆท่าน ให้มีศรัทธาที่มั่นคง ตรงต่อทางมรรคผลนิพพานได้โดยเร็วเทอญ.

ด้วยความปรารถนาดีค่ะ
พี่ดอกแก้ว

.....................................................
เป็นประธานมูลนิธิอภิธรรมมูลนิธิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ค. 2010, 08:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7820

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


tongue :b8: ขออนุโมทนาสาธุการด้วยค่ะ พี่ดอกแก้ว :b20: cheesy

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ค. 2010, 09:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b8: สาธุ สาธุ สาธุค่ะ...พี่ดอกแก้ว

เจริญยิ่งๆขึ้นไปทั้งในทางธรรมและในทางโลกนะคะ

:b48: ธรรมสวัสดีค่ะ :b48:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 8 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร