วันเวลาปัจจุบัน 05 พ.ค. 2025, 20:41  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2010, 17:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 เม.ย. 2010, 16:17
โพสต์: 31

แนวปฏิบัติ: มีสิ่งสมมุติ รู้ทันสมมุติ ใช้สมมุติ วางสมมุติ ไม่มีสมมุติ
งานอดิเรก: ฝึกธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ธรรม
ชื่อเล่น: โอ ระยอง
อายุ: 45
ที่อยู่: 4/177 หมู่บ้านชณากาญจน์1 ระยอง

 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องของจิต...
จิตแบ่งออกเป็น2จิด ป.ล.ตรงนี้พูดถึงจิตมนุษย์ส่วนใหญ่ในปัจจุบันนี้นะครับ หากว่าจิตพระอรหันต์นั้น มี1เดียวไม่มี2 ก็คือจิตหลุดพ้นนั่นเอง
1 จิตแท้ตั้งแต่ดั้งเดิมเกิดกายคือ จิตภายใน มีความใสสะอาดหมดจดมาแต่เดิมแล้ว แต่ถูกครอบงำด้วยจิตเทียม อันประกอบด้วยกิเลศทั้งมวลซึ่งมีอยู่ในร่างกายนี้
จิตนี้ประกอบด้วย จิต(สมาธิ) สติ(ความคิดเริ่ม)ปัญญา(อารมณ์ของความคิด)(จิตนี้เรียกว่าจิตละเอียด) หรือจิตพระอรหันต์
2 จิตเทียมจิตภายนอกที่ปกคลุม จิตแท้อีกทีหนึง คือจิตที่ ร่างกาย หรือสมองนี้ สร้างขึ้นมา เพื่อครอบงำจิตแท้ ที่อยู่ภายใน ไม่ให้ประท้วงออกมา
ประกอบด้วย จิต(สมาธิ) สติ(ความคิดเริ่ม) ปัญญา(อารมณ์ของความคิด)(จิตนี้เรียกว่าจิตหยาบ) หรือจิตมนุษย์ ซึ่งส่วนนี้จะฝังตัวอยู่ในมันสมองของเรา และพัฒนามาเรื่อยๆตั้งแต่เกิด
...ดังนั้น เวลาเราเข้าสมาธิ จงสังเกตุ ว่าตอนนี้ ขณะที่เราเข้าสมาธินั้น เราอยู่ในอารมณ์ ของจิตไหน ละเอียดหรือหยาบ เราสามารถรู้ได้ทันทีว่าอารมณ์นั้นอยู่ในจิตไหน
แท้หรือเทียม...
...โดย...ใช้วิธีของผมนะครับ การจะเข้าสมาธิ ขึ้นสู่ฌาณและตามด้วยญาณ ไม่ยากเลยไม่ถึง10วินาทีสงบเลย ถ้าเราสามารถแยกหรือดูจิตตรงนี้ออกว่าอยู่ในอารมณ์ไหนผมลองมาแล้วได้ผล
เข้าสมาธิ เกิดปัญญา มีความคิดดีดีได้เร็วมากครับ จะให้นิ่งสงบก็นิ่งสงบ จะใช้ปัญญาก็ไหลลื่น ไม่ตกลงทางต่ำ หากหลงไปทางต่ำก็ลืมตากำหนดใหม่อย่างเดิมอีกครั้งก็เข้าที่แป๊บเดียว
...วิธีการก็คือ...
...เราหาที่นั่งให้พอเหมาะพอดีนั่งตัวตรงช่วงขณะที่เราเอามือมาประสานกันนั้นให้หายใจเข้าจนเต็มปอดพร้อมกับรวบรวมกำลังจิตแห่งสมาธิ(ด้วยความตั้งมั่นและตั้งใจอย่างที่สุด)
มาไว้ที่บนฝ่ามือดันพลังจิตบนฝ่ามือให้ความรู้สึกว่าได้ดันจิตแห่งสมาธิขึ้นมาเรื่อยๆจนถึงตรงกลางกระหม่อม(กลางศรีษะ)เหมือนเราชักธงสู่ยอดเสายังไงยังงั้นเลยแล้วให้จิตนั้นนิ่งอยู่ตรงกลางกระหม่อมสักครู่
ตอนนี้ก็หายใจเรื่อยๆปกติอย่าเร่งนะครับให้รู้สึกว่าจิตแห่งสมาธิเรานั้นอยู่ตรงกลางกระหม่อม คลายความเครียดทั้งมวล ปล่อยให้จิตสงบ และปล่อยวางทุกสิ่งไป ไม่ยึดไม่คิดถึงใครทั้งนั้น
ถึงตรงนี้ท่านใดจะนิ่งนานแค่ไหน แล้วแต่ละคน ถึงตรงนี้ความคิดทั้งมวลหยุดหมดคล้ายๆตัวสติยืนจ้องมองจิตอยู่เฉยๆ ส่วนจะปล่อยนานหรือเร็วตอนนี้ก็อยู่ที่ตัวบุคคลตรงนี้จะได้สุขจากสมาธิและตัวสติหล่ะครับ ผมเปรียบเทียบตัวสติของจิตก็คือ
คือคิดหัวข้อของความคิดว่าจะคิดเรื่องอะไร พอสติได้หัวข้อของความคิดแล้ว พอเริ่มคิด ก็จะเกิดปัญญา ปัญญาที่นี้หมายถึง อารมณ์ของปัญญาก็ได้ แต่อารมณ์ที่เกิดจากปัญญานี้ออกมาจาก
จิตเดิมแท้ของเราที่ได้ตั้งมั่นเอาไว้แล้ว(สมาธิ) เรื่องต่างๆที่สติเริ่มคิดก็จะกลายเป็นปัญญาหรืออารมณ์ ของจิตแท้ ก็จะคิดประมวลอารมณ์ต่างๆ ไปในทางที่ดี ทางปิติ ไม่ลงในทางต่ำไม่ฟุ้งซ่าน
ถึงตรงนี้ เราจะได้ครบ สติ(ความคิดเริ่มต้นที่ดี) สมาธิ(จิตที่ตั้งมั่นดีแล้ว) ปัญญา(อารมณ์ของปัญญาที่ดี) เราก็ตั้งมั่นไว้ปล่อยให้สติ(ความคิด)กับปัญญา(อารมณ์)ทำงานไปในทางที่ดีตลอดเวลา ปิติ ปิติ ตอนนี้จงรู้เถิดว่าเราอยู่ในจิตแท้แล้ว
แทบจะไม่มีร่างกายนี้เลย นอกจากตอนเราใช้ปัญญาคืออารมณ์พิจารณาสังขารเท่านั้นจึงจะเห็นว่ามันปวดนะ มันชานะ มันทรมานนะ มันร้อนนะ คือสติจะมารับรู้ แต่สมาธิเราก็ต้องมั่นคงอยู่อย่างนั้นไว้ ถึงจะเจ็บปวดก็ตามทีเดี๋ยวพอเรากลับไปหาสมาธิ
มันก็หายไม่รู้สึกสับเปลี่ยนไปมาอย่างนี้กับตัวสติที่ดี
บางครั้งเราก็ปล่อยวาง ให้เหลือแต่สมาธิตรงกลางกระหม่อม อย่างเดียว แช่อิ่มไว้ ตรงนี้เป็นสุขครับแต่อย่าไปยึดติดมากครับ ซักพักเราก็มาใช้ สติ ปัญญา อีก พิจารณา สังขาร หรืออะไรก็ได้ ไปทางที่ดีมีประโยชน์
ตรงนี้แปลกมากปัญญาตัวนี้มันไปของมันเอง เราไม่ได้บังคับให้คิดแต่มันไปของมันเองครับ ถึงตอนนี้ร่างกายแทบไม่รู้ว่ายังมีร่างกายนี้เลยครับ เหมือนมันหายไปเลย ไม่เจ็บไม่ปวดแต่พอคลายสมาธิขาชาเลยลุกไม่ขึ้น
...ตรงกันข้าม หากเราทำตามขั้นตอนแล้ว สติกับจิตของเรา ฟุ้งซ่าน คิดไปในทางที่เลว ทางต่ำ คิดถึงคนนั้นคนนี้ ไม่นิ่ง ปวดเนื้อปวดตัว ตัวจะหนักๆ
ตรงนี้เราจะรู้ได้ว่า สมาธิเราไม่ตั้งมั่น ไม่ได้อยู่ตรงกลางกระหม่อมแล้ว มันกระจัดกระจาย ไปทั่วตอนนี้เราจงรู้เถิดว่าเรากำลังเข้าไปใช้ สติหรือความคิดเริ่มต้น ของจิตมนุษย์ที่หยาบที่อยู่ในสมองในร่างกาย
เมื่อเราเข้าไปใช้สติหยาบที่อยู่ในสมองแล้ว สติหยาบย่อมสั่งงานไปที่ จิตหยาบ จิตหยาบนั้นฝังเต็มไปด้วย กิเลศ แม้จิตแท้จะเข้าไปช่วยดึงเท่าไรก็ไม่อาจฝืนสู้จิตหยาบได้เราจะคิดแต่สิ่งที่ไม่ดีไปตลอด
โดยมีความคิดดีๆเข้ามาต่อสู้ขัดแย้งบ้างแต่ก็พ่ายแพ้ไปเพราะสมาธิเราตกไม่อาจเข้าถึงจิตแท้ได้ ถึงตอนนี้เราจงตั้งหลักใหม่(เริ่มชาร์ตไฟใหม่)เราจงหายใจยาวเข้าไปในปอดจนเต็มที่พร้อมกันกับดันสมาธิอันแรงกล้าจากฝ่ามือเรา
ดันขึ้นไปเรื่อยๆจนถึงกลางกระหม่อมแล้วให้สมาธิรวมเป็นหนึ่งอยู่ตรงนั้น รู้สึกว่าอยู่ตรงนั้น ปล่อยวางทุกอย่างสบายๆ ไม่คิด ไม่ฝัน ไม่อยากได้อะไรทั้งนั้น มีแต่ความตั้งมั่น ที่จะเอาชนะ กิเลศอย่างเดียวเท่านั้น
ตรงนี้เราจะตั้งมั่นอยู่กับสมาธิอย่างเดียวนานแค่ไหนแล้วแต่ละบุคคลที่จะกระทำตรงนี้จะได้สุขจากสมาธิ จะนานช้าอยู่ที่บุคคล สักครู่ก็ปล่อยให้สติ ตัวดี ที่เกิดจากจิตสมาธิตั้งมั่นทำงาน สติตัวดีก็จะคิดเป็นปัญญา
คือเกิดอารมณ์ที่ดีแห่งปัญญา พิจารณาสังขาร สิ่งต่างๆไปในทางที่ดีตลอดเวลาไม่ตกมาที่จิตหยาบแห่งเนื้อสมองที่มีแต่กิเลศ ตรงนี้ถ้าเราดำรงรักษาจิตนี้ได้ตลอด ไม่เผลอ เท่ากับเราได้เข้าถึงจิตแท้แล้ว
เมื่อไหร่ที่เราออกจากสมาธิ เราจะรู้สึกโล่งสบายมีความปิติ เพื่อนๆครับ สมาธิถ้าเราทำอย่างนี้ เราจะเข้าสมาธิได้รวดเร็วมากครับ นับ123บางทีนิ่งสงบเลย ลองดูนะครับ จริงๆความคิดผมมันละเอียดกว่านี้
แต่ไม่รู้จะหาคำใดมาอธิบายได้ดีกว่านี้ เพราะเรื่องนี้บางทีรู้แต่ไม่รู้จะบอกยังไงดี ได้แค่นี้นะครับ ขอให้ทุกท่าน ถึงฝั่งแห่ง นิพพานเถิด สาธุๆๆ...
...สรุป...
1สมาธิ(จิตตั้งมั่นมีกำลัง)เปรียบเสมือนพลังงานเชื้อเพลิงน้ำมัน เหมือนพลังงานที่อยู่ในแบตเตอรี่ มีมากเท่าใดสมาธิก็แน่นเท่านั้น ต้องเก็บให้รวมอยู่อย่างนั้นการจะมีสติที่ดีเยี่ยม ก็ต้องมาจากสมาธิที่เต็มเปี่ยมไปด้วยกำลัง
เหมือนถ่านไฟฉายหากพลังงานอ่อน(สมาธิ) ไฟ(สติ)ก็ไม่สว่าง ไฟไม่สว่างก็มองไม่เห็นทาง(ปัญญา)ก็คือไม่เห็นทางแห่งปัญญาไม่มีปัญญาหรือปัญญาน้อยไป แล้วจะเห็นอารมณ์แห่งนิพพานที่ต่อเนื่องมาจากปัญญาได้อย่างไร
2สติ(ความคิดเริ่มต้นที่ดี) เปรียบเสมือนเรดาร์รอบๆสมาธิ คอยดูแล พลังงาน รอบๆสมาธิ คอยปกปักรักษาสมาธิ คอยชี้นำทาง บางครั้งก็ดึงความรู้ของสมาธิก็คือจิตมาใช้ประโยชน์ สติเริ่มต้นคิดในทางดี
อะไรๆ ที่ตามมาก็ไปในทางดี ก็จะเกิดปัญญาดี อารมณ์ดี ส่งผลให้การเจาะเอาปัญญาจากจิตแท้ก็ง่ายขึ้นหรือได้เลยในทันที เป็นปัญญาละเอียดของจิตเดิมแท้ ส่งผลให้จิตแท้มีกำลังมหัศจรรย์ เหนือการควบคุมของจิตเทียมที่อยู่ในมันสมองและร่างกาย
3ปัญญา(อารมณ์ของความคิด(สติ)) ปัญญาตรงนี้ก็ได้จากจิตเดิมแท้ จากสมาธิที่เราตั้งมั่นจนกลายเป็นกำลังที่จะสามารถเจาะเข้าถึงจิตแท้อันละเอียดจนเกิดปัญญาอันบริสุทธิ์นั่นเอง
คนละอย่างจากปัญญาที่เกิดจากมันสมองการเรียนรู้ของมนุษย์ ตรงนี้เค้าเรียกปัญญาอย่างหยาบ
คงจะได้ความรู้ไม่มากก็น้อย ผมไม่ได้ที่จะอวดรู้หรือจะสอนใครครับ แต่ตรงนี้เกิดจากการเรียนรู้เลยอยากจะกล่าวให้ทุกท่านทราบหากจะมีประโยชน์บ้าง ก็จงส่งเป็นผลอันได้แก่ฝั่งพระนิพพานเถิด...
...โอ ระยอง ...

ตรงนี้ผมพูดไม่อายเลยครับที่ผมคิดได้ตรงนี้ สมองผมแว็ปนึงขณะที่นั่งสมาธิมาราธอน เกือบทั้งคืน
ที่โบสถ์วัด มาบจันทร์ ระยอง ช่วงหนึ่งไปนึกถึง ลามะน้อย เนปาล เค้า นั่งได้ยังไงตั้งเป็นเดือนๆปีๆ
ไม่กินไม่ดื่มอะไรเลยแปลกจัง นับถือเขาเลยครับ พอนึกถึงตรงนี้มันเกิดกำลังใจอย่างบอกไม่ถูก
เรานั่งแค่คืนเดียว ท่านลามะน้อยนั่งนานมากๆเทียบท่านไม่ติดเลยครับ เกิดศรัทธา นับถือจนล้นใจครับ
ผมเลยอฐิษฐานหากท่านลามะน้อยนั้น มีอำนาจสมาธิที่สูงส่งจริงๆ ได้โปรด บอกแนะแนว ให้ข้าน้อยนี้นั้น
ได้เจริญรอยตามท่าน ขอวิธีการท่าน วิธีปฏิบัติท่านมาบอกมาสอนในบัดดลด้วยเถิด ขนลุกซู่ ไปทั้งตัว
ทันทีหน้าโบสถ์วัดมาบจันทร์ วันนั้นเป็นคล้ายวันเกิดหลวงพ่ออนันต์ เจ้าอาวาส มีความรู้สึกเหมือนคลื่น
มันวิ่งจากฝ่ามือมาตามท้องขึ้นคอขึ้นหน้าแล้วไปหยุดที่กลางกระหม่อม มันชาไปหมด เงียบทันทีทั้งที่ทำ
ทั้งคืนมันทรมานมากอดทนมากแต่ตอนนี้ขณะนี้มันเงียบหน้าลามะน้อยเด่นชัดมากในมโนจิตผมผมขอบคุณท่าน
ตอนนั้นขอบอกเลยว่าร่างกายมันหายไป มันหายปวดหายชาไปเลย ทั้งที่ผู้คนรอบข้างมากมาย แต่ขณะนี้
เหมือนเขาอยู่ไกลออกไปไกลเราเกิดปิติ รู้แล้ว ๆ พอปล่อยจิตปล่อยวางทุกอย่างอะไรๆก็ไหลมาใหญ่เลย
อันโน้นอันนี้ล้วนแต่เป็นสิ่งดีๆน้ำตาไหลมาไม่รู้สึกตัวเลยครับ นานจนพระท่านเทศเสร็จ ท่านให้ทุกคนกราบพระ
ผมจึงถอนจิต โอ้โฮ้ ขางี้ชาง้างไม่ออกต้องยืดขาออกไป แล้วนวดๆ เกิดความรู้สึกดีมากไม่รู้จะบอกยังไงดี
ปิติๆ ไม่รู้ท่านลามะมาช่วย หรือผมคิดได้เอง ตรงนี้ ก็แล้วแต่จะคิดครับ คิดได้ทั้งสองอย่างนั่นแหละครับ
ตัวจริงท่านลามะอาจจะไม่ได้ทำอย่างที่ผมคิดก็ได้ หรือใช่ก็ไม่แน่ แต่ที่แน่ มันสงบ เยือกเย็น แล้วจิตเบาง่ายขึ้น
เร็วขึ้นจริงครับ อันนี้เป็นจริตของผมครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ค. 2010, 17:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 เม.ย. 2010, 16:17
โพสต์: 31

แนวปฏิบัติ: มีสิ่งสมมุติ รู้ทันสมมุติ ใช้สมมุติ วางสมมุติ ไม่มีสมมุติ
งานอดิเรก: ฝึกธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ธรรม
ชื่อเล่น: โอ ระยอง
อายุ: 45
ที่อยู่: 4/177 หมู่บ้านชณากาญจน์1 ระยอง

 ข้อมูลส่วนตัว


การทำงานของสติจิตอารมณ์...
...จิตนั้นเป็นตัวรับรู้สั่นไหวแล้วปั่นเป็นอารมณ์ อารมณ์มันก็กลับไปเกาะที่จิตให้สั่งงานมาทันทีตัวอย่างเช่นขณะเกิดอาการ
ของอารมณ์ปวดหลัง จิตมันรับรู้ว่าปวดหลังอารมณ์มันเกิดคือความปวดหลังจิตมันรับรู้ว่าปวดมันก็เกิดอารมณ์ปั่นป่วน
อารมณ์มันก็กลับไปบอกจิตว่าปวดหลังแล้วนะจิต จะแก้ไขปัญหานี้ยังไงดี ถ้าเราไม่มีตัวสติมากำกับอีกตัวหนึ่งก็คือความคิดเริ่มต้นแล้ว
ปล่อยตามอารมณ์ของจิต มันก็จะพากันผสมโรง ว่า เออ!ปวดจริงๆด้วยแหละ คราวนี้มันจะปวดแสนปวด
ไม่หยุด ใจจะไม่สงบ งุดงิด รำคาญ แต่ถ้าเรามีสติมาดักตัวอารมณ์ป่วนไว้ก่อนที่อารมณ์จะสั่งจิตโดยตรง สติก็จะขึ้นหัวข้อที่ดีให้ว่า
สาเหตุแห่งความปวดนั้นเพราะอะไรแล้วสติก็มาสั่งจิตกำกับลงไปที่จิตว่า ปวดหลังหนอ! ปวดหลังหนอ! พอตัวจิตมันเกิดรู้ตัวขึ้นมามันก็แยก
ความเจ็บปวดออกไปเพราะมีสติมาสั่งจิต จิตนั้นจะเชื่อสติ หาทางแก้ปัญหานี้ให้จิตอย่าให้จิตปั่นอารมณ์เอง จิตมันก็จะแยกความเจ็บปวดออกไป
กลายเป็นอารมณ์แห่งปัญญาที่ดีที่ไม่บ่นว่าปวดเพราะรู้เหตุแห่งความปวดนั้นมาจากอะไร อารมณ์แห่งปัญญานั้นกลายเป็นยารักษาทันที
อย่างน้อยความปวดนั้นก็จะทุเลาเบาบางลงไปได้ ตรงนี้พระพุทธเจ้าของเราก็เคยทรงทำไว้ตอนที่พระเทวทัต
กลิ้งหินลงจากภูเขาทำให้ทรงห้อพระโลหิตที่เท้า แต่พระองค์ทรงแยกความเจ็บปวดนั้นออกไปได้ ด้วยสตินั่นเอง
เราต้องมาดูแล สติ จิต อารมณ์ ให้เป็นกลางก็เท่านั้น อย่าให้อารมณ์เหนือจิต อย่าให้จิตเหนืออารมณ์ มีสติคอยดูแลรักษาให้เป็นนิสัย
...สรุป...
สติ เปรียบเสมือน เชือกที่ผูกมัดจิตและอารมณ์เอาไว้ด้วยกัน หากเมื่อใดจิตมันเกิดรับรู้เกิดสั่นไหว ก็จะเกิดอารมณ์ปั่นป่วนขึ้นมา
คือถ้าจิตรับรู้ก็จะเกิดอารมณ์ทันที เชือกที่ผูกจิตและอารมณ์ไว้ก็สั่นไปถึงสติ สติก็จะไปช่วยไปดักทางก่อนอารมณ์จะเตลิดไป
จิตก็จะถามสติว่าจะทำประการใดประการหนึ่งกับอารมณ์นี้ดีพอสติริเริ่มสั่งงานแล้วจิตก็จะปั่นเป็นอารมณ์แห่งปัญญาทันที
หากแต่ว่าอารมณ์ปั่นที่มีสตินั้น ก็จะเป็นอารมณ์ปั่นของปัญญา จะนำพาไปในทางที่ชอบ ที่ควร...
พวกเราจงมารักษา สติ(ความคิดริเริ่มที่ดี)จิต(ตัวรับรู้สั่นไหวได้)อารมณ์(ปัญญาพาไปหรือตัวโง่พาไป)ให้สมดุลและมีการใช้อย่างเป็นขั้นเป็นตอน
อย่าได้มองข้ามตัวสติเลยขอให้ใช้สติจนเคยชิน จะเกิดแต่ผลดีกับตัวท่านเองและคนรอบข้าง...
...ขอให้ทุกท่านที่อ่าน เจริญด้วยอารมณ์แห่งปัญญาเถิด...
...โอ ระยอง เขียน...


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron