วันเวลาปัจจุบัน 05 มิ.ย. 2025, 11:44  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 28 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2010, 00:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


(ต่อจาก topic 31032 ประตูสู่โลกุตตรภูมิ)
viewtopic.php?f=7&t=31032
การหน่วงนิพพานให้เป็นอารมณ์

ความเกิดขึ้น เป็นเหตุเป็นปัจจัยแห่งความบังเกิดแห่งกิเลสทั้งหลาย
จิตเห็นโทษในความเกิดขึ้นแล้ว จึงแล่นไปในนิพพานอันไม่มีความเกิดขึ้น


เพราะความที่จิตเป็นธรรมชาติแล่นไปในนิพพานอันไม่มีความเกิดขึ้น

กิเลสเหล่าใดพึงบังเกิด เพราะความเกิดขึ้นเป็นปัจจัย
กิเลสเหล่านั้นที่ยังไม่เกิดก็ไม่เกิดเลย
ที่ยังไม่บังเกิดก็ไม่บังเกิดเลย
ที่ไม่เกิดขึ้นแล้วก็ไม่เกิดขึ้นเลย
ที่ยังไม่ปรากฏก็ไม่ปรากฏเลย ฉันนั้น
 

(ขุ.ปฏิ. ปัญญาวรรค อภิสมยกถา ๓๑/๗๐๐)

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


แก้ไขล่าสุดโดย เช่นนั้น เมื่อ 29 เม.ย. 2010, 02:10, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2010, 00:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


"บุคคลผู้มีกามวจรจิต เจริญศีล สมาธิ ปัญญา ทำไมก็ยังไม่อาจสามารถเดินเข้าประตูของ โลกุตตระภูมิได้?

กามวจรจิต ก็คือจิตของปุถุชนทั่วๆไป มีกิเลสไหลเข้าไหลออก ทาง ตา หู จมูกลิ้น กาย ใจ ฟุ้งซ่าน ประกอบด้วย โลภะ โทสะ โมหะเต็มรูปแบบ เมื่อใช้จิตชนิดนี้(กามวจรจิต) เจริญ ศีล สมาธิ ปัญญา และด้วยจิตชนิดนี้จะเกิดปัญญาแห่งโลกุตตระภูมิได้อย่างไร"

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2010, 00:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พระพุทธพจน์ ปรากฏในพระไตรปิฏกหลายแห่ง เป็นคาถาดังนี้:-
 
[๒๙๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมเจริญอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ย่อม
กระทำให้มากซึ่งอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ อย่างไรเล่า?

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเจริญสัมมาทิฏฐิ อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปในการสละ ฯลฯ ย่อมเจริญสัมมาสมาธิ อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปในการสละ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมเจริญอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ย่อมกระทำให้มากซึ่งอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ อย่างนี้แล.
 

(สํ.มหาวารวรรค นทีสูตร ๑๙/๒๙๗)

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2010, 00:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:
"บุคคลผู้มีกามวจรจิต เจริญศีล สมาธิ ปัญญา ทำไมก็ยังไม่อาจสามารถเดินเข้าประตูของ โลกุตตระภูมิได้?

กามวจรจิต ก็คือจิตของปุถุชนทั่วๆไป มีกิเลสไหลเข้าไหลออก ทาง ตา หู จมูกลิ้น กาย ใจ ฟุ้งซ่าน ประกอบด้วย โลภะ โทสะ โมหะเต็มรูปแบบ เมื่อใช้จิตชนิดนี้(กามวจรจิต) เจริญ ศีล สมาธิ ปัญญา และด้วยจิตชนิดนี้จะเกิดปัญญาแห่งโลกุตตระภูมิได้อย่างไร"


ขออนุญาติขออนุโมทนาครับคุณเช่นนั้น ไตรสิกขา
:b8:


แก้ไขล่าสุดโดย หลับอยุ่ เมื่อ 29 เม.ย. 2010, 00:58, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2010, 00:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขณะจิตเจริญโลกุตตระฌานนั้น

จิตก็เจริญด้้วย สติปัฏฐาน 4 สัมมัปธาน 4 อิทธิบาท 4 อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 อริยมรรค 8

ซึ่งอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปในการสละ ซึ่งมีนิพพานเป็นปัจจัย.

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2010, 01:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จากการเจริญลักขนูปนิชฌาน คือโลกุตตระฌานเพื่อละนาม รูป อุปาทานขันธ์5 อันเป็นอุปธิก่อให้เกิดภพ.

สมาธินิมิต จึงไม่อาจอาศัย รูป นาม ขันธ์ 5 อันเป็นส่วนแห่งโลกีย์ หรือ พัวพันไปตามกามสัญญา.

ดังนั้น สติปัฏฐาน 4 เป็นนิมิตของสมาธิ เพื่อวิปัสสนาจิต เพื่อมัคคจิต เพื่อผลจิต จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมี ลักขณูปนิชฌาน อันมีนิโรธเป็นโคจร.

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2010, 01:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นิพพาน เป็นอายตนะภายนอกซึ่งปุถุชนผู้มีธุลีในดวงตา ย่อมไม่อาจเห็นได้ รับรู้ได้เลย.

แม้แต่โคตรภูบุคคล หรือพระเสขะบุคคลก็ยังไม่อาจเห็นได้ รับรู้ได้เช่นกัน.

นิพพานไม่ใช่สิ่งที่มี หรือทำให้เกิดในจิตได้จึงกล่าวว่าเป็นอายตนะภายนอก.
ความเห็นความรู้อันหยั่งลงสู่นิพพานจึงต้องอาศัยศรัทธา และคำบอกกล่าวจากสัตบุรุษ หรือพระอริยะบุคคล เช่นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือพระอรหันต์เท่านั้น.

แต่ถึงกระนั้น ก็เพียงอาศัยศรัทธาเป็นองค์ธรรมที่เป็นใหญ่ กำลังแห่งองค์ธรรมอันสำคัญนี้ ประกอบกันกับองค์ธรรมอื่นๆจึงจะสามารถน้อมเอานิพพานเป็นอารมณ์ได้.

Quote Tipitaka:
ว่าด้วยศรัทธาของพระอริยสาวก

"พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกท่านพระสารีบุตรมาแล้วตรัสว่า ดูกรสารีบุตร อริยสาวกผู้ใดมีศรัทธามั่น เลื่อมใสยิ่งในพระตถาคต อริยสาวกนั้นไม่พึงเคลือบแคลงหรือสงสัยในตถาคตหรือในศาสนาของตถาคต"

[๑๐๑๑] พระสารีบุตรกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อริยสาวกใด มีศรัทธามั่น
เลื่อมใสยิ่ง ในพระตถาคต อริยสาวกนั้น ไม่พึงเคลือบแคลงหรือสงสัย ในพระตถาคต
หรือในศาสนาของพระตถาคต ด้วยว่าอริยสาวกผู้มีศรัทธา พึงหวังข้อนี้ได้ว่า จักเป็นผู้ปรารภ
ความเพียร เพื่อละอกุศลธรรม เพื่อยังกุศลธรรมให้ถึงพร้อม มีกำลัง มีความบากบั่น มั่นคง
ไม่ทอดธุระในกุศลธรรมทั้งหลาย.
(สํ. มหาวารวรรค สัทธาสูตร ๑๙/๑๐๑๑)
 

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


แก้ไขล่าสุดโดย เช่นนั้น เมื่อ 29 เม.ย. 2010, 01:06, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2010, 01:04 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เช่นนั้น เขียน:

" เมื่อใช้จิตชนิดนี้(กามวจรจิต) เจริญ ศีล สมาธิ ปัญญา และด้วยจิตชนิดนี้จะเกิดปัญญาแห่งโลกุตตระภูมิได้อย่างไร"


คนขับรถ...จะแล่นไปในอวกาศ..ก็ไม่ได้..ฐานะเป็นได้ก็แต่บนดิน

คนขับเครื่องบิน..จะแล่นไปในอวกาศ..ก็ไม่ได้..ฐานะเป็นได้ก็แต่ในอากาศ

คนขับยานอวกาศ..เท่านั้น..จึงมีฐานะที่จะแล่นไปในอวกาศ..ได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2010, 01:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แม้กระนั้นก็ตาม นิพพาน นี้ก็เห็นได้ยาก.

นิพพาน คือสภาพเป็นที่ระงับสังขารทั้งปวง ความสละคืนอุปธิทั้งปวง ความสิ้นตัณหา ความปราศจากความกำหนัด ความดับโดยไม่เหลือ.

เมื่อนิพพานมีสภาพเป็นเช่นนั้น การบรรลุสภาพเช่นนั้น จึงต้องอาศัยธรรมเป็นที่ระงับสังขารทั้งปวง เป็นที่สละคืนอุปธิทั้งปวง เป็นที่สิ้นตัณหา เป็นที่สำรอกตัณหา เป็นที่ดับตัณหา เป็นที่ออกไปจากตัณหาเครื่องร้อยรัด ซึ่งก็คือนิพพาน โดยความเป็นมรรค.
 
Quote Tipitaka:
นรชนพึงเป็นผู้มีใจน้อมไปในนิพพาน ความว่า นรชนบางคนในโลกนี้ให้ทาน สมาทานศีล รักษาอุโบสถกรรม เข้าไปตั้งไว้ซึ่งน้ำดื่มน้ำใช้ กวาดบริเวณ ไหว้พระเจดีย์ บูชาเครื่องหอมและดอกไม้ที่พระเจดีย์ ทำประทักบิณพระเจดีย์ บำเพ็ญกุศลที่ควรบำเพ็ญอย่างใดอย่างหนึ่งอันเป็นไตรธาตุ ก็ไม่บำเพ็ญเพราะเหตุแห่งคติ ไม่บำเพ็ญเพราะเหตุแห่งอุปบัติ ไม่บำเพ็ญเพราะเหตุแห่งปฏิสนธิ ไม่บำเพ็ญเพราะเหตุแห่งภพ ไม่บำเพ็ญเพราะเหตุแห่งสงสาร ไม่บำเพ็ญเพราะเหตุแห่งวัฏฏะ เป็นผู้มีความประสงค์ในอันพรากออกจากทุกข์ มีใจน้อมโน้มโอนไปในนิพพาน ย่อมบำเพ็ญกุศลทั้งปวงนั้น แม้เพราะเหตุอย่างนี้ดังนี้ จึงชื่อว่า นรชนพึงเป็นผู้มีใจน้อมไปในนิพพาน.

อนึ่ง นรชนบังคับจิตให้กลับจากสังขารธาตุอันเป็นไปในไตรภูมิทั้งปวง น้อมจิตเข้าไปในอมตธาตุ ว่าธรรมชาติใด คือ ความสงบแห่งสังขารทั้งปวง ความสละคืนแห่งอุปธิทั้งปวง ความสิ้นตัณหา ความสำรอกตัณหา ความดับตัณหา ความออกจากตัณหาเป็นเครื่องร้อยรัด ธรรมชาตินี้สงบ ประณีต แม้ด้วยเหตุอย่างนี้ดังนี้ จึงชื่อว่า นรชนพึงเป็นผู้มีใจน้อมไปในนิพพาน.”
(ขุท.มหานิทเทส อัตตทัณฑสุตตนิทเทสที่ ๑๕ ๒๙/๘๒๕)

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


แก้ไขล่าสุดโดย เช่นนั้น เมื่อ 29 เม.ย. 2010, 01:13, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2010, 01:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


บุคคล จะก้าวออกจาก กามาวจรภูมิ ด้วยอนุโลม กล่าวคือเปลี่ยนสัญญา

หรืออีกนัยหนึ่งคือ การเปลี่ยนจิตที่พัวพันในกามสัญญาอันเป็นอารมณ์ที่จิตรู้ ไปสู่อารมณ์ซึ่งมีนิพพานเป็นปัจจัย

เพราะด้วยอนุโลมญาณ บุคคลนั้นจึงก้าวไปสู่โคตรภูจิต ซึ่งเป็นจิตที่ก้าวลงสู่อริยะภูมิ หรือโลกุตตรภูมิ.

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2010, 01:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมเป็นเหตุให้ถึงนิพพาน เป็นไฉน?
มรรค ๔ ที่เป็นโลกุตตระ สภาวธรรมเหล่านี้ชื่อว่า ธรรมเป็นเหตุให้ถึงนิพพาน.
(อ.๑ ธรรมสังคนีปกรณ์ ๓๔/๖๗๖)


(โสดาปัตติมัค สกคาทามิมัค อนาคามิมัค อรหัตมัค)

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


แก้ไขล่าสุดโดย เช่นนั้น เมื่อ 29 เม.ย. 2010, 01:18, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2010, 01:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นิพพานคามินีปฏิปทา

มรรคามินีปฏิปทา มีปรากฏในพระไตรปิฏก ว่าเป็นนิพพานคามินีปฏิปทา โดยความเทียบเคียงกันได้ระหว่าง นิพพาน และปฏิปทาแห่งอริยะมรรค.

ใจความตอนหนึ่งในสักกะกถา (พระอินทร์) ว่าด้วยพระคุณตามที่เป็นจริง ๘ ของพระผู้มีพระภาค

Quote Tipitaka:
ครั้งนั้น ท้าวสักกะจอมเทพทรงยกพระคุณตามที่มีจริง ๘ ประการของ พระผู้มีพระภาค
ขึ้นแสดงแก่เทวดาชั้นดาวดึงส์ว่า ดูกรท่านผู้เจริญทั้งหลาย เทวดา ชั้นดาวดึงส์จะสำคัญความข้อนี้
นั้นเป็นไฉน ….

อนึ่ง พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นตรัสดีแล้ว อันบุคคล พึงเห็นเอง ไม่
ประกอบด้วยกาล ควรเรียกให้มาดู ควรน้อมเข้ามาในตน อันวิญญูชน พึงรู้เฉพาะตน เราไม่
เคยเห็นพระศาสดาผู้ประกอบด้วยองค์คุณเช่นนี้ ผู้ทรงแสดง ธรรมอันควรน้อมเข้ามาในตน อย่าง
นี้ ในอดีตกาลเลย ถึงบัดนี้ก็ไม่เห็น นอกจาก พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น อนึ่ง พระผู้มีพระ
ภาคพระองค์นั้นทรงบัญญัติไว้ดีแล้วว่า นี้กุศล นี้มีโทษ นี้ไม่มีโทษ นี้ควรเสพ นี้ไม่ควรเสพ
นี้เลว นี้ประณีต นี้มีส่วนเทียบ ด้วยธรรมดำและธรรมขาว เราไม่เคยเห็นพระศาสดาผู้ประกอบ
ด้วยองค์คุณเช่นนี้ ผู้ทรงบัญญัติธรรมอันเป็นกุศล อกุศล มีโทษ ไม่มีโทษ ควรเสพ ไม่ควร
เสพ เลว ประณีต มีส่วนเทียบด้วยธรรมดำและธรรมขาว อย่างนี้ ในอดีตกาลเลย ถึงในบัดนี้
ก็ไม่เห็น นอกจากพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ฯ

อนึ่ง พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ทรงบัญญัตินิพพานคามินีปฏิปทา เพื่อพระสาวก
ทั้งหลายไว้ดีแล้ว พระนิพพานและปฏิปทาย่อมเทียบเคียงกันได้ ดุจน้ำในแม่น้ำคงคากับน้ำใน
แม่น้ำยมุนา ย่อมไหลคลุกคละกันได้ฉะนั้น เราไม่เคย เห็นพระศาสดาผู้ประกอบด้วยองค์คุณ
เช่นนี้ ทรงบัญญัตินิพพานคามินีปฏิปทา อย่างนี้ ในอดีตกาลเลย ถึงในบัดนี้ก็ไม่เห็น นอกจาก
พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ฯ

(ที.มหาวรรค มหาโควินทสูตร ๑๐/๒๑๑)

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


แก้ไขล่าสุดโดย เช่นนั้น เมื่อ 29 เม.ย. 2010, 01:24, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2010, 01:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นทรงตรัสไว้ดีแล้ว และทรงบัญญัติปฏิปทาเพื่อบรรลุนิพพาน.

อนึ่งพระนิพพาน และปฏิปทาย่อมเทียบเคียงกันได้
ด้วยเหตุนี้ นิพพานจึงเป็นสภาพอันน้อมเข้ามาในตนได้ อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตนได้ ดุจน้ำในแม่น้ำคงคากับน้ำในแม่น้ำยมุนา ย่อมไหลคลุกคละกันได้ฉะนั้น.


[๔๙๕] ครั้งนั้นแล ชานุสโสณีพราหมณ์ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ฯลฯ
ครั้นแล้วได้ทูลถามว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ พระองค์ย่อมตรัสว่า นิพพานอันผู้ได้บรรลุจะพึง
เห็นเอง ดังนี้

 
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอแล นิพพานจึงเป็นคุณชาติอันผู้ได้บรรลุจะพึงเห็นเอง ไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียกให้มาดู ควรน้อมเข้ามา อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน.
 
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรพราหมณ์บุคคลผู้กำหนัด อันราคะครอบงำมีจิตอันราคะ (…อันโทสะ ฯลฯ…อันโมหะ ฯลฯ... )กลุ้มรุมแล้ว ย่อมคิดเพื่อเบียดเบียนตนเองบ้าง ย่อมคิดเพื่อเบียดเบียนคนอื่นบ้างย่อมคิดเพื่อเบียดเบียนตนเองและคนอื่นทั้งสองฝ่ายบ้าง ย่อมเสวยทุกข์โทมนัสที่เป็นไปทางจิตบ้าง

เมื่อละราคะ(…ละโทสะ ฯลฯ… ละโมหะ ฯลฯ …)ได้เด็ดขาดแล้ว ย่อมไม่คิดแม้เพื่อจะเบียดเบียนตนเอง ย่อมไม่คิดแม้เพื่อจะเบียดเบียนคนอื่น ย่อมไม่คิดแม้เพื่อจะเบียดเบียนตนเองและคนอื่นทั้งสองฝ่าย ย่อมไม่เสวยทุกข์โทมนัสที่เป็นไปทางจิต ดูกรพราหมณ์ แม้ด้วยเหตุดังกล่าวมาฉะนี้แล นิพพานย่อมเป็นคุณชาติอันผู้ได้บรรลุจะพึงเห็นเอง ...

(อํ.นิพพุตสูตร ๒๐/๔๙๕)

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


แก้ไขล่าสุดโดย เช่นนั้น เมื่อ 29 เม.ย. 2010, 01:28, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2010, 01:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


บุคคลผู้ปฏิบัติธรรม จำต้องเป็นผู้มีศรัทธา เป็นผู้มีวิริยะไม่ทอดธุระในกุศลธรรมทั้งหลาย ไม่อาศัยอารมณ์อื่นนอกจากมัคคภาวนา หรือนิพพาน จึงเรียกว่าเป็นผู้ไม่มีความประมาทในธรรม คือเป็นผู้มีสติ ย่อมสามารถยึดหน่วงเอานิพพานเป็นอารมณ์ ได้สมาธิ ได้เอกกัคคตาจิต
 
Quote Tipitaka:
[๑๐๑๗] พ. ดีละๆ สารีบุตร อริยสาวกใดมีศรัทธามั่น เลื่อมใสในตถาคต อริยสาวกนั้นไม่พึงเคลือบแคลงหรือสงสัย ในพระตถาคต หรือในศาสนาของพระตถาคต ด้วยว่าอริยสาวกผู้มีศรัทธา พึงหวังข้อนี้ได้ว่า จักเป็นผู้ปรารภความเพียร เพื่อละอกุศลธรรม เพื่อยังกุศลธรรมให้ถึงพร้อม มีกำลัง มีความบากบั่น มั่นคง ไม่ทอดธุระในกุศลธรรมทั้งหลาย.

[๑๐๑๘] ดูกรสารีบุตร ก็วิริยะของอริยสาวกนั้น เป็นวิริยินทรีย์ ด้วยว่าอริยสาวกผู้มีศรัทธา ปรารภความเพียรแล้ว พึงหวังข้อนี้ได้ว่า จักเป็นผู้มีสติ ประกอบด้วยสติเป็นเครื่องรักษาตนอย่างยิ่ง จักระลึกถึง ตามระลึกถึง กิจที่ทำและคำที่พูดแม้นานได้.

[๑๐๑๙] ดูกรสารีบุตร ก็สติของอริยสาวกนั้น เป็นสตินทรีย์ ด้วยว่าอริยสาวกผู้มีศรัทธา ปรารภความเพียร เข้าไปตั้งสติไว้แล้ว พึงหวังข้อนี้ได้ว่า จักยึดหน่วงนิพพานให้เป็นอารมณ์ ได้สมาธิ ได้เอกัคคตาจิต.(สํ.มหาวารวรรค สัทธาสูตร ๑๙/๑๐๑๗-๑๐๑๙)

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


แก้ไขล่าสุดโดย เช่นนั้น เมื่อ 29 เม.ย. 2010, 01:33, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 เม.ย. 2010, 01:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2008, 21:56
โพสต์: 3925

ชื่อเล่น: เช่นนั้น
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หากว่ามัวแต่จดจ่ออยู่กับนาม-รูป ซึ่งนามรูปคือขันธ์ 5 สักกายะทิฏฐิย่อมมีได้ อารมณ์พระนิพพานจึงไม่อาจเกิดขึ้น ด้วยเหตุที่จิตที่จดจ่อเป็นโลกียะยังละสังโยชน์ไม่ได้

การ ละนามรูป ละสังโยชน์ด้วยมัคคภาวนา อารมณ์พระนิพพานคือความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ ความสิ้นโมหะจึงจะมีได้
 

.....................................................
ธรรมะอันยิ่งใหญ่ ไม่อาจเอื้อนเอ่ย
บัญญัติ เป็นเพียงสิ่งต่ำต้อยแบกรับความยิ่งใหญ่


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 28 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร