วันเวลาปัจจุบัน 05 พ.ค. 2025, 20:50  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 17 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 เม.ย. 2010, 19:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปุจฉา
สิ่งที่สูงกว่าเงิน

ตอนนี้มีหลานสาวกับหลานชาย กำลังอยู่ในวัยรุ่นพอดี ก่อนหน้านี้เค้าทั้งคู่เรียนหนังสือแย่มากค่ะ หลานสาวเอาแต่ติดเล่นเกม เล่นกับเพื่อน ส่วนหลานชาย คนนี้เรียนไม่เก่ง แต่เอาดีด้านกีฬา เราก็ไม่ค่อยจะห่วง แต่หลานสาวเนี่ย ใช้หลายวิธีแล้วค่ะ ทั้งดุ ทั้งว่า คอนจ้ำจี้จ้ำไชตลอด แต่ก็ไม่ดีขึ้น วันหนึ่งเลยคิดอุบายบอกเค้าว่า ถ้าเขาเรียนได้เกรดดี คือ ถึงระดับเฉลี่ย 3.00 ขึ้นไป ก็จะให้เงินเป็นรางวัล มาตอนนี้เขาทำได้จริง ดีใจมากค่ะ แต่กำลังสับสนว่าเราสอนเค้าถูกวิธีหรือป่าว พระอาจารย์เห็นว่าอย่างไรค่ะ ช่วยแนะนำด้วยค่ะ


..............................................................................................................


วิสัชนา

อยากจะเล่าเรื่องๆ หนึ่งในสมัยพุทธกาลให้อ่าน เมื่ออ่านแล้วคุณโยมคงจะตอบด้วยตัวเองได้ว่า วิธีการที่ใช้อยู่เป็นวิธีการที่ถูกต้องหรือไม่ กล่าวกันว่า ในยุคที่พระพุทธองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ มีมหาเศรษฐีคนหนึ่งชื่อ “อนาถปิณฑิกเศรษฐี” มหาเศรษฐีคนนี้ เป็นคนใจบุญมาก เป็นคนที่สร้างวัดเชตวันถวายพระพุทธเจ้า และพระพุทธเจ้าก็ประทับที่วัดนี้มากเป็นพิเศษกว่าวัดใดๆ ตัวของมหาเศรษฐีเอง เลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธองค์มาก ถวายความอุปถัมภ์แก่พระพุทธองค์ แก่คณะสงฆ์อย่างมากมายจนยากจะหาใครมาทัดเทียม แต่ละวันท่านมักจะไปวัดถึงสามครั้ง ด้วยความที่ใกล้ชิดสนิทสนมกับคณะสงฆ์อย่างนี้เอง ท่านเศรษฐีจึงได้ “ดวงตาเห็นธรรม” สำเร็จเป็นพระอริยบุคคลชั้นโสดาบัน ตัวของท่านเศรษฐีกลายเป็นพระอริยบุคคลผู้หยั่งลงสู่กระแสพระนิพพาน ทั้งยังเป็นบุคคลสำคัญที่ได้ถวายความอุปถัมภ์บำรุงแก่พระพุทธองค์อย่างใกล้ชิดดังกล่าวมาแล้ว มองเผินๆ ก็ดูเหมือนว่า คนในตระกูลของท่านทั้งหมดก็คงจะได้อานิสงส์เป็นผู้ใกล้ธรรมะไปโดยปริยาย แต่การณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้นทั้งหมด เพราะยังมีลูกชายของเศรษฐีอยู่คนหนึ่งซึ่งเป็นลูกคนเล็ก ทำตัวเป็นลูกไม้ไกลต้น พ่อไปทางธรรม แต่ลูกไปทางโลกอย่างชนิดตรงกันข้าม ไม่ว่าท่านเศรษฐีจะพยายามอย่างไรให้ลูกสนใจธรรมะ ก็ไม่ประสบความสำเร็จ วันหนึ่งท่านเศรษฐีจึงมานั่งคิดกุศโลบายได้ว่า เราเป็นคนมีเงิน ก็น่าจะใช้เงินนี่แหละในการกรุยทางให้ลูกเข้ามาสู่เส้นทางธรรม ครั้นคิดแล้ว ท่านจึงเรียกลูกคนเล็กมาสั่งให้ไปวัด ถ้าลูกไปวัด พ่อจะให้รางวัลเป็นเงินอย่างงาม เจ้าลูกชาย รู้ว่าถ้าไปวัด จะได้เงิน จึงรีบปฏิบัติตาม เขาหายไปหนึ่งวันเต็ม ก็กลับมาบ้าน พ่อถามว่า วันนี้พระพุทธเจ้าเทศน์เรื่องอะไร ลูกชายตอบว่าไม่รู้ เมื่อพ่อซักว่าทำไมไม่รู้ เขาตอบว่า ในคำสั่งไม่เห็นบอกว่าต้องไปฟังธรรม พ่อบอกแค่ว่าไปวัด เขาก็ไปวัดก็เท่านั้นเอง พ่อจึงได้บทสรุปว่า เป็นความผิดพลาดของตัวเองที่สั่งไม่รัดกุม วันต่อมาท่านเศรษฐีจึงเรียกลูกมาสั่งใหม่ว่า คราวนี้ให้ไปวัดและขอให้ฟังธรรมด้วย ถ้าทำได้ ก็จะได้เงินอย่างงามทีเดียว ลูกชายเศรษฐีเห็นเงินมากขึ้นก็ตาโต รีบรับคำ เขารีบไปวัดฟังธรรม แล้วก็กลับมาในตอนเย็น ท่านเศรษฐีถามว่าพระพุทธเจ้าเทศน์อะไร ลูกตอบจำไม่ได้ เมื่อถามว่า ทำไม เจ้าลูกชายก็ตอบว่า จำไม่ได้ เพราะพ่อบอกแค่ว่าให้ไปฟังธรรม ไม่เห็นบอกว่าต้อง “จำ” ด้วยนี่นา ท่านเศรษฐีจึงคิดขึ้นมาได้ว่า คำสั่งของตัวเองไม่รัดกุม จึงสั่งใหม่อีกครั้งหนึ่งว่า วันรุ่งขึ้นถ้าลูกไปฟังธรรม และ “จำ” ได้ด้วยว่า พระพุทธเจ้าเทศน์เรื่องอะไร คราวนี้จะเพิ่มเงินหลายร้อยเหรียญทองทีเดียว คราวนี้เจ้าลูกชายเห็นเงินก้อนโต ยิ่งดีอกดีใจใหญ่ วันรุ่งขึ้นตั้งอกตั้งใจไปวัด คราวนี้เขาไปนั่งใกล้ๆ พระพุทธองค์ตั้งใจฟังธรรมและจดจำเต็มที่ ระหว่างฟังธรรมและตั้งใจจำนั่นเอง ลูกชายก็เกิดอาการ “หยั่งรู้” ในธรรมที่ทรงแสดงจนได้ “ดวงตาเห็นธรรม” สำเร็จเป็นพระโสดาบันเช่นเดียวกับผู้เป็นพ่อ เมื่อเขากลับมาถึงบ้านในเย็นวันนั้น พ่อเอ่ยขึ้นว่า วันรุ่งขึ้นจะนิมนต์พระพุทธเจ้ามาเสวยที่บ้าน และจะมอบเงินต่อหน้าพระพุทธเจ้าทีเดียว พระพุทธองค์จะได้พลอยโมทนา พลันที่พ่อพูดเช่นนั้น เจ้าลูกชายก็หน้าแดงด้วยความขวยอาย โพล่งออกมาว่า “พ่ออย่าแจ้งเรื่องที่ลูกไปฟังธรรมเพราะเห็นแก่เงินเป็นอันขาดเชียวนะ ถ้าพระพุทธองค์รู้เข้า ลูกอายแย่เลย” ทันทีที่ลูกชายพูดเช่นนี้ พ่อก็รู้ทันทีว่าลูกชายตัวเองไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไปแล้ว นาทีนั้นพ่อจึงยิ้มออก เพราะรู้แล้วว่า ลูกชายได้ค้นพบสิ่งที่ “สูงกว่าเงิน” คือ ความเป็นพระอริยบุคคลเรียบร้อยแล้ว

จากเรื่องที่เล่ามา คุณก็คงเห็นแล้วว่า วิธีการของคุณนั้นไม่ใช่วิธีการใหม่แต่อย่างใด ตรงกันข้ามเป็นวิธีการที่เคยมีคนทำมาแล้ว และได้ผลอย่างดีเยี่ยมอีกต่างหาก ปัญหาของคุณมีแต่เพียงว่า ต้องคอยดูแลลูกอย่างใกล้ชิด และบอกเขาด้วยว่า เงินเป็นแค่ “รางวัล” เท่านั้น ไม่ใช่เป้าหมายของการศึกษา เมื่อลูกมีปัญญามากๆ แล้ว วันหนึ่งข้างหน้า เขาก็จะรู้เองว่า มีสิ่งที่สูงค่ากว่าเงิน นั่นคือ ปัญญา ความดีงาม และคุณภาพชีวิต

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แก้ไขล่าสุดโดย ธรรมบุตร เมื่อ 27 เม.ย. 2010, 16:54, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 เม.ย. 2010, 19:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปุจฉา
เรียนรู้สู่ความเปลี่ยนแปลง

การเปลี่ยนแปลง จะนำมาซึ่งอะไรบ้างค่ะพระอาจารย์ ที่ทำงานของดิฉันกำลังมีการเปลี่ยนแปลง เรื่องสายงาน แล้วทำให้อึดอัดลำบากใจมากกับเพื่อนร่วมงาน เพราะไม่สนิทใจที่จะร่วมมือกันทำงานเหมือนกว่าแต่ก่อน ทำให้บรรยากาศในที่ทำงานเปลี่ยนแปลงไปด้วยค่ะ พระอาจารย์ช่วยแนะนำวิธีให้ดิฉันสงบใจและมีสมาธิในการทำงานด้วยค่ะ


:b48: :b8: :b48:



วิสัชนา

หลายวันมานี้ เห็นภาพและข่าวของคุณลัดดา แทมมี่ ดั๊กเวิร์ธ ซึ่งเป็น “หญิงไทยหัวใจหลอมเพชร” ที่เป็นหญิงไทยที่ไปปฏิบัติภารกิจให้กับกองทัพสหรัฐในสงครามอิรัก ด้วยการเป็นนักบินขับเฮลิคอปเตอร์ระหว่างสงคราม ต่อมาถูกระเบิดจนเสียขาไปสองข้าง แต่ก็ยังลุกขึ้นสู้ชีวิต จนเป็นที่ยกย่องอย่างกว้างขวางไปทั่ว ช่วงนี้เธอกลับมาโด่งดังไปทั่วสหรัฐอเมริกาและทั่วโลกในฐานะที่ถูกเสนอชื่อโดยประธานาธิบดีหนุ่มใหญ่ป้ายแดงบารัค โอบามา ให้มาดำรงตำแหน่งเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรี กระทรวงกิจการทหารผ่านศึก ในคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ของนายบารัค โอบามาแล้วก็ได้แต่ชื่นชม



ชื่นชมในความเป็นนักสู้ชีวิต ที่มีวิธีคิดพร้อมยอมรับ “ความเปลี่ยนแปลง” ทั้งในแง่บวกและแง่ลบ

คนเรานั้น อยู่ที่ไหนก็หนีไม่พ้นความเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่เพราะความเปลี่ยนแปลงนั้นเกิดจากคนอื่นหยิบยื่นให้เรา แต่เป็นเพราะว่า “ความเปลี่ยนแปลง” นั้นเป็น “วิถีชีวิตของเรา” มาตั้งแต่ต้น คนที่ปฏิเสธ หรือไม่ยอมรับความเปลี่ยนแปลง จึงเป็นคนที่ไม่มีวุฒิภาวะในการดำเนินชีวิต ส่วนคนที่มีวุฒิภาวะในการดำเนินชีวิตเขาย่อมรู้ดีว่า ไม่มีใครหนีความเปลี่ยนแปลงพ้น เพราะชีวิตคือองค์รวมของความเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ต้นจนจบ

ไม่เร็วก็ช้า ความเปลี่ยนแปลงทั้งในทางดีหรือทางร้าย รุ่งโรจน์หรือร่วงโรย สุกสกาวหรือริบหรี่ ครึกโครมหรือสงบศานติ มีชีวิตชีวาหรือเหี่ยวเฉา สุขสมหรือข่มขืน ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งต้องเกิดขึ้นกับชีวิตของเราแน่นอน

ความเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องธรรมดา

ที่ผิดธรรมดา คือ ใจอันมืดมัวของเราที่ไม่รู้เท่าทันต่อความเปลี่ยนแปลง



ลองคิดดูว่า หากคนเราหายใจเข้าแล้วไม่หายใจออก หรือหายใจออกแล้วไม่หายใจเข้า

ลองคิดดูว่า หากเราใส่เสื้อผ้าชุดเก่าไปทำงานทุกวัน โดยไม่เปลี่ยนชุดใหม่เลยอะไรจะเกิดขึ้น

ลองคิดดูว่า หากเราทานแฮมเบอร์เกอร์หรือผัดกระเพราะไข่ดาวทุกวัน ร่างกายและจิตใจของเราจะมีอาการอย่างไร

ลองคิดดูว่า หากเรามีนายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียวตลอดไปโดยที่ไม่มีกฎหมายกำหนดวาระการดำรงตำแหน่ง และทั้งๆ ที่นายกรัฐมนตรีคนนั้นขาดภาวะผู้นำอย่างสิ้นเชิง แต่ประชาชนก็จำต้องก้มหน้าทนผู้นำเช่นนี้ไปจนตาย อะไรจะตามมา

ลองคิดดูว่า หากทุกคนที่เกิดมาในโลกแล้วอายุยืนตลอดไปไม่มีการตายเลยแม้แต่คนเดียว โลกนี้จะมีที่ว่างมากพอให้คนรุ่นหลังอยู่อาศัยได้หรือ

ลองคิดดูว่า หากธรรมชาติไม่จัดสรรให้ทุกอย่างมีการ “เปลี่ยนแปลง” เป็นกลไกอย่างหนึ่งของโลก ชีวิต และสรรพสิ่งแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ คง “นิ่งสนิท” หรือ “แข็งทื่อ” และ “ติดตัน” ไม่มีวิวัฒนาการอย่างสิ้นเชิง

โลก ชีวิต สรรพสิ่ง รวมทั้งอารยธรรม ที่ไม่มีวิวัฒนาการจะทำให้เราอยู่ในโลกนี้อย่างมีความสุขได้อย่างไร โลกนี้จะมีเสน่ห์ที่ตรงไหน

หากอะไรต่อมิอะไร ไม่ไหวเคลื่อนไปสู่ความเปลี่ยนแปลง เสน่ห์ของวันพรุ่งนี้ รสชาติของชีวิตจะมีที่ตรงไหน

การเปลี่ยนแปลงเป็นครรลองของธรรมชาติ อันเป็นเรื่องสามัญธรรมดา ในโลกนี้ มีอะไรบ้างที่ไม่เปลี่ยนแปลง แท้ที่จริงสรรพสิ่งกำลังหมุนไปในกระแสของความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

สิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงอีกต่อไป เราเรียกสิ่งนั้นว่า “ตาย” แล้ว

คนที่ไม่พร้อมจะยอมรับการเปลี่ยนแปลง ก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่ตายแล้ว

ด้วยเหตุดังกล่าวมา เราจึงไม่ควรกลัวความเปลี่ยนแปลง เนื่องเพราะความเปลี่ยนแปลง ไม่ได้นำเอาแต่ด้านที่เลวร้ายมาให้เรา หากยังนำเอาด้านที่ดีของชีวิตและสรรพสิ่งมาสู่เราด้วย

นานหลายสิบปีมาแล้ว เมื่อสถาปนิกคนหนึ่งได้รับมอบหมายให้สร้างหอไอเฟล (ไอเฟล คือ ชื่อของสถาปนิก) ใจกลางกรุงปารีส เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของงานเอ็กซโปแห่งภาคพื้นยุโรป ปรากฏว่า มีแต่คนโจมตีงานออกแบบที่แข็งทื่อเพราะประกอบด้วยโครงสร้างเหล็กของเขากันทั้งเมือง แต่ไอเฟลไม่สนใจ เขายังคงลงมือทำงานของเขาไปท่ามกลางเสียงก่นด่าจนสำเร็จสมตามแบบที่เขาร่างไว้ทุกประการ

แต่เมื่องานก่อสร้างเสร็จสิ้นลง และเมื่องานแสดงสินค้าผ่านไปแล้ว ใครๆ ก็ชื่อชมหอไอเฟล ใครๆ ก็เล่าลือกันว่า นี่คือสิ่งปลูกสร้างสุดมหัศจรรย์ ใครๆ ก็บอกต่อกันว่า หากคุณไปเยือนฝรั่งเศส ต้องไม่พลาดที่จะไปถ่ายรูปกับหอไอเฟล

ทุกวันนี้ หอไอเฟล คือ สัญลักษณ์อย่างหนึ่งของประเทศฝรั่งเศส

เห็นหรือยังว่า ก่อนหน้าที่หอไอเฟลจะเกิดขึ้นมานั้น ผู้คนมีชีวิตอยู่ใน “ความเคยชินแบบเดิม” พอมีหอไอเฟลขึ้นมา นี่เป็นสิ่งใหม่ที่ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ ขึ้นมาในปารีส และสิ่งนี้ที่มีแต่คนต่อต้านในช่วงต้น กลับกลายมาเป็นความภาคภูมิใจในช่วงปลาย นี่คือ ตัวอย่างหนึ่งของความเปลี่ยนแปลงที่มาพร้อมกับสิ่งใหม่ๆ ที่ในตอนแรกผู้คนก็ต่อต้าน แต่เมื่อผ่านคืนวันไปแล้ว การต่อต้านกลับพลิกเป็นเสียงสรรเสริญชื่นชมเห็นดีเห็นงามอย่างไม่น่าเชื่อ

ความเปลี่ยนแปลงนั้นย่อมเป็นนิรันดร์

อย่ากลัวความเปลี่ยนแปลง เพราะนี่คือวัฏจักรอันเป็นธรรมดาสามัญของโลก ชีวิต และสรรพสิ่ง

บ่อยครั้ง เรามักวิตกไปว่า ความเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ ที่กำลังทยอยเกิดขึ้นมาในชีวิตหรือในสังคมของเราคือสิ่งเลวร้าย แต่พอเราปรับใจให้ยอมรับ กลับพบว่า ความเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ ไม่ได้เป็นสิ่งเลวร้ายเสมอไป แต่ในบางกรณี นำสิ่งที่ดีกว่ามาสู่ชีวิตเสียด้วยซ้ำ

จงเปิดใจให้กว้าง พร้อมยิ้มรับความเปลี่ยนแปลง

เพราะความเปลี่ยนแปลงย่อมเป็นนิรันดร์

หากความเปลี่ยนแปลงนำสิ่งที่ดีมาสู่ชีวิต ก็จงยิ้มรับ

แต่หากความเปลี่ยนแปลงนำสิ่งที่เลวร้ายมาให้ชีวิต ก็จงยิ้มสู้

มีแต่ “ยิ้มรับ” และ “ยิ้มสู้” เท่านั้น คุณจึงจะสามารถอยู่กับความเปลี่ยนแปลงอย่างรื่นรมย์

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 เม.ย. 2010, 19:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปุจฉา
เครียดมาปัญญาเกิด

ทำอย่างไรดีค่ะ ยิ่งเครียดยิ่งกิน ทำให้สุขภาพไม่ดี แล้วน้ำหนักก็เพิ่มขึ้นทุกวัน แล้วมักจะอ่อนไหวมากกับคำพูดของคนอื่นที่ทักถึงน้ำหนักของเรา ไม่มั่นใจเลยค่ะ หนูกลัวว่าจะเป็นโรคจิตอ่อนๆ ด้วยคะ


:b48: :b8: :b48:



วิสัชนา

วิธีคลายเครียดคือ

ประการที่ ๑. แทนที่จะยิ่งเครียด ยิ่งกิน ควรจะนำพาตัวเองไปทำอย่างอื่น เช่น อ่านหนังสือที่เรารัก ทำงานอดิเรกที่เราชอบ หรือ สนทนากับคนที่เราไว้เนื้อเชื่อใจ การสนทนาจะทำให้เราได้พูด ได้ระบายในสิ่งที่อัดอั้นตันใจ ซึ่งจะทำให้ช่วยคลายความเครียดได้มาก รถทุกคันยังมีท่อไอเสีย คนทุกคนก็ต้องมีช่องทางระบายความเครียดออกมาเช่นเดียวกัน

ประการ ๒. งด ความคิดฟุ้งซ่าน เพราะความคิดฟุ้งซ่านเป็นต้นทางของความยุ่งเหยิงวุ่นวายในชีวิตของคนเรา ความทุกข์วุ่นวายในชีวิตของคนเรา กว่า 90 เปอร์เซนต์ นั้นเกิดขึ้นจากการคิดที่ไม่เป็นระบบ การคิดไปตามจิตที่ขาดสติ การหมกมุ่นครุ่นคิด การคิดไปตามสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการคิดตามคำพูด หรือตามความคาดหวังของคนรอบข้าง ซี่งยิ่งคิด ยิ่งเครียด ยิ่งคิดยิ่งวุ่นวาย ยิ่งคิด ยิ่งบั่นทอนสุขภาพจิต

ประการที่ ๓. หาอะไรมาทำอยู่เสมอ การที่เราหาอะไรมาทำอยู่เสมอ คือวิธีการย้ายความสนใจ ความหมกมุ่นครุ่นคิด ซึ่งเป็นต้นทางของความเครียด ให้มาอยู่กับปัจจุบันขณะ ธรรมชาติของจิตนั้น รู้จักทำงานด้วยการคิดทีละเรื่อง เมื่อไหร่ก็ตามที่เราคิดฟุ้งซ่าน นั่นหมายความว่าจิตย่อมมีโอกาสได้สนใจเรื่องอื่น ในทางกลับกันถ้าเราก้มหน้าก้มตาทำอะไรสักอย่าง จิตย่อมจะเกาะอยู่กับสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เรากำลังทำอยู่ในขณะนั้นๆ ฉะนั้น ลองสังเกตให้ดีว่า เมื่อเรากำลังทำงาน เมื่อเรากำลังอ่านหนังสือ เมื่อเรากำลังพิมพ์งาน เรากำลังรดน้ำต้นไม้ หรือว่าเรากำลังทำอะไรก็แล้วแต่ หากว่าเราเติมความตั้งใจลงไปในทุกสิ่งที่ทำ ทุกคำที่พูด จะพบว่า ในขณะนั้น ความทุกข์ไม่เกิดขึ้น ความทุกข์นั้นไม่เคยมีตัวตนมาแต่ต้นอยู่แล้ว ความทุกข์มีตัวตนมาทำร้ายเราอยู่ได้ก็เพราะเราปล่อยให้จิตใจของเราหลอมรวมกันเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันกับความทุกข์ ฉะนั้นถ้าเราแยกจิตของเราไว้กับการทำงาน ในขณะนั้นจิตไม่สามารถไปปรุงแต่งความทุกข์ขึ้นมาเล่นงานตัวเองได้ ดังนั้นการหาอะไรทำอยู่เสมอ ไม่ปล่อยให้จิตว่าง จึงเป็นวิธีคลายเครียดที่ได้ผลที่สุด

ประการสุดที่ ๔. ฝึกสติด้วยการทำตามหลักสติปัฏฐาน 4 เวลาที่คิด เวลาที่พูด เวลาที่ทำ เวลาที่เคลื่อนไหวทุกสิ่งอย่าง ขอให้เติมความรู้สึกตัว หรือเติมความรู้เนื้อรู้ตัวลงในทุกๆ กิจกรรมที่ทำ เช่น เดิน ก็ให้สังเกตว่าตัวเองกำลังเดิน ให้จิตใจของเรานั้นอยู่ที่เท้าของเรา กิน ก็ให้จิตใจของเราอยู่กับการกิน ให้ความตั้งใจทั้งหมดของเราอยู่กับการกินอย่างเดียว ดู ก็ให้สังเกตว่าเรากำลังดู ให้ใจของเรา ให้สติของเราอยู่กับการดูเพียงอย่างเดียวหรือกำลังทำงานใดๆก็ตาม ให้จิตของเราอยู่กับการทำงานกับสิ่งนั้นๆ วางจิตวางใจของเราให้อยู่กับทุกสิ่งที่ทำ ทุกคำที่พูด ทุกอิริยาบถที่เคลื่อนไหว เฝ้าดูเงียบๆ สังเกตไปเรื่อยๆ ก็จะค้นพบว่าเมื่อเราเติมสติลงไปในทุกๆ ความเคลื่อนไหวของเรา ความคิดฟุ้งซ่าน ความคิดปรุงแต่งแทบจะไม่มีช่องเกิดขึ้นเลย เมื่อความคิดฟุ้งซ่าน ความคิดปรุงแต่ง ความคิดไม่เป็นระบบไม่มีช่องให้เกิดขึ้นได้ นาทีนั้นความทุกข์ก็ไม่มีตัวตน จงจำไว้เสมอว่า ความทุกข์มีตัวตน เพราะเราเป็นคนคิดฟุ้งซ่าน ความคิดจะไม่มีตัวตนเมื่อเราเลิกเป็นคนที่คิดฟุ้งซ่าน หากทำตามวิธีตามที่กล่าวมาได้ก็จะสามารถหยุดความคิดฟุ้งซ่านได้ เมื่อหยุดความคิดฟุ้งซ่านได้ ความเครียดก็จะพังทลายลง

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 เม.ย. 2010, 19:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปุจฉา
เบาเพราะไม่แบก

:b48: :b8: :b48:



วิสัชนา

ความเครียดเป็นปัญหาใหญ่ของคนไม่เฉพาะในเมืองไทย แต่ในเมืองใหญ่ๆ ทั่วโลก น่าแปลกก็ตรงที่ ความเครียดไม่มีตัวตน แต่กลับทำให้คนทุกข์ถึงขั้นกินไม่ได้นอนไม่หลับ สาเหตุของความเครียดมาจากปัจจัย ๒ ประการ

(๑) ปัจจัยภายนอก คือ เรื่องต่างๆ ที่จัดการไม่ได้ เช่น ปัญหาครอบครัว ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาการเมือง ปัญหาการทำงาน ฯลฯ

(๒) ปัจจัยภายใน คือ การหมกมุ่นครุ่นคิด ย้ำคิดย้ำทำ ปล่อยไม่ลงปลงไม่เป็น

วิธีแก้ความเครียดที่เกิดจากสาเหตุทั้งสองประการนั้น กล่าวอย่างสั้นที่สุด ก็คือ การจัดการ “ด้านใน” ของแต่ละคนให้ได้เสียก่อน เหมือนกับที่นักธุรกิจสาวคนหนึ่งที่เป็นหนี้กว่า ๒๐๐ ล้าน ทั้งยังต้องแบกภาระเลี้ยงลูกอีกต่างหาก ด้วยหนี้สินขนาดนั้น เธอจึงทุกข์แทบปางตาย ทำอย่างไรก็ไม่หาย วันหนึ่งมีโอกาสได้เจริญจิตภาวนา เกิดปัญญาขึ้นมาว่า “หนี้ส่วนหนี้ – ใจส่วนใจ” ความเครียดก็เลยหายไป เธอสรุปว่า การทำงานใช้หนี้นั้น เป็นภาระภายนอกที่ต้องทำกันไป แต่เราไม่จำเป็นต้องปล่อยให้ใจของเราเป็นทุกข์ การเจริญสติ ทำให้เธอสามารถตื่นรู้อยู่กับปัจจุบันขณะได้ การที่จิตอยู่กับปัจจุบันขณะไม่ฟุ้ง ไม่ปรุงแต่ง ไม่กังวลอดีตและอนาคตนั่นเอง ทำให้ความเครียดเล่นงานเธอไม่ได้อีกต่อไป

ความเครียดนั้นมีอาหารสำคัญก็คือ “ความขาดสติ” เพราะเมื่อขาดสติ จิตก็เผลอเข้าไปคิด และพอคิดด้วยความไม่รู้สึกตัว ก็คิดฟุ้งไปต่างๆ อย่างวิจิตรพิสดาร วันหนึ่งๆ เราคิดเรื่องเดิมและเรื่องใหม่กันไม่รู้กี่พันเรื่อง เหมือนกับในหัวของเรามีการฉายหนังอยู่ตลอดเวลาซ้ำๆ ซากๆ จนจิตไม่ได้พักผ่อน เมื่อไม่ได้พัก ความทุกข์ก็เกิดขึ้น เจ้าความทุกข์เพราะความคิดนี่เอง ที่ริบเอาความสุขไปจากใจเราและจากชีวิตของเรา

นอกจากการเจริญจิตภาวนาแล้ว วิธีคลายเครียดอีกประการหนึ่งก็คือ ควรหาอะไรทำอยู่เสมอ เพราะการที่เราทำอะไรอยู่ตลอดเวลา เป็นการไม่เปิดช่องให้จิตวกกลับไปหาความฟุ้งซ่าน ธรรมชาติของจิตนั้น แม้จะคิดปรุงแต่งได้เก่งกาจเพียงไร แต่จิตก็คิดได้ทีละเรื่องเท่านั้น หากเราทำงานอยู่ตลอดเวลา จิตก็จะขลุกอยู่กับงาน เมื่อจิตอยู่กับงาน โอกาสที่ความเครียดจากความคิดจะก่อตัวขึ้นมาก็หายไป

ประการต่อมาก็คือ การไม่ติดใจกับเรื่องเล็กน้อย หรือการไม่หยิบเอาเรื่องไม่เป็นเรื่องในชีวิตมาหมกมุ่นคริดคิดเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องเล็กน้อยเช่นรถติด ฝนตก แดดออก อาหารไม่อร่อย เพื่อนขี้บ่น ทำแก้วแตก ถูกเพื่อนนินทา ฯลฯ มาขยายเป็นเรื่องใหญ่เกินความเป็นจริง มีคนจำนวนมากที่ปล่อยให้เรื่องเล็กๆ เหล่านี้ กลายเป็นเรื่องที่รกรุงรังอยู่ในหัว หยิบมาคิดแล้วคิดอีก ทั้งๆ ที่ประเด็นเดิมนั้นเป็นเรื่องเล็กนิดเดียว เรื่องเล็กน้อยในชีวิตเหล่านี้ เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ดับลง หากเราไม่แบกก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่พอเก็บมาปรุงแต่ง ก็เป็นทุกข์ให้แบกได้เหมือนกัน

ประการสุดท้าย อย่าทำตัวเป็นคนประเภทแกว่งเท้าหาทุกข์ คือ ไม่ไปรับเอาความทุกข์ของคนอื่นมาเป็นทุกข์ของตน ในโลกนี้มีคนจำนวนมาก ที่ชอบคิดในเรื่องของคนอื่น คิดแทนคนอื่น แล้วหยิบเอาเรื่องของคนอื่นมาเป็นเรื่องของตัวเอง เราควรบอกตัวเองว่า เรามีเวลาอยู่ในโลกนี้กันแสนสั้น ลำพังเรื่องราวของเราเองในแต่ละวันก็นับว่ามากพออยู่แล้ว เราจึงไม่ควรเปิดรับเอาความทุกข์ของคนอื่นมาเป็นของตนอีก จะคิด จะพูด จะทำอะไรก็ตาม ก็ควรเลือกทำแต่สิ่งที่เป็นแก่นสารจริงๆ เมื่อเราไม่ “สอดตัวเอง” เข้าไปในทุกๆ เรื่องที่อยู่รายล้อมตัวเรา เรื่องเหล่านั้นก็ทำให้เราเครียดไม่ได้ เหมือนก้อนหินที่วางอยู่ตามทางเท้า หากเราไม่ไปอุ้มขึ้นมาถือไว้ ความหนักของก้อนหินเหล่านั้น ก็จะทำให้เราทุกข์ไม่ได้ แต่หากเราเผลอไปอุ้มมาเป็น “ก้อนหินของฉัน” เมื่อไหร่ ความทุกข์เพราะการอุ้มของหนักก็เกิดขึ้นเมื่อนั้น

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 เม.ย. 2010, 19:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7820

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


tongue :b20: ขออนุโมทนาสาธุการด้วยค่ะ :b8: smiley

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 02:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




MT.jpg
MT.jpg [ 112.6 KiB | เปิดดู 5417 ครั้ง ]
:b8: ครับอนุโมทนาครับท่านสาวิกาน้อย :b8:

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 เม.ย. 2010, 15:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปุจฉา
มาหาอะไร – มหาวิทยาลัย

ผมเป็นนักศึกษาที่เพิ่งจบ และกำลังหางานทำอยู่ครับ รู้สึกเหนื่อยใจมากเลยครับ แค่หางานก็ยากอยู่แล้ว แต่ทุกวันนี้ได้ยินแต่ข่าวว่าจะมีแต่การเลยออฟพนักงานออกบ้างหละ ไม่รับพนักงานใหม่ ที่ไม่มีประสบการณ์บ้างหละ ผมไม่เข้าใจเลยครับว่า ถ้าบริษัทต้องการแต่คนที่มีผลงาน เคยผ่านงานมาก่อน แล้วพวกผมจะอยู่ตรงไหนครับ ถ้าไม่มีใครให้โอกาสแล้วพวกผมจะมีประสบการณ์ได้อย่างไร พระอาจารย์เห็นด้วยไหมครับ


:b48: :b8: :b48:



วิสัชนา

นักศึกษาที่เรียนจบแล้วก็เป็นธรรมดาอยู่เองที่จะต้องมองหางานทำ สำหรับคนที่หางานแล้วได้ทำงานง่ายๆ ก็นับว่าเป็นเรื่องดีที่ควรอนุโมทนา แต่สำหรับนักศึกษาที่จบมาแล้ว กำลังมองหางาน แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่ได้งานทำ ก็ขอให้คำแนะนำว่า ลองหางานอะไรก็ได้ที่เป็นงานสุจริตทำไปก่อน คุณพูดเองว่า เวลาหางานทำ เขามักถามหาประสบการณ์ในการทำงาน ถ้าคุณไม่ลองหางานอะไรมาทำไปก่อน ประสบการณ์จะมาจากไหน

เมื่อหลายปีก่อนผู้เขียนเดินทางไปอินเดียเพื่อนมัสการสังเวชนียสถานทั้งสี่ ระหว่างเดือนทางจากพาราณสีไปยังกุสินารา ผ่านเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่งที่มีผู้คนพลุกพล่านมากมาย พอดีรถติดอยู่แถวนั้นนานมาก ผู้เขียนเหลือบไปเห็นว่า ข้างทางมีคนจำนวนมากกำลังเข้าแถวกันรอคิวเพื่อที่จะไปขัดรองเท้ากับช่างขัดรองเท้าที่เปิดร้านอยู่ข้างถนนนั่นเอง ผู้เขียนสังเกตดูก็รู้สึกว่า ช่างขัดรองเท้ากำลังทำงานอย่างมีความสุข ลูกค้าก็เยอะเป็นแถวยาวเหยียด เลยเลียบเคียงเข้าไปถามว่า คุณจบการศึกษาอะไรมา ช่างขัดรองเท้าบอกว่าเขาจบการศึกษาปริญญาตรี แต่ขี้เกียจไปเดินสมัครงานในเมืองใหญ่ๆ เขาจึงกลับมาอยู่บ้านเกิด และยึดอาชีพขัดรองเท้าขายให้กับคนเดินทาง เมื่อถามว่า คุณไม่รู้สึกว่า งานขัดรองเท้าเป็นงานที่ไม่มีเกียรติหรือเมื่อเทียบกับงานอื่นๆ น่ะ เขาตอบว่า

“ไม่มีงานไหนต่ำหรอกครับ ถ้าทำด้วยใจสูง”

ฟังคำตอบแล้วผู้เขียนก็ยิ้มคารวะในความคิดอันคมคายของเขา คุณเชื่อไหมว่า กลับไปอินเดียอีกทีหนึ่งเมื่อต้นปีที่ผ่านมานี่เอง ช่างขัดรองเท้าปริญญาตรีคนนั้นก็ยังคงทำงานของเขาอยู่ที่เดิมต่อไปอย่างมีความสุข และยังคงมีลูกค้ามากมายเหมือนเดิม

ชายคนนี้คือตัวอย่างของนักศึกษาที่มีปัญญา เขาไม่รอให้งานมาหา แต่เขาสร้างงานขึ้นมาเอง ทั้งยังเชื่อมั่นด้วยว่า งานที่เขาทำนั้นเป็นงานที่ดี มีเกียรติ เพราะมันเป็นงานสุจริต เขาเล่าว่า ตั้งแต่เรียนจบเขาก็ไม่เคยตกงาน เพราะเขาสร้างงานขึ้นมาให้ตัวเองทำ

ในเมืองไทยของเราก็มีคนประเภทนี้อยู่ ผู้ชายคนหนึ่งหลังจากเรียนจบมัธยมแล้วก็ไม่ยอมเรียนต่อ เขาลุกขึ้นมาหางานทำสารพัดชนิด ทำอยู่หลายอาชีพ ก็ไม่ประสบความสำเร็จ จนวันหนึ่ง เขามองเห็นคนค้นขยะมาขาย จึงลองทำตามบ้าง ทำไปทำมา ก็ค้นพบว่า ในกองขยะมีแต่ “ทอง” ทั้งนั้น ก็เลยยึดเป็นอาชีพ ทุกวันนี้ ชายนักคุ้ยขยะคนนี้ก็กลายเป็นมหาเศรษฐีไปแล้ว ซ้ำยังได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ตอนนี้เขาก็จึงเป็น “ดร.” ไปแล้ว เรารู้จักเขาในชื่อ ดร.สมไทย เข้าของกิจการรีไซเคิลขยะวงษ์พาณิชย์ นั่นเอง

วันหนึ่งเมื่อมีคนสัมภาษณ์ ดร.สมไทยออกรายการเจาะใจว่า รู้สึกอย่างไรกับคำว่า “มหาวิทยาลัย” (ที่ให้เด็กเรียนหนังสือตั้งสี่ปี แต่ยังไม่ค่อยสอนวิธีให้รู้จักสร้างงานขึ้นมาทำด้วยตัวเอง) ดร.ผู้ร่ำรวยเพราะคุ้ยขยะตอบอย่างคมคายว่า

“สำหรับผม คำว่า มหาวิทยาลัย มีความหมายเท่ากับคำว่า “มาหาอะไร”

เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา เขามักใช้ชีวิตอยู่กับการคุ้ยขยะ เวลามีใครมาเจอก็มักจะถามเขาว่า “มาหาอะไร”



โอกาสในการทำงานนั้นมีอยู่เสมอ ขึ้นอยู่กับว่า เราจะกล้าเดินเข้าไปหาโอกาส หรือกล้าพอที่จะลุกขึ้นมาสร้างโอกาสให้ตัวเองหรือไม่ ?

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 เม.ย. 2010, 20:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปุจฉา
หนึ่งคนเมา ล้านคนม้วย

หนูรักแม่มากและเห็นแม่เหนื่อยมาตลอด แต่ต้องทนดูแม่โดนพ่อทำร้าย เวลาที่พ่อเมา หนูจึงมีความรู้สึกเกลียดพ่อมาก หนูเคยสู้กับพ่อด้วยค่ะ เพราะเขาจะเข้ามาทำร้ายแม่ และหนูก็ยังด่าพ่อด้วย เพราะทนพฤตติกรรมพ่อไม่ไหวจริง ๆ เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่หนูจำความได้ หนูอยากรู้ว่าการที่เราปกป้องคนๆหนึ่งซึ่งเรารักมาก และคิดว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต แต่การทำเช่นนี้ทำให้เราต้องทำไม่ดีต่อคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อ เราจะบาปมากไหมคะ จริงๆแล้วหนูก็ไม่ได้อยากทำ หนูกลัวค่ะ ไม่รู้ว่าตายไปแล้วหนูจะได้รับผลกรรมอย่างไร แต่หนูก็คิดแบบมีเหตุผลนะคะ ว่าการที่เราทำเขาก็เพราะเขาทำแม่ก่อน ไม่รู้ว่านี้เป็นการเถียงแบบข้างๆคูๆหรือเปล่า หนูรู้สึกไม่สบายใจและรู้สึกไม่ดีเหลือเกินค่ะ หนูไม่อยากมีบาปกรรมต่อคนที่ได้ชื่อว่าบุพการี หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ท่าน ว.วชิรเมธีจะช่วยแนะแนวทางให้หนูด้วยนะคะ





วิสัชนา

สุรา แปลว่า กล้า หรือ หน้าด้าน ใครดื่มเข้าแล้ว จากคนเรียบร้อย ไม่ค่อยพูด หรือบุคลิกภาพดีมีการศึกษา ก็จะกลายเป็นอีกคนหนึ่งซึ่งใจกล้า หน้าไม่อาย ที่ไม่ควรคิดก็คิด ที่ไม่ควรพูดก็พูด ที่ไม่ควรทำก็ทำ ที่ควรปิดก็เปิด ที่ควรเชิดชูบูชาก็ลบหลู่ดูหมิ่น ที่ควรทนุถนอมก็ทุบทำลาย ที่ควรสงบเสงี่ยมเจียมตัวก็โวยวายไร้ยำเกรง ที่ควรอายุยืนก็อายุสั้นพลันตาย

พระพุทธเจ้าตรัสว่า สุราเป็น “อบายมุข” คือ “ทางแห่งความเสื่อม” หรือ “ประตูสู่ความวิบัติ” ผู้ที่ตกเป็นทาสสุราจะได้รับผลทันตาเห็น ๖ ประการ

๑. ทรัพย์หมดไปเห็นชัดๆ

๒. ก่อการทะเลาะวิวาท

๓. เป็นบ่อเกิดแห่งโรคภัยไข้เจ็บ

๔. เสียเกียรติคุณชื่อเสียง

๕. ไม่มียางอาย

๖. บั่นทอนกำลังปัญญา

ในกรณีของหนูก็คงตระหนักด้วยตัวเองเป็นอย่างดีแล้วว่า โทษของสุราที่พระพุทธเจ้า

ตรัสไว้มีความเป็นจริงเพียงไร โดยเฉพาะข้อที่กล่าวว่า “ที่ไม่ควรทำก็ทำ” และ “ที่ควรทนุถนอมก็ทุบทำลาย” การทุบตีภรรยาของตัวเองซึ่งเป็นแม่ของหนูนั้นเป็นพฤติกรรมที่ไม่ควรทำด้วยประการทั้งปวง แต่พอสุราล่วงผ่านลำคอเข้าไปแล้ว พ่อของหนูก็ลงมือทำได้อย่างไม่รู้สึกผิด

กรณีของหนูนั้น เมื่อเทียบกับพ่ออีกคนหนึ่งซึ่งหนังสือพิมพ์ลงข่าวไปเมื่อปีที่แล้วหนักกว่านี้หลายเท่านัก เพราะพ่อขี้เมาคนนั้น หลังจากถูกสุราย้อมใจแล้วก็ทำกรรมหนักด้วยการกระทำชำเราลูกสาวตัวเอง ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ลูกสาวก็ไม่รู้จะทำอย่างไร จึงได้แต่ยอมจำนนด้วยความเจ็บปวด ต่อมาเมื่อมีคนแจ้งตำรวจไปจับพ่อขี้เมาคนนี้ เขายังให้เหตุผลว่า “ทำไมฉันจะไม่มีสิทธิ์ทำอะไรกับลูกล่ะ ก็ในเมื่อฉันเลี้ยงมันมากับมือ” คิดดูสิว่า นี่เป็นการให้เหตุผลของคนปกติหรือว่าเป็นการให้เหตุผลของปีศาจจากขุมนรก

ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า การดื่มสุรา “บันทอนกำลังปัญญา” จึงไม่ผิดเลย

คนเมานั้น เขาไม่เพียงแต่เสียสติเท่านั้น เขาได้สูญเสีย “ศักยภาพของความเป็นมนุษย์” ไปอย่างน่าเสียดายด้วย เพราะเมื่อเขากลายเป็นคนเมาแล้ว คุณสมบัติที่เขามีอยู่นั้น มันได้ถูกเปลี่ยนสภาพเป็น “โทษสมบัติ” ที่ก่อให้เกิดความเจ็บปวดแก่คนรอบข้างไปทั่ว เป็นต้นว่า

- ปากที่เคยใช้ปลอบประโลมให้เกิดกำลังใจ หายเหนื่อย หายท้อเมื่อได้ฟัง ก็กลายเป็นปากที่ใช้ด่าทอทิ่มแทงให้เจ็บปวดเข้าไปถึงก้นบึ้งของหัวใจ

- มือที่เคยใช้ตระกองกอด ก็กลายเป็นฝ่ามือหยาบกร้านที่ใช้ตบตีคนที่ตัวเองรักอย่างไร้ความปราณี

- เท้าที่เคยใช้เดินไปทำมาหากินเพื่อเลี้ยงปากท้องของตัวเอง ของภรรยาและลูก ก็กลายเป็นลำแข็งเหล็กที่พร้อมเตะถีบเหยียบย้ำซ้ำเติมคนที่ตนรักอย่างสิ้นเมตตา

- ข้าวของเครื่องใช้ในครัวเรือนที่เคยเป็นเครื่องประดับเลอค่า หรือเป็นของใช้ให้ชีวิตมีความสะดวกสบายในครัวเรือน ก็กลายเป็นอาวุธที่ใช้ขว้างปา ทุ่มโถม เข้าทำลายซึ่งกันและกันให้บาดเจ็บล้มตายกันไปข้างหนึ่ง

- มีด พร้า เคยใช้หั่นผักผลไม้ในยามทำกับข้าว ก็อาจถูกนำกลับมาใช้ทิ่มแทง หั่น ตัด ลำตัว แขนขา อวัยวะน้อยใหญ่ของคนที่ตนเคยนับเป็นญาติวงศ์พงศา

- ชีวิตที่ตนแสนรัก แต่เมื่อเหล้าเข้าปากและครอบงำสติสัมปชัญญะอย่างสมบูรณ์แล้ว บางทีก็ถูกปลิดทิ้งอย่างง่ายดายด้วยมือของตัวเอง

- ลูกเมียซึ่งเป็นดั่งแก้วตาดวงใจในยามปกติ ก็อาจกลายเป็นเพียงกระสอบทรายให้สามี/พ่อซ้อมเล่นจนบาดเจ็บล้มตายอย่างไม่คาดฝัน

สุรา ทำให้คนกล้าในทางเสียหายได้มากมายยิ่งกว่าที่กล่าวมานับร้อยนับพันเท่า หนูอยู่กับพ่อขี้เมา คงแจ้งแก่ใจดีว่า ที่พระอาจารย์เขียนมานี้ อาจจะเบาเกินไปสำหรับความเจ็บปวดจากพิษสุราในชีวิตจริง

สำหรับหนู พระอาจารย์ขอแนะนำให้พาคุณแม่เลี่ยงออกมาอยู่ห่างๆ เวลาพ่อเมาจะดีกว่า เวลาพ่อเมาขึ้นมา ควรอยู่ให้ห่างจากรัศมีการของการทำร้ายซึ่งกันและกันจะดีที่สุด การตอบโต้พ่อซึ่งทำร้ายแม่จะไม่ช่วยอะไรนอกจากจะเจ็บปวดด้วยกันทั้งสองฝ่าย หนูเองก็คงไม่สบายใจจากการทำร้ายพ่อแม้จะทำด้วยเจตนาปกป้องแม่ ก็ไม่ควรอยู่ดี ความรุนแรงไม่ควรจะถูกตอบโต้ด้วยความรุนแรง และความกตัญญูต่อแม่ ก็ไม่ควรจะแสดงออกด้วยการทำร้ายพ่อ ขอให้หนูเลือกหนทางแห่งสันติจะดีกว่า “อยู่ห่างๆ” เวลาพ่อเมาจะดีที่สุด

ส่วนที่ถามว่าจะบาปมากไหม หากทำร้ายพ่อเพื่อปกป้องแม่ คำตอบก็คือบาปแน่นอนอยู่แล้ว แต่ไม่บาปมากเท่ากับการทำร้ายพ่อด้วยเจตนาร้าย เจตนาของหนูหากมีเพียงต้องการปกป้องแม่เท่านั้น บาปจากการนี้ก็ไม่มาก แต่ก็ไม่ควรทำเช่นนี้ด้วยประการทั้งปวงเพราถึงอย่างไรเขาก็คือพ่อของหนูนั่นเอง นอกจากนั้นแล้ว ในยามปกติ ก็ขอให้หนูและแม่พยายามหาวิธีคุยกับพ่อเพื่อบอกให้ท่านทราบว่า หนูและแม่เจ็บปวดขนาดไหน หรือถ้าเป็นไปได้ก็ตัดบทความของพระอาจารย์ฉบับนี้แหละให้พ่อของหนูอ่าน บอกท่านว่า พระอาจารย์ขอบิณฑบาตการเป็นพ่อขี้เหล้าแบบนี้เสียที ขอทีเถิด คุณกินและมีความสุขอยู่คนเดียว แต่คนอื่นเขาทุกข์กันทั้งบ้าน การมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นนั้น ไม่เห็นมันประเสริฐที่ตรงไหน

พระอาจารย์ขอเป็นกำลังใจให้หนูใช้สันติวิธีและความเมตตาต่อพ่อให้มากๆ นะคะ อย่าเกลียดท่านเลย หาวิธีช่วยเหลือท่านให้หลุดพ้นจากการตกเป็นทาสสุราด้วยสันติวิธีและด้วยจิตเมตตาที่คิดจะช่วยเหลือท่าน คือ ทางออกที่ดีที่สุดนะคะ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 เม.ย. 2010, 20:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปุจฉา
ทางสายกลางของการบูชาพระธาตุ

ไม่ทราบว่าพระธาตุที่มีตามสถานที่ต่างๆ เป็นพระธาตุของพระพุทธเจ้าจริงๆหรือคะ แล้วควรแก่การสักการะบูชาจริงๆ หรือไม่ เพราะจากที่เคยอ่านหนังสือ “ธรรมะศักดิ์สิทธิ์” ของท่านที่บอกว่าไม่ควรไปนับถือรูปเคารพ สิ่งปลุกเสก สิ่งที่อ้างว่าศักดิ์สิทธิ์ใดๆ แต่ควรเชื่อในพระธรรมคำสอนมากกว่า หรือว่าควรยกเว้นในกรณีพระธาตุคะ





วิสัชนา

พระธาตุที่เรานับถือ บูชา กันอยู่ในสังคมไทยนั้น มีสองประเภท กล่าวคือ ถ้าเป็นพระธาตุของพระพุทธเจ้า เราจะเรียกว่า “พระบรมสารีริกธาตุ” ถ้าเป็นพระธาตุของพระอรหันต์เราจะเรียกว่า “พระธาตุ”

ตามเจดีย์ที่วัดสำคัญๆ ถ้าบรรจุพระบรมสารีริกธาตุเอาไว้ เจดีย์เหล่านั้น หรือพระธาตุเหล่านั้นจะถูกเรียกว่า “มหาธาตุ” (เจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ) หรือ “วัดมหาธาตุ” (วัดที่มีเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ) แต่ในสังคมไทยกร่อนคำลงมาเรียกรวมๆ กันทั้งพระบรมสารีริกธาตุและพระธาตุของพระอรหันต์รวมทั้งพระเกจิอาจารย์องค์สำคัญๆ ว่า “พระธาตุ” เหมือนกันหมด

พระธาตุที่เราเห็น หรือเราบูชากันอยู่ทุกวันนี้นั้น ผู้เขียนก็ไม่สามารถบอกได้เหมือนกันว่า เป็นของพระพุทธเจ้าทั้งหมดหรือไม่ เพราะมีมากมายเหลือเกิน เห็นใครบอกว่าเป็นพระบรมสารีริกธาตุ หรือพระธาตุก็เคารพไว้ก่อนดีกว่า ไม่ต้องมาเสียเวลาทุ่มเถียงหรือพิสูจน์กันว่าจริงหรือไม่จริง แต่เราวางท่าทีเอาไว้ว่า ถ้าคนเขาถือกันว่าเป็นพระธาตุ เราก็ยอมรับว่าเป็นพระธาตุ กราบไหว้ บูชา สักการะไปด้วยจิตอันบริสุทธิ์ ถึงแม้พระธาตุนั้นจะจริงหรือไม่จริง แต่ถ้าเราจริงใจในการบูชา ก็ถือว่าได้บุญจริงแท้แน่นอน

ที่ผู้เขียนเคยกล่าวเอาไว้ว่า ไม่ควรให้ความสำคัญกับพระธาตุมากมายนั้น ไม่ได้หมายความว่า ไม่ให้เชื่อ หรือไม่ให้บูชา แต่หมายความว่า อย่าไปยึดติดถือมั่น ว่าพระธาตุจะช่วยเราได้เหมือนแก้วสารพัดนึก เราเพียงแต่บูชาแต่ไม่นำมาเป็นของวิเศษ จนหลงลืมการบูชาที่แท้จริงไปเสีย

ก่อนดับขันธปรินิพพาน มีประชาชนมาเฝ้าพระพุทธเจ้าพร้อมกับเครื่องสักการะบูชามากมาย พระพุทธองค์ทรงทอดพระเนตรแล้ว จึงตรัสว่า การบูชาที่ดีที่สุด ไม่ใช่ด้วยเครื่องสักการบูชาดอกไม้ของหอมสารพัดชนิด หากแต่เป็นการบูชาด้วย “สัมมาปฏิบัติ” คือ การปฏิบัติตนตามคำสอนของพระองค์มากกว่า ถ้าเราเป็นชาวพุทธ ต้องจับประเด็นตรงนี้ให้ได้ มิเช่นนั้น เราจะเสียเวลากับการพิสูจน์พระธาตุ หมดเวลาไปกับการเถียงกันว่าจริงหรือไม่จริง บางคนก็หลงภูมิใจว่าตนตรอบครอบพระธาตุมากมาย แต่กลับไม่ช่วยทำให้ชีวิตดีขึ้น ดังนั้น เราต้องวางท่าทีเสียใหม่ให้ถูกต้อง ในลักษณะพบกันบนทางสายกลาง คือ

(๑) บูชาพระธาตุก็ได้ แต่ไม่ยึดติดถือมั่นว่าพระธาตุจริงหรือไม่จริง ควรถือเพียงว่า พระธาตุทั้งหลายเป็นสัญลักษณ์ของผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ท่านเหล่านั้น เป็นยอดคนที่แม้กระทั่งจากไปแล้ว พระธาตุก็ยังมีค่าควรแก่การบูชา เราผู้ยังอยู่ ควรจะเตือนตัวเองว่า ทำอย่างไรหนอ เราจึงจะเป็นคนดีเช่นท่านเหล่านั้นได้บ้าง เมื่อล่วงลับดับขันธ์ไป กระดูกของเราจะได้มีคุณค่าพอที่คนเขาจะบูชาได้บ้าง หากคิดเช่นนี้ เราจะหันมาพัฒนาตนเองให้ชีวิตมีคุณค่าขึ้นมา โดยไม่ต้องเสียเวลาบูชาแต่พระธาตุของคนอื่น แต่จะกลายเป็นว่า เราบูชาคนอื่น ด้วยการบูชาตัวเอง นี่น่าจะเป็นท่าทีที่ถูกต้อง

จำกวีนิพนธ์บทต่อไปนี้ได้ไหม สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ทรงไว้ว่า

“พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง

โททนต์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี

นรชาติวางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์

สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา”

ลองถอดรหัสกวีนิพนธ์บทนี้ให้ดีแล้วจะพบว่า เราต้องรู้จักใช้ชีวิตให้มีคุณค่า มิเช่นนั้นแล้ว เราจะสู้สิงสาราสัตว์ทั้งหลายไม่ได้เลย บูชาแต่กระดูกของคนอื่นมามากแล้ว บางทีมีข้อสงสัยว่าจริงหรือไม่จริงเพราะเราไม่รู้จักเจ้าของกระดูก (พระธาตุ) แต่การบูชาตนเองด้วยการทำตนให้มีคุณค่านั้น ไม่ต้องมานั่งสงสัยอะไร แค่เราเป็นคนดีด้วยตัวเอง เราก็เห็นผลดีอยู่แล้วตั้งแต่ยังไม่ตายเสียด้วยซ้ำไป

(๒) บูชาพระธรรม นับเป็นการบูชาที่ประเสริฐที่สุด เพราะในขณะที่พระธาตุนั้นเราไม่รู้ว่าองค์ไหนจริงหรือไม่จริง แต่พระธรรมนั้น จริงทุกข้อ ปฏิบัติตามได้อย่างมั่นใจร้อยเปอร์เซ็น ไม่ต้องเสียเวลามานั่งสงสัย

บูชาพระธรรมด้วยการนำธรรมะมาใช้ในชีวิตและการทำงานจริงๆ คือ การบูชาที่เห็นผลทันตาในชีวิตนี้ และพระพุทธเจ้าทรงยกย่องว่าเป็นเลิศกว่าการบูชาทั้งปวง บูชาพระธรรมเมื่อไหร่ พระธรรมจะแสดงปาฏิหาริย์ให้เห็นเมื่อนั้น ถ้าคุณเคยติดเหล้าแล้วเลิกเหล้า ถ้าคุณเคยติดบุหรี่แล้วเลิกบุหรี่ ถ้าคุณเคยติดกิ๊ก แล้วเลิกมีกิ๊ก คุณจะรู้ด้วยตัวเองทันทีว่า พระธรรมมีปาฏิหาริย์เพียงไร

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 เม.ย. 2010, 20:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปุจฉา
๕ วันเลี้ยงท้อง ๒ วันเลี้ยงใจ

1. วันพระเป็นวันอะไร มีความสำคัญและประวัติความเป็นมาอย่างไร

2. ขอกราบเรียนถามถึง ศีล 8 โดยเฉพาะข้อที่ 7 ในส่วน " เว้นการทัดทรง ตกแต่งร่างกายด้วยเครื่องประดับ ดอกไม้ ของหอม เครื่องทา"
"เครื่องทา" ที่ว่านี้หมายถึงอะไรบ้างคะ เวลาไปปฎิบัติธรรมในหน้าร้อน ภายในวัดอากาศอบอ้าวมาก ก่อนเข้านอนเลยทาแป้งเย็นเพื่อให้คลายร้อน จะได้นอนหลับได้
แบบนี้จะผิดศีลไหมคะ





วิสัชนา



๑. วันพระคือวันที่ตรงกับขึ้นหรือแรม ๘ ค่ำ หรือ ๑๕ ค่ำ ตามหลักการนับวันนทางจันทรคติ

วันก่อนที่จะถึงวันพระเราเรียกว่าวันโกน (เดือนหนึ่งพระจะโกนผมหนึ่งครั้งในวันขึ้นหรือแรม ๑๔ ค่ำ แต่วันาขึ้น/แรม ๗ ค่ำ ก็อนุโลมเรียกว่าวันโกนได้เหมือนกัน) สำหรับความเป็นมานั้น คัมภีร์เล่าไว้ว่า แต่เดิมพระพุทธเจ้าไม่ได้กำหนดวันโกน วันพระ เอาไว้ว่าต้องเป็นวันนั้นวันนี้ แต่ต่อมาชาวพุทธในสมัยนั้นเห็นว่า ศาสนาอื่นร่วมสมัยยังกำหนดวันนั้น วันนี้ เป็นวันฟังธรรมเป็นกรณีพิเศษเป็นครั้งคราว ทำไมพุทธศาสนาไม่มีวันเช่นนั้นบ้าง พระพุทธองค์ทรงอนุโลมตามความต้องการของชาวพุทธ จึงทรงกำหนดให้มีวันฟังธรรมพิเศษขึ้นมาสัปดาห์ละหนึ่งครั้ง เรียกวันดังกล่าวว่าเป็นวันธัมมัสวนะ (วันฟังธรรม) วันก่อนหน้านั้นหนึ่งวันก็เรียกว่าวันโกน สำหรับผู้ถือเคร่งครัดวันพระ ๘ ค่ำ ๑๕ ค่ำ ก็จะเป็นวันสมาทานศีลพิเศษที่เรียกว่า “อุโบสถศีล” หรือ “ศีล ๘” ด้วย ในชุมชนไทยในต่างจังหวัด หรือวัดในกรุงเทพฯ บางแห่ง ก็ยังมีธรรมเนียมเช่นนี้อยู่

ที่บ้านเกิดของผู้เขียน (เชียงราย) ในสมัยก่อนนั้น ถ้าถึงวันโกนทุกครั้ง เวลาหัวค่ำ พระจะตีกลอง เรียกว่ากลอง “บูชา” (กลองปู่จาตามสำเนียงล้านนา) ทำให้รู้ว่า วันพรุ่งนี้เป็นวันพระ เวลาถามกันว่าวันไหนใครทำอะไร (เช่น บวชพระ ขึ้นบ้านใหม่ แต่งงาน เกี่ยวข้าว) ก็จะไม่เน้นการถามวันที่ แต่จะถามว่า ทำอะไรในวันขึ้นหรือแรมกี่ค่ำแทน แสดงว่า สมัยก่อนวันโกนวันพระมีความสำคัญมาก แทบไม่ต่างกับวันในปฏิทินนในสมัยนี้เลยทีเดียว

สังคมไทยสมัยก่อนถือกันว่า วันโกน วันพระ เป็นวันหยุดราชการการด้วย ต่อมาเมื่อรัฐบาลไทยใช้นโยบายตามแบบอย่างสากล โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามอย่างสหรัฐอเมริกา ก็จึงยกเลิกวันหยุดจากวันโกนวันพระมาเป็นวันเสาร์วันอาทิตย์ตามแบบอย่างนานาอารยประเทศแทน

มีสิ่งที่ควรตั้งข้อสังเกตเป็นพิเศษประกอบเรื่องวันโกน วันพระ อยู่เรื่องหนึ่ง ก็คือ คุณค่าที่แท้จริงของวันโกนวันพระว่ามีอยู่อย่างไร ตามปกติเราทำงานกันทุกวันเพื่อทำมาหากิน เลี้ยงปากเลี้ยงท้อง แต่พอถึงวันโกน วันพระ ทางพระพุทธศาสนาถือว่าเป็นวันหยุด เพื่อให้พุทธศาสนิกชนหันมาให้เวลากับการถือศีล ปฏิบัติธรรม การถือหลักดังกล่าวนี้ นับว่าเป็นวิธีสร้าง “สมดุลงาน สมดุลชีวิต” ได้เป็นอย่างดี เพราะถ้าเราพิจารณาให้ดีก็จะพบว่า ในหนึ่งสัปดาห์นั้น เราใช้เวลา ๕ วันสำหรับการทำมาหากินเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง อีก ๒ วันสำหรับการเลี้ยงจิตวิญญาณให้งอกงาม ผลิบาน รู้จักหยุด รู้จักยอม รู้จักเย็น รู้จักยก (ใจให้สูง) เป็นต้น

การทำงาน ๕ วัน มองในอีกมุมหนึ่งก็คือการใช้ชีวิตวิ่งตามกิเลสคือโลภ โกรธ หลง การหยุดงาน ๒ วันในวันโกนวันพระ ก็คือ การหันกลับมาฟื้นฟูจิตใจให้อยู่ในครรรลองคลองธรรม เพื่อที่ว่า ชีวิตจะได้ไม่วิ่งวุ่นไปข้างหน้าโดยขาดสติทุกคืนทุกวัน การมีวันโกนวันพระขึ้นมาในพุทธศาสนา จึงนับว่า เป็นวิธีสร้างสมดุลให้กับชีวิตและจิตใจโดยแท้ แต่มาถึงทุกวันนี้ นับว่าเป็นเรื่องน่าเสียดาย เพราะเราไม่ได้หยุดวันโกนวันพระอีกต่อไปแล้ว เราทำงานกันทุกวัน โดยแทบหลงลืมไปด้วยซ้ำว่าวันไหนเป็นวันโกนวันนพระ ทุกๆ วันของเรา คือ วันทำงาน ทุกๆ วันของเรา คือวันของการทำมาหากิน เราแทบไม่มีวันสำหรับการ “ฟอก” และ “ฟู” จิตใจของเราเหลืออยู่อีกแล้ว การที่เราหันหลังให้มิติทางจิตวิญญาณเช่นนี้เอง เป็นเหตุให้ชีวิต จิตใจของเราเสียสมดุล กายของเราได้รับการปรนเปรออย่างดีด้วยเครื่องอำนวยกิเลสสารพัด แต่จิตใจของเรากลับแห้งโหย ห่อเหี่ยว ขาดแคลนความสุข ต่ำทราม บางทีก็เลยไปถึงขั้นคับแคบ เคียดแค้น มืดบอด ทำแต่งาน งาน งาน จนชีวิตผุพังบักโกรก งานสัมฤทธิ์ แต่ชีวิตไม่รื่นรมย์อีกต่อไป

วันโกน วันพระ จึงมีความหมายมากกว่าวันหยุดประจำสัปดาห์ แท้ที่จริงแล้ว คือ วันยกระดับจิตวิญญาณ หรือคือวันสร้างสมดุลงานสมดุลชีวิตต่างหาก

๒. ศีลข้อที่ ๗ ที่ว่า “เว้นการฟ้อนรำ ขับร้อง ประโคมดนตรี ประดับร่างกายด้วยดอกไม้ ของหอม เครื่องประดับ เครื่องทา (ประทินผิว) และเครื่องย้อม” นั้น ถ้าว่าโดยเจตนารมณ์ของศีลข้อนี้ ก็คือ ต้องการให้งดเว้นจากการประดับตกแต่งอันเป็นการยั่วยวนกวนกิเลส (ทั้งกิเลสของตัวเองและกิเลสที่จะเกิดขึ้นกับคนอื่น) ให้ฟูขึ้นมานั่นเอง การทาแป้งหอมโดยมีเจตนาเพื่อให้เย็นสบายในเวลานอน ก็นับว่า เป็นการ “พะนอกิเลส” รูปแบบหนึ่ง จึงนับว่า ไม่ควร แต่ถ้าทาเพราะบำบัดแก้ไขผด ผื่น คัน ซึ่งมุ่งความสบายหายโรค ไม่ใช่เกิดจากการตามใจกิเลส ก็สามารถทำได้ กล่าวอีกนัยหนึ่งว่า ถ้าใช้เครื่องประทินผิว เพื่อสนองกิเลส ทำไม่ได้ ถ้าใช้เพื่อเป็นยา ทำได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 เม.ย. 2010, 20:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปุจฉา
กฎแห่งกาม,กฎแห่งกรรม

1. การมีอะไรกับคนโสดด้วยกัน ด้วยความเต็มใจทั้งสองฝ่าย หรือ free * กับคนโสดถือว่าผิดศีลข้อ 3 ไหมคะ

2. การดูสื่อลามกแล้วช่วยตัวเอง ผิดศีลข้อ 3 ด้วยหรือเปล่าคะ

3. การที่เราไปไล่จีบแฟนชาวบ้าน (เขายังไม่ได้แต่งงานกัน) ถ้าไม่สำเร็จจะถือว่าผิดศีลข้อ 3 ไหมคะ แล้วถ้าสำเร็จ จะเป็นกรรมหนักเท่ากับการผิดลูกผิดเมียคนที่แต่งงานแล้วหรือไม่คะ

4. คนที่รักเพศเดียวกันแล้วมีอะไรกับเพศเดียวกัน แต่ไม่นอกใจกันและใช้ชีวิตคู่เหมือนกับชายหญิงทั่วไป ในกรณีนี้ การรักกันของคนเพศเดียวกันและมีอะไรกับเพศเดียวกัน ถือว่าผิดศีลหรือเปล่าคะ





วิสัชนา

๑. ถ้าดูตามเจตนารมณ์ของศีลข้อ ๓ ก็น่าจะผิด เพราะแม้คนโสดจะถือว่ายังไม่มีคู่ครอง แต่คนโสดก็ไม่ใช่คนตัวเปล่าเล่าเปลือย ในศีลข้อที่ ๓ นั้น ท่านอธิบายว่า คนโสดแท้ที่จริงก็เป็นคนมี “เจ้าของ” ด้วยเหมือนกัน นั่นคือ ยังคงมีพ่อแม่ ผู้ปกครอง พี่น้อง เป็นเจ้าของชีวิตร่วมอยู่ด้วย ดังนั้น ไม้ไม่มีเจ้าของที่หมายถึงคู่สมรส แต่ก็มีเจ้าของที่หมายถึง ผู้ให้ชีวิตอย่างพ่อแม่ หรือผู้ร่วมสายโลหิต เช่น ญาติพี่น้อง เป็นต้น

เจตนารมณ์ของศีลข้อที่ ๓ ก็เพื่อป้องกันการมีเพศสัมพันธ์ที่ “ขาดความรับผิดชอบ” ทั้งต่อตัวเองและต่อคู่สมรส เมื่อพิจารณาในแง่นี้ การมีเพศสัมพันธ์กับคนโสดในลักษณะมีความ “สัมพันธ์” แต่ “ไม่ผูกพัน” นั้น พินิจให้ดีก็จะเห็นว่า เป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ที่ไร้ความรับผิดชอบดีๆ นี่เอง ความสัมพันธ์อย่างนี้ ค่อนไปทางปรัชญาของการมีกิ๊กที่งานวิจัยระบุว่า “กิ๊กไม่ใช่ชู้ แต่ถ้าแฟนรู้ต้องเลิก” คือ สัมพันธ์กันสนุกๆ ขำๆ แต่เวลาเกิดปัญหาขึ้นมา ปัญหานั้น มักเป็นปัญหาจริงๆ ที่โดยมากมักขำไม่ออกกันทั้งนั้น

๒. หากการช่วยตัวเองนั้น เป็นไปในลักษณะไม่หมกมุ่น ก็น่าจะเป็นเรื่องที่พอยอมรับได้ คือ ไม่ผิดศีลข้อที่ ๓ นั่นเอง

๓. ถ้าไม่สำเร็จ ก็อันตราย เพราะเป็น “ฉายาแห่งการละเมิด” (ศัพท์ทางวินัย) หมายความว่า แม้ไม่สำเร็จ แต่ก็เป็นเค้าลางแห่งการละเมิดจริยธรรมทางเพศที่เริ่มก่อตัวขึ้นมาแล้ว จึงเป็นพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ ส่วนถ้าทำสำเร็จ ก็เท่ากับละเมิดศีลข้อที่ ๓ โดยสมบูรณ์ ผลในปัจจุบันก็คือ ตัวเองเดือดเนื้อร้อนใจ หากถูกจับได้ก็ครอบครัวแตกแยก ผลในอนาคตที่จัดเป็นวิบากก็คือ อาจมีชีวิตที่ต้องทนทุกข์เพราะเรื่องทางเพศเป็นเหตุ เช่น อาจเกิดในเพศบัณเฑาะก์ อาจถูกรุมกระทำชำเรา อาจมีปัญหาฮอร์โมนทางเพศผิดปกติ ทำให้มีจิตใจและพฤติกรรมทางเพศเบี่ยงเบนผิดปกติ จนทำให้มีความทุกข์กลุ้มรุมสุมทรวง หรือไม่สามารถมีสถาบันครอบครัวที่อบอุ่นเหมือนอย่างคนอื่นเขา เป็นต้น

๔.ถ้าเป็นความรักแท้ของคนทั้งสองคน โดยไม่มีพฤติกรรมละเมิดจริยธรรมทางเพศ คือ รักเดียวใจเดียวเหมือนคู่สมรสปกติทั่วไป ก็ไม่น่าจะผิด

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 เม.ย. 2010, 21:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปุจฉา
ทำเหตุให้มาก ปล่อยวางในผล

ดิฉันเป็นทุกข์มาก เหนื่อยกับการเป็นคน Perfectionist ของตัวเอง ทำทุกอย่างต้อง Perfect จะทำอย่างไรดีคะ

ขอขอบพระคุณพระคุณเจ้ามากค่ะ





วิสัชนา

วิสัชนา

ก่อนอื่นเราคงต้องมาสำรวจกันดูก่อนว่า รูปแบบในการทำงานของคนทั่วไปนั้นเป็นอย่างไร

การทำงานของคนเรานั้น เมื่อกล่าวอย่างรวบรัดแล้วก็สามารถแบ่งได้เป็น ๓ รูปแบบด้วยกัน

(๑) ทำงานด้วยความจำใจ

(๒) ทำงานด้วยความจำเป็น

(๓) ทำงานด้วยความจำหลัก

ประเภทที่ ๑ ทำงานด้วยความจำใจ หมายถึง คนที่เติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่พ่อแม่มีธุรกิจหลักของครอบครัวอยู่แล้ว ไม่ว่าลูกจะชอบหรือไม่ชอบ รักหรือไม่รัก แต่เมื่อถึงเวลาทำงานก็ต้องรับภาระหน้าที่ในการสืบทอดธุรกิจของครอบครัวต่อไป

การทำงานในลักษณะนี้ สำหรับบางคนในช่วงแรกอาจเป็นความทุกข์ ความอึดอัดขัดข้อง เกิดความรู้สึกเหมือนได้แต่งงานกับคนที่ตนไม่รัก แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้ แต่เมื่อทำไปจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตแล้ว ในที่สุดก็จะสามารถยอมรับสภาพของตนเองได้ ส่วนคนที่ยอมรับสภาพไม่ได้ ยิ่งทำงาน คุณภาพชีวิตยิ่งลดลง งานได้ผล แต่คนอาจไม่มีความสุข

ประเภทที่ ๒ ทำงานด้วยความจำเป็น หมายถึง คนที่ได้ทำงานที่ตนไม่รัก ไม่ชอบ ไม่ถนัด ที่แย่ยิ่งกว่านั้นก็คือ บางทีค่าตอบแทนก็แสนจะน้อย ความเครียด ความขัดแย้งในที่ทำงานก็สูง แต่เพราะมองไปทางไหนก็ไม่มีทางไปที่ดีกว่า ก็เลยต้องจำใจก้มหน้าทำงานนั้นๆ ไป ยิ่งทำงาน คุณภาพชีวิตยิ่งหดหาย รายได้ต่ำ ความเครียดสูง

การทำงานในลักษณะที่สองนี้ คือ สภาพของคนทำงานส่วนใหญ่ในโลกนี้ ซึ่งโดยมาก ได้งานทำเพราะสภาพเศรษฐกิจและสังคมบีบบังคับให้ต้องเลือกทำอะไรสักอย่างหนึ่ง เพราะหากไม่ยอมทำงาน ก็หมายความว่า ตัวเองและครอบครัวจะต้องเดือดร้อน กินไม่อิ่ม นอนไม่อุ่น

ประเภทที่ ๓ ทำงานด้วยความจำหลัก หมายถึง คนที่ได้ทำงานในสิ่งที่ตนรัก หรือได้ทำงานที่สอดคล้องกับความใฝ่ฝัน ความถนัดของตนเอง เช่น อยากเป็นหมอ ก็ได้เป็นสมใจอยาก อยากเป็นนักธุรกิจ อยากเป็นนักการเมือง อยากเป็นนักหนังสือพิมพ์ อยากเป็นดารา ฯลฯ ล้วนแล้วแต่ได้ทำงานตามที่ตนต้องการสมใจอยาก

การทำงานในลักษณะที่สามนี้ สิ่งที่จะได้รับอย่างเห็นได้ชัดก็คือ

๑) งานก็ได้ผล

๒) คนก็เป็นสุข

แต่ในโลกนี้ มีคนเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ที่ได้ทำงานตรงกับที่ตนปรารถนา ใครได้ทำงานตามที่ตัวเองใฝ่ฝัน คนๆ นั้น ก็เหมือนกับได้แต่งงานกับคนที่ตนรัก ยิ่งทำงาน ยิ่งมีความสุข ยิ่งทำงาน ยิ่งค้นพบความเป็นเลิศ ยิ่งทำงาน ยิ่งสามารถสร้างสรรค์ “ของชิ้นเอก” ฝากไว้ให้โลกจดจำรำลึกถึง เหมือนดาวินชี บรรจงรังสรรค์ภาพโมนาลิซ่าอันลือชื่อ เหมือนบีโธเฟ่น สามารถรังสรรค์ดุริยกวีเอาไว้ขับกล่อมชาวโลก เหมือนเช็คสเปียร์นฤมิตวรรณกรรมอมตะมากมายไว้ประโลมใจชาวโลกให้รื่นรมย์

ปราชญ์ท่านหนึ่งกล่าวว่า

“เมื่อความรักในงานมาพร้อมกับความสามารถ แน่นอนว่า ต้องได้งานชิ้นเอก”

อุปนิสัยการทำงานในแบบ Perfectionist (สมบูรณ์แบบนิยม) ในลักษณะ “เก็บทุกเม็ด” ราวกับมีบรรพบุรุษเป็น “คุณย่าละเมียด คุณแม่ละไม คุณนายละเอียด” นั้น มีทั้งข้อดีและข้อเสีย

ข้อดีก็คือ จะทำให้เป็นคนทำงานคุณภาพชนิด “จำหลักไว้ในใจชน” (เข้าหลักเกณฑ์ที่ ๓) ไม่ว่าจะจับทำอะไรก็ตาม ก็จะทำให้ได้งานคุณภาพทั้งหมด และคนประเภทนี้ หลังจากสร้างงานแล้ว งานจะย้อนกลับมาสร้างคน เหมือนผู้กำกับหนังชื่อก้องโลกอย่างจางอี้โหมว หรือสตีเว่น สปีลเบิร์ก พลันที่ปล่อยงานชิ้นหนึ่งหลุดมือออกไปสู่สาธารณชนแล้ว งานก็ได้สร้างชื่อเสียงให้เขามากมาย และทำให้เขาไม่เคยตกงานอีกเลยตลอดชีวิต

ข้อเสียก็คือ จะทำให้เป็นคนที่แบกความเครียดสูง สุขภาพจิตเสื่อม สุขภาพกายอ่อนแอ ไม่มีเวลาให้กับตัวเอง ครอบครัว หรือสิ่งสุนทรีย์ในชีวิตเช่น การท่องเที่ยว การเดินทาง การชื่นชมธรรมชาติ การดูหนังฟังเพลง การอ่านหนังสือ หรือแม้แต่การคบเพื่อน หรือที่หนักหน่อยก็กลายเป็นคนที่ป่วยหนักหนาสาหัสเพราะการทำงาน

ทางแก้สำหรับคนสมบูรณ์แบบนิยมก็คือ ควรถือหลักของนักปฏิบัติธรรมที่ว่า “ทำเหตุให้มาก ปล่อยวางในผล” หมายความว่า เวลาทำงาน จงทำให้เต็มที่ ทำให้ดีที่สุด แต่เมื่อทำแล้ว ต้องปล่อยวางเป็น ไม่ต้องคาดหวังสูงสุดจนนำเอางานเข้ามารวมกับลมหายใจ หรือเก็บไปฝัน จนไม่เป็นอันกินอันนอน เมื่อทำงานในส่วนของตนอย่างดีที่สุดแล้ว ครั้นส่งงานให้คนอื่น หรือแผนกอื่นแล้ว หากงานนั้นไม่เป็นไปตามความคาดหวัง ก็ควรเรียนรู้ที่จะยอมรับด้วยความเข้าใจว่า ในโลกนี้ ไม่มีใครได้ทุกอย่างดังใจหวัง และไม่มีใครพลาดหวังทุกอย่างไป ถ้าเราทำในส่วนของเราอย่างดีที่สุดแล้ว แม้ผลออกมาจะไม่เป็นไปอย่างที่หวัง ก็ไม่ควรเสียใจ

ประการสำคัญที่สุด คนที่เป็นนักสมบูรณ์แบบนิยมจะต้องถือหลักการทำงานแบบทางสายกลางที่ว่า “คนสำราญ งานสำเร็จ” คือ ทุกครั้งที่ทำงาน ให้ถือหลักคนทำงานต้องมีความสุข มีสุขภาพกายสุขภาพจิตที่ดี และมีผลงานที่มีความเป็นเลิศ ถ้าทำงานแล้วเกิดสภาพคนสำราญ งานสำเร็จเมื่อไหร่ ก็แสดงว่า ประสบความสำเร็จแล้วทั้งในโลกของการทำงานและการดำเนินชีวิต

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 เม.ย. 2010, 21:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปุจฉา
สมรู้ร่วมคิด,สมรู้ร่วมทำ,สมรู้ร่วมกรรม

ปุจฉา

เวลาดูรายการโทรทัศน์ที่ผู้หญิงบางคนรับสารภาพว่าเคยทำแท้ง เห็นคนที่เป็นทุกข์มีแต่ฝ่ายหญิงเท่านั้น ทั้งๆ ที่เวลาก่อกรรมก็ทำร่วมกันทั้งฝ่ายหญิงฝ่ายชาย ในความเป็นจริง เวลากรรมส่งผล ผู้ชายได้รับผลกรรมเหมือนที่ผู้หญิงได้รับหรือไม่ หรือว่าผู้ชายไม่ต้องรับกรรมอะไรเลย





วิสัชนา

วิสัชนา

การทำแท้งเป็นกระบวนการสุดท้ายของโศกนาฏกรรมแห่งชีวิตคู่ ความจริงก่อนหน้านั้นจะต้องมีกิจกรรม “ทับ-ท้อง” แล้วจึงค่อย “แท้ง” เหตุที่คุณมักจะพบว่า เวลามีทุกข์เห็นแต่ภาพผู้หญิงเท่านั้นที่ก้มหน้ารับกรรมอยู่ฝ่ายเดียว ก็เพราะการทำแท้งกิจกรรมหลักขึ้นอยู่กับผู้หญิงเป็นสำคัญ เนื่องจากเด็กหรือลูกนั้นอยู่ในท้องของเธอ เธอเป็นผู้อุ้มท้อง เป็นผู้เอาลูกออกจากท้อง เป็นผู้เจ็บปวดทางกาย และทางใจโดยตรงจากกิจกรรมนี้ ส่วนผู้ชายนั้น ถ้ารักกันอย่างดีก็แค่พาไปส่งถึงหน้าคลีนิค คอยดูต้นทาง หลังจากนั้นก็อาจกลับมาคบกันต่อ หรือต่างคนต่างไป หรือที่ร้ายหน่อยก็คือขู่ บังคับ ให้คนรัก หรือบางทีคู่นอนไปทำแท้ง หลังจากนั้นก็สลัดผู้หญิงทิ้ง ไปทำอะไรต่อมิอะไรได้อีกโดยไม่สนใจว่าหลังจากนั้นจะเกิดอะไรขึ้น

ความทุกข์ที่เกิดกับผู้หญิงนั้น เป็นความทุกข์ที่เข้มข้น เพราะเหตุต้นผลกรรมส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับเธอ ยิ่งถ้าเป็นผู้หญิงที่มีมโนธรรมในใจสูง เธอจะยิ่งทุกข์หนักหนาสาหัสเป็นทวีตรีคูณ เพราะการทำแท้ง กล่าวอย่างถึงที่สุดก็คือการฆ่าคนดีๆ นี่เอง

ความจริงการที่แม่ฆ่าลูกด้วยการทำแท้ง ก็คือ การที่แม่กำลังฆ่าตัวเองให้ตายไปจากความดีงามนั่นเอง แล้วรอยบาปนี้จะถูกบันทึกไว้ในกล่องดำแห่งความทรงจำไปตราบจนชีวิตจะหาไม่ นี่แหละ จึงทำให้คนเป็นแม่เจ็บปวดหนักหนาสาหัสยิ่งนัก

พระวิปัสสนาจารย์คนหนึ่งเล่าว่า เคยมีผู้หญิงคนหนึ่งที่เคยทำแท้งไปปฏิบัติธรรม ปรากฏว่า ตลอดเวลาหลายวันเธอไม่อาจข่มจิตให้นิ่งได้เลย วันหนึ่งเมื่อถึงเวลารายงานผลการปฏิบัติธรรม เธอจึงเล่าให้พระวิปัสสนาจารย์ฟังว่า จิตของเธอไม่เคยนิ่งเลย เพราะพอหลับตาลงเท่านั้นลูกของเธอก็จะมาหาเพื่อขอส่วนบุญทันที พระวิปัสสนาจารย์ฟังแล้วก็ยิ้มอย่างเข้าใจ ท่านจึงปลดปล่อยเธอจากโซ่ตรวนแห่งความทุกข์ด้วยการสอนว่า

“ความจริงลูกไม่เคยมาหาคุณเลย ลูกนั้น เมื่อคุณทำแท้งเขา เขาก็ได้แตกดับไปแล้วตั้งแต่ตอนนั้น ส่วนที่เหลืออยู่ก็คือความทรงจำในใจของคุณเท่านั้น ที่คุณบอกว่าลูกมาหานั้น ไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของคุณหรอก หากแต่เป็นเพียง “ความทรงจำ” อันเจ็บปวดของคุณที่ยังคงมีตัวตนอยู่ในจิตส่วนลึกเท่านั้น ถ้าคุณฝึกปฏิบัติจนสามารถยกจิตให้อยู่กับ “ปัจจุบันขณะ” ได้ ลูกของคุณก็จะหายไป...”

หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา เธอจึงตั้งใจฝึกวิปัสสนาอย่างเข้มข้น พอผลแห่งการเจริญสติสุกงอม เธอก็สามารถเห็น “ความคิด” และ “อดีต” ที่คอยผุดพรายมาทำร้ายเธอผ่านเครื่องมือที่ชื่อ “ความทรงจำ” และความ “รู้สึกผิด” ได้อย่างชัดเจน จนในที่สุด เมื่อเธอสามารถยกจิตให้ลอยพ้นอดีตได้ ความทุกข์จากอดีตก็หายไป เธอกลายเป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีอดีต หากเหลืออยู่แต่เธอที่เป็น “คนของปัจจุบัน” เท่านั้น

พลันที่สามารถยกจิตให้อยู่กับปัจจุบันได้ ความทุกข์จากการทำแท้ง ก็ไม่มีตัวตนอีกต่อไป ลูกที่เกิดจากการย้ำคิดย้ำทำ ของเธอก็หายไป เธอจึงลอยอยู่เหนือกรรมที่ก่อได้สำเร็จนับแต่ต่นั้นเป็นต้นมา

ส่วนสามีที่เคยสมรู้ร่วมคิด สมรู้ร่วมทำนั้น คุณไม่ต้องเป็นห่วงดอกว่ากฎแห่งกรรมจะไม่ส่งผล กฎแห่งกรรมจะตามผลิดอกออกผลแน่นอนไม่เร็วก็ช้า หลักการในเรื่องนี้มีอยู่ว่า เมื่อสมรู้ร่วมคิด สมรู้ร่วมทำ ก็ต้องเป็นผู้สมรู้ร่วม (รับ) กรรมอย่างไม่มีทางปฏิเสธ จริงอยู่ วันที่ผู้หญิงทุกข์ ผู้ชายอาจจะยังไม่ทุกข์ แต่ขอให้รู้ไว้เถิดว่า เขาหนีกรรมไม่พ้นแน่ อุปมาดั่งผู้ป่วยด้วยโรคมะเร็งที่ไม่รู้ว่าตัวเองป่วย เขาก็จึงมีชีวิตรื่นเริงอยู่ได้ การที่เขารื่นเริงไม่ได้หมายความว่าโรคมะเร็งทำอะไรเขาไม่ได้ มะเร็งกำลังเล่นงานเขาอยู่ทีเดียว ปัญหามีแต่เพียงว่า เขายังไม่รู้สึกตัวเท่านั้นเอง วันไหนที่เขารู้สึกตัวขึ้นมา วันนั้นเขาจะรู้เองว่า ความทุกข์นั้นหนักหนาสาหัสเพียงไหน การให้ผลของกฎแห่งกรรมก็เป็นเช่นนั้น

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 เม.ย. 2010, 21:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปุจฉา
งานไม่สัมฤทธิ์ ชีวิตไม่รื่นรมย์

ดิฉันมีปัญหาใคร่ขอกราบเรียนถามท่าน ว. วชิรเมธีดังนี้

ทุกวันนี้ ดิฉันไม่มีความสุขที่จะไปทำงานและไม่มีความสุขที่จะอยู่กับผู้ร่วมงานเลย โดยพื้นฐานแล้วดิฉันเป็นคนที่จริงจังกับชีวิต ไม่ค่อยพูดเล่นกับใครถ้าไม่สนิทด้วย ดิฉันย้ายที่ทำงานมาที่ใหม่ อยู่มาได้ปีกว่าแล้ว แต่ ยังไม่สนิทกับใครเลย ดิฉันทำงานไปเรื่อยๆโดยไม่ยุ่งกับใคร ไม่ทำให้ใครเดือดร้อนและไม่ทำร้ายใคร บ่อยครั้งคนในที่ทำงานคุยกัน เล่นกัน แต่ดิฉันจะนั่งเงียบๆ รู้สึกอึดอัดว่าเราเป็นตัวประหลาด ดิฉันไม่ทราบว่าจะพูดอะไรจริงๆ รู้สึกว่าตัวเองมีปมด้อยในการทำงานที่นี่ ทั้งๆที่มีตำแหน่งหน้าที่การงานดี ดิฉันอยากลาออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่กลัวเหลือเกินว่าในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ จะไม่ประสบความสำเร็จ ดิฉันขอกราบเรียนถามท่านว่า



1.ผิดไหมที่ดิฉันเป็นแบบนี้ และดิฉันจะต้องเปลี่ยนตัวเองเพื่อที่จะให้คนอื่นยอมรับหรือไม่ แค่คิดดี ทำดี ไม่เบียดเบียนใครพอหรือเปล่าคะ

2. กรุณาให้คำแนะนำถึงวิธีการที่จะทำงานและอยู่ร่วมกับคนอื่นได้อย่างมีความสุข และวิธีการเปลี่ยนแปลงตนเองให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เผชิญอยู่





วิสัชนา

การที่คุณเป็นคนมีบุคลิกภาพเงียบขรึม คงไม่ใช่ความผิดบาปอะไร เพราะเราแต่ละคนต่างก็มีบุคลิกภาพที่แตกต่างกันไปเป็นเรื่องธรรมดา แต่หากจะมีปัญหาขึ้นมาก็คงเป็นเพราะว่า คุณคงไปทำงานอยู่ในแวดวงของคนที่ไม่สอดคล้องกับบุคลิกภาพของคุณต่างหาก

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ งานกับคน ไม่สอดคล้องกัน จึงเกิดอาการผิดฝาผิดตัวขึ้นมา จนชีวิต การงาน สัมพันธภาพ ไม่ราบรื่น

นานมาแล้ว ผู้เขียนเคยมีลูกศิษย์คนหนึ่งที่มีปัญหาคล้ายๆ คุณ กล่าวคือ เขาเป็นคนไม่ค่อยพูด ชอบเก็บเนื้อเก็บตัว แต่ถึงกระนั้นก็สู้อุตส่าห์เรียนมาทางการตลาดจนจบ วันหนึ่งเมื่อถึงเวลาทำงาน ก็พบกับปัญหาใหญ่อันเนื่องมาแต่บุคลิกภาพกับงานที่ทำไม่สอดคล้องกัน เพราะงานในฐานะนักการตลาดนั้น ไม่ต้องการคนที่มีบุคลิกภาพเงียบๆ ขรึม ๆ ไม่สุงสิงกับใคร ไม่มีความทะเยอทะยาน เมื่อทนทำงานไปสักพักหนึ่ง ในที่สุดก็ต้องตัดสินใจลาออก หลังจากนั้นก็ได้งานใหม่ตามสายงานการตลาดที่เรียนมาเหมือนเดิมอีก แต่ทำไปไม่กี่เดือนก็ลาออกอีก วันหนึ่งนักการตลาดที่มีโลกส่วนตัวสูงคนนี้ ก็ได้ค้นพบว่า ปัญหาไม่ได้อยู่ที่งานอีกต่อไปแล้ว หากแต่อยู่ที่ตัวเองที่ไม่ชอบงานของนักการตลาด ที่ต้องเป็นคนหูไวตาไว มีความกระตือรือร้น คิดแคมเปญเก่ง ช่างพูดช่างจา มนุษยสัมพันธ์เยี่ยม เมื่อเกิดการ “ค้นพบ” อย่างถ่องแท้แล้ว จึงผันตัวเองไปทำงานส่วนตัวที่ได้ “เงียบสมใจ” ทุกวันนี้ ก็เลยมีความสุขดี เพราะได้มีโลกส่วนตัวสมใจ

กรณีของคุณถ้าเป็นไปในทำนองนี้ก็คงต้อง “คิดใหม่ ทำใหม่” ไม่เช่นนั้นแล้ว จะเกิดสภาวะ “คนไม่สำราญ งานไม่สำเร็จ” ยิ่งทำงาน ยิ่งเสียคุณภาพชีวิต

การทำงานนั้น ไม่ว่าจะทำงานอะไรก็ตาม ควรคำนึงถึงคุณภาพชีวิตด้วยเสมอไป เพราะหากคุณทำงานไป แต่ไม่ได้คุณภาพชีวิต ปัญหาทางจิต ปัญหาสุขภาพ รวมทั้งปัญหาสังคมคือการ “ต่อ” กับใครไม่ติดก็จะตามมา และหากเราทิ้งอาการอย่างนี้ไว้นานๆ วันหนึ่งเราก็จะเป็นเพียงคนที่ประสบความสำเร็จในการทำงาน แต่ทว่ากลับเป็นมนุษย์ที่ล้มเหลว

การคิดดี ทำดี นั้นมองเผินๆ ก็เหมือนจะพอแล้ว แต่หากมองให้ลึกซึ้งกว่านั้น ก็ควรจะเติมอะไรดีๆ เข้าไปได้อีกมากมายเช่น

-คิดดี

-พูดดี

-ทำดี

-มนุษยสัมพันธ์ดี

-รับผิดชอบดี

-อารมณ์ดี

-ใจดี

หากคุณยังไม่อยากลาออกจากที่ทำงานเก่า ก็ขอแนะนำให้คุณลองปรับตัวให้มีมนุษยสัมพันธ์ดีกว่าเดิม โดยปรับตัวตามแนวทางสร้างมนุษยสัมพันธ์ตามสูตรของพระพุทธเจ้า ๔ ประการ คือ

(๑) เอื้ออารี

(๒) วจีไพเราะ

(๓) สงเคราะห์มวลชน

(๔) วางตนเสมอสมาน

เอื้ออารี หมายถึง ฝึกการเป็นผู้ให้ เพราะผู้ให้ ย่อมได้รับการให้ตอบ การให้คือการเชื่อมไมตรีที่มีผลต่อสัมพันธภาพดีเยี่ยม ผู้รู้กล่าวว่า

“ผูกสนิทชิดเชื้อนั้นเหลือยาก

เหมือนเหล็กฟากผูกไว้ก็ไม่มั่น

ถึงผูกด้วยมนต์เสกลงเลขยันต์

ก็ไม่มั่นเหมือนผูกไว้ด้วยไมตรี”

คุณอาจหยิบยื่นอะไรให้ใครสักคนหนึ่งโดยไม่เคยหวังผลด้วยซ้ำ แต่บางทีหนึ่งครั้งที่คุณให้ออกไป อาจจารึกอยู่ในใจของผู้รับตราบนานเท่านาน ท่านพุทธทาสเคยกล่าวว่า “หากเรามีขนมอยู่ในมือชิ้นหนึ่ง เรากินคนเดียว ก็อิ่มแค่มื้อเดียว แต่หากแบ่งให้เพื่อน ขนมชิ้นนั้น จะอิ่มอยู่ในใจเพื่อนไปตลอดกาล”

วจีไพเราะ หมายถึง การเป็นคนพูดจาน่ารับฟัง ช่างพูดช่างจา มีวาทศิลป์ในการพูด รู้จักว่าเมื่อไหร่จะพูด เมื่อไหร่จะนิ่ง เมื่อไหร่ควรพูดเล่น เมื่อไหร่ควรพูดจริง การพูดเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดชนิดหนึ่งในการสร้างความสำเร็จ คุณลองสังเกตดูสิ คนสำคัญๆ ของโลกที่ประสบความสำเร็จ โดยมากล้วนแล้วแต่เป็นนักพูดเก่งๆ กันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นลินคอร์น, จอห์น เอฟ เคเนดี,มาติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์,หรือแม้แต่บารัค โอบาม่า พลังของการพูดนั้นมีมหาศาลสามารถเปลี่ยนทางน้ำ ย้ายขุนเขา สะกดทัพนับแสนก็ยังได้ หากคุณไม่ค่อยพูด ก็ลองบอกตัวเองใหม่สิว่า ธรรมชาติสร้างปากมาไม่เฉพาะแต่ใช้รับประทานอาหารเท่านั้น แต่ยังสร้างมาให้เรารู้จักการพูดจาอย่างมีวาทศิลป์อีกด้วย

สงเคราะห์มวลชน หมายถึง การเป็นคนมีอัธยาศัยไมตรีอันดี เข้ากับคนส่วนใหญ่ได้ เห็นใครทำอะไรแล้วไม่นิ่งเฉย มีจิตสำนึกสาธารณะ ชอบช่วยเหลือเกื้อกูลเพื่อนร่วมงาน เพื่อนมนุษย์ กล่าวอย่างสั้นที่สุด ก็คือ การไม่เห็นแก่ตัวนั่นเอง

วางตนเสมอสมาน หมายถึง การปรับตัวให้สามารถอยู่ร่วมกับเพื่อนร่วมงานได้อย่างปกติในลักษณะ “มีสุขร่วมเสพ มีทุกข์ร่วมต้าน” หากเราลงเรือพาย แต่เราไม่พายเรือเหมือนคนอื่น ก็คงไม่แคล้วต้องกลายเป็นคนแปลกแยก ถ้าคุณรู้ว่า คุณไม่ชอบพายเรือ ก็ไม่ควรจะไปนั่งอยู่ในเรือพาย ซึ่งเขาต้องการความร่วมมือร่วมใจ คุณควรออกไปหาที่นั่งที่เหมาะกับคุณจะดีกว่า

อย่างไรก็ตาม เท่าที่อ่านจากคำถาม คุณคงมีปัญหาในเรื่องมนุษยสัมพันธ์ แต่คุณไม่ได้มีปัญหาในแง่จิตวิทยาแน่ เพราะคุณสามารถวิเคราะห์ปัญหาของตนเองได้เป็นอย่างดีทีเดียว ดังนั้น ก็หวังว่า คำวิสัชนาที่เขียนมาข้างต้นนั้น คงจะทำให้คุณมองเห็นทางออกได้อย่างแน่นอน

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 เม.ย. 2010, 21:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปุจฉา
ศาสนาของปัญญาชน

ดิฉันมีเรื่องอยากจะเรียนถามท่าน ว. วชิรเมธีเกี่ยวกับด้านความเชื่อทางศาสนาค่ะ คือว่าดิฉันเกิดและเติบโตอยู่ในครอบครัวที่เคร่งในศาสนาคริสต์มากๆๆๆ มีคุณพ่อ และพี่ชายเป็นศาสนาจารย์ ส่วนคุณแม่ก็เป็นคริสเตียนที่เคร่งมากๆ ญาติๆ ก็เป็นคริสเตียนกันหมดทุกคน แต่เมื่อดิฉันได้พบกับพุทธศาสนา ได้เรียนรู้หลักธรรมะที่เป็นความจริงของชีวิต โดยเฉพาะเรื่องกรรม ทำให้รู้สึกว่าตนเองได้ค้นพบคำตอบของชีวิตแล้ว ดิฉันจึงอยากศึกษาธรรมะให้มากกว่านี้ และอยากดำเนินชีวิตตามวิถีพุทธ เพราะต้องการชีวิตที่สงบในบั้นปลาย

หากดิฉันเปลี่ยนไปนับถือศาสนาพุทธ พ่อแม่พี่น้องคงเสียใจมากแน่ๆ และคงรับไม่ได้ที่เราแหกคอกออกมาอย่างนี้ โดยเฉพาะพ่อที่เป็นผู้นำศาสนา คงทนไม่ได้

อันที่จริงดิฉันก็อายุมากแล้ว มีหน้าที่การงานที่มั่นคง สามารถตัดสินใจเลือกทางเดินชีวิตของตนเองได้ แต่ก็ยังอยากตอบแทนบุญคุณ และเป็นห่วงความรู้สึกของพ่อแม่ รวมถึงญาติพี่น้องเป็นอย่างมาก ทุกวันนี้ดิฉันจึงต้องใช้ชีวิตอย่างทรมาน เพราะเมื่อถึงวันอาทิตย์ก็ต้องฝืนใจไปโบสถ์ อยากจะปฏิบัติธรรม แต่ก็ทำไม่ได้ ได้แต่แอบอ่านหนังสือแทน

ดิฉันควรทำอย่างไรดีคะ ขอความกรุณาท่าน ว. ช่วยตอบปัญหานี้ด้วยค่ะ





วิสัชนา

ที่ประเทศอินเดียมีมหาบุรุษ ๒ คน คนหนึ่งคือมหาตมคานที ซึ่งมีคุณูปการต่อประเทศชาติอย่างใหญ่หลวง เพราะท่านเป็นผู้นำในการกอบกู้เอกราชโดยการใช้ธรรมะมาเป็นเครื่องมือ แต่เมื่อมีใครถามว่าท่านนับถือศาสนาอะไร ท่านก็จะบอกว่า หลักการที่ท่านนำมาใช้นั้นเป็นความจริงเก่าแก่ที่มีมาแต่โบราณ ความจริงดังกล่าวมานี้ เป็นความจริงที่ไม่มีสังกัด สามารถค้นพบได้ในทุกศาสนา ดังนั้นเมื่อมีชาวฮินดูมาถามคานทีว่านับถือศาสนาอะไร ท่านก็จะบอกว่าท่านนับถือศาสนาฮินดู แต่เมื่อมีชาวคริสต์มาถามท่าน ท่านจะบอกว่าท่านเป็นชาวคริสต์ ครั้นมีชาวพุทธมาชวนคุย ท่านก็พูดถึงพุทธธรรมได้อย่างออกรส คานทีจึงเป็นได้ทั้งคริสต์ พุทธ ฮินดู โดยที่ไม่เคยต้องขัดแย้งกับใครด้วยเรื่องศาสนา ปฏิปทาของคานทีคือตัวอย่างที่ดีของการเป็นศาสนิกที่เนื้อหาสาระ ซึ่งเป็นสาระสำคัญของการนับถือศาสนาที่ถูกต้อง มหาบุรุษอีกคนหนึ่งคือเยาหราลเนรู ใครๆ ถามว่าท่านนับถือศาสนาอะไร ท่านก็ตอบว่าท่านเป็นฮินดู แต่เมื่อท่านขึ้นเป็นนายกฯคนแรกของอินเดีย ท่านกลับเอารูปสิงห์ ๔ ตัวจากเสาพระเจ้าอโศก มาเป็นตราแผ่นดินและเอาธรรมจักรที่วางอยู่เหนือเสาพระเจ้าอโศกมาเป็นสัญลักษณ์ในธงประจำชาติ และเมื่อถึง พ.ศ ๒๕๐๐ อันเป็นปีเกิดพุทธกาล ท่านก็มีบัญชาให้ปลูกต้นโพธิ์ ๒,๕๐๐ ต้นทั่วกรุงเดลี ทั้งคานทีและเนรูคือศาสนิกที่ดีของฮินดู แต่ในวิถีชีวิตทั้ง 2 ท่านเป็นชาวพุทธอย่างไม่ต้องสงสัย

การนับถือศาสนามี ๒ ประเภท

1. นับถือแต่เปลือกอย่างผิวเผิน

2. นับถือที่เนื้อหาสาระดัวยการก้าวข้ามพิธีรีตองเปลือกนอกไป แล้วนำเอาธรรมะมาใช้ในชีวิตประจำวัน ในกรณีของคุณก็เช่นกัน เมื่อคนทั้งบ้านของคุณนับถือศาสนาคริสต์ คุณก็สามารถเป็นศาสนิกที่ดีได้ โดยไม่ต้องขัดแย้งกับใคร แต่ขณะเดียวกันในแง่จิตใจ คุณก็สามารถเป็นชาวพุทธที่ดีได้ การเป็นชาวพุทธที่ดีนั้นไม่เรียกร้องต้องการอะไรมาก คุณอาจไม่จำเป็นต้อง

ไปวัดทุกวันพระ หรือไม่จำเป็นต้องสวดมนต์เก่ง หรือไม่จำเป็นต้องกราบเบญจางคประดิษฐ์อย่างถูกต้อง ขอเพียงแค่คุณทำอะไรก็ตาม คุณทำสิ่งนั้นอย่างมีสติ ทำอย่างมีเหตุผล และคุณเป็นคนที่ถือศีล ๕ อยู่ในชีวิตประจำวัน หากคุณทำได้แค่นี้ คุณก็สามารถเป็นชาวพุทธที่ดีโดยไม่ต้องเปลี่ยนศาสนา

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 17 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร