วันเวลาปัจจุบัน 19 มิ.ย. 2025, 18:27  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 17 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.พ. 2010, 19:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




Y4775273-7.jpg
Y4775273-7.jpg [ 13.72 KiB | เปิดดู 6778 ครั้ง ]
กัณฑ์ที่ ๖๑
ภารสุตฺตกถา



นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ฯ



ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา ภาราหาโร จ ปุคฺคโล
ภารา ทานํ ทุกฺขํ โลเก ภารานิกฺเขปนํ สุขํ
นิกฺขิปิตฺวา ครุ ภารํ อัญฺญํ ภารํ อนาทิย
สมูลํ ตณฺหํ อพฺพุยฺห นิจฺฉาโต ปรินิพฺพุโตติ ฯ


:b42: :b42: :b42:


แก้ไขล่าสุดโดย หลับอยุ่ เมื่อ 01 ก.พ. 2010, 20:22, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.พ. 2010, 19:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




Y4775273-7.jpg
Y4775273-7.jpg [ 13.72 KiB | เปิดดู 6773 ครั้ง ]
ณ บัดนี้ อาตมภาพจะได้แสดงธรรมิกถาแก้ด้วย ภารสุตฺตกถา วาจาเครื่องกล่าวปรารภ
ซึ่งพระพุทธพจน์แสดงในเรื่องภาระของสัตว์โลก สัตว์โลกทุกข์ยากในเรื่องภาระทั้งหลายเหล่านี้นัก จะชี้แจงแสดงตามวาระพระบาลีและคลี่ความเป็นสยามภาษาตามอัตตโนมตยาธิบาย เพราะว่าเราท่านทั้งหลาย หญิงชาย คฤหัสถ์บรรพชิต ล้วนแต่ต้องมีภารกิจหนักอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น ทุกข์ยากลำบากเดือดร้อนลำเค็ญอยู่ต่าง ๆ ก็เพราะอาศัยภาระเหล่านี้ ภาระเหล่านี้เป็นของสำคัญ
สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเห็นภาระอันใหญ่ยิ่ง
ดังนั้นจึงได้ทรงแสดงภารสูตรว่า ภารา หเว ปัญฺจกฺขนฺธา ว่าขันธ์ทั้ง ๕ เป็นภาระหนักแท้ เป็นภาระโดยแท้
ภาราหาโร จปุคฺคโล ก็บุคคลนำภาระไป
ภาราทาน ทุกฺขํ โลเก ถือภาระไว้เป็นทุกข์ในโลก
ภารานิกฺเขปนํ สุขํ วางภาระเสียเป็นสุข
นิกฺขิปิตฺวา ครุ ภารํ บุคคลวางภาระอันหนักแล้ว
อญฺญ ภารํ อนาทิย ไม่ฉวยเอาภาระอื่นมาเป็นภาระอีก
สมูลํ ตณฺหํ อพฺพุยฺห เป็นผู้ถอนตัณหาทั้งรากเสียได้
นิจฺฉาโต ปรินิพพฺพุโตติ ความปรารถนาดับสิ้น ชื่อว่านิพพานได้ ดังนี้
นี่ตามวาระพระบาลีคลี่ความเป็นสยามภาษา



ต่อแต่นี้จะอรรถาธิบายขยายความในเรื่องภาระหนักของสัตว์โลก
หญิง ชาย คฤหัสถ์ บรรพชิต ทุกถ้วนหน้า ขันธ์ทั้ง ๕ เป็นภาระ
ภารา หเว ปญฺจกฺขนฺธา รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ของมนุษย์นี้ ที่มนุษย์อาศัยเรียกว่าขันธ์ ๕ นี้แหละ จะเป็นหญิงเป็นชายเป็นเด็กเป็นผู้ใหญ่ ก็ต้องอาศัยขันธ์ ๕
อาศัยรูปอย่างหนึ่ง คือ ร่างกาย อาศัยเวทนา คือความสุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์
อาศัยสัญญา คือความจำ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพารมณ์
อาศัยสังขาร คือ ความปรารถนาดี ชั่ว ไม่ดีไม่ชั่ว
อาศัยวิญญาณ คือความรู้แจ้ง
ขันธ์ทั้ง ๕ นี่แหละ เรียกว่าเป็นภาระ เป็นภาระอย่างไร
เราต้องพิทักษ์รักษา เอาใจใส่ หยุดก็ไม่ได้ เวลาเช้าตื่นจากที่นอนแล้วเราต้องล้างหน้าบ้วนปากให้มัน ไม่เช่นนั้นมันเหม็น
ปวดอุจจาระ ปัสสาวะ ต้องไปถ่าย พอเสร็จแล้วมันจะรับประทานอาหาร ต้องไปหามาให้
ต้องการอะไร เป็นต้องไปเอามาให้ เมื่อไม่เอามาให้ไม่ได้ อยากอะไรก็ต้องไปหามา
ไม่ใช่แต่เท่านั้น ไม่ว่าอยากอะไรต้องไปหาให้มัน ถ้าไม่หาให้มันไม่ยอม
นี่เป็นภาระอย่างนี้เราต้องทำทุกสิ่งทุกอย่าง ในอัตตภาพร่างกายนี้เป็นภาระทั้งนั้น
มันอยากจะเห็นอะไรต้องหาให้มัน ไม่สบายต้องแก้ไขไปอีก ต้องนำภาระไปอย่างนี้ มันบอกว่าที่นี่อยู่ไม่สบาย ต้องหาที่อยู่ให้มัน มันจะอยู่ตรงนั้นตรงนี้ตามเรื่องของมัน ต้องเป็นภาระทุกสิ่งทุกอย่างไป
นี่แหละเรียกว่าเป็นภาระอย่างนี้
ยุ่งกับลูกหญิงลูกชาย ซึ่งเป็นภาระของพ่อแม่
ภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา ก็เป็นภาระของสมภาร
ในบ้านในช่องทั้งครอบครัว เป็นภาระของพ่อบ้านแม่บ้าน
ราษฎรทั้งประเทศเป็นภาระของพระเจ้าแผ่นดิน ผู้ปกครองประเทศ
ข้าวของแพงเหล่านี้ก็เป็นภาระของผู้ปกครองประเทศ



ภาระทั้งหลายเหล่านี้ไม่อัศจรรย์เท่าภาระของขันธ์ ๕ นี้
ลำพังขันธ์ ๕ นี้ จำเพาะตัวของมันก็ยังไม่สู้กระไรนัก
ผู้ใดไม่พอก็หาภาระเพิ่มอีก
๕ ขันธ์ เป็น ๑๐ ขันธ์ ไปเอาอีก ๕ ขันธ์ เป็น ๑๕ ขันธ์ ไปเอาอีก ๕ ขันธ์ เป็น ๒๐ ขันธ์ เป็น ๒๕, ๓๐, ๓๕, ๔๐, หนักเข้าถึงร้อย พันขันธ์ ที่ทนไม่ไหว เพราะเหตุว่าภาระเหล่านี้มันหนัก ไม่ใช่ของเบาเมื่อมีภาระเหล่านี้จะเป็นภาระ ๕ ขันธ์ก็ดี ภาระอื่นจาก ๕ ขันธ์ก็ดี ภาระเหล่านี้แหละ
ภาราหาโร จ ปุคฺคโล บุคคลถือภาระนี้ไว้กี่ขันธ์ก็ช่าง
บุคคลนำภาระนี้ไป บุคคลต้องนำทุกข์ของตัวไป
เพราะมีขันธ์ ๕ ด้วยกันทั้งนั้น บุคคลนำภาระไป
ภาราทานํ ทุกฺขํ โลเก ถ้าว่าไปถือภาระนี้ไว้ ตำรากล่าวว่าเป็นทุกข์ในโลก
ถึงจะหมดขันธ์ ๕ ก็อย่าถือมัน วางธุระเสีย ถ้าไปถือมัน ก็เป็นทุกข์ในโลก แปลว่าถ้าถือภาระไว้เป็นทุกข์ในโลก
ภารานิกฺเขปนํ สุขํ ปล่อยวางภาระเสีย ปล่อยขันธ์ ๕ นั่นเองเป็นสุข ถือไว้เป็นทุกข์ ปล่อยขันธ์ ๕ นั่นเองเป็นสุข ถือไว้เป็นทุกข์ ปล่อยเป็นสุข
นิกฺขิตฺวา ครุ ภารํ อัญฺญํ ภารํ อนาทิย สมูลํ ตณฺหํ อพฺพุยฺห แม้ปล่อยภาระที่หนักเสียแล้ว ไม่ฉวยเอาภาระของคนอื่นเข้ามา ปล่อยขันธ์ ๕ นี่ ไปเอาขันธ์ ๕ นั่น ไปเอาขันธ์ ๕ โน่น นี่เรียกว่าไปเอาภาระอื่นเข้ามาถือไว้อีก
ถ้าปล่อยเสียแล้วไม่ถือไว้ ก็ชื่อว่าเป็นผู้ถอนตัณหาทั้งรากได้สิ้นเชื้อทีเดียว
นิจฺฉาโต ปรินิพฺพุโต มีความปรารถนาดับสิ้น ชื่อว่านิพพานได้ดังนี้เราจะได้รับความสุข ก็เพราะปล่อยภาระเหล่านี้เสีย เราได้รับความทุกข์ก็เพราะถือภาระเหล่านี้
การที่ปล่อยไม่ใช่ของง่าย การที่ถือง่าย การปล่อยยาก เหมือนรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ของตัวนี้
ท่านก็เทศน์กันนักกันหนาว่าเป็น อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา
เราก็ไม่ยอมดี ๆ เราก็เชื่อว่าเที่ยง เป็นสุข เป็นตัว แต่อย่างนั้นเราก็ต้องบริหารรักษาของเรา
ที่เราจะยอมลงความเห็นเด็ดขาดไม่ได้
เพราะเหตุว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร ตลอดวิญญาณทั้ง ๕ อย่างนี้เราต้องอาศัยทุกคน สัญญา สังขาร วิญญาณออกเสีย เราก็ไม่มีที่อาศัย เราต้องอาศัยแต่ว่าอย่าไปถือมัน รู้ว่าอาศัย
เป็นของไม่เที่ยงเป็นทุกข์ไม่ใช่ตัว เป็นไปตามสภาพอย่างไร เราไม่ควรยึดถือ ปล่อยตามสภาพของมันอย่างนี้
ทุกข์ก็น้อยลง ต่อเมื่อไรถือมันมันก็เป็นทุกข์มาก เป็นภาระหนักขึ้น




เหตุนี้พระองค์ทรงเห็นแล้วว่าขันธ์ทั้ง ๕ เป็นภาระสำคัญและหนักด้วย ใครปล่อยวางขันธ์ ๕ ละไม่ได้
ผู้นั้นต้องเวียนว่ายตายเกิด
ผู้ใดปล่อยได้ผู้นั้นนับวันจะหมดชาติหมดภพ จะมีนิพพานเป็นที่ไปในเบื้องหน้า
ที่เทศนานี้ล้วนสอนให้ถอดขันธ์ ๕ ออกเป็นชั้น ๆ ไป
แต่ว่าจะถอดขันธ์ ๕ จะถอดอย่างไร
มันเหมือนมะขามสด เนื้อกับเปลือกมันติดกันไม่หลุดไม่กรอกจากกัน ไม่ล่อนจากกัน ถอดไม่ได้
เรายังไม่เห็นขันธ์ ๕ ต่อเมื่อใดถอดขันธ์ ๕ เราจะเห็นขันธ์ ๕

เห็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นี่เรารู้เห็นด้วยตามมนุษย์ รูปเราเห็นได้ เวทนาเราก็เห็น หน้าตาแช่มชื่นดี เราก็รู้ว่าสุข
เรื่องสัญญา สังขาร วิญญาณ เราก็ไม่เห็น
เราจะต้องเห็นทั้ง ๕ อย่างจึงจะละได้วางได้ ถ้าไม่เห็นขันธ์ทั้ง ๕ อย่าง ละวางไม่ได้


ถ้าอยากเห็นขันธ์ ๕ เราต้องถอดกายออกเป็นชั้น ๆ ต้องถอดกายทิพย์ออกจากกายมนุษย์ วิธีจะถอดขันธ์ไม่ใช่เป็นของง่าย
เป็นของยากหมื่นยากแสนยากทีเดียว

แต่วิธีเขามีที่วัดปากน้ำ วิธีเข้ากายถอดขันธ์ คือ ทำจิตใจให้หยุดให้นิ่งที่กำเนิดเดิม ถอดขันธ์ออกไปแล้วจึงเห็นขันธ์ถอดขันธ์ ๕ ของมนุษย์ออกจากขันธ์ ๕ ของทิพย์
ถอดขันธ์ ๕ ของทิพย์ออกจากขันธ์ ๕ ของรูปพรหม
ถอดขันธ์ ๕ ของรูปพรหมออกจากขันธ์ ๕ ของอรูปพรหม
ถอดขันธ์ ๕ ของอรูปพรหมออกจากธรรมกาย เหมือนถอดเสื้อกางเกงอย่างนั้น
แต่ว่าต้องถอดเป็น ถอดไม่เป็นก็ถอดไม่ได้


แก้ไขล่าสุดโดย หลับอยุ่ เมื่อ 22 มี.ค. 2010, 13:54, แก้ไขแล้ว 11 ครั้ง.
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.พ. 2010, 19:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




8path.gif
8path.gif [ 103.1 KiB | เปิดดู 6770 ครั้ง ]
วิธีถอดมี ต้องทำใจของตัวให้หยุดให้นิ่ง เห็น อย่างหนึ่ง จำ อย่างหนึ่ง คิด อย่างหนึ่ง รู้ อย่างหนึ่ง หยุดนิ่งเหมือนอย่างกุมารน้อยอยู่ในท้องมารดา ใจหยุดที่กำเนิดเดิมคือศูนย์กลางกายของกายมนุษย์ กำเนิดเดิมแค่ราวสะดือ เอาใจหยุดที่ตรงนั้นพอถูกส่วนถูกที่เข้าเท่านั้นแหละ ก็เกิดเป็นดวงใส นั่นแหละเรียกว่า ปฐมมรรค หรือศีล เป็นดวงศีล หยุดนิ่งต่อไป ถูกส่วนเข้าจะเห็น ดวงสมาธิ เข้าไปหยุดนิ่งกลางดวงสมาธิ จะเห็นดวงปัญญา หยุดนิ่งกลางดวงปัญญา เห็นดวงวิมุตติ หยุดนิ่งที่กลาง ดวงวิมุตติ จะเห็นดวงวิมุตติญาณทัสสนะ ก็เห็นกายทิพย์
กายมนุษย์กายทิพย์หลุดจากกันแล้ว เห็นกายทิพย์แล้วเหมือนมะขามกรอก กายมนุษย์เป็นเปลือกไป กายทิพย์เป็นเนื้อไป
เป็นคราบงูที่ลอกออกไปเป็น เนื้อมะขามใสเห็นชัดอย่างนี้
กายมนุษย์หลุดออกไป ขันธ์ ๕ ของมนุษย์หลุดออกไป เหลือกายทิพย์แล้วก็ทำวิธีอย่างนี้
วิธีถอดเข้าไปศูนย์ว่างของกลางกายทิพย์ แล้วก็ใจหยุดนิ่งที่กลางกำเนิดของกายทิพย์
หยุดถูกส่วนเห็นเป็นดวงใส เรียกว่าดวงศีล ใจหยุดนิ่งกลางดวงศีลนั่นแหละ เห็นดวงสมาธิ ว่างกลางดวงสมาธิเห็นดวงปัญญา
ว่างกลางดวงปัญญาเห็นดวงวิมุตติ
ว่างกลางดวงวิมุตติเห็นดวงวิมุตติญาณทัสสนะ
พอถึงดวงวิมุตติญาณทัสสนะจะเห็น กายรูปพรหม ถอดจากกายทิพย์อีกแล้ว
เหมือนมะขามกรอกอีกแล้ว
ทำเข้าสิบเข้าศูนย์ถูกส่วนในกายรูปพรหมเข้าอีก
พอหยุดถูกส่วนจะเห็นดวงใส คือดวงศีล
หยุดนิ่งกลางดวงศีล เห็นดวงสมาธิ
หยุดนิ่งกลางดวงสมาธิ เห็นดวงปัญญา
หยุดนิ่งกลางดวงปัญญา เห็นดวงวิมุตติ
หยุดนิ่งกลางดวงวิมุติ เห็นดวงวิมุตติญาณทัสสนะ
เห็นกายอรูปพรหม ถอดออกจากกายรูปพรหมเหมือนกับมะขามกรอกอีกแล้ว
กายรูปพรหมเหมือนเปลือกมะขาม ทำอย่างนี้อีก
เข้าสิบเข้าศูนย์ให้ถูกส่วน ใจของกายอรูปพรหม พอถูกส่วนจะเห็นดวงใส ก็แบบเดียวกัน เป็นดวงศีล กลางว่างดวงศีล เห็นดวงสมาธิ กลางว่างดวงสมาธิ จะเห็นดวงปัญญา กลางว่างดวงปัญญา จะเห็นดวงวิมุตติ กลางว่างดวงวิมุตติจะเห็นดวงวิมุตติญาณทัสสนะ พอถึงดวงวิมุตติญาณทัสสนะ
ก็จะเห็น กายธรรม ถอดออกจากกายอรูปพรหม ใสเหมือนยังกับแก้ว
ถอดเป็นชั้น ๆ อย่างนี้ พอถึงกายทิพย์ก็มองดูกายทิพย์ กายมนุษย์ กายรูปพรหม กายอรูปพรหม เห็นชัดอย่างนี้
รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ของกายมนุษย์ ถอดออกจากกายทิพย์นั่น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ของกายทิพย์ถอดออกจากกายรูปพรหมนั่น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ของกายรูปพรหม
ถอดออกจากอรูปพรหมนั่น รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ของกายอรูปพรหม ถอดออกจากธรรมกาย ออกเป็น ๒๐ ขันธ์
ตัวคนเดียวถอดออกเป็น ๒๐ ขันธ์
พญามารเขาสอนให้ถอด ถอดกายอย่างนี้เป็นพวกของข้า ถ้าไม่ถอดกายไม่ยอม


แก้ไขล่าสุดโดย หลับอยุ่ เมื่อ 04 มิ.ย. 2010, 08:30, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.พ. 2010, 19:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




Y4775273-7.jpg
Y4775273-7.jpg [ 13.72 KiB | เปิดดู 6769 ครั้ง ]
พระพุทธเจ้าก็สอนพวกพุทธบริษัทถอดกายอย่างแล้วก็เข้านิพพานไป ถอดกายเหลือแต่กายธรรมอย่างนี้แหละ พญามารมันยอม เรียกว่า นิพพานถอดกาย อย่างชนิดนี้ให้เห็นชัด อย่างนี้เป็นวิธีถอดกาย
เรียกว่าเข้านิพพานถอดกาย นิพพาน ไม่ถอดกายยังมีอีก
หากว่าเอาวิธีไม่ถอดกายมาเทศน์ในเวลานี้ ถูกนัดถุ์ยา

เหตุนั้นต้องสอนวิธีถอดกายเสียก่อน วิชานี้เป็นวิชาพญามารสอนให้ภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา ถอดกายทิพย์ กายรูปพรหม กายอรูปพรหมออกเสีย
กายธรรม ก็ไม่มี
แม้จะผจญกับพญามารก็สู้ไม่ได้
ที่เอานางธรณีบีบน้ำท่วม มารจมน้ำ มันทำเล่น ๆ ทำหลอกเล่น ที่จริงที่แท้แพ้มัน
ที่แท้ทีเดียวต้องนิพพานไม่ถอดกาย
แต่ว่านี่มันยอมกันเข้ามามากแล้ว ต้องแสดงวิธีถอดกายไปพลาง ๆ ก่อน
แล้วจึงจะสอนไม่ถอดกายต่อไป
เมื่อรู้จักขันธ์ ๕ เป็นขันธ์ ๕ ให้ถอดขันธ์ ๕ เป็นชั้น ๆ ดังกล่าวแล้ว ก็ไม่มีอะไรยึดถือ
เพราะขันธ์ ๕ ของมนุษย์ เป็นชาติของกาม
กามก็อาศัยได้ในกายมนุษย์ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา มันเกาะอาศัยได้
ในกายมนุษย์ กายทิพย์ ส่วนกายรูปพรหม ภวตัณหาเกาะได้
กายอรูปพรหม วิภวตัณหา มันเกาะอาศัยได้
ต่อเมื่อถึงกายธรรมแล้วตัณหาเกาะไม่ได้ มันเกาะไม่ถึง ตัณหาเกาะไม่ได้ในกายธรรม ตัณหาซาบซึมไม่ได้
เราจะเอาน้ำหมึกรดกระจกเข้าไปมันก็ไม่เข้าไป
กายธรรมก็เหมือนแก้ว
เมื่อถึงกายธรรมแล้ว กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา เข้าไปไม่ได้
เพราะเป็นเนื้อแก้วที่สนิทละเอียดกว่า ไม่มีช่อง ไม่มีหนทางเอิบอาบซึมซาบได้เลย
เหมือนกระดาษแก้ว
ส่วนกายมนุษย์ กายทิพย์ กายรูปพรหม กายอรูปพรหมเหมือนกระดาษฟาง
มันเป็นที่ตั้งอาศัยของกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา
เมื่อถึงกายธรรมเสียแล้วเป็นแก้ว ตัณหาเข้าไปไม่ได้ จึงได้ชื่อว่าเป็นกายธรรม
กายธรรมนั่นเองที่ปล่อยจากกายอรูปพรหมไป ตัณหาอาศัยไม่ได้
ที่เรียกว่า สมูลํ ตณฺหํ อพฺพุยฺห ได้ชื่อว่า ถอนตัณหาทั้งรากได้
ตัณหาอยู่แค่กายทิพย์ กายรูปพรหม อรูปพรหม ไม่มีแก่นิพพาน
เมื่อเข้าถึงนิพพานเสียแล้ว ก็ถอนโคนรากของตัณหาหมดแล้ว
ตัณหาไม่หยั่งรากเข้าถึงกายธรรมได้ เหตุฉะนี้เมื่อถึงกายธรรมแล้วหมดตัณหาแล้ว
ไม่มีความปรารถนาที่จะเข้ามาอาศัยกายทิพย์ กายรูปพรหม อรูปพรหมต่อไป
จึงได้ชื่อว่า นิจฺฉาโต ปรินิพฺพุโต มีความปรารถนาดับสิ้นแล้ว ชื่อว่านิพพานได้
แปลว่า ดับสิ้นแล้ว คือ ดับสิ้นจากกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา
เพราะเหตุฉะนั้น ขันธ์ ๕ เหล่านี้ ที่กล่าวในตอนต้นว่าเป็นภาระสำคัญ
เราต้องทุกข์ยากลำบากเวียนว่ายตายเกิด ก็เพราะสลัดไม่ออก
สลัดขันธ์ของมนุษย์ออกไปติดขันธ์ ๕ ของทิพย์
สลัดทิพย์ออกไปติดขันธ์ ๕ ของรูปพรหม

สลัดรูปพรหมออกไปติดขันธ์ ๕ ของอรูปพรหม
นั่นเหมือนกับมะขามสด เปลือกกับเนื้อมันติดกันจะแกะเท่าใดก็ไม่ออก
แกะเปลือกเนื้อติดเปลือกไปด้วย
ขันธ์ ๕ ที่จะละทิ้งจิตใจของมนุษย์ละไม่ได้
เพราะเนื้อกับเปลือกติดกัน
เพราะมันอยู่ในกามภพมนุษย์ ๑ สวรรค์ ๖ ชั้น เป็นตัวกามภพจะละไม่ได้
จะไปอยู่รูปภพ มันก็มีภวตัณหาอีก ติดภวตัณหาเป็นเปลือกอยู่อีก
เมื่อหลุดจากภวตัณหา จากรูปภพได้ จะไปอยู่อรูปภพ ก็วิภวตัณหาไปติดตัณหาในอรูปภพ
ต่อเมื่อใดถึงกายธรรมจึงหลุดได้
หลุดไม่มีระแคะระคาย เป็นโสดา สกทาคา อนาคา อรหัตต์ แตกกายทำลายขันธ์ก็ไปนิพพาน
ทิ้งขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณของมนุษย์ ทิพย์ รูปพรหม อรูปพรหม
แต่เรายังสงสัยอยู่บ้างในเรื่องขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ของทิพย์เทวดา ๖ ชั้นฟ้า จะเอามาใช้ในมนุษย์ก็ไม่ได้
ขันธ์ ๕ ของอรูปพรหม จะเอามาใช้ในกายมนุษย์ กายทิพย์ ขันธ์ใดขันธ์หนึ่งก็ไม่ได้
ขันธ์ ๕ ของอรูปพรหมจะเอาไปใช้ในกายรูปพรหม กายทิพย์ กายมนุษย์ แต่ขันธ์ใดขันธ์หนึ่งก็ไม่ได้
ขันธ์ของภพไหนต้องอยู่ประจำภพนั้น ข้ามภพใช้ไม่ได้
เพราะอะไร?
รูปก็ดี เวทนาก็ดี สัญญาก็ดี สังขารก็ดี วิญญาณก็ดี ที่เป็นของมนุษย์จะเอาไปใช้ในภพทิพย์ไม่ได้
ทิพย์เป็นของละเอียด จะเอามาใช้ในภพมนุษย์ไม่ได้
ส่วนขันธ์ ๕ ของรูปพรหม อรูปพรหมก็แบบเดียวกัน สลับกันไม่ได้
เอาไปใช้ในนิพพานไม่ได้อีกเหมือนกัน นิพพานเขามีธรรมขันธ์ทั้ง ๕
ซึ่งขันธ์ ๕ ของเขา มีเรียกว่า ธรรมขันธ์ ที่เรียกว่า ธรรมธาตุ กายก็เรียกว่า ธรรมกาย
ไม่เรียกว่ารูปกายเหมือนกายมนุษย์ทั้งหลาย
ในนิพพานจะมีรูปธรรม นามธรรม อย่างกายมนุษย์ กายทิพย์ กายรูปพรหม กายอรูปพรหม ไม่มีเป็นของละเอียด
เหตุฉะนี้แหละพวกเรารู้ว่าขันธ์ทั้ง ๕ ของมนุษย์ ทิพย์ รูปพรหม อรูปพรหม เล่านี้เป็นของหนักแล้วให้ปลีกกายให้ดี
ให้ถอดกายออกเป็นชั้น ๆ อย่างนี้แล้วก็ลองปล่อยขันธ์ ๕ เหล่านั้นเสีย
ปล่อยทั่วๆ ไม่ใช่อย่างเดียวเหมือนอย่างจำศีลภาวนา ปล่อยลูกไว้ทางบ้าน
แต่ลูกก็มีขันธ์ ๕ ปล่อยได้ชั่วขณะชั่วคราว
ถึงแม้ปล่อย ใจก็คิดตะหงิด ๆ อยู่เหมือนกัน มันยึดถืออยู่ ไม่ปล่อยจริง ๆ
ต้องถอดเป็นชั้น ๆ แต่ถอดเช่นนั้นยังเสียดายน้ำตาตก โศกเศร้าหาน้อยไม่
ไม่ต้องของตัวถอดดอก
เพียงแค่ของคนอื่น ก็ร้องทุกข์กันออกลั่นไป
ถ้าของตัวถอดจะเป็นอย่างไร
น้ำตาตกข้างในเรียกว่าร้องไห้ช้าง คือร้องหึ่ม ๆ
ถึงแก่เฒ่าชราก็ไม่อยาก
ถึงเป็นโรคเรื้อรังก็ไม่อยากถอด
อยากให้อยู่อย่างนั้น
เสียดาย

เพราะเหตุฉะนั้น การถอดขันธ์ ๕ มันต้องถอดแน่น
เราต้องหัดถอด
เขามีวิธีให้ถอด
ถอดเป็นชั้น ๆ
ถอดกายทิพย์ออกจากกายมนุษย์
ถอดกายรูปพรหมออกจากกายทิพย์
ถอดกายอรูปพรหมออกจากกายรูปพรหม
ถอดกายธรรมออกจากกายอรูปพรหม ถอดให้คล่อง
เวลาถึงคราวเราก็ถอดคล่องชำนิชำนาญแล้ว
พอรู้ว่าจะตายส่งขันธ์ ๕ มนุษย์ออกไป
ข้าก็เอาขันธ์ ๕ ของทิพย์ ชำนิชำนาญอย่างนี้แล้ว ก็ไม่มีเสียดาย

ถ้าไม่เคยถอดก็น้ำตาตกร้องไห้กันอย่างขนานใหญ่

เพราะฉะนั้น เมื่อรู้จักขันธ์ ๕ เป็นภาระหนัก ให้อุตส่าห์วางเสีย แม้ถึงจะยึดก็แต่ทำเนาเป็นของอาศัยชั่วคราว เป็นของมีโทษ
ดังภาชนะขอยืมกันใช้ชั่วคราว ของสำหรับอยู่อาศัยชั่วครั้งชั่วคราว ร่างกายก็อาศัยชั่วคราวหนึ่ง
อย่าถือเป็นจริง ๆ ถือเป็นของอาศัยชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น
ถึงมีทุกข์บ้างก็หน่อยหนึ่ง
ขันธ์ทั้ง ๕ นี้เป็นภาระ จะต้องดูแลเอาใจใส่ พิทักษ์รักษา เมื่อนำขันธ์ ๕ คือภาระนี้ไป
ถ้าว่าขืนยึดปล่อยวางไม่ได้ในขันธ์ทั้ง ๕ เป็นทุกข์ในโลก
ถ้าปล่อยวางได้เป็นสุข ขันธ์ถ้าปล่อยวางแล้ว ขันธ์อื่น ๆ จะเอามาเป็นภาระไม่ได้
ถ้าเอามาเป็นภาระก็เป็นเชื้อเป็นที่ตั้งของตัณหา จะถอนไม่ออก
ถ้าไม่เอาเป็นภาระแน่ จะถอนตัณหาทั้งราก ปล่อยให้ถึงที่สุด ปล่อยได้ไปอยู่กับอะไร ต้องไปอยู่กับกายธรรม เมื่ออยู่กับกายธรรม ใจเหมือนอยู่ในนิพพาน สบายแสนสบาย แสนสำราญ


แก้ไขล่าสุดโดย หลับอยุ่ เมื่อ 05 ก.พ. 2010, 16:01, แก้ไขแล้ว 17 ครั้ง.
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.พ. 2010, 19:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




Y4775273-7.jpg
Y4775273-7.jpg [ 13.72 KiB | เปิดดู 6766 ครั้ง ]
ดังที่ได้แสดงมาในภารสุตฺตกถา วาจาเครื่องกล่าวปรารภซึ่งเป็นแบบสำหรับให้ปล่อยวางขันธ์ ๕ ตามวาระพระบาลีคลี่ความเป็นสยามภาษา ตามอัตตโนมตยาธิบายพอสมควรแก่เวลา
วรญฺญํ สรณํ นตฺถิ สิ่งอื่นไม่ใช่ที่พึ่งอันประเสริฐ เราท่านทั้งหลาย
สทา โสตฺถี ภวนฺตุ เต ด้วยอำนาจความสัจที่ได้อ้างธรรมปฏิบัติตั้งแต่ต้นจนอวสานนี้
ขอความสุขสวัสดีจงบังเกิดแก่ท่านทั้งหลายบรรดามาสโมสร ณ สถานที่นี้ทุกถ้วนหน้า
อาตมภาพชี้แจงแสดงมาพอสมควรแก่เวลา
สมมติว่ายุติธรรมิกถาโดยอรรถนิยมความเพียงเท่านี้ เอวํ ก็มีด้วยประการฉะนี้ ฯ



:b42: :b42: :b42:
:b8: :b8: :b8:


แก้ไขล่าสุดโดย หลับอยุ่ เมื่อ 05 ก.พ. 2010, 11:35, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.พ. 2010, 09:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




18กาย.bmp
18กาย.bmp [ 266.05 KiB | เปิดดู 6737 ครั้ง ]
:b42: :b42: :b42:
:b42: :b42: :b42:
:b42: :b42: :b42:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.พ. 2010, 12:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




meditation02.jpg
meditation02.jpg [ 124 KiB | เปิดดู 6719 ครั้ง ]
:b42: :b42: :b42:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ก.พ. 2010, 12:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




8path.gif
8path.gif [ 103.1 KiB | เปิดดู 6717 ครั้ง ]
:b42: :b42: :b42:
:b42: :b42: :b42:
:b42: :b42: :b42:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.พ. 2010, 11:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




000000000000000000000000000000000000000000000000000000.bmp
000000000000000000000000000000000000000000000000000000.bmp [ 466.22 KiB | เปิดดู 6674 ครั้ง ]
000000000000000000000000000000000000000000000000000000.bmp
000000000000000000000000000000000000000000000000000000.bmp [ 466.22 KiB | เปิดดู 6672 ครั้ง ]
สมาธิเพื่อดับอาสวะ


ปัญหา จะบำเพ็ญสมาธิภาวนาแบบไหน อย่างไร จึงจะทำให้อาสวะดับได้ ?


พุทธดำรัสตอบ “..... ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปในอุปาทานขันธ์ห้าอยู่เป็นประจำว่า รูปเป็นดังนี้ ความเกิดขึ้นแห่งรูปเป็นดังนี้ ความดับแห่งรูปเป็นดังนี้
“เวทนา.... ความเกิดขึ้นแห่งเวทนา.... ความดับแห่งเวทนาเป็นดังนี้
“สัญญา.... ความเกิดขึ้นแห่งสัญญา.... ความดับแห่งสัญญาเป็นดังนี้
“สังขาร.... ความเกิดขึ้นแห่งสังขาร.... ความดับแห่งสังขารเป็นดังนี้
“วิญญาณ.... ความเกิดขึ้นแห่งวิญญาณ.... ความดับแห่งวิญญาณเป็นดังนี้
“..... ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมาธิภาวนาอย่างนี้..... ย่อมเป็นไปเพื่อสิ้นอาสวะ....”


สมาธิสูตร จ. อํ.
:b42: :b42: :b42:
:b8: :b8: :b8:


แก้ไขล่าสุดโดย หลับอยุ่ เมื่อ 05 ก.พ. 2010, 11:24, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.พ. 2010, 16:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




000000000000000000000000000000000000000000000000000000.bmp
000000000000000000000000000000000000000000000000000000.bmp [ 466.22 KiB | เปิดดู 6652 ครั้ง ]
makpon.gif
makpon.gif [ 32.27 KiB | เปิดดู 6651 ครั้ง ]
“ปุพฺเพนิวาสํ โย เวทิ
สคฺคาปายญฺจ ปสฺสติ
อโถ ชาติกฺขยํ ตโต อภิญฺญา โวสิโต มุนิ
สพฺพโวสิตโวสานํ ตมหํ พฺรูมิ พฺราหฺมณํ.”




“บุคคลใด รู้ขันธ์ที่อาศัยอยู่ในก่อน ทั้งเห็นสวรรค์ [ทั้งเทวโลกและพรหมโลก] และอบาย,อนึ่ง บรรลุความสิ้นไปแห่งชาติ เสร็จกิจแล้ว เพราะรู้ยิ่ง เป็นมุนี, เราเรียกบุคคลนั้น ซึ่งมีพรหมจรรย์อันอยู่เสร็จสรรพแล้ว ว่าเป็นพราหมณ์.”


(ขุ.ธ.๒๕/๓๖/๗๑)
:b42: :b42: :b42:
:b8: :b8: :b8:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2010, 13:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




Y4797399-27.jpg
Y4797399-27.jpg [ 30.85 KiB | เปิดดู 6619 ครั้ง ]
:b42: :b42: :b42:
:b44: :b44: :b44:
:b8: :b8: :b8:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 23:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




000000000000000000000000000000000000000000000000000000.bmp
000000000000000000000000000000000000000000000000000000.bmp [ 466.22 KiB | เปิดดู 6600 ครั้ง ]
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๓
ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค



[๓๘๑] อะไรเป็นเบื้องต้น เป็นท่ามกลาง เป็นที่สุดแห่งอรหัตมรรค ฯ
ความหมดจดแห่งปฏิปทาเป็นเบื้องต้น ความพอกพูนอุเบกขา เป็น
ท่ามกลาง ความร่าเริงเป็นที่สุด แห่งอรหัตมรรค ฯ
ความหมดจดแห่งปฏิปทา เป็นเบื้องต้นแห่งอรหัตมรรค ลักษณะแห่ง
เบื้องต้นเท่าไร ฯ
ลักษณะแห่งเบื้องต้น ๓ ประการ คือ
จิตหมดจดจากอันตรายแห่ง
เบื้องต้นนั้น จิตดำเนินไปสู่สมถนิมิตอันเป็นท่ามกลางเพราะเป็นจิตหมดจด
จิตแล่นไปในสมถนิมิตนั้นเพราะเป็นจิตดำเนินไปแล้ว จิตหมดจดจากอันตราย ๑
จิตดำเนินไปสู่สมถนิมิตอันเป็นท่ามกลางเพราะเป็นจิตหมดจด ๑ จิตแล่นไปใน
สมถนิมิตนั้น เพราะเป็นจิตดำเนินไปแล้ว ๑ ความหมดจดแห่งปฏิปทาเป็น
เบื้องต้นแห่งอรหัตมรรค
ลักษณะแห่งเบื้องต้น ๓ ประการเหล่านี้ เพราะเหตุนั้น
ท่านจึงกล่าวว่า อรหัตมรรคเป็นธรรมมีความงามในเบื้องต้น และถึงพร้อมด้วย
ลักษณะ ฯ


[๓๘๒] ความพอกพูนอุเบกขา เป็นท่ามกลางแห่งอรหัตมรรค ลักษณะ
แห่งท่ามกลางเท่าไร ฯ
ลักษณะแห่งท่ามกลาง ๔ คือ
จิตหมดจดวางเฉยอยู่ จิตดำเนินไปสู่
สมถะวางเฉยอยู่ จิตมีความปรากฏในความเป็นธรรมอย่างเดียววางเฉยอยู่ จิต
หมดจดวางเฉยอยู่ ๑ จิตดำเนินไปสู่สมถะวางเฉยอยู่ ๑ จิตมีความปรากฏใน
ความเป็นธรรมอย่างเดียววางเฉยอยู่
เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า อรหัตมรรค
เป็นธรรมมีความงามในท่ามกลาง และถึงพร้อมด้วยลักษณะ ฯ



[๓๘๓] ความร่าเริงเป็นที่สุดแห่งอรหัตมรรค ลักษณะแห่งที่สุด
เท่าไร ฯ
ลักษณะแห่งที่สุด ๔ คือ
ความร่าเริงด้วยอรรถว่าธรรมทั้งหลายที่เกิดใน
อรหัตมรรคนั้นไม่ล่วงเกินกัน ๑ ความร่าเริงด้วยอรรถว่าอินทรีย์ทั้งหลายมีกิจเป็น
อันเดียวกัน ๑ ความร่าเริงด้วยอรรถว่านำไปซึ่งความเพียรสมควรแก่ความที่ธรรม
ทั้งหลายไม่ล่วงเกินกัน และความที่อินทรีย์ทั้งหลายมีกิจเป็นอันเดียวกัน ๑ ความ
ร่าเริงด้วยอรรถว่าเป็นที่เสพ ๑ ความร่าเริงเป็นที่สุดแห่งอรหัตมรรค
ลักษณะ
แห่งที่สุด ๔ ประการเหล่านี้ เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า อรหัตมรรคเป็นธรรม
มีความงามในที่สุดและถึงพร้อมด้วยลักษณะ จิตอันถึงความเป็นไป ๓ ประการ
มีความงาม ๓ อย่าง ถึงพร้อมด้วยลักษณะ ๑๐ ประการอย่างนี้ ย่อมเป็นจิตถึง
พร้อมด้วยวิตก วิจาร ปีติ สุข การอธิษฐานจิต ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ
และพร้อมด้วยปัญญา ฯ
นิมิต ลมอัสสาสปัสสาสะ ไม่เป็นอารมณ์แห่งจิตดวงเดียว
เพราะไม่รู้ธรรม ๓ ประการ จึงไม่ได้ภาวนา นิมิตลม
อัสสาสปัสสาสะ ไม่เป็นอารมณ์แห่งจิตดวงเดียว เพราะ
รู้ธรรม ๓ ประการ จึงจะได้ภาวนา ฉะนี้แล ฯ



เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๑ บรรทัดที่ ๔๓๐๔ - ๔๓๑๖. หน้าที่ ๑๗๖.
http://www.84000.org/tipitaka/read/v.ph ... agebreak=0
อ่านโดยใช้เครื่องหมาย [เลขข้อ] เป็น เกณฑ์แบ่งข้อ ที่ :-
http://www.84000.org/tipitaka/read/byit ... de=bracket
:b42: :b42: :b42:
:b44: :b44: :b44:
:b48: :b48: :b48:
:b8: :b8: :b8:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มี.ค. 2010, 23:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 พ.ย. 2009, 18:14
โพสต์: 435

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




thBuddhaBlink.gif
thBuddhaBlink.gif [ 10.1 KiB | เปิดดู 6581 ครั้ง ]
:b8: :b8: :b8:

.....................................................
สรุปคำสอนของสมเด็จองค์ปฐม
"ท่านทั้งหลาย การหลบหลีกไม่ต้องตกอบายภูมิ มีนรกเป็นต้น เป็นของ ไม่ยาก
1. ขอทุกท่านจงอย่าลืมความตาย จงคิดว่าความตาย อาจจะมีกับเราเดี๋ยวนี้ไว้เสมอๆ
2. เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ด้วยศรัทธาแท้ (ด้วยความจริงใจ)
3. มีศีลบริสุทธิ์เป็นปกติ และ
4. เป็นกรณีพิเศษ ปฏิเสธการเกิดเป็นมนุษย์ เทวดา นางฟ้า และพรหม ในชาติต่อไป ทุกท่านเห็นนิพพาน แล้วตั้งใจไปพระนิพพานได้ในที่สุด"
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มี.ค. 2010, 13:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




000000000000000000000000000000000000000000000000000000.bmp
000000000000000000000000000000000000000000000000000000.bmp [ 466.22 KiB | เปิดดู 6563 ครั้ง ]
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗
ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต



๑๒. ทิฏฐิสูตร
[๒๒๗] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว พระสูตรนี้
พระผู้มีพระภาคผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับ
มาแล้วว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายอันทิฐิ ๒ อย่างพัวพัน
แล้ว บางพวกย่อมติดอยู่ บางพวกย่อมแล่นเลยไป
ส่วนพวกที่มีจักษุย่อมเห็น ฯ


ดูกรภิกษุทั้งหลาย เทวดาและมนุษย์บางพวกย่อมติดอยู่อย่างไรเล่า ดูกร
ภิกษุทั้งหลาย เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายมีภพเป็นที่มายินดี ยินดีแล้วในภพ
เพลิดเพลินด้วยดีในภพ เมื่อพระตถาคตแสดงธรรมเพื่อความดับภพ จิตของ
เทวดาและมนุษย์เหล่านั้นย่อมไม่แล่นไป ย่อมไม่เลื่อมใส ย่อมไม่ดำรงอยู่
ด้วยดี ย่อมไม่น้อมไป ดูกรภิกษุทั้งหลาย เทวดาและมนุษย์บางพวกย่อมติดอยู่
อย่างนี้ ฯ


ดูกรภิกษุทั้งหลาย เทวดาและมนุษย์บางพวกย่อมแล่นเลยไปอย่างไรเล่า
ก็เทวดาและมนุษย์บางพวกอึดอัด ระอา เกลียดชังอยู่ด้วยภพนั่นแล ย่อม
เพลิดเพลินความขาดสูญว่า แน่ะท่านผู้เจริญทั้งหลาย ได้ยินว่า เมื่อใด ตนนี้
เมื่อตายไป ย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศ เบื้องแต่ตายย่อมไม่เกิดอีก
นี้ละเอียด
นี้ประณีต นี้ถ่องแท้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เทวดาและมนุษย์บางพวกย่อมแล่นเลย
ไปอย่างนี้แล ฯ


ดูกรภิกษุทั้งหลาย ส่วนพวกที่มีจักษุย่อมเห็นอย่างไรเล่า ภิกษุในธรรม
วินัยนี้ย่อมเห็นขันธ์ ๕ ที่เกิดแล้วโดยความเป็น (ขันธ์ ๕ ที่เกิดแล้ว) จริง ครั้น
เห็นขันธ์ ๕ ที่เกิดแล้วโดยความเป็นจริง ย่อมเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความเบื่อหน่าย
เพื่อคลายกำหนัด เพื่อดับขันธ์ ๕ ที่เกิดแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย ส่วนพวกที่มีจักษุ
ย่อมเห็นอย่างนี้แล ฯ


พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้น พระผู้มีพระภาค
ตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า

อริยสาวกใดเห็นขันธ์ ๕ ที่เกิดแล้ว และธรรมเป็นเครื่อง
ก้าวล่วงขันธ์ ๕ ที่เกิดแล้วโดยความเป็นจริง ย่อมน้อมไป
ในนิพพานตามความเป็นจริง เพราะภวตัณหาหมดสิ้นไป
ถ้าว่าอริยสาวกนั้นกำหนดรู้ขันธ์ ๕ ที่เกิดแล้ว ปราศจากตัณหา
ในภพน้อยและภพใหญ่แล้วไซร้ ภิกษุทั้งหลายย่อมไม่มาสู่
ภพใหม่ เพราะความไม่เกิดแห่งอัตภาพที่เกิดแล้ว ฯ

เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับ
มาแล้ว ฉะนี้แล ฯ


จบสูตรที่ ๑๒
จบวรรคที่ ๒
รวมพระสูตรที่มีในวรรคนี้ คือ
๑. วิตักกสูตร ๒. เทศนาสูตร ๓. วิชชาสูตร ๔. ปัญญาสูตร
๕. ธรรมสูตร ๖. อชาตสูตร ๗. ธาตุสูตร ๘. สัลลานสูตร ๙. สิกขาสูตร
๑๐. ชาคริยสูตร ๑๑. อปายสูตร ๑๒. ทิฏฐิสูตร
จบทุกนิบาต ฯ
-----------------------------------------------------
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ บรรทัดที่ ๕๓๖๓ - ๕๔๐๒. หน้าที่ ๒๓๖ - ๒๓๗.
http://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B ... agebreak=0
:b42: :b42: :b42:
:b44: :b44: :b44:
:b48: :b48: :b48:
:b8: :b8: :b8:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มิ.ย. 2010, 08:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




Y9296500-37.jpg
Y9296500-37.jpg [ 37.75 KiB | เปิดดู 6530 ครั้ง ]
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๘
ขุททกนิกาย วิมาน-เปตวัตถุ เถร-เถรีคาถา



๕. สรภังเถรคาถา
คาถาสุภาษิตของพระสรภังคเถระ
[๓๖๕] เราหักแขมด้วยมือทั้งสองทำกระท่อมอยู่ เพราะฉะนั้น เราจึงมีชื่อ
โดยสมมติว่า สรภังคะ วันนี้เราไม่ควรหักแขม ด้วยมือทั้ง
สองอีก เพราะพระสมณโคดมผู้เรืองยศ ทรงบัญญัติสิกขาบทแก่
เราทั้งหลาย เมื่อก่อน เราผู้ชื่อว่าสรภังคะ
ไม่เคยได้เห็นโรคคือ
อุปาทานขันธ์ ๕ ครบบริบูรณ์ทั้งสิ้น
โรคนั้น อันเราผู้ทำตามพระ
ดำรัสของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นเทพเจ้าผู้ยิ่งใหญ่
ได้เห็นแล้ว พระ
สัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า พระวิปัสสี พระสิขี พระ
เวสสภู พระกกุสันโธ พระโกนาคม พระกัสสป
ได้เสด็จไปแล้วโดยทางใดแล พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าโคดม
ก็ได้เสด็จไปแล้ว โดยทางนั้น พระพุทธเจ้า ๗ พระองค์นี้
ทรงปราศจากตัณหา ไม่ทรงถือมั่น ทรงหยั่งถึงความสิ้นกิเลส
เสด็จอุบัติแท้ โดยธรรมกาย ผู้คงที่ ทรงเอ็นดูอนุเคราะห์
สัตว์ทั้งหลาย ได้ทรงแสดงธรรม คือ อริยสัจ ๔ อันได้แก่ทุกข์
เหตุเกิดทุกข์ ความดับทุกข์ ทางเป็นที่สิ้นทุกข์ เป็นทาง
ไม่เป็นไปแห่งทุกข์ อันไม่มีที่สุดในสงสาร เพราะกายนี้แตก และ
เพราะความสิ้นชีวิตนี้ การเกิดในภพใหม่อย่างอื่นมิได้มี เราเป็น
ผู้หลุดพ้นแล้วจากสรรพกิเลสและภพทั้งปวง.
-----------------------------------------------------
พระเถระ ๕ องค์ ได้กล่าวคาถาองค์ละ ๗ คาถา รวมเป็น ๓๕ คาถาคือ
๑. พระสุนทรสมุททเถระ ๒. พระลกุณฏภัททิยเถระ
๓. พระภัททเถระ ๔. พระโสปากเถระ
๕. พระสรภังคเถระ.
จบ สัตตกนิบาต.
-----------------------------------------------------
Quote Tipitaka:
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๖ บรรทัดที่ ๖๗๘๐ - ๖๘๐๕. หน้าที่ ๒๙๐ - ๒๙๑.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_it ... agebreak=0
:b42: :b42: :b42:
:b44: :b44: :b44:
:b8: :b8: :b8:
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 17 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร