วันเวลาปัจจุบัน 06 พ.ค. 2025, 04:16  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 11 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2010, 11:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




Y4775273-7.jpg
Y4775273-7.jpg [ 13.72 KiB | เปิดดู 3704 ครั้ง ]
กัณฑ์ที่ ๒๐
อริยธนคาถา
วันที่ ๑๙ มีนาคม พุทธศักราช ๒๔๙๗
..................................................


นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส (๓ หน)


ยสฺส สทฺธา ตถาคเต อจลา สุปติฏฺฐิตา
สีลญฺจ ยสฺส กลฺยาณํ อริยกนฺตํ ปสํสิตํ
สงฺเฆ ปสาโท ยสฺสตฺถิ อุชุ ภูตญฺจ ทสฺสนํ
อทลิทฺโทติ ตํ อาหุ อโมฆนฺตสฺส ชีวิตํ
ตสฺมา สทฺธญฺจ สีลญฺจ ปสาทํ ธมฺมทสฺสนํ
อนุยุญฺเชถ เมธาวี สรํ พุทฺธาน สาสนนฺติ ฯ

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2010, 11:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




Y4775273-7.jpg
Y4775273-7.jpg [ 13.72 KiB | เปิดดู 3672 ครั้ง ]
ณ บัดนี้ อาตมภาพ จักได้แสดงธรรมิกถาในวันกลางเดือน ๔ นี้ แสดงในเรื่อง อริยธนคาถา แปลว่า ทรัพย์ของพระอริยเจ้า หรือแปลว่าทรัพย์อันประเสริฐ

จะแสดงตามวาระพระบาลีคลี่ความเป็นสยามภาษา ตามมตยาธิบาย พอเป็นเครื่องปฏิการสนองประคองศรัทธา ประดับสติปัญญา คุณสมบัติของท่านพุทธบริษัท ทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิต บรรดามาสโมสรในสถานที่นี้ทุกถ้วนหน้า



ยสฺส สทฺธา ตถาคเต อจลา สุปติฏฺฐิตา ความเชื่อไม่หวั่นไหว ตั้งอยู่ด้วยดีแล้วในพระตถาคตเจ้า มีอยู่แก่บุคคลใด

สีลญฺจ ยสฺส กลฺยาณํอริยกนฺตํ ปสํสิตํ ศีลที่ดีงามอันพระอริยเจ้าทั้งหลายสรรเสริญแล้ว มีอยู่แก่บุคคลใด

สงฺเฆ ปสาโท ยสฺสตฺถิ ความเลื่อมใสในพระสงฆ์ มีอยู่แก่บุคคลใด ความเห็นซึ่งเป็นธรรมชาติทรงมีอยู่แก่บุคคลใด

อทลิทฺโทติ ตํ อาหุ นักปราชญ์ทั้งหลายกล่าวว่า บุคคลนั้นเป็นคนไม่จน เป็นคนมั่งมี

อโมฆนฺตสฺส ชีวิตํ ความเป็นอยู่ของคนนั้นไม่เปล่าจากประโยชน์

ตสฺมา สทฺธญฺจ สีลญฺจ ปสาทํ ธมฺมทสฺสนํ อนุยุญฺเชถ เมธาวี สรํ พุทฺธาน สาสนํ เพราะเหตุนั้นผู้มีปัญญา เมื่อมาระลึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลายแล้ว ควรประกอบความเชื่อ และประกอบศีล ประกอบความเลื่อมใส ประกอบความเห็นธรรมไว้ในใจเนืองๆ เถิด ประเสริฐนัก




นี้เนื้อความของพระบาลีคลี่ความเป็นสยามภาษาได้ความเท่านี้ ต่อแต่นี้จะอรรถาธิบายขยายความเป็นลำดับไป เพราะเราท่านทั้งหลายเป็นคนไม่มีทรัพย์ในโลกนี้เป็นเครื่องอุ่นใจ ให้นึกถึงเงินที่รัฐบาลใช้สอย ก็มีไม่พอใช้ หรือจะนึกถึงสมบัติอันใดไม่พอใช้ทั้งนั้น

ที่เป็นภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา เมื่อมาระลึกเช่นนี้แล้ว เราควรจะตั้งใจให้ผ่องแผ้ว เรามาประสบพบพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าทรงประทานอริยทรัพย์ไว้เป็นอเนกอนันต์ สุดที่จะพรรณนา

บัดนี้ จะชี้แจงแสดงตามวาระพระบาลีคลี่ความเป็นสยามภาษาไว้เป็นลำดับไป ความเชื่ออันนี้แหละให้รักษาไว้ให้มั่นในขันธสันดาน ชื่ออจลา ไม่กลับกลอก ความเชื่อที่ไม่กลับกลอก ตั้งมั่นด้วยดีแล้วในพระตถาคตเจ้า มีอยู่แก่บุคคลใด ความเชื่ออันนี้ควรสำทับให้แน่นอนไว้ในใจ

ความเชื่อนี้เป็นตัวสำคัญในการปฏิบัติศาสนา
ถ้าความเชื่อนี้ไม่แน่นอน ง่อนแง่น คลอนแคลนแล้ว จะเอาตัวรอดไม่ได้ ถ้าความเชื่อไม่ง่อนแง่น ไม่คลอนแคลน แน่นอนแล้ว จะเอาตัวรอดได้



แก้ไขล่าสุดโดย หลับอยุ่ เมื่อ 02 ก.พ. 2010, 14:11, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2010, 11:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




000000000000000000000000000000000000000000000000000000.bmp
000000000000000000000000000000000000000000000000000000.bmp [ 466.22 KiB | เปิดดู 3699 ครั้ง ]
.jpg
.jpg [ 52.37 KiB | เปิดดู 3656 ครั้ง ]
ความเชื่อที่ง่อนแง่น คลอนแคลน ไม่มั่นคงนั้นเป็นไฉน?
ตั้งใจตรงลงไปว่าจะปฏิบัติในพุทธศาสนา เหมือนภิกษุ สามเณร ทอดตัวลงไปแล้วว่าเป็นพระจริงๆ เป็นเณรจริงๆ คอยรักษาความจริงอันนั้นไว้ อย่าให้กลับกลอกได้

อุบาสก อุบาสิกาก็เหมือนกัน ทอดตัวลงไปแล้วว่าต้องเป็นอุบาสก อุบาสิกาจริงๆ แล้วรักษาความจริงอันนั้นไว้ อย่าให้กลับกลอก ง่อนแง่นคลอนแคลนได้

นี้รักษาความจริงไว้ได้ ได้ชื่อว่าความเชื่ออันนั้นไม่ง่อนแง่น คลอนแคลน ตั้งมั่นด้วยดีแล้วในพระตถาคตเจ้า



ธมฺมกาโย อหํ อิติปิ เราผู้ตถาคต คือ ธรรมกาย พระตถาคตเจ้าน่ะคือธรรมกาย
เชื่อธรรมกายนั่นเอง ไม่ใช่เชื่อลอกแลกไปทางใดทางหนึ่ง
ให้เชื่อธรรมกาย
ให้เห็นธรรมกาย
ให้เป็นธรรมกาย
ถ้าเห็นธรรมกาย เป็นธรรมกายแล้ว แก้ไขธรรมกายนั่นให้สะอาด ให้ผ่องใสหนักขึ้น อย่าให้ยุ่ง อย่าให้มัวหมอง



ถ้าเห็นบ้างไม่เห็นบ้าง อย่างนั้นยังง่อนแง่น ยังใช้ไม่ได้


ถ้าเห็นเสียแจ่ม ใส บริสุทธิ์ ไม่มีราคี เหมือนกระจกส่องเงาหน้า เจ้าของเห็นเวลาไรแล้ว ยิ้มจ้าเวลานั้น ไม่ได้ซูบซีดเศร้าหมองเลย ผ่องใสอย่างนี้ เชื่อลงไปขนาดนี้ นี่เป็นที่พึ่งของเราจริง สิ่งอื่นไม่มี

ให้แน่นอนลงไปเสียอย่างนี้ เมื่อแน่นอนลงไปเช่นนี้แล้ว ก็เห็นธรรมกายนั่นเองเป็นใหญ่ สิ่งอื่นเป็นใหญ่กว่านี้ไม่มี หมดทั้งสากลโลก หมดในธาตุในธรรม ที่จะเป็นใหญ่กว่าธรรมกายนี้ไม่มี

ให้แน่นอนเสียในใจอย่างนี้ มั่นคงลงไปอย่างนั้น ไม่ง่อนแง่น ไม่คลอนแคลน
จริงลงไปอย่างนั้นแล้ว ใจต้องนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นธรรมกายทีเดียว ค่ำมืดดึกดื่นเที่ยงคืนไม่ลุก ลืมตาก็แจ่มอยู่กับธรรมกายนั่น

เมื่อนอนหลับเข้าก็แล้วไป เข้าที่ไป จนกระทั่งหลับอยู่กับธรรมกาย
ตื่นขึ้นก็ติดอยู่กับดวงธรรม ที่ทำให้เป็นธรรมกายนั้นแจ่มจ้าอยู่เสมอ




นี่แหละเจอแล้วซึ่งพระตถาคตเจ้า นั่นตัวพระตถาคตเจ้าทีเดียว เมื่อเชื่อลงไปเช่นนี้ เรียกว่าไม่กลับกลอก ถ้าไม่กลับกลอกต้องทำสูงหนักขึ้นไป ไม่กลับกลอก แต่ตอนต้นยังเป็นโคตรภูบุคคล ยังกลับกลอกอยู่ ให้เข้าถึงพระโสดาเสียจึงจะไม่กลับกลอก

เข้าถึงพระโสดา ก็ใกล้กับโคตรภู
เข้าถึงพระสกทาคาเสีย นั่นจึงจะแน่นแฟ้นขึ้น ถึงพระสกทาคาแล้วก็ยังมีกามราคะ พยาบาท อย่างละเอียดอยู่
ให้ถึงพระอนาคาเสีย กามราคะ พยาบาทอย่างละเอียดหมดไป แต่ว่ายังไม่ถึงวิราคธาตุวิราคธรรมได้

ให้อุตส่าห์พยายามทำให้สูงขึ้นไปกว่านั้น ละรูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชาให้ได้ ให้เข้าถึงพระอรหัตเสียทีเดียว

เข้าถึงอรหัตแล้ว อินฺทขีลูปโม ดุจดังว่าเสาเขื่อนปักเขื่อนไว้ลมพัดมาแต่ทิศทั้ง ๔ ทั้ง ๘ ไม่เขยื้อน ตั้งมั่นทีเดียว อจลสทฺธา ไม่กลับกลอก แน่นอนทีเดียว

ถ้าแม้ว่าปุถุชนหญิงก็ดี ชายก็ดี ทำใจแน่ได้ขนาดนั้นละก็ แปลว่านับถือศาสนาเป็นเบอร์ ๑ ไม่มี ๒ มาเทียบละ แน่นขนาดนั้น แน่นแค่ไหน? แน่นไปจริงๆ เชื่อกันจริงลงไปอย่างนี้

อย่างนี้ได้ชื่อว่า ตั้งมั่นด้วยดีแล้วในพระตถาคตเจ้า นี้เป็นข้อต้น



แก้ไขล่าสุดโดย หลับอยุ่ เมื่อ 24 มี.ค. 2010, 14:50, แก้ไขแล้ว 7 ครั้ง.
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2010, 11:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




05.jpg
05.jpg [ 86.61 KiB | เปิดดู 3679 ครั้ง ]
ข้อที่ ๒ รองลำดับไป
สีลญฺจ ยสฺส กลฺยาญํ อริยกนฺตํ ปสํสิตํ ศีลอันดีงามที่พระอริยเจ้า ทั้งหลายยินดี อันพระอริยเจ้าทั้งหลายสรรเสริญแล้ว
ศีลดีงามนั้นศีลอะไร? ศีลอยู่ที่ไหน? ศีลเป็นอย่างไร?
ศีลบริสุทธิ์นั่นแหละเรียก กัลยาณศีล บริสุทธิ์กาย บริสุทธิ์วาจา ไม่มีร่องรอยเสียเลย

บริสุทธิ์เจตนาซึ้งเข้าไปกว่ากาย วาจาอีก
บริสุทธิ์เจตนา หมายความว่า เจตนาความคิดอ่านทางใจก็บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีราคี ความคิดอ่าน ทางใจเห็นศีลจริงๆ
อย่างนี้เรียกว่า กัลยาณศีล ที่พระอริยเจ้าชอบใจ อันพระอริยเจ้าทั้งหลายสรรเสริญแล้ว ศีลที่สำหรับเป็นทางไปของพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ทั้งหลายที่เรียกว่าเป็นกัลยาณศีลนั้น

ศีลเป็นทางไปของพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ทั้งหลาย เป็นศีลดวงใสเท่าดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ อยู่ในศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์
ดวงธรรมที่ให้เป็นกายมนุษย์ ใสบริสุทธิ์เท่าฟองไข่แดงของไก่ ศีลเท่าดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ อยู่ในกลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์นั้น
ของใหญ่อยู่ในของเล็กอย่างไร? ขันกับพานไม่รับกันได้ กระจกชักรูปของใหญ่เข้าไปอยู่เท่าไรก็ได้
ศีลที่บริสุทธิ์สะอาดเป็นดวงใสเท่าดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ใสบริสุทธิ์ดุจกระจกส่องเงาหน้า กลมรอบตัว ศีลนั่นแหละ ปสํสิตํ พระอริยเจ้าชอบใจนัก พระอริยเจ้าสรรเสริญนัก ศีลอย่างนี้
ทางที่จะไปเป็นพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ต้องไปกลางดวงศีลนี้เท่านั้น ทางอื่นไปไม่ได้เด็ดขาด



นี้แหละช่องนี้แหละ ดวงนี้แหละจบวินัยปิฎก เป็นยอดรวมยอดของวินัยปิฎกทีเดียว แล้วก็ต้องไปทางนี้แหละ จะไปสักกี่กายๆ ก็มีศีลดวงนี้เป็นต้นเรื่อยไป
ดังนี้แหละ ศีลดวงนี้เป็นศีลสำคัญ ศีลทางมรรคผลทีเดียว นี่แหละตัวอธิศีลทีเดียว ไม่ใช่ปกติศีล
เมื่อเข้าใจอย่างนี้แล้ว ต้องเข้าให้ถึงศีลดวงนี้ ถ้าปฏิบัติพระพุทธศาสนาเข้าถึงศีลดวงนี้ไม่ได้ละก็ ไม่ถูกทางไปของพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ ให้รู้ชัดอย่างนี้ทีเดียว
เมื่อรู้ชัดอย่างนี้ละก็ ที่เข้าถึงแล้ว ก็อุตส่าห์พยายามเลื่อมใสในธรรมต่อไป ที่เข้ายังไม่ถึงก็อุตส่าห์พยายามเข้าให้ถึง ให้เป็นหนึ่งแน่ลงไป ไม่ให้เสียทีที่มาประสบพบพระพุทธศาสนา

ถ้าว่ามีศีลอันดีงามที่พระอริยเจ้าใคร่ ที่พระอริยเจ้าชอบใจเช่นนี้มีอยู่แก่บุคคลใด ก็ได้ชื่อว่าบุคคลนั้นมีภูมิใจอยู่เอิบอิ่มใจอยู่
นี่เป็นข้อแก้ศีล ความเลื่อมใสข้อ ๓ ต่อไป สงฺเฆ ปสาโท ยสฺสตฺถิ ความเลื่อมใสในพระสงฆ์มีอยู่แก่บุคคลใด



แก้ไขล่าสุดโดย หลับอยุ่ เมื่อ 31 ม.ค. 2010, 11:30, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2010, 11:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




000000000000000000000000000000000000000000000000000000.bmp
000000000000000000000000000000000000000000000000000000.bmp [ 466.22 KiB | เปิดดู 3695 ครั้ง ]
.jpg
.jpg [ 52.37 KiB | เปิดดู 3647 ครั้ง ]
ข้อต้นเรากล่าวว่า พุทฺโธ ถึงพระพุทธเจ้า ข้อที่สองนั้นเป็นศีลไป
ข้อที่สามนี้มาเป็นพระสงฆ์ ความเลื่อมใสในพระสงฆ์

ความเลื่อมใสในพระสงฆ์นั้นเลื่อมใสอย่างไร?
พระสงฆ์นี้ท่านประพฤติน่าเลื่อมใส ท่านประพฤติดี เป็นภิกษุ สามเณรประพฤติดีละก็ อาจจะเป็นอายุพระพุทธศาสนาได้ดี
เหมือนพระเจ้าศรีธรรมาโศกราชเห็นนิโครธสามเณรเข้า เห็นมารยาทเรียบร้อย สำรวมกาย วาจา ดีไม่มีที่ติ
ใช้ให้ราชบุรุษไปตามนิมนต์คนหนึ่งไป พอลับตัวก็ใช้อีกคนหนึ่งไป ใช้ติดกันเรื่อยไปเลยทีเดียว กลัวจะไม่ได้พ่อสามเณรมา ได้สามเณรมาสมความปรารถนาแล้ว ให้นั่งบนที่นั่งของพระองค์ ใต้เศวตฉัตร ๙ ชั้น อาราธนาให้แสดงธรรม พ่อสามเณรก็แสดงเป็นเรื่องไป
นิโครธสามเณรน่ะฉลาดเฉลียวนัก ประพฤติดี
พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ได้บำรุงพระพุทธศาสนา เพราะนิโครธสามเณรองค์นั้นแหละเป็นตัวสำคัญ
ภิกษุ สามเณรในยุคนี้ ถ้าประพฤติตัวดีถึงขนาดนั้น ก็ได้ชื่อว่าเป็นอายุพระพุทธศาสนา เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของประชุมชนทั้งหลาย ควรเอาเป็นตำรับตำราถือเอาไว้เป็นเนติแบบแผนทีเดียวอย่างนั้น

นี่เป็นความเห็นที่มนุษย์ปุถุชนเห็นกันอย่างนี้ ว่าเลื่อมใสในพระภิกษุสามเณรอย่างนี้ เลื่อมใสซึ้งเข้าไปกว่านั้น
ต้องปฏิบัติเข้าไปถึงจิตถึงใจ เข้าไปถึงธรรมกาย ตั้งแต่พระตถาคตเจ้าเป็นตัวธรรมกาย


ศีลที่จะเข้าธรรมกาย เพราะอาศัยเดินถูกทางศีล เข้าไปถึงสมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ กว่าจะเข้าถึงพระสงฆ์น่ะไกลลิบ เข้าถึงดวงธรรมที่ทำให้เป็นธรรมกายแล้วจะเห็นชัด

บัดนี้ ที่เราเป็นมนุษย์อยู่ เราควรเลื่อมใสใคร? เราควรเลื่อมใส กายมนุษย์ละเอียดซี กายมนุษย์ละเอียดรักษาดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ไว้ กายมนุษย์ที่จะอยู่ได้เป็นหลักฐานมั่นคงนี้

กายมนุษย์ละเอียดนั่นแหละเขารักษาดวงธรรมไว้ ไม่ให้เป็นอันตราย นั่นแน่น่าเลื่อมใสเขาอย่างนี้ เขาทำให้เราเป็นอยู่โดยสะดวกสบายนี่ชั้นหนึ่ง

ถ้าเข้าไปชั้นที่ ๒ พูดถึงกายมนุษย์ละเอียด นั่นก็ต้องอาศัยกายทิพย์เข้าไปรักษาดวงธรรม ที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ละเอียดไว้ ให้กายมนุษย์ละเอียดอยู่เป็นสุข สำราญ เบิกบานใจ นี่กายมนุษย์ละเอียดน่าเลื่อมใส กายทิพย์น่าเลื่อมใส

กายทิพย์ละเอียด เขารักษาดวงธรรมที่ให้เป็นกายทิพย์ไว้ กายทิพย์อยู่เบิกบาน สำราญใจ เพราะกายทิพย์ละเอียดรักษาดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายทิพย์ไว้

กายรูปพรหม รักษาดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายทิพย์ละเอียดไว้ น่าเลื่อมใส

กายรูปพรหมละเอียด รักษาดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายรูปพรหมหยาบนั้นไว้ ไม่ให้หายไป ถ้าหายไปรูปพรหมหยาบก็อยู่ไม่ได้ น่าเลื่อมใส

กายอรูปพรหม รักษาดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายรูปพรหมละเอียดไว้ ไม่ให้หายไป ให้อยู่เป็นสุขสำราญ เบิกบานใจ น่าเลื่อมใส

กายอรูปพรหมละเอียดรักษาดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายอรูปพรหมไว้ ไม่ให้หายไป กายอรูปพรหมเบิกบาน สำราญใจ น่าเลื่อมใส

ธรรมกาย รักษาดวงธรรมที่ทำให้เป็นอรูปพรหมละเอียดไว้ กายอรูปพรหมละเอียดจึงเบิกบาน สำราญใจอยู่ได้ น่าเลื่อมใส

ธรรมกายละเอียด รักษาดวงธรรมที่ทำให้เป็นธรรมกายไว้ นั่นแน่กายธรรมละเอียดนั่น เป็นสังฆรัตนะ เป็นพระสงฆ์แท้ๆ

ต้องแสดงอย่างนี้ ถึงจะรู้ชัดว่าความเลื่อมใสในสงฆ์น่ะ เลื่อมใสอย่างไร? เลื่อมใสว่ารักษาดวงธรรม ที่ทำให้เป็นธรรมกายไว้ ถ้าว่าไม่รักษาไว้แล้ว ดวงธรรมที่ทำให้เป็นธรรมกายนั้นก็อยู่ไม่ได้ กายธรรมก็ไม่มี

เพราะฉะนั้นน่าเลื่อมใสพระสงฆ์ รักษาดวงธรรมที่ทำให้เป็นธรรมกายไว้ นี่แหละพระพุทธเจ้าท่านสรรเสริญนัก พระสงฆ์นั้นท่านประพฤติปฏิบัติอย่างนี้แหละ เป็นหน้าที่รักษาดวงธรรมนั่นแหละ



แก้ไขล่าสุดโดย หลับอยุ่ เมื่อ 11 เม.ย. 2010, 13:10, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2010, 11:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




untitled.bmp
untitled.bmp [ 420.46 KiB | เปิดดู 3693 ครั้ง ]
ท่านถึงได้ยืนยันตามตำรับตำราว่า สงฺเฆน ธาริโต ธรรมอันพระสงฆ์ทรงไว้ ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายธรรม พระสงฆ์ทรงไว้



ดวงธรรมที่ทำให้เป็น กายมนุษย์ กายมนุษย์ละเอียดทรงไว้
ดวงธรรมที่ทำให้เป็น กายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์ทรงไว้
ดวงธรรมที่ทำให้เป็น กายทิพย์หยาบ กายทิพย์ละเอียดทรงไว้
ดวงธรรมที่ทำให้เป็น กายทิพย์ละเอียด กายรูปพรหมทรงไว้
ดวงธรรมที่ทำให้เป็น กายรูปพรหม กายรูปพรหมละเอียดทรงไว้
ดวงธรรมที่ทำให้เป็น กายรูปพรหมละเอียด กายอรูปพรหมทรงไว้
ดวงธรรมที่ทำให้เป็น อรูปพรหมหยาบ กายอรูปพรหมละเอียดทรงไว้
ดวงธรรมที่ทำให้เป็น อรูปพรหมละเอียด กายธรรมทรงไว้
ดวงธรรมที่ทำให้เป็น กายธรรม กายธรรมละเอียดทรงไว้

กายธรรมละเอียดนั่นเองตัวสังฆรัตนะ พระสงฆ์ผู้ทรงธรรมรัตนะไว้ทรงไว้อย่างนี้ ให้รู้จักหลักอันนี้

นี่ความเลื่อมใสในพระสงฆ์จะเริ่มต้น คนไม่เป็นธรรมกายก็เลื่อมใสอย่างพระเจ้าศรีธรรมาโศกราช ผู้ประพฤติดี ประพฤติชอบ เป็นภิกษุ สามเณรก็ดี เป็นอุบาสก อุบาสิกาก็ดี เลื่อมใสอย่างนั้น

เลื่อมใสขั้นนั้นก่อน แล้วก็เป็นขั้นๆ เข้าไป จนกระทั่งถึงเลื่อมใสในพระสงฆ์จริงๆ สงฺเฆ ปสาโท ยสฺสตฺถิ ความเลื่อมใสมีอยู่ในบุคคลใด

นี่ท่านประสงค์เอาเลื่อมใสในพระสงฆ์ลึกซึ้งอย่างนั้น คนเลื่อมใสในพระตถาคตเจ้าตอนต้นนั้น เลื่อมใสในธรรมกายอยู่แล้ว

ศีลก็ต้องเป็นหนทางธรรมกาย เลื่อมใสในพระสงฆ์อย่างนี้ เพราะพระสงฆ์ท่านก็เป็นสังฆรัตนะขององค์นั้น จึงจะถูกสัดถูกส่วน

นี่แหละเราควรเลื่อมใสให้มั่นเข้าไปในพระสงฆ์ เมื่อความเลื่อมใสในพระสงฆ์มีอยู่กับบุคคลใดแล้ว บุคคลนั้นก็ภูมิใจอีกเหมือนกัน นี่ข้อ ๓

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2010, 11:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




crystal_blue.jpg
crystal_blue.jpg [ 10.87 KiB | เปิดดู 3691 ครั้ง ]
8path.gif
8path.gif [ 103.1 KiB | เปิดดู 3646 ครั้ง ]
ข้อที่ ๔ อุชุภูตญฺจ ทสฺสนํ ทสฺสนํ แปลว่าความเห็น อุชุภูตญฺจ ความเห็นซึ่งเป็นธรรมชาติตรง



ความเห็นตรงน่ะเห็นอะไร?
นี่เราควรรู้จัก ความเห็นตรงนี่เป็นข้อสำคัญนัก ภิกษุ สามเณร อุบาสกอุบาสิกา เมื่อเขาให้ลงความเห็นอย่างหนึ่งอย่างใด เขาบอกว่าต้องลงความเห็นให้ตรง

เราจะลงความเห็นอย่างไร จึงจะเห็นตรง?
นึกดูซิว่าต้องลงความเห็นให้ตรงนะ เราก็ต้องดูวัตถุที่เขาให้ลงความเห็น ดูวัตถุอะไรที่เขาให้ลงความเห็น มีคนอยู่สองคนเขาเล่าให้ฟังว่า คนนี้เป็นอย่างนี้ เอ้าให้ลงความเห็นซิ คนไหนผิดคนไหนถูก ก็บอกว่าคนไหนผิดคนไหนถูก เราจะลงความเห็นอย่างไรมันจึงจะถูกจริง

นี่ความเห็นเผินๆ ละ ให้ลงความเห็นเผินๆ ก่อนวิวาทกันทั้งสองข้าง ข้างไหนผิดข้างไหนถูก ถ้าลงความเห็นถูกคนที่ผิดจริงๆ เข้าละก็ ความเห็นอันนั้นมันก็ถูกล่ะซี

ถูกนั่นแหละเป็นธรรม ถ้าผิดแล้วไม่เป็นธรรม
นี้แหละความเห็นอันนี้แหละเป็นตัวอย่าง เป็นตำรับตำราความเห็นเป็นข้อสำคัญนัก จะเปิดมุ้งเห็นขโมยเลย ไม่ได้ จะไปเที่ยวสงสัยเขาเรื่อยเปื่อยอย่างนั้น ไม่ได้

ต้องให้ถูกตามความจริง ถูกตามความจริง ที่เรียกว่าความเห็น ซึ่งเป็นธรรมชาติตรงนั้น ตรงตลอด ตรงทำนองคลองธรรม

ตั้งแต่ศีลบริสุทธิ์มา เห็นศีลบริสุทธิ์ว่าถูก นอกจากนั้นไม่บริสุทธิ์ไม่ถูก แล้วก็เห็นศีลที่บริสุทธิ์และไม่บริสุทธิ์

ศีลที่พระอริยเจ้าใคร่ พระอริยเจ้าชอบใจ ก็เห็นถูกตรงตามรอยศีลนั่นไม่เคลื่อนจากศีลนั้น แล้วก็เลื่อมใสในพระสงฆ์ ตั้งแต่สงฆ์บริสุทธิ์ สามเณรบริสุทธิ์ ดุจนิโครธสามเณร บริสุทธิ์เป็นลำดับมา ตามความจริงของภิกษุสามเณร


นั่นความเห็นอันนั้นก็ถูกนี่ตรง นี่ได้ชื่อว่าตรงเหมือนกัน ไม่ใช่คลาด ความเห็นซึ่งเป็นธรรมชาติตรงน่ะ ในบทท้ายท่านแสดงหลักไว้ว่า ธมฺมทสฺสนํ เห็นธรรมนั่นเอง

เห็นธรรมน่ะเห็นอะไร? เห็นดวงธรรม ที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ละซิ นี่แหละธรรมดวงนี้แหละ


ดวงธรรม ที่ทำให้เป็นกายมนุษย์
ดวงธรรม ที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ละเอียด
ดวงธรรม ที่ทำให้เป็นกายทิพย์
ดวงธรรม ที่ทำให้เป็นกายทิพย์ละเอียด
ดวงธรรม ที่ทำให้เป็นกายรูปพรหม
ดวงธรรม ที่ทำให้เป็นกายรูปพรหมละเอียด
ดวงธรรม ที่ทำให้เป็นกายอรูปพรหม
ดวงธรรม ที่ทำให้เป็นกายอรูปพรหมละเอียด
ดวงธรรม ที่ทำให้เป็นกายธรรม
ดวงธรรม ที่ทำให้เป็นกายธรรมละเอียด
ดวงธรรม ที่ทำให้เป็นกายโสดา
ดวงธรรม ที่ทำให้เป็นกายโสดาละเอียด
ดวงธรรม ที่ทำให้เป็นพระสกทาคา
ดวงธรรม ที่ทำให้เป็นพระสกทาคาละเอียด
ดวงธรรม ที่ทำให้เป็นพระอนาคา
ดวงธรรม ที่ทำให้เป็นพระอนาคาละเอียด
ดวงธรรม ที่ทำให้เป็นพระอรหัต
ดวงธรรม ที่ทำให้เป็นพระอรหัตละเอียด

นั่นแน่ เห็นดวงธรรมนั้น จึงจะได้ชื่อว่าเห็นตรง ถ้าเห็นโน่นก็ธรรม นี่ก็ธรรม เอากันละคราวนี้ยุ่งแน่

เดี๋ยวนี้พวกเราทั้งหมดนี่แหละ ทั้งภิกษุสามเณร อุบาสก อุบาสิกา เห็นตรงน่ะมีกี่องค์ล่ะ พระเณร อุบาสกอุบาสิกามีกี่คนที่เห็นตรงน่ะ



ในวัดปากน้ำนี้มี ๑๕๐ กว่าคนแล้วนะ เห็นดวงธรรมน่ะ เห็นดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ กายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์ กายทิพย์ละเอียด กายรูปพรหม รูปพรหมละเอียด กายอรูปพรหม อรูปพรหมละเอียด

กายธรรม กายธรรมละเอียด กายโสดา โสดาละเอียด สกทาคา สกทาคาละเอียด อนาคา อนาคาละเอียด อรหัต อรหัตละเอียด

เห็นดวงธรรมเหล่านั้นแหละได้ชื่อว่า ธมฺมทสฺสนํ เห็นตรง ทางอื่นก็อาศัยธรรมเหล่านี้ทั้งนั้น ความถูกตามดวงธรรมนั่นแหละ


แก้ไขล่าสุดโดย หลับอยุ่ เมื่อ 11 เม.ย. 2010, 13:11, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2010, 11:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




18กาย.bmp
18กาย.bmp [ 266.05 KiB | เปิดดู 3686 ครั้ง ]
ดวงธรรมนี่มาจากไหน?


การเห็นดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ ก็มาจากบริสุทธิ์ด้วยกาย วาจา ใจ บริสุทธิ์ด้วย กาย วาจา ใจ นั่นแหละ เห็นถูกอันนั้น จนกระทั่งเข้าถึงดวงธรรม
กายมนุษย์ละเอียดล่ะ ก็มาจากบริสุทธิ์ด้วยกาย วาจา ใจ ที่ละเอียดลงไป นั่นแหละเข้ามาเป็นดวงธรรมนั้น
กายทิพย์ล่ะ ดวงธรรมอันนี้ก็มาจากทาง ศีล สัจจะ จาคะ ปัญญา เติมความบริสุทธิ์ลงไปอีก
ดวงธรรม ที่ทำให้เป็นกายรูปพรหมล่ะ นี้ก็เติมปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌานลงไป ให้บริสุทธิ์ กาย วาจา ใจ อีก สูงขึ้นไป
ดวงธรรม ที่ทำให้เป็นกายอรูปพรหมล่ะ ทั้งหยาบทั้งละเอียด ก็เติม อรูปฌาน ๔ เข้า ได้แก่ อากาสานัญจา วิญญาณัญจา อากิญจัญญา เนวสัญญานาสัญญา นั่นเห็นถูกทั้งนั้น เห็นตรงอย่างนี้จึงได้ชื่อว่าเห็นถูกละ
ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายธรรมล่ะ ก็ต้องเดิน ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะเข้ามา ต่อจากธรรมที่ทำให้เป็นกายละเอียด ก็ถึงดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายโสดา สกทาคา อนาคา ก็เดินศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ เข้ามาตามลำดับขึ้นไป จนกระทั่งถึงพระอรหัต


นั่นแน่ๆ ธมฺมทสฺสนํ เป็นอย่างนี้ ลึกซึ้งขนาดนี้นะ ความเห็นเรียกว่าเห็นตรง เห็นธรรมนั่นเอง
ถ้าเห็นอย่างนี้น่ะ ใครเห็นเข้าก็ภูมิใจ ดีอกดีใจ ไม่ใช่ภูมิใจอย่างเดียวนะ พระองค์ทรงรับสั่งว่า


อทลิทฺโทติ ตํ อาหุ อโมฆนฺตสฺส ชีวิตํ นักปราชญ์ทั้งหลายย่อมรับรองกล่าวบุคคลนั้นว่าเป็นคนไม่จน เมื่อมีคุณธรรม ๔ ประการอยู่ในตัวเช่นนี้แล้วเป็นคนไม่จน
- คือเป็นคนเชื่อในพระตถาคตเจ้า
- มีศีลอันดีงามที่พระอริยเจ้าใคร่ชอบใจ
- เลื่อมใสในพระสงฆ์
- ความเห็นของตนเป็นธรรมชาติทรง หรือเห็นธรรม
นี่แหละยืนยันทีเดียวไม่ใช่คนจน ถ้าเราไม่อยากเป็นคนจน อยากเป็นคนมั่งมีแล้ว ต้องมีธรรม ๔ ประการนี้ อย่าให้เคลื่อน ให้มีไว้ในตัวเสมอ

ถ้าเคลื่อนแล้วละก็ ใจจะไม่ผ่องใส จะคิดถึงแต่สมบัติบ้าๆ เข้าใจแค่สิ่งหยาบๆ เที่ยวคว้าเรื่อยเปื่อยทีเดียว วุ่นวายไปตามกัน เพราะเหตุว่าไม่มีธรรม ๔ อย่างนี้ประจำอยู่ในตัว

ถ้ามีธรรม ๔ อย่างนี้ประจำอยู่ในตัวแล้ว ไม่วุ่นวาย ไม่คลาดเคลื่อนแต่อย่างหนึ่งอย่างใด ยิ้มกริ่มทีเดียว เพราะไปเจอบ่อทรัพย์ใหญ่เข้าแล้ว

นี่แหละนักปราชญ์ทั้งหลายเชิดชูละ กล่าวว่าบุคคลนั้นไม่ใช่เป็นคนจน ไม่ใช่เป็นคนจนแล้วเป็นคนอะไรล่ะ? เป็นคนไม่มีไม่จน จะเรียกว่าจนก็ไม่จน จะเรียกว่ามีก็ไม่มี และสบายยิ่งกว่าสบาย

อโมฆนฺตสฺส ชีวิตํ สรรเสริญไว้ในท้ายนี้ ความเป็นอยู่ของเขานั้น ไม่เปล่าจากประโยชน์ เป็นประโยชน์เรื่อย

ถ้าไม่มีสิ่งทั้ง ๔ นี้ประจำใจแล้ว ก็เป็นอยู่วันหนึ่งเปล่าประโยชน์ทีเดียว ที่ไม่เปล่าประโยชน์น่ะไม่ค่อยมี ถ้าว่าเป็นอยู่ดังนี้ละก็ ไม่เปล่าจากประโยชน์ทีเดียว
ตสฺมา สทฺธญฺจ สีลญฺจ ปสาทํ ธมฺมทสฺสนํ อนุยุญฺเชถ เมธาวี สรํ พุทฺธาน สาสนํ

ผู้มีปัญญามาระลึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย อย่างนี้แล้ว
ควรประกอบความเชื่อไว้เนืองๆ
ประกอบศีลไว้เนืองๆ
ประกอบความเลื่อมใสไว้เนืองๆ
ประกอบความเห็นธรรมไว้เนืองๆ
นี้แหละไม่เสียที่เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา



แก้ไขล่าสุดโดย หลับอยุ่ เมื่อ 24 มี.ค. 2010, 14:45, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ม.ค. 2010, 11:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




Y4775273-7.jpg
Y4775273-7.jpg [ 13.72 KiB | เปิดดู 3681 ครั้ง ]
ที่ได้ชี้แจงแสดงมาตามวาระพระบาลี คลี่ความเป็นสยามภาษาตามมตยาธิบาย พอสมควรแก่เวลา เอเตน สจฺจวชฺเชน ด้วยอำนาจความสัตย์ที่ได้อ้างธรรมปฏิบัติ ตั้งแต่ต้นจนอวสานนี้

สทา โสตฺถี ภวนฺตุ เต ขอความสุขสวัสดี จงบังเกิดมีแก่ท่านทั้งหลาย บรรดามาสโมสรในสถานที่นี้ทุกถ้วนหน้า
อาตมภาพชี้แจงแสดง พอสมควรแก่เวลา สมมุติว่ายุติธรรมิกถาโดยอรรถนิยมความเพียงเท่านี้

เอวํ ก็มีด้วยประการฉะนี้


:b42: :b42: :b42:
:b8: :b8: :b8:


แก้ไขล่าสุดโดย หลับอยุ่ เมื่อ 31 ม.ค. 2010, 11:28, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 มี.ค. 2010, 14:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




000000000000000000000000000000000000000000000000000000.bmp
000000000000000000000000000000000000000000000000000000.bmp [ 466.22 KiB | เปิดดู 3661 ครั้ง ]
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๖ พระอภิธรรมปิฎก เล่มที่ ๓
ธาตุกถา-ปุคคลบัญญัติปกรณ์



เอกกนิทเทส







[๑๗] บุคคลผู้พ้นแล้วในสมัย เป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้ ถูกต้องวิโมกข์ ๘ ด้วยกาย ในกาลโดยกาล
ในสมัยโดยสมัย แล้วสำเร็จอิริยาบถอยู่ อนึ่ง อาสวะบางอย่างของบุคคลนั้น
หมดสิ้นแล้วเพราะเห็นด้วยปัญญา บุคคลนี้เรียกว่า ผู้พ้นแล้วในสมัย
[๑๘] บุคคลผู้มิใช่พ้นแล้วในสมัย เป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้ มิได้ถูกต้องวิโมกข์ ๘ ด้วยกาย ในกาลโดยกาล
ในสมัยโดยสมัย สำเร็จอิริยาบถอยู่ อนึ่ง อาสวะทั้งหลายของบุคคลนั้น หมด
สิ้นแล้วเพราะเห็นด้วยปัญญา บุคคลนี้เรียกว่าผู้มิใช่พ้นแล้วในสมัย พระอริย-
*บุคคลแม้ทั้งปวง ชื่อว่าผู้มิใช่พ้นแล้วในสมัย ในวิโมกข์ ส่วนที่เป็นอริยะ
[๑๙] บุคคลผู้มีธรรมอันกำเริบ เป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ได้สมาบัติอันสหรคตด้วยรูปฌาน หรือ
สหรคตด้วยอรูปฌาน แต่บุคคลนั้น มิใช่เป็นผู้ได้ตามปรารถนา มิใช่เป็นผู้ได้
โดยไม่ยาก มิใช่เป็นผู้ได้โดยไม่ลำบาก ไม่สามารถจะเข้าหรือออกสมาบัติใด
ในที่ใด นานเท่าใด ตามปรารถนา ข้อนี้ก็เป็นฐานะอยู่แล ที่สมาบัติเหล่านั้น
จะพึงกำเริบได้ เพราะอาศัยความประมาทของบุคคลนั้น บุคคลนี้เรียกว่า ผู้มี
ธรรมอันกำเริบ
[๒๐] บุคคลผู้มีธรรมอันไม่กำเริบ เป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ได้สมาบัติอันสหรคตด้วยรูปฌาน หรือ
สหรคตด้วยอรูปฌาน แต่บุคคลนั้น เป็นผู้ได้ตามต้องการ เป็นผู้ได้โดยไม่ยาก
เป็นผู้ได้โดยไม่ลำบาก สามารถจะเข้าหรือออกสมาบัติใดในที่ใด นานเท่าใด
ได้ตามปรารถนา ข้อนี้ไม่เป็นฐานะไม่เป็นโอกาสที่สมาบัติเหล่านั้นจะพึงกำเริบ
เพราะอาศัยความประมาทของบุคคลนั้น บุคคลนี้เรียกว่า ผู้มีธรรมอันไม่กำเริบ
พระอริยบุคคลแม้ทั้งหมดชื่อว่าผู้มีธรรมอันไม่กำเริบ ในวิโมกข์ส่วนที่เป็นอริยะ
[๒๑] บุคคลผู้มีธรรมอันเสื่อม เป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ได้สมาบัติอันสหรคตด้วยรูปฌาน หรือ
สหรคตด้วยอรูปฌาน แต่บุคคลนั้น มิใช่เป็นผู้ได้ตามต้องการ มิใช่เป็นผู้ได้โดย
ไม่ยาก มิใช่เป็นผู้ได้โดยไม่ลำบาก ไม่สามารถจะเข้าหรือออกสมาบัติใด ในที่
ใด นานเท่าใดตามปรารถนา ข้อนี้ก็เป็นฐานะอยู่แล ที่บุคคลนั้น จะพึงเสื่อม
จากสมาบัติเหล่านั้นได้ เพราะอาศัยความประมาท บุคคลนี้เรียกว่า ผู้มีธรรม
อันเสื่อม
[๒๒] บุคคลผู้มีธรรมอันไม่เสื่อม เป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ได้สมาบัติอันสหรคตด้วยรูปฌาน หรือ
สหรคตด้วยอรูปฌาน แต่บุคคลนั้นเป็นผู้ได้ตามต้องการ เป็นผู้ได้โดยไม่ยาก
เป็นผู้ได้โดยไม่ลำบาก สามารถจะเข้าหรือออกสมาบัติใด ในที่ใด นานเท่าใด
ตามปรารถนา ข้อนี้ไม่เป็นฐานะไม่เป็นโอกาสที่บุคคลนั้นจะพึงเสื่อมจากสมาบัติ
เหล่านั้น เพราะอาศัยความประมาท บุคคลนี้เรียกว่า ผู้มีธรรมอันไม่เสื่อม
พระอริยบุคคลแม้ทั้งปวงเป็นผู้มีธรรมอันไม่เสื่อมในวิโมกข์ส่วนที่เป็นอริยะ
[๒๓] บุคคลผู้ควรโดยเจตนา เป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ได้สมาบัติอันสรหคตด้วยรูปฌาน หรือ
สหรคตด้วยอรูปฌาน แต่บุคคลนั้นมิใช่เป็นผู้ได้ตามต้องการ มิใช่ได้โดยไม่ยาก
มิใช่เป็นผู้ได้โดยไม่ลำบาก ไม่สามารถจะเข้าหรือออกสมาบัติใด ในที่ใด นาน
เท่าใดได้ตามปรารถนา หากว่าคอยใส่ใจอยู่ ย่อมไม่เสื่อมจากสมาบัติเหล่านั้น
หากไม่เอาใจใส่ก็เสื่อมจากสมาบัติเหล่านั้น บุคคลนี้เรียกว่า ผู้ควรโดยเจตนา
[๒๔] บุคคลผู้ควรโดยการตามรักษา เป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ได้สมาบัติอันสรหคตด้วยรูปฌาน หรือ
สรหคตด้วยอรูปฌาน และบุคคลนั้นแลมิใช่เป็นผู้ได้ตามต้องการ มิใช่เป็นผู้ได้
โดยไม่ยาก มิใช่เป็นผู้ได้โดยไม่ลำบาก ไม่สามารถจะเข้าหรือออกสมาบัติใด
ในที่ใด นานเท่าใดได้ตามปรารถนา หากว่าคอยรักษาอยู่ ย่อมไม่เสื่อมจาก
สมาบัติเหล่านั้น หากว่าไม่คอยรักษาก็เสื่อมจากสมาบัติเหล่านั้น บุคคลนี้เรียกว่า
ผู้ควรโดยการตามรักษา
[๒๕] บุคคลที่เป็นปุถุชน เป็นไฉน
สัญโญชน์ ๓ อันบุคคลใดละไม่ได้ ทั้งไม่ปฏิบัติเพื่อละธรรมเหล่านั้น
บุคคลนี้เรียกว่า ปุถุชน
[๒๖] โคตรภูบุคคล เป็นไฉน
ความย่างลงสู่อริยธรรมในลำดับแห่งธรรมเหล่าใด บุคคลผู้ประกอบ
ด้วยธรรมเหล่านั้น นี้เรียกว่า โคตรภูบุคคล
[๒๗] บุคคลผู้งดเว้นเพราะกลัว เป็นไฉน
พระเสขะ ๗ จำพวก และบุคคลปุถุชนผู้มีศีล ชื่อว่าผู้งดเว้นเพราะ
กลัว พระอรหันต์ชื่อว่ามิใช่ผู้งดเว้นเพราะกลัว
[๒๘] บุคคลผู้ไม่ควรแก่การบรรลุมรรคผล เป็นไฉน
บุคคลที่ประกอบด้วยกัมมาวรณ์ ประกอบด้วยกิเลสาวรณ์ ประกอบ
ด้วยวิปากาวรณ์ ไม่มีศรัทธา ไม่มีฉันทะ มีปัญญาทราม โง่เขลา เป็นผู้ไม่
ควรหยั่งลงสู่นิยามอันถูกในกุศลธรรมทั้งหลาย บุคคลเหล่านี้เรียกว่า ผู้ไม่ควร
แก่การบรรลุมรรคผล
[๒๙] บุคคลผู้ควรแก่การบรรลุมรรคผล เป็นไฉน
บุคคลที่ไม่ประกอบด้วยกัมมาวรณ์ ไม่ประกอบด้วยกิเลสาวรณ์ ไม่
ประกอบด้วยวิปากาวรณ์ มีศรัทธา มีฉันทะ มีปัญญา ไม่โง่เขลา เป็นผู้ควร
เพื่อหยั่งลงสู่นิยามอันถูกในกุศลธรรมทั้งหลาย บุคคลเหล่านี้เรียกว่า ผู้ควรแก่
การบรรลุมรรคผล
[๓๐] บุคคลผู้เที่ยงแล้ว เป็นไฉน
บุคคลผู้ทำอนันตริยกรรม ๕ จำพวก บุคคลผู้เป็นนิยตมิจฉาทิฏฐิ และ
พระอริยบุคคล ๘ ชื่อว่า ผู้เที่ยงแล้ว บุคคลนอกนั้นชื่อว่า ผู้ไม่เที่ยง
[๓๑] บุคคลผู้ปฏิบัติ เป็นไฉน
บุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยมรรค ๔ ชื่อว่าผู้ปฏิบัติ บุคคลผู้พร้อมเพรียง
ด้วยผล ๔ ชื่อว่าผู้ตั้งอยู่แล้วในผล
[๓๒] บุคคลชื่อว่าสมสีสี เป็นไฉน
การสิ้นไปแห่งอาสวะ และการสิ้นไปแห่งชีวิตของบุคคลใด มีไม่ก่อน
ไม่หลังกัน บุคคลนี้เรียกว่า สมสีสี
[๓๓] บุคคลชื่อว่าฐิตกัปปี เป็นไฉน
บุคคลนี้พึงเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล และเวลาที่กัลป์
ไหม้จะพึงมี กัลป์ก็ไม่พึงไหม้ตราบเท่าที่บุคคลนี้ยังไม่ทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล
บุคคลนี้เรียกว่า ฐิตกัปปี บุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยมรรคแม้ทั้งหมด ชื่อว่า
เป็นผู้มีกัลป์ตั้งอยู่แล้ว
[๓๔] บุคคลเป็นอริยะ เป็นไฉน
พระอริยบุคคล ๘ เป็นอริยะ บุคคลนอกนั้น ไม่ใช่อริยะ
[๓๕] บุคคลเป็นเสขะ เป็นไฉน
บุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยมรรค ๔ พร้อมเพรียงด้วยมรรค ๓ เป็นเสขะ
พระอรหันต์เป็นอเสขะ บุคคลนอกนั้น เป็นเสขะก็มิใช่ เป็นอเสขะก็มิใช่
[๓๖] บุคคลผู้มีวิชชา ๓ เป็นไฉน
บุคคลประกอบด้วยวิชชา ๓ ชื่อว่าผู้มีวิชชา ๓
[๓๗] บุคคลผู้มีอภิญญา ๖ เป็นไฉน
บุคคลประกอบด้วยอภิญญา ๖ ชื่อว่าผู้มีอภิญญา ๖
[๓๘] บุคคลเป็นพระสัมมาสัมพุทธะ เป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้ ตรัสรู้ด้วยปัญญาอันยิ่ง ซึ่งสัจจะด้วยตนเองใน
ธรรมทั้งหลาย ที่ตนมิได้เคยสดับมาแล้วในก่อน บรรลุความเป็นพระสัพพัญญู
ในธรรมนั้น และบรรลุความเป็นผู้มีความชำนาญในธรรมเป็นกำลังทั้งหลาย
บุคคลนี้เรียกว่า พระสัมมาสัมพุทธะ
[๓๙] บุคคลเป็นพระปัจเจกพุทธะ เป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมตรัสรู้ซึ่งสัจจะทั้งหลายด้วยตนเอง ใน
ธรรมทั้งหลายที่ตนไม่ได้สดับมาแล้วในก่อน แต่มิได้บรรลุความเป็นพระสัพพัญญู
ในธรรมนั้น ทั้งไม่ถึงความเป็นผู้ชำนาญในธรรมอันเป็นกำลังทั้งหลาย บุคคล
นี้เรียกว่า พระปัจเจกพุทธะ
[๔๐] บุคคลชื่อว่า อุภโตภาควิมุต เป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้ ถูกต้องซึ่งวิโมกข์ ๘ ด้วยกาย แล้วสำเร็จ
อิริยาบถอยู่ ทั้งอาสวะของผู้นั้นก็สิ้นไปแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา บุคคลนี้เรียก
ว่า อุภโตภาควิมุต
[๔๑] บุคคลชื่อว่าปัญญาวิมุต เป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้ มิได้ถูกต้องซึ่งวิโมกข์ ๘ ด้วยกาย สำเร็จ
อิริยาบถอยู่ แต่อาสวะของผู้นั้นสิ้นไปแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา บุคคลนี้
เรียกว่า ปัญญาวิมุต
[๔๒] บุคคลชื่อว่ากายสักขี เป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้ ถูกต้องซึ่งวิโมกข์ ๘ ด้วยกาย แล้วสำเร็จ
อิริยาบถอยู่ ทั้งอาสวะบางอย่างของผู้นั้นก็สิ้นไปแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา
บุคคลนี้เรียกว่า กายสักขี
[๔๓] บุคคลชื่อว่าทิฏฐิปัตตะ เป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ย่อม
รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้เหตุให้เกิดทุกข์ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า
นี้ความดับทุกข์ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
อนึ่ง ธรรมทั้งหลายที่พระตถาคตประกาศแล้ว ผู้นั้นเห็นชัดแล้ว ดำเนินไปดี
แล้วด้วยปัญญา อนึ่งอาสวะบางอย่างของผู้นั้นก็สิ้นไปแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา
บุคคลนี้เรียกว่า ทิฏฐิปัตตะ
[๔๔] บุคคลชื่อว่าสัทธาวิมุต เป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ย่อม
รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้เหตุให้เกิดทุกข์ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า
นี้ความดับทุกข์ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
อนึ่งธรรมทั้งหลายที่พระตถาคตประกาศแล้ว ผู้นั้นเห็นชัดแล้ว ดำเนินไปดีแล้ว
ด้วยปัญญา อนึ่ง อาสวะบางอย่างของผู้นั้นก็สิ้นไปแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา
แต่มิใช่เหมือนบุคคลผู้เป็นทิฏฐิปัตตะ บุคคลนี้เรียกว่าสัทธาวิมุต
[๔๕] บุคคลชื่อว่าธัมมานุสารี เป็นไฉน
ปัญญินทรีย์ของบุคคลใด ผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผลมี
ประมาณยิ่ง บุคคลนั้นย่อมอบรมซึ่งอริยมรรคอันมีปัญญาเป็นเครื่องนำมา มีปัญญา
เป็นประธานให้เกิดขึ้น บุคคลนี้เรียกว่า ธัมมานุสารี บุคคลผู้ปฏิบัติแล้ว เพื่อ
ทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล ชื่อว่าธัมมานุสารี บุคคลผู้ตั้งอยู่แล้วในผล ชื่อว่า
ทิฏฐิปัตตะ
[๔๖] บุคคลชื่อว่าสัทธานุสารี เป็นไฉน
สัทธินทรีย์ของบุคคลใดผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล มี
ประมาณยิ่ง อบรมอริยมรรคมีสัทธาเป็นเครื่องนำมา มีสัทธาเป็นประธานให้
เกิดขึ้น บุคคลนี้เรียกว่า สัทธานุสารีบุคคล ผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล
ชื่อว่าสัทธานุสารี ผู้ตั้งอยู่แล้วในผล ชื่อว่าสัทธาวิมุต
[๔๗] บุคคลชื่อว่าสัตตักขัตตุปรมะ เป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้ เพราะความสิ้นไปรอบแห่งสัญโญชน์ทั้ง ๓ เป็น
โสดาบัน มีอันไม่ไปเกิดในอบายเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยง จะได้ตรัสรู้ในเบื้อง
หน้า บุคคลนั้นจะแล่นไปท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ ๗ ชาติ แล้วทำที่
สุดทุกข์ได้ บุคคลนี้เรียกว่า สัตตักขัตตุปรมะ
[๔๘] บุคคลชื่อว่าโกลังโกละ เป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้ เพราะความสิ้นไปรอบแห่งสัญโญชน์ทั้ง ๓ เป็น
โสดาบัน มีอันไม่ไปเกิดในอบายเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงจะได้ตรัสรู้ในเบื้อง
หน้า บุคคลนั้นจะแล่นไปท่องเที่ยวไปสู่ตระกูลสองหรือสาม แล้วทำที่สุดทุกข์
ได้ บุคคลนี้เรียกว่า โกลังโกละ
[๔๙] บุคคลชื่อว่าเอกพิชี เป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้ เพราะความสิ้นไปรอบแห่งสัญโญชน์ทั้ง ๓ มี
อันไม่ไปเกิดในอบายเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยง จะได้ตรัสรู้ในเบื้องหน้า บุคคล
นั้นเกิดในภพมนุษย์อีกครั้งเดียว แล้วทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ บุคคลนี้เรียกว่า
เอกพิชี
[๕๐] บุคคลชื่อว่าสกทาคามี เป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้ เพราะความสิ้นไปรอบแห่งสัญโญชน์ทั้ง ๓
เพราะทำราคะ โทสะ โมหะ ให้เบาบางลง เป็นสกทาคามี ยังจะมาสู่โลกนี้
คราวเดียวเท่านั้น แล้วทำที่สุดทุกข์ได้ บุคคลนี้เรียกว่าสกทาคามี
[๕๑] บุคคลชื่อว่าอนาคามี เป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้ เพราะความสิ้นไปรอบแห่งโอรัมภาคิยสัญโญชน์
ทั้ง ๕ มีกำเนิดเป็นอุปปาติกะ ปรินิพพานในเทวโลกชั้นสุทธาวาสนั้น มีอัน
ไม่กลับมาจากโลกนั้นเป็นธรรมดา บุคคลนี้เรียกว่า อนาคามี
[๕๒] บุคคลชื่อว่าอันตราปรินิพพายี เป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้ เพราะความสิ้นไปรอบแห่งโอรัมภาคิยสัญ-
*โญชน์ทั้ง ๕ มีกำเนิดเป็นอุปปาติกะ ปรินิพพานในเทวโลกชั้นสุทธาวาสนั้น มี
อันไม่กลับมาจากโลกนั้นเป็นธรรมดา บุคคลนั้น ย่อมยังอริยมรรคให้เกิดขึ้น
เพื่อละสัญโญชน์อันมีในเบื้องบน ในระยะเวลาติดต่อกับที่เกิดบ้าง ยังไม่ถึง
ท่ามกลางกำหนดอายุบ้าง บุคคลนี้เรียกว่า อันตราปรินิพพายี
[๕๓] บุคคลชื่อว่าอุปหัจจปริพพายี เป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้ เพราะความสิ้นไปรอบแห่งโอรัมภาคิยสัญ-
*โญชน์ทั้ง ๕ มีกำเนิดเป็นอุปปาติกะ ปรินิพพานในเทวโลกชั้นสุทธาวาสนั้น
มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา บุคคลนั้น ย่อมยังอริยมรรคให้เกิดขึ้น เพื่อ
ละสัญโญชน์อันมีในเบื้องบน เมื่อล่วงพ้นท่ามกลางกำหนดอายุบ้าง เมื่อใกล้จะ
ทำกาลกิริยาบ้าง บุคคลนี้เรียกว่า อุปหัจจปรินิพพายี
[๕๔] บุคคลชื่อว่าอสังขารปรินิพพายี เป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้ เพราะความสิ้นไปรอบแห่งโอรัมภาคิยสัญโญชน์
ทั้ง ๕ มีกำเนิดเป็นอุปปาติกะ ปรินิพพานในเทวโลกชั้นสุทธาวาสนั้น มีอันไม่
กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา บุคคลนั้นย่อมยังอริยมรรคให้เกิดขึ้นโดยไม่ลำบาก
เพื่อละสัญโญชน์อันมีในเบื้องบน บุคคลนี้เรียกว่า อสังขารปรินิพพายี
[๕๕] บุคคลชื่อว่าสสังขารปรินิพพายี เป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้ เพราะความสิ้นไปรอบ แห่งโอรัมภาคิยสัญ-
*โญชน์ทั้ง ๕ มีกำเนิดเป็นอุปปาติกะ ปรินิพพานในเทวโลกชั้นสุทธาวาสนั้น
มีอันไม่กลับมาจากโลกนั้นเป็นธรรมดา บุคคลนั้น ย่อมยังอริยมรรคให้เกิดขึ้น
โดยลำบาก เพื่อละสัญโญชน์อันมีในเบื้องบน บุคคลนี้เรียกว่า สสังขารปรินิพพายี
[๕๖] บุคคลชื่อว่าอุทธังโสโตอกนิฏฐคามี เป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้ เพราะความสิ้นไปรอบแห่งโอรัมภาคิยสัญโญชน์
ทั้ง ๕ มีกำเนิดเป็นอุปปาติกะ ปรินิพพานในเทวโลกชั้นสุทธาวาสนั้น มีอันไม่
กลับมาจากโลกนั้นเป็นธรรมดา บุคคลนั้น จุติจากอวิหาไปอตัปปา จุติจากอตัปปา
ไปสุทัสสา จุติจากสุทัสสาไปสุทัสสี จุติจากสุทัสสีไปอกนิฏฐา ย่อมยังอริยมรรค
ให้เกิดขึ้นในอกนิฏฐา เพื่อละสัญโญชน์เบื้องบน บุคคลนี้เรียกว่า อุทธังโสโตอก
นิฏฐคามี
[๕๗] บุคคลชื่อว่าโสดาบัน ชื่อว่าปฏิบัติแล้วเพื่อทำให้แจ้งซึ่ง
โสดาปัตติผล เป็นไฉน
บุคคลผู้ปฏิบัติแล้วเพื่อละสัญโญชน์ ๓ ปฏิบัติแล้วเพื่อทำให้แจ้งซึ่ง
โสดาปัตติผล สัญโญชน์ ๓ อันบุคคลใดละได้แล้ว บุคคลนั้นเรียกว่าโสดาบัน
บุคคลปฏิบัติแล้วเพื่อความเบาบางแห่งกามราคะและพยาบาท ปฏิบัติ
แล้วเพื่อทำให้แจ้งซึ่งสกทาคามิผล เพราะราคะและพยาบาทของบุคคลใดเบาบาง
แล้ว บุคคลนี้เรียกว่า สกทาคามี
บุคคลปฏิบัติแล้วเพื่อละไม่ให้เหลือ ซึ่งกามราคะและพยาบาท ปฏิบัติ
แล้วเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอนาคามิผล กามราคะและพยาบาทอันบุคคลใดละได้หมด
ไม่มีเหลือ บุคคลนั้นเรียกว่า อนาคามี

บุคคลปฏิบัติแล้ว เพื่อไม่ให้เหลือซึ่งรูปราคะ อรูปราคะ มานะ
อุทธัจจะ และอวิชชา ปฏิบัติแล้วเพื่อทำให้แจ้งซึ่งอรหัตผล รูปราคะ อรูปราคะ
มานะ อุทธัจจะ อวิชชา อันบุคคลใดละได้หมดไม่มีเหลือ บุคคลนี้เรียกว่าอรหันต์

เอกกนิทเทส จบ
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๖ บรรทัดที่ ๒๗๓๔ - ๒๙๓๙. หน้าที่ ๑๑๒ - ๑๒๐.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_it ... agebreak=0
สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๖
http://www.84000.org/tipitaka/read/?สารบัญพระไตรปิฎกเล่มที่_๓๖
http://www.84000.org/tipitaka/read/?index_36

:b42: :b42: :b42:
:b44: :b44: :b44:
:b48: :b48: :b48:
:b8: :b8: :b8:


แก้ไขล่าสุดโดย หลับอยุ่ เมื่อ 24 มี.ค. 2010, 14:43, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 มิ.ย. 2010, 15:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=30315
:b42: :b42: :b42:
:b44: :b44: :b44:
:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 11 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron