วันเวลาปัจจุบัน 21 มิ.ย. 2025, 08:45  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2009, 10:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว




LotusPositionI.jpg
LotusPositionI.jpg [ 46.88 KiB | เปิดดู 4583 ครั้ง ]


เมตตาเจโตวิมุตติ

ครั้นคู่บารมีแสดงอสุภนิมิต โดยมีโยนิโสมนสิการบรรยายประกอบพอสมควรแล้ว ก็แสดงนิมิตอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งมีคำเรียกว่า "เมตตาเจโตวิมุตติ " ซึ่งออกจะยาวและดูจะแปลกใหม่สำหรับผู้ที่ไม่คุ้นต่อคำบาลี แต่ชื่อไม่สำคัญ ความสำคัญอยู่ที่ลักษณะหน้าตา ทั้งมีผู้บรรยายช่วยให้เข้าใจ ให้มองเห็นภาพประจักษ์

นิมิตที่สองนี้มีลักษณะเป็นคนมีจิตใจดียิ้มแย้มแจ่มใส มองมาด้วยสายตาที่เป็นมิตรผู้มีความปรารถนาดีเต็มที่ ช่างคล้ายคลึงกับสายตาของมารดาบิดาผู้มีจิตใจเต็มเปี่ยมด้วยความรักมองไปยังบุตรธิดา หรือสายตาของบุตรธิดาเองผู้มีจิตใจเต็มเปี่ยมด้วยความเคารพรักมองดูมารดาบิดา สายตาของทั้งสองฝ่ายประสานกันด้วยความรักอันบริสุทธิ์ ประกอบด้วยความสุขอันอบอุ่น แสดงถึงจิตใจที่พ้นแล้วจากความขึ้งเคียดมุ่งร้ายแม้แต่น้อย แม้นครสามีก็ได้ซาบซึ้งถึงภาพนิมิตที่ปรากฏนั้น โยนิโสมนสิการจึงได้อธิบายประกอบอีก เป็นต้นว่า นั่นแหละที่เรียกว่า "เมตตาเจโตวิมุตติ" ซึ่งมีคำแปลว่า "ความหลุดพ้นแห่งใจด้วยเมตตา " หมายความว่า หลุดพ้นจากพยาบาทคือความคิดมุ่งร้ายด้วยอำนาจโทสะ เพราะเจริญเมตตาให้เกิดมีขึ้นในจิตใจ พยาบาทเป็นเครื่องเศร้าหมองทางจิตใจอย่างหนึ่ง มีขึ้นในเมื่อประสบอารมณ์คือเรื่องที่ไม่ชอบใจ เช่นมีใครมาทำร้ายด่าว่าให้เจ็บใจ จึงเกิดพยาบาทขึ้นคือเกิดความโกรธอย่างแรงจนถึงคิดมุ่งร้ายหมายให้เขาถึงความวิบัติอันตราย ก็ทำให้จิตใจเศร้าหมองเดือดร้อนเหมือนอย่างถูกไฟเผา แต่ก็สามารถหลุดพ้นจากพยาบาทดังกล่าวได้ด้วยอำนาจเมตตา

อันเมตตานั้นคือความรักใคร่ปรารถนาให้เป็นสุข หรือความมีไมตรีจิตมิตรภาพ มีลักษณะตรงกันข้ามกับพยาบาท อันพยาบาทนั้นมุ่งร้ายหมายให้วิบัติ ส่วนเมตตามุ่งดีปรารถนาให้ประกอบด้วยสุขสมบัติ พยาบาทเป็นไฟเผาใจให้ร้อน เมตตาเป็นน้ำพรมใจให้เย็นเป็นสุข แต่เมตตาจะมีขึ้นในจิตใจได้ก็ต้องหัดปฏิบัติทำเมตตาภาวนา คืออบรมเมตตาให้มีขึ้น คือหัดแผ่ใจที่มีเมตตาออกไปแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเจาะจง หรือแผ่ออกไปโดยไม่เจาะจง โดยเจาะจงนั้น เช่นในบุคคลที่เป็นที่รัก เช่นในมารดาบิดาครูบาอาจารย์มิตรสหาย ในบุคคลที่เป็นปานกลาง ตลอดถึงในบุคคลที่เป็นศัตรูหรือที่ไม่ชอบพอกัน ท่านอาจารย์ผู้อธิบายพระพุทธวจนะอธิบายว่า ให้แผ่ไปในตนเองด้วยก่อน แล้วจึงแผ่ไปให้คนอื่นสัตว์อื่นด้วย สอนให้แผ่ไปในคนที่จะแผ่เมตตาออกไปง่ายก่อน เช่นในคนที่เป็นที่รัก แล้วจึงแผ่ไปในคนที่จะแผ่ยาก เช่นในศัตรู โดยไม่เจาะจงนั้นคือแผ่ไปในสรรพสัตว์ ไม่เลือกว่ามนุษย์หรือสัตว์ดิรัจฉาน หรือเทพดามารพรหมผู้ไหนองค์ไหน ตนไหนตัวไหน

มิใช่แต่เมตตาข้อเดียว แผ่กรุณา ความสงสารคิดช่วยให้พ้นทุกข์ มุทิตา ความพลอยยินดีในความสุขความเจริญของผู้อื่น อุเบกขา ความวางใจเป็นกลาง ไม่ยินดียินร้ายในเมื่อผู้อื่นถึงความวิบัติด้วยเพ่งพิจารณาถึงกรรมเป็นประมาณ เมื่อเมตตาเข้ามา พยาบาทสมุนของสมุทัยจะวิ่งหนีออกไปทันที จิตก็จะพ้นจากพยาบาทด้วยเมตตา นี้คือเมตตาเจโตวิมุตติ

พยาบาทเป็นไฟเผาใจให้ร้อน เมตตาเป็นน้ำพรมใจให้เย็นเป็นสุข บรรดาผู้มาบริหารจิตทั้งหลาย ถ้าไม่ชอบให้ไฟเผาร้อน ก็ต้องพยายามอบรมเมตตาให้ยิ่งขึ้นเสมอไป จะได้มีใจเย็นเป็นสุขด้วยมีน้ำแห่งเมตตาพรมใจ


ღღღღღღღღ


คัดลอกบางส่วนจาก ...
หนังสือ "จิตตนคร นครหลวงของโลก และแนวปฏิบัติในโพธิปักขิยธรรม ๓๗"
บทพระนิพนธ์ในองค์สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก


.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ม.ค. 2010, 13:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ธ.ค. 2009, 22:46
โพสต์: 167

แนวปฏิบัติ: buddhism
อายุ: 0
ที่อยู่: nontaburi

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอเพิ่มเติมครับ

การเจริญเมตตาจิต มีอานิสงส์อย่างไร ?

พุทธดำรัสตอบ “ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุซ่องเสพเมตตาจิต.... เจริญเมตตาจิต... ใส่ใจเมตตาจิต... แม้ชั่วเวลาเพียงลัดนิ้วมือเดียวเท่านั้น ภิกษุนี้เรากล่าวว่าอยู่ไม่เหินห่างจากฌาน ทำตามคำสอนของพระศาสดา ปฏิบัติตามโอวาท ไม่ฉันบิณฑบาตของชาวแว่นแคว้นเปล่า จะกล่าวไปใยถึงผู้ทำเมตตาจิตให้มากเล่า ?



บาลีแห่งเอกธรรม เอกนิบาต อังคุตรนิกาย (๕๔-๕๖)


การเจริญเมตตาเจโตวิมุติ มีอานิสงส์ ๑๑ ข้อ

บาลีว่าอย่างนี้ครับ

เมตตานิสังสะสุตตะปาโฐ


เอวัมเม สุตัง ฯ เอกัง สะมะยัง ภะคะวา สาวัตถิยัง วิหะระติ เชตะวะเน อะนาถะปิณฑิกัสสะ อาราเม ฯ ตัตระ โข ภะคะวา ภิกขู อามันเตสิ ภิกขะโวติ ฯ ภะทันเตติ เต ภิกขู ภะคะวะโต ปัจจัสโสสุง ภะคะวา เอตะทะโวจะ ฯ

เมตตายะ ภิกขะเว เจโตวิมุตติยา อาเสวิตายะ ภาวิตายะ พะหุลีกะตายะ ยานีกะตายะ วัตถุกะตายะ อะนุฏฐิตายะ ปะริจิตายะ สุสะมารัทธายะ เอกาทะสานิสังสา ปาฏิกังขา ฯ กะตะเม เอกาทะสะ ฯ สุขัง สุปะติ สุขัง ปะฏิพุชฌะติ ฯ นะ ปาปะกัง สุปินัง ปัสสะติ ฯ มะนุสสานัง ปิโย โหติ ฯ อะมะนุสสานัง ปิโย โหติฯ เทวะตา รักขันติ ฯ นาสสะ อัคคิ วา วิสัง วา สัตถัง วา กะมะติ ฯ ตุวะฏัง จิตตัง สะมาธิยะติ ฯ มุขะวัณโณ วิปปะสีทะติ ฯ อะสัมมุฬโห กาลัง กะโรติฯ อุตตะริง อัปปะฏิวิชฌันโต พรัหมะโลกูปะโค โหติ ฯ

เมตตายะ ภิกขะเว เจโตวิมุตติยา อาเสวิตายะ ภาวิตายะ พะหุลีกะตายะ ยานีกะตายะ วัตถุกะตายะ อะนุฏฐิตายะ ปะริจิตายะ สุสะมารัทธายะ อิเม เอกาทะสานิสังสา ปาฏิกังขาติ ฯ อิทะมะโวจะ ภะคะวา ฯ อัตตะมะนา เต ภิกขู ภะคะวะโต ภาสิตัง อะภินันทุนติ ฯ

************


แปลเอง เอาความเฉพาะอานิสงส์ครับ
เมตตาที่ฝึกฝน ทำให้ชำนาญจนคล่องแคล่ว ย่อมได้รับอานิสงส์ ๑๑ ประการ คือ
1.หลับเป็นสุข
2.ตื่นเป็นสุข
3.ไม่ฝันร้าย
4.เป็นที่รักของหมูมนุษย์
5.เป็นที่รักของมวลอมนุษย์
6.เทวดาย่อมรักษา
7.ไฟ ยาพิษ ศัตราวุธ ไม่กล้ำกราย
8.จิตสงบตั้งมั่นง่าย
9.มีผิวหน้าผ่องใส
10.ไม่หลงสติตาย
11.ถ้าไม่บรรลุธรรมวิเศษก่อน เมื่อตายย่อมเข้าถึงพรหมโลก

แปลพอเอาความครับ

เมตตาเจโตวิมุติ คือ การบำเพ็ญอัปปมัญญาพรหมวิหารจนเกิดฌาน ครับผม

วิโรจนมุนินฺโท

:b48: :b48: :b48:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร