วันเวลาปัจจุบัน 17 ก.ค. 2025, 19:47  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ธ.ค. 2009, 10:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ


มุมมองทางศาสนา ของ ท่านอ.ระวี ภาวิไล ที่น่าสนใจ…คัดมาฝาก….

คัดมาฝาก บางตอนจาก บทสัมภาษณ์ ท่านอ.ระวี ภาวิไล “ไขรหัสลับชีวิตมนุษย์ “

จากกรุงเทพธุรกิจ จุดประกาย ฉบับวันที่ 8 ธันวาคม 2541

เป็นมุมมองที่น่าพิจารณาของท่านอาจารย์ ระวี ภาวิไล



:b8: ถาม – ช่วงหลังอาจารย์มีความสนใจด้านศาสนามาก
จะให้คำตอบวิกฤติโลกปี ค.ศ. 2000อย่างไร ?

:b44: ตอบ – การพยากรณ์แบบนี้มีมาเรื่อยตั้งแต่สมัยพระคริสต์ และก่อนพระคริสต์
เคยมีคนประกาศว่า โลกจะพินาศ บอกให้คนทั้งหลายสำนึกบาป ชำระบาป
การพยากรณ์ว่าโลกจะพินาศมีมาเรื่อย แล้วพินาศหรือเปล่า



:b8: ถาม – แสดงว่าอาจารย์ไม่เชื่อคำทำนาย ?

:b44: ตอบ – แม้มันจะพินาศก็เป็นไปตามวิถีธรรมชาติ
ถึงโลกไม่พินาศ..คนเกิดมาแล้วตายไหม ทุกคนเกิดมาก็ต้องตาย
ทุกอย่างก็เปลี่ยนตามเงื่อนไขตัวแปรที่มนุษย์เรารู้ก็มี ไม่รู้ก็มี
ถ้าเราถือตามคำสอนของพระพุทธเจ้าคือ ถ้ามีภัยคุกคามมนุษย์ก็หาที่พึ่ง
แล้วท่านก็บอกว่า ที่พึ่งเหล่านั้นพึ่งไม่ได้
ท่านบอกว่าที่พึ่งได้คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
ผู้ใดเห็นอริยสัจ 4 นั่นแหละคือที่พึ่งที่แท้จริง
ถ้าให้ตีความหมายก็คือควรสนใจปฏิบัติธรรมแบบอุกฤษณ์คือเต็มที่



:b8: ถาม – คิดอย่างไรกับคำทำนายนอสตราดามุส ?

:b44: ตอบ – ผมไม่เห็นต้องสนใจคำทำนาย ใครอยากจะเชื่อก็เชื่อไป
แล้วคำว่าผมไม่สนใจอาจมากกว่าคำว่าไม่เชื่อเสียด้วยซ้ำ
ผมไม่เสียเวลาเรื่องนี้หรอกผมมีเวลาที่ต้องใช้ประโยชน์มากกว่านั้น
หากผมใช้เวลาศึกษาคำสอนของพระศาสดาต่างๆ
จะทำให้ชีวิตผมดีขึ้นแล้วพระศาสดาทั้งหมด
ผมเชื่อว่าประกาศธรรมอันเดียวกัน
แต่ว่าท่านประกาศกับคนต่างยุค ต่างสมัย แตกต่างความเชื่อ



:b8: ถาม – แสดงว่าพระศาสดาทุกศาสนาประกาศธรรมอันเดียวกัน ?

:b44: ตอบ – ศาสนาในโลกมีนับไม่ถ้วนเข้าหาสัจจะเดียวกัน
ลองคิดดูสิมนุษย์ไม่ได้แตกต่างกัน ถึงจะเป็นคนชาติไหน และอ้างตัวว่าถือศาสนาอะไร
แล้วมีโทสะ โมหะเหมือนกันไหม มีความโง่เหมือนกันไหม เราคิดให้มันต่างกันเอง



:b8: ถาม – อาจารย์มีความเชื่อว่า ศาสนากับวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องเดียวกัน ?

:b44: ตอบ – ผมว่าความรู้ทุกอย่างเป็นเรื่องเดียวกัน
ความรู้ก็คือความรู้ ความพยายามจะเข้าใจโลก เข้าใจชีวิต
วิทยาศาสตร์ก็พยายามจะเข้าใจโลก เข้าใจชีวิต
ศาสนาก็คือ ความพยายามจะพัฒนาความเข้าใจโลกคือ เรื่องเดียวกันหมด
เรื่องความเป็นมนุษย์ของเรา ไม่ใช่อยู่อย่างงมงาย
อยู่อย่างไม่รู้อะไรแล้วตายไปอย่างไม่รู้อะไร



:b8: ถาม – แสดงว่ามนุษย์ส่วนใหญ่เป็นอย่างนั้นหรือ ?

:b44: ตอบ – ผมไม่อยากพูด เพราะสิ่งที่พูดตอนนี้บางแง่ก็รุนแรงอยู่แล้ว
ผมไม่อยากวิจารณ์ ถ้าเริ่มวิจารณ์ก็จะมีเรื่องต้องวิจารณ์อีกมาก
แต่อยากมองว่าคนเราถ้าไม่พยายามแสวงหาความรู้ความเข้าใจ ก็จะไม่รู้อะไร
มนุษย์เกิดมาก็ควรเกื้อกูลมากกว่าแก่งแย่งกัน



:b8: ถาม – สาเหตุที่สังคมวุ่นวายทุกวันนี้เป็นเพราะการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น ?

:b44: ตอบ – เป็นเพราะความหลง เพราะไปลุ่มหลงความสะดวกสบายเฉพาะหน้า
เมื่อลุ่มหลงแล้วก็จะเห็นแก่ตัว แล้วความเห็นแก่ตัวนี่ลึกซึ้งมาก
ถ้าไม่มีความสามารถรู้ทันความคิดของตัวเอง
คิดทีไรคิดเข้าข้างตัวเองและเห็นแก่ตัวพฤติกรรมของคน
ก็พยายามแสวงหาประโยชน์เข้าตัว เมื่อต่างคนต่างแสวงหาประโยชน์ ก็เกิดความขัดแย้ง
เกิดพฤติกรรมที่ทำให้เกิดความสับสน



:b8: ถาม – แล้วความศรัทธาผิดๆ ทางพุทธศาสนาล่ะ ?

:b44: ตอบ – จะเรียกว่า ศรัทธาไม่ได้ ผมว่าหลงมากกว่า หลงรสอร่อยในการเสพวัตถุ
ความหลงรสอร่อยมันเกิดในใจคนแล้วเครื่องแบบต่างๆ
หัวโขนต่างๆ ที่มาสวมว่าเป็นนั่นเป็นนี่ ไม่ได้ช่วยให้ความหลงทั้งหมดคลายไป
มีแต่จะทำให้หลงมากขึ้น กลายเป็นว่า มองไม่เห็นอะไร
กลายเป็นว่าใช้ประโยชน์จากทุกอย่างด้วยความเห็นแก่ตัว
จะอ้างในนามของคนทำความดี ในนามของศาสนาหรืออะไรก็ตามแต่
มองให้ดีก็จะรู้ว่าเป็นเรื่องหลอกไม่จริงทั้งสิ้น



:b8: ถาม – แสดงว่าผู้นำศาสนาบางแห่ง นำมนุษย์ไปสู่ความหลงผิด ?

:b44: ตอบ – คุณรู้คำตอบอยู่แล้ว ถ้าผมวิจารณ์ไปผมอาจล่วงล้ำเข้าไปถึงขั้นผิดกฎหมายได้
เพราะมีกฎหมาย คุ้มครององค์การศาสนา ถ้าเราละเมิด บางคนอาจหาว่าดูหมิ่น
ต้องหนีไปต่างประเทศ ผมไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้องกับกลไกของรัฐ
ผมไม่อยากยุ่งกับเรื่องกฎหมาย

คำสอนของพระศาสดาให้ลดตัวตน ความเห็นแก่ตัว ให้ลดด้วยปัญญาและความรัก
ความสำนึกในความเป็นมนุษย์ต้องมี
ถ้าคำสอนไหนแอบแฝงยั่วยุความเห็นแก่ตัวก็ไม่ใช่สิ่งที่ถูกนัก



:b8: ถาม – จากหนังสือหลายเล่มของอาจารย์แสดงให้เห็นถึงความงดงามของชีวิต ?

:b44: ตอบ – จริงๆ แล้วเราควรจะเลิกพูดเรื่องศาสนา
เพราะมีคนให้คำจำกัดความศาสนาหลายอย่าง ถ้าคนในศาสนาที่มีพระเจ้า
เรื่องศาสนาก็คือ เรื่องเชื่อฟังพระเจ้า ถ้าเป็นชาวพุทธก็ว่าต้องเชื่อคำสอนพระพุทธเจ้า
ที่จริงแล้วการที่ เราเกิดมาเป็นมนุษย์ ก็ควรมีความเข้าใจสถานการณ์ปรากฏการณ์โลก
และชีวิตแต่ละวันว่า มีความหมายอย่างไร เข้าใจลึกซึ้งที่สุดเท่าที่จะทำได้
ในขั้นตอนต้องอาศัยศึกษาผลงานของเพื่อนมนุษย์ที่ได้เกิดมาแล้ว
เพื่อให้เราเข้าใจชีวิตที่เผชิญอยู่ทุกขณะทุกวัน ไม่ใช่ยึดติดคำสอนของท่าน
ไม่ใช่เอาคำสอนท่านมาพูดต่อแล้วรู้สึกภูมใจว่าจำได้
หรืออวดว่าเป็นลูกศิษย์คนนั้นคนนี้
สิ่งที่ควรจะทำก็คือ ประมวลทั้งหมดเพื่อนำไปใช้กับประสบการณ์ของเราในทุกขณะจิต


ผมอยากบอก ว่า ศาสนาเป็นแค่คำสอนหรือคำกล่าวของผู้รู้
คำสอนจะมีความหมายก็ต่อเมื่อเข้ามาอยู่ในใจคนจนเป็นเลือดเนื้อของเรา
ไม่ใช่เป็นความจำในสมองของเรา
ต้องเอาคำสอนมาปฏิบัติจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของเรา
ธรรมะในการปฏิบัติเกือบทั้งหมดเป็นเหมือนเรือจ้าง
พอมาถึงฝั่งคงไม่มีใครแบกเรือจ้างเดิน เมื่อข้ามฝั่งแล้ว เรือจ้างก็ต้องทิ้ง



:b8: ถาม – เป็นเรื่องยากที่มนุษย์จะพ้นทุกข์ ?

:b44: ตอบ – จะว่ายากก็ยาก ไม่ยากก็ไม่ยาก เคยได้ยินคำว่า
เส้นผมบังภูเขาไหม…ตรงนี้ไม่มีคำตอบ ที่จริงการอยู่ในโลกนี้ไม่มีปัญหา
ปัญหาเกิดเพราะตัวตน เข้ามาบอกว่า kuมีปัญหา ฉันมีปัญหา เมื่อไม่มีฉันก็ไม่มีปัญหา

ตอนท่านพุทธทาสอยู่ที่อำเภอไชยา สุราษฏร์ธานี ช่วงนั้นผมยังอายุน้อย
ท่านเคยเดินทางมาบรรยายธรรมที่กรุงเทพ ฯ เรื่อง ภูเขาแห่งพุทธธรรม
แล้วท่านถามว่า แล้วอะไรบังอยู่…พระพุทธรูปบังพุทธธรรม
คนไหว้พระพุทธรูปเลยไม่บรรลุธรรม เพราะไปยึดติดพระพุทธรูป
พอท่านบรรยายไปแล้ว คนที่ฟังยุคนั้นเป็นระดับผู้นำในพุทธสมาคม
จึงไปฟ้องสมเด็จพระสังฆราชว่า ท่านพุทธทาสสอนให้คนไม่เคารพพระพุทธเจ้า
เป็นตัวอย่างอันหนึ่งที่ทำให้ผมนึกถึงเรื่องเส้นผมบังภูเขา เราถูกบังแล้ว
สิ่งที่บังเป็นสิ่งที่คิดขึ้นด้วยใจ เรานึกถึงพระพุทธเจ้าทีไรต้องนึกถึงพระพุทธรูป
ไม่ได้นึกถึงการตรัสรู้ไม่ได้นึกถึงตัวปัญญาที่ทำให้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วตัว
ปัญญาแสดงชัดเจนแล้วว่า มนุษย์ที่คิดว่าตัวเองคือ “ อัตตา “
สิ่งที่ “ อัตตา “ แบกไว้คือ ตัวทุกข์หรือปัญหาที่คิดขึ้นเองแล้วแบกรับปัญหา

คำสอนทั้งหมดในพุทธศาสนาสอนให้รู้ทันไม่ยึดตัวตน
เราเป็นทุกข์เพราะยึดตัวตน ทั้งหมดก็เป็นเราเท่านั้นเอง
ชีวิตก็อยู่ในโลกทั้งสองคือ โลกของความแท้จริงที่เหนือตัวตน
และโลกที่เราจำเป็นต้องอยู่คือโง่ที่จะอยู่สมมติขึ้นเอง
มีเรื่องนั้นเรื่องนี้ที่มากระทบเราก็เล่นละครไป แสดงไป
พอปิดฉากก็ให้ปิดฉาก อย่าพยายามดึงฉากแล้วโชว์ต่อ

ที่เรามีตัวตน เพราะคนส่วนใหญ่คิดจะเหนือคนอื่น
อย่าคิดอย่างนั้น …อย่างในสวนแห่งหนึ่งดอกไม้มีกี่ดอก
ใบไม้มีมากกว่าดอกไม้ แล้วโอกาสที่ได้เกิดเป็นมนุษย์มันน้อยนัก
พอเกิดมาเป็นมนุษย์ได้เพราะสิ่งที่สร้างดีแล้ว ก็ควรใช้โอกาสนี้ให้เต็มที่
ใช้เวลาเท่าที่จะสามารถใช้ได้ในชีวิต เพื่อจะบรรลุความรู้ในความไม่เป็นตัวตน

การอยากได้ความสุขก็คือ ความโลภอย่างหนึ่ง
ตัวความคิดก็คือตัวตนที่แฝงมา คิดทีไรตัวตนแฝงอยู่เบื้องหลังทุกที
คือต้องเฝ้าดูความคิด เหมือนแมวคอยเฝ้าหนู


ที่มา... http://www.larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/003188.htm

:b48: :b8: :b48:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร