วันเวลาปัจจุบัน 05 พ.ค. 2025, 01:57  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ธ.ค. 2009, 11:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ


นิทานเซนเรื่องหนึ่ง
เล่าว่ามีคหบดีคนหนึ่งพร้อมบุตรหลานไปทำบุญที่วัดในวันขึ้นปีใหม่
เสร็จแล้วก็ขอพรจากหลวงพ่อเจ้าอาวาส
พระท่านก็เขียนคำอวยพรให้ว่า "พ่อตาย ลูกตาย หลานตาย"
คหบดีเห็นเข้าก็โกรธ ต่อว่าหลวงพ่อว่าเหตุใดจึงมาแช่งกันในวันมงคลเช่นนั้น
หลวงพ่อตอบคหบดีว่า การตายตามลำดับอายุขัยเป็นพรอย่างยิ่งแล้ว
เพราะลองคิดดูว่าหากหลานตายก่อนปู่ หรือลูกตายก่อนพ่อ
ตายอย่างไม่เป็นไปตามธรรมดา ธรรมชาติ เขาจะมิยิ่งโศกเศร้าหรอกหรือ
คหบดีได้ฟังเช่นนั้นก็เข้าใจในธรรมที่หลวงพ่อให้
จึงขออภัยและคำนับขอบพระคุณด้วยความซาบซึ้งในธรรมที่ได้รับในวันขึ้นปีใหม่


ในวิถีแห่งพุทธนั้น"ความตาย" เป็นของธรรมดาอย่างยิ่ง
เป็นสัจธรรมหาใช่ความอัปมงคล ต้องวิ่งหนีแต่อย่างไร
กระนั้นก็ตามความเป็นธรรมดานี้
ก็มิใช่จะเป็นสิ่งที่มนุษย์ปุถุชนจะยอมรับกันได้โดยง่าย
เพราะเราทุกคนย่อมมีสัญชาติญาณแห่งการเอาชีวิตรอดด้วย
ในด้านหนึ่งความ "กลัวตาย" จึงเป็นสิ่งธรรมดาอีกเช่นกัน



ดังนั้น กระบวนการเรียนรู้เพื่อขัดเกลาธรรมชาติอย่างหลัง
เพื่อให้คนเรายอมรับสัจธรรมแห่งชีวิตคือความตายนั้นจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง
เพื่อให้เราสามารถจัดระเบียบกับความตายในชีวิตของเราได้อย่างเหมาะสม
ด้วยความตระหนักรู้ว่าความตายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเรา
(แม้จะไม่รู้ว่ามันอยู่ตรงไหนและจะมาเมื่อไร)
การสั่งสมการเรียนรู้เพื่อให้ยอมรับว่า ความตายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
จึงเป็นสิ่งจำเป็นทั้งในยามที่เรายังเป็นหนุ่มสาวและเป็นไม้ใกล้ฝั่ง
มิใช่เฉพาะเมื่อเราอายุมากขึ้น หรือเมื่อถูกคุกคามด้วยโรคร้ายที่ไม่อาจรักษา
ในวัฒนธรรมของชาวพุทธการหมั่นเจริญมรณานุสติ
คือวิถีหนึ่งที่ช่วยเราไม่ให้ประมาทในชีวิต
ไม่ผลัดวันประกันพรุ่งในการพัฒนาตนเอง

ในขณะเดียวกันก็ไม่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยความกลัวตายอย่างทุรนทุราย
เสมือนคนวิ่งหนีเงาตนเอง แต่ก็มิใช่ยอมจำนนกับอุปสรรคของชีวิต
ด้วยการเอาความตายเป็นทางออก
โดยไม่พัฒนาตนเองขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหาที่เผชิญนั้น
ในทางตรงข้าม ผู้มีสติซึ่งตระหนักรู้ว่าความตายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
ที่จะมาถึงเองในวันหนึ่งข้างหน้า
จึงควรอดทนต่อสู้ให้อุปสรรคผ่านพ้นไปตราบที่ยังมีลมหายใจ



กระบวนการเรียนรู้เพื่อจัดระเบียบความตาย
จึงเป็นสิ่งที่บุคคลควรได้เรียนรู้อยู่ตลอดเวลาในวัฒนธรรมหรือวิถีชีวิต
ในสมัยเดิมนั้น การที่ครอบครัวอยู่ร่วมกันหลายช่วงอายุ
การเปลี่ยนแปลงของกายสังขาร การเกิด แก่ เจ็บ ตาย
เป็นสิ่งที่เอื้อให้เกิดการเรียนรู้อย่างใกล้ชิดต่อเนื่อง
โดยเฉพาะธรรมเนียมการเตรียมตัวตายของผู้สูงอายุ
การตั้งศพ - เก็บศพที่บ้าน เพื่อให้ความตาย-คนตายเป็นสิ่งธรรมดา
ประเพณีพิธีกรรมของการตายเป็นเครื่องมือสำคัญ
ของการส่งผ่าน "สัจธรรมแห่งการตาย" ให้ แก่ผู้อยู่ใกล้ชิดได้เรียนรู้
ไม่ว่าบทสวดต่าง ๆ ของพระซึ่งมุ่งให้เห็นความเป็นธรรมดาของความตาย
ประเพณีการอุทิศส่วนกุศล พิธีตัดทางกล้วย
เพื่อแยกภพระหว่างผู้อยู่และผู้วายชนม์ ฯลฯ
ล้วนส่งผ่านความเชื่อว่าความตายมิใช ่"การสิ้นสุด" หรือจบสิ้น
จึงไม่ต้องเศร้าโศกฟูมฟายจนเกินไป
โดยเฉพาะธรรมเนียมการเก็บศพแล้วเปิดโลงก่อนเผา
เพื่อให้ญาติพี่น้องคลายความเศร้าโศก
เพราะศพสภาพเปลี่ยนเป็นน่าเกลียดน่ากลัว
เกิดความปลงสังเวชตัดอาลัยในรูปกาย
รำลึกถึงแต่คุณงามความดีของผู้ล่วงลับ
การเรียนรู้นี้ มิได้เกิดขึ้นเฉพาะในครอบครัวผู้ตายเท่านั้น
หากยังเป็นบทเรียนมรณานุสติแก่คนทั้งชุมชนด้วย
จากการมาร่วมพิธีกรรมต่าง ๆ ได้ร่วมแบ่งปันทั้งความรู้สึกเอื้ออาทร
และทรัพยากรที่ตนเองมีเพื่อช่วย จัดการศพ
มีการขอขมาและการให้อโหสิกรรมเพื่อละวางความอาฆาตจองเวร
และตระหนักรู้ว่ามนุษย์ทำผิดพลาดกันได้
ควรให้อภัยแก่กันและกัน
และในขั้นตอนสุดท้ายคือการเผาศพ
ก็เป็นโอกาสให้คนในชุมชนทั้งหมดมาร่วมกันเฝ้าดูการสิ้นสุดแห่งรูปกาย
ที่มิอาจพกพาสิ่งใดไปได้
เกิดการปล่อยวางความโลภ ความโกรธ และความหลง
ประเพณีเกี่ยวกับความตายจึงเป็นเครื่องมือ
ที่ช่วยจัดระเบียบความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ให้ดีขึ้นอย่างสำคัญ



สังคมสมัยใหม่ได้ทำให้สาระของประเพณีพิธีกรรม
ซึ่งทำหน้าที่ส่งผ่านค่านิยมความเชื่อ ในเรื่องเกี่ยวกับความตาย เลือนหายไป
ชีวิตสมัยใหม่จึงอยู่กันแบบไม่มีกระบวนการเรียนรู้ทั้งในระดับชีวิตและระดับสังคม
ทุกวันนี้ผู้คนไปงานศพตามมารยาทมากกว่าอย่างอื่น
คนยุคใหม่จึงมีชีวิตอยู่โดยลืมนึกไปว่าตัวเองต้องตาย
จะมานึกถึงต่อเมื่อความตายเข้ามาสะกิดตนเองโดยตรงแล้วเท่านั้น
คนสมัยใหม่ปฏิเสธพิธีกรรมว่างมงาย "ไม่เป็นวิทยาศาสตร์"
โดยไม่เข้าใจว่า ค่านิยมความเชื่อในทางนามธรรม
ไม่อาจส่งผ่านให้สืบเนื่องได้โดยอาศัยการสอนการพูดเพียงประการเดียว
หากจะต้องมีรูปแบบหรือโครงสร้างแห่งการเรียนรู้
ที่ช่วยให้บุคคลได้เข้ามาสัมผัสเรียนรู้
จนเกิดความ "ประจักษ์แก่ใจ" ในสัจธรรมร่วมกัน
ไม่ว่าชีวิตหลังความตายจะมีหรือไม่ก็ตาม
แต่การคิดเผื่อไว้ว่า ชีวิตเป็นวัฏฏะยังมีการเดินทางต่อหลังการตาย
ได้ช่วยเอื้อให้มนุษย์รู้จักใช้ชีวิตในปัจจุบันด้วยความไม่ประมาท
ไม่เบียดเบียนกัน มีความขวนขวายที่จะสะสมความดีงาม
ที่เป็นประโยชน์แก่ตนเอง ผู้อื่น และโลก
เพื่อไม่ให้เสียแรงที่เกิดมาใช้ทรัพยากรของผู้อื่นเปล่าๆ
ไม่ว่าของมนุษย์ด้วยกันเอง, สังคม, โลก
สันติสุขย่อมเกิดขึ้นแก่สรรพชีวิตในภพปัจจุบันอย่างทันตาเห็นมิใช่หรือ



อย่างน้อยที่สุด วิธีคิดดังกล่าว ย่อมดีกว่า มีประโยชน์มากกว่า
การคิดว่าชีวิตปิดบัญชีเบ็ดเสร็จในครั้งเดียว
ไม่รู้จะทำความดีไปทำไม ทำความชั่วดีกว่า ทำสิ่งที่ตนเองพอใจ
อยากมี อยากเป็นให้สุด ๆ ไปเลย ใครจะหายนะอย่างไรไม่เป็นไร
ทรัพยากรหมดโลกก็ช่าง (ใครอยู่ก่อนได้ใช้ก่อน)
แต่ขณะเดียวกันตนเองก็ถูกบีบคั้นจากความทุกข์
ที่พยายามจะต่อสู้แย่งชิงเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งต้องการ
และทุรนทุรายจากความพยายาม
ที่จะทำให้ชีวิตหนึ่งเดียวนี้แก่ช้าที่สุด อยู่นานมากที่สุด
โลกทัศน์ของมนุษย์ที่มีต่อความตาย
จึงทำให้โลกนี้เป็นได้ทั้งนรกและสวรรค์ในเวลาเดียว
ขึ้นอยู่กับว่า เราจะตั้งท่าทีต่อความตายอย่างไร
การจัดระเบียบความตายให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในความคิดและการใช้ชีวิตในสังคม
จึงเป็นสิ่งที่เราอาจจะต้องช่วยกันคิดช่วยกันสร้างให้เกิดมีขึ้นมากกว่านี้


บางทีการได้เจริญมรณานุสติอาจช่วยให้บุคคลตระหนักรู้ว่า
ได้มา ๔๐๐ เสียง หรือ ๕๐๐ เสียง ตายแล้วก็เอาอำนาจไปไม่ได้อยู่ดี
ทิ้งไว้ข้างหลังไม่ทันข้ามวันก็สิ้นสลาย
แต่หากทิ้งความดีงามไว้ แม้เอาไปไม่ได้เช่นกัน
แต่ก็ไม่สิ้นสูญในชั่วข้ามคืน
หากจะอยู่เป็นมรดกที่ยั่งยืนแก่ลูกหลานและมนุษยชาติไปเนิ่นนาน
ข้ามภพข้ามชาติได้จริงทีเดียว



บทความเนื่องในโอกาสครบรอบ ๙ ปี
แห่งการฌาปนกิจศพท่านพุทธทาสมหาเถระ วันขึ้น ๑๓ ค่ำเดือน ๑๐
(ปีนี้ตรงกับวันที่ ๑๙ กันยายน)
วันดังกล่าวในสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่
จะถือเป็นวันแสดงอาจาริยบูชาประจำปี แด่ท่านอาจารย์ด้วย

ที่มา... อรศรี งามวิทยาพงศ์
เครือข่ายชาวพุทธเพื่อพระพุทธศาสนาและสังคมไทย
http://www.budnet.info
http://www.buddhadasa.org/html/articles ... ement.html




โลงศพของอาตมาก็คือ
ความดีที่ทำไว้ในโลกด้วยการเผยแผ่พระธรรม
ป่าช้าสำหรับอาตมา
ก็คือบรรดาประโยชน์และคุณทั้งหลาย ที่ทำไว้ในโลกเพื่อประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์
และขอชักชวนให้ท่านทั้งหลาย ถือหลักเกณฑ์อย่างเดียวกันว่า
โลงศพของเราก็คือความดีที่ทำไว้ในโลก
ป่าช้าของเราก็คือประโยชน์ทั้งหลายที่เราได้ช่วยกันทำไว้
เพื่อประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์

พุทธทาส อินฺทปญฺ
รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ธ.ค. 2009, 16:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

อนุโมทนาสาธุด้วยครับ


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron