วันเวลาปัจจุบัน 04 พ.ค. 2025, 22:01  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ย. 2009, 10:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ก.พ. 2009, 01:02
โพสต์: 337


 ข้อมูลส่วนตัว




10342-1.jpg
10342-1.jpg [ 24.48 KiB | เปิดดู 2705 ครั้ง ]
:b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b42: :b42: :b42: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41:


บันทึกธรรม เรื่อง
"ความเบื่อโลก"


โดย พระชุมพล พลปญฺโญ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๓๖

อาการเบื่อโลกที่เกิดขึ้น เพราะเคยถูกสิ่งแวดล้อมหลายๆ อย่างหลอกให้หวังจากโลกมากเกินไป สื่อต่างๆ ทั้งทางโทรทัศน์ วิทยุ และหนังสือ ได้มากล่อมให้เราหลงเชื่อว่า โลกนี้ช่างสวยสดงดงามนัก สื่อเหล่านี้ ได้สร้างจินตนาการให้เราสร้างโลกแห่งความฝันให้เรา โลกแห่งความฝันของทุกคนมักจะสวยหรูเสมอ แต่ต้องขอโทษด้วยที่จะต้องบอกว่า โลกแห่งความจริงมันผิดกันจากหน้ามือเป็นหลังมือ ฉะนั้น ถ้าหากใครถูกหลอกให้ชื่นชมยินดีหลงระเริงกับโลกแห่งความฝันมากเท่าไหร่ จะต้องเดือดร้อนมากขึ้นเท่านั้น เมื่อความเป็นจริงหรือสัจธรรมที่ไม่เคยปราณีต่อคนโง่เขลา ได้ปรากฏตัวแสดงความเป็นจริงของมันออกมา ความจริงโลกมันก็เป็นธรรมดาของมันอย่างนั้นนั่นแหละ

โลกนี้มันมีทั้งด้านเจริญ ด้านเสื่อม ด้านขึ้น ด้านลง ด้านบวก ด้านลบ มันเป็นคู่ของมันอย่างนั้น คู่ที่ประกอบมาจาก ๒ ข้างที่ต่างกัน

ถ้าเราไปยินดีในข้างเจริญ เราจะต้องเป็นทุกข์เดือดร้อนกับข้างเสื่อม
ถ้าเราไปยินดีในข้างขึ้น เราจะต้องเป็นทุกข์เดือดร้อนกับข้างลง
ถ้าเราไปยินดีในข้างบวก เราจะต้องเป็นทุกข์เดือดร้อนกับข้างลบ

บอกแล้วว่า ดีใจก็เพื่อเสียใจ ลิงโลดก็เพื่อเศร้าสร้อย ตื่นเต้นก็เพื่อเหงาหงอย สมหวังก็เพื่อผิดหวัง ยินดีก็เพื่อยินร้าย เฟื่องฟูก็เพื่อตกดิ่ง โด่งดังก็เพื่ออับแสง

บุคคลที่มีสุขภาพจิตดีที่สุด ก็คือ บุคคลที่ไม่ยินดียินร้ายไปตามโลกนั่นเอง

ความจริงโลกมันก็เป็นธรรมดาของมันอย่างนั้นที่ต้องมีด้านบวกและด้านลบ แต่เราไปบ้ากับมันเอง สิ่งที่ธรรมดามันก็เลยกลายเป็นสิ่งที่ไม่ธรรมดา สิ่งที่ธรรมดามันก็เลยมาทำให้เราเป็นทุกข์ ที่เราเป็นทุกข์เพราะเราไม่เข้าใจสภาพความเป็นจริงของมัน ถ้าหากเราเข้าใจสภาพความเป็นจริงของมัน แล้วปล่อยวางเสีย มันก็หมดเรื่อง ก็โลกมันก็เป็นของมันอย่างนั้นมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ไปทุกข์กับมันทำไม มันขึ้นของมันอย่างนั้น มันลงของมันอย่างนั้น มันเจริญของมันอย่างนั้น แล้วมันก็เสื่อมของมันอย่างนั้น ที่เราเป็นทุกข์เพราะเราไปยึดมั่นถือมั่นมันเอง

ฉะนั้น การแก้ความทุกข์นั้นแก้ที่ไหนก็ไม่สำเร็จ ต้องมาแก้ที่ใจเราเอง ถอนความยึดมั่นอะไรในโลกเสีย ถอนความหวังอะไรในโลกเสีย อย่าหวังอะไรจากโลก อย่าหวังอะไรแม้แต่หมูในอวย

ขอให้พยายามสร้างกุศลบารมี สร้างความดี ทาน ศีล ภาวนา ไปเรื่อยๆ เถิด แล้วทุกสิ่งทุกอย่างจะจัดตัวของมันไปในทางที่ดีเอง จงให้อาหารแก่จิตให้มากๆ อาหารกายเราก็ได้หามาให้ทุกวันอยู่แล้ว แต่อาหารใจเรายังขาดอยู่ อาหารใจก็คือ ทาน ศีล ภาวนา นั่นเอง เธอจะไม่สามารถพ้นทุกข์ได้ถ้าขาดมัน

... เธอจะไม่สามารถพ้นทุกข์ได้ ถ้าขาดมัน ...

:b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43:


เจริญในธรรมครับ :b8: :b8: :b8:


:b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b42: :b42: :b42: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41:

.....................................................
ราตรีของผู้ตื่นอยู่นาน...โยชน์ของผู้ล้าแล้วไกล
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2009, 23:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ก.พ. 2009, 01:02
โพสต์: 337


 ข้อมูลส่วนตัว




cresentmoon.jpg
cresentmoon.jpg [ 25 KiB | เปิดดู 2522 ครั้ง ]
:b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b42: :b42: :b42: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41:

cool :b43: :b43: :b43:

อัปปมาณา ธัมมา
๒๘ ก.ย. ๒๕๓๖

วันหนึ่ง เราได้รำพึงถึงอดีตในครั้งฆราวาส เพราะเราได้ยินคนเค้าพูดถึงเรื่องที่ว่า คนเราเวลามีความรักนั้น วันไหนก็ตาม ถึงไม่ได้เห็นหน้าคนรัก ขอให้ได้เห็นหลังคาบ้านสาวก็ยังดี เราก็เลยนึกถึงตัวเราว่า ในอดีตนั้น ของเราไม่ต้องได้เห็นหน้าบ้านสาวหรอก ให้แค่เห็นปากซอยบ้านของผู้หญิงที่เรารักก็พอใจแล้ว พอมานึกถึงตรงนี้ มันก็เกิดปัญญาเห็นแจ้งลุกโพลงขึ้นมา ทำให้เข้าใจสภาพของอุปาทานว่าเป็นอย่างไร
หมายความว่า บุคคลผู้โง่มาก อุปาทานมันก็ยึดมั่นขยายวงยิ่งกว้างมากขึ้นยิ่งขึ้นทุกที เมื่อความโง่น้อยลง อุปาทานมันก็จะยึดในขอบเขตที่เล็กลง ปากซอยที่คนอื่นเห็นแล้วไม่รู้สึกอะไร แต่เวลาเราเห็นเกิดรู้สึกสดชื่น เพราะอุปาทานมาสมมุติขอบเขตให้ว่านี่เป็นปากซอยของบ้านคนที่เราชอบ นี่ถ้าเราโง่น้อยลง ขอบเขตมันต้องลดลงแค่ว่า เห็นปากซอยของบ้านเค้ายังไม่ตื่นเต้น ต้องเห็นบ้านเค้าจึงตื่นเต้น และถ้าเราโง่น้อยลงอีก เราต้องมายึดแค่กายเค้า ไม่สนใจบ้านเค้า และถ้าเราโง่น้อยลงอีก เราต้องมาเห็นว่ากายก็ไม่ใช่ของเค้า เป็นเพียงดิน น้ำ ไฟ ลม ของโลก และมายึดแค่ใจเค้าว่าเค้าเป็นคนใจดี มีความเรียบร้อย เป็นกุลสตรี มีคุณธรรม แต่ถ้าหากเราโง่น้อยลงไปอีก ก็จะต้องเห็นว่า แม้ใจเค้าก็ไม่เที่ยง เป็นสังขารธรรมที่เกิดจากการปรุงแต่ง เป็นอนัตตา ไม่มีตัวตน ก็จะถึงสุญญตาความว่าง ไม่รู้จะยึดเอาอะไรอีกแล้ว คือต้องขาดอุปาทานอย่างสิ้นเชิงไปในสิ่งนั้น

ฉะนั้น เมื่อคิดมาถึงข้อนี้แล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกที่คนทั้งหลายหลง จึงไม่มีอยู่จริง เป็นเพียงขอบเขตโดยสมมุติที่อุปาทานมันใส่มาให้เท่านั้น คนโง่มากขอบเขตก็ใหญ่มาก ต้องยึดมากทุกข์มากเดือดร้อนมาก ซึ่งก็เป็นเพียงถูกอวิชชา โมหะ อุปาทาน มันมาหลอกให้หลงเข้าไปยึดถือเท่านั้น ไม่มีอะไร
ฉะนั้น ถ้าหากเราจะละอวิชชาจริงๆ แล้ว จะต้องเพิกขอบเขต เขตแดนที่อวิชชา โมหะ อุปาทาน มันสมมุติมาให้ โดยทำลายให้แตกให้หมด โดยที่สุดแม้ขันธ์ ๕ คือกาย ใจ นี้ ก็ต้องถูกเพิกขอบเขตเขตแดนความยึดมั่น ถือมั่น เป็นตัวกูของกูออกให้สิ้นเชิง จึงจะพ้นจากความเดือดร้อนจากการถูกอุปาทานจูงจมูกให้ไปเดือดร้อนได้อย่างสิ้นเชิงทีเดียว สภาวะธรรมทั้งหลายจึงจะเข้าสู่โลกุตตระ เป็น อัปปมาณา ธัมมา ไร้เขต ไร้แดน ที่ต้องยึดถือ ที่ต้องแบ่งแยกอย่างสิ้นเชิงเลย

สมกับกลอนของ พระราชปริยัติสุธี วัดสองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี ที่ว่า

อาณาจักรของใจไร้ขอบเขต
อุปาทานเป็นเหตุแบ่งเขตขันธ์
จึงตื่นเต้นหวาดกลัวอยู่ทั่วกัน
ไม่ยึดมั่น ทุกข์ภัย ก็ไม่มี






บันทึกธรรม เรื่อง "ไม่ไกลเกินฝัน"
๒๗ พ.ย. ๒๕๓๖

ผู้ที่จะริเริ่มกำจัดกิเลสได้นั้น ต้องเห็นกิเลสเสียก่อน การที่เรารู้สึกว่าเรามีกิเลสนั้นดีแล้ว เป็นปากทางที่จะนำไปสู่ความหมดกิเลส ในการซักผ้าทุกครั้ง เราต้องเห็นว่าผ้าสกปรกก่อน นั่นคือปากทางที่จะได้ซักผ้าให้สะอาดแล้ว ผู้ที่กิเลสหนาจริงๆ นั้น จะไม่รู้สึกตัวว่าตัวเองมีกิเลสเลย จึงเป็นผู้ที่ทำผิดโดยไม่ยอมรับผิด การที่เรารู้สึกว่าเรามีกิเลสหนานั่น เพราะว่าจิตเราเริ่มมีหิริ โอตตัปปะ ดีแล้ว ค่อยๆ พัฒนาจิตไปจะดีขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีใครเป็นผู้บริสุทธิ์มาแต่ท้องพ่อท้องแม่ ขอให้เราปลูกฝัง ศรัทธา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน ในใจเราให้มาก แล้วทุกสิ่งทุกอย่างจะไม่ไกลเกินฝัน การปฏิบัติธรรมให้ก้าวไปเรื่อยๆ ทีละก้าว เดี๋ยวสำเร็จเอง ทางเดินร้อยลี้ เริ่มจากก้าวก้าวเดียว ก่อนอรุณรุ่งใยมิใช่มืดสนิท สิ่งแรกที่เราจะต้องปลูกฝังให้มากคือกำลังใจในการที่จะออกจากโลก ขอให้พิจารณาโทษของโลกให้มาก นึกถึงความตายให้ตลอดเวลา ภาวนาไว้ว่า "ความตายจักมี ชีวิตินทรีย์จักขาด" คำนี้ภาวนาไว้เสมอ นึกถึงความตายมากๆ แล้วจะดีเอง ท่องให้ได้ทุกลมหายใจเข้าออก ศรัทธานั้น อย่าให้อยู่แค่ในใจ ให้แสดงออกมาทางกายและวาจาด้วย แล้วมันจะย้อนเข้าไปหนุนให้ศรัทธาในใจเราแก่กล้า ถ้าเก็บกดศรัทธาเอาไว้แต่ในใจ ศรัทธานั้นจะไม่งอกงามไพบูลย์ เป็นศรัทธาแคระแกร็น เรื่องความตระหนี่ที่จะเกิดในเวลาให้ทานนั้น ให้เรานึกอย่างนี้ว่า

"เดิมที เวลาเกิด เราไม่ได้มีอะไรมาเลย แล้วต่อไป เวลาตาย ก็ไม่ได้เอาอะไรไปด้วยเช่นกัน ฉะนั้น สมบัติทั้งหลายทั้งปวง คือ สิ่งที่ผ่านมาเพื่อจะผ่านไปทั้งสิ้น แล้วเราจะมาคอยหวงอะไรไว้เล่า"

"สิ่งไหนที่ตายแล้วเอาไปไม่ได้ ก็นึกถึงให้น้อยๆ ลงหน่อยเถิด สิ่งไหนที่ตายแล้วเอาไปได้ ก็นึกถึงให้มากๆ ขึ้นหน่อยเถิด"



:b45: :b45: :b45: :b45: :b45: :b45: :b45: :b45: :b45:

เจริญในธรรมครับ :b8: :b8: :b8:


:b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b42: :b42: :b42: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41:

.....................................................
ราตรีของผู้ตื่นอยู่นาน...โยชน์ของผู้ล้าแล้วไกล


แก้ไขล่าสุดโดย ningnong เมื่อ 05 ธ.ค. 2009, 10:42, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ธ.ค. 2009, 22:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 ก.ย. 2009, 14:50
โพสต์: 69

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุโมทนาครับ

บางครั้งบางจังหวะ ก็มีความเบื่อโลกเหมือนกัน

บางจังหวะก็ไม่เบื่อ คงอยู่ที่สิ่งกระทบรอบด้าน

ขอบคุณในบทความครับ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร