วันเวลาปัจจุบัน 04 พ.ค. 2025, 14:21  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ต.ค. 2009, 14:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

ออกพรรษาในปี ๒๔๗๔ หลวงพ่อลีมีจิตผ่องใสเบิกบานเต็มที่
การเข้าโมกธรรมอย่างเต็มที่ในพรรษาที่ผ่านมา
คือ ธรรมอันเป็นเครื่องหลุดพ้นจากการเกิดแก่เจ็บตาย ทำให้เบาสบายตลอดวันคืน

หลวงพ่อลีได้กราบลาพระอุปัชฌาย์จากวัดสระปทุมออกธุดงค์ ผ่านจังหวัดอยุธยา
สระบุรี ลพบุรี อำเภอท่าตะโก และบึงบอระเพ็ด
เพื่อไปโปรดพี่ชายและเพื่อนฝูงเมื่อครั้งยังเป็นฆราวาส

ในระหว่างที่อยู่ในจังหวัดนครสวรรค์ได้ออกไปพักอยู่ในป่า
ห่างจากหมู่บ้านประมาณ ๒๐ เส้น วันหนึ่งได้ยินเสียงช้างป่ากับช้างบ้านที่ตกมันร้องเสียงดัง
ชาวบ้านที่แวะเวียนมากราบนมัสการบอกให้ทราบว่าช้างทั้งสองกำลังต่อสู้กัน

ช้างทั้งคู่สู้กันหลายครั้งนานถึง ๓ วัน ช้างป่าสู้ไม่ได้บาดเจ็บและหมดแรงตายไปในที่สุด
ส่วนช้างบ้านตกมันไม่เป็นไร

แต่ช้างผู้ชนะกลับยิ่งเพิ่มความบ้าคลั่งขนาดหนักพลุกพล่าน
อาละวาดดุร้ายจนควาญช้างผู้เลี้ยงเอาไม่อยู่ เอางาไล่ทิ่มแทงผู้คนรอบบริเวณนั้น
ขุนจบฯ เจ้าของช้างเห็นเหตุการณ์ไม่ดีเช่นนั้นจึงนิมนต์หลวงพ่อลี เข้าไปพักในบ้านเสียก่อน
จนกว่าอาการตกมันของช้างจะหายเป็นปกติ

หลวงพ่อลีปฏิเสธคำขอเช่นนั้น แม้จะมีอาการหวาดหวั่นต่อภัยที่อาจจะเกิดขึ้น
แต่ท่านเชื่อในอำนาจเมตตาแห่งอิทธิพุทธะ

คืนนั้น...ขณะที่เจริญภาวนาสำรวจภาวนาจิตของตนเอง ถึงความกลัวช้างตกมันทำร้าย
และได้วิเคราะห์แล้วว่าสิ่งที่ตนกลัวก็คือ "กลัวตาย"

จิตได้ถามอีกว่า "แล้วทำไมจะต้องกลัวตาย?"

ด้วยเหตุนี้เองท่านจึงสืบเสาะหาที่มาของความกลัวตาย
จึงได้ความว่า...ความตายนั้นเป็นของน่ากลัวสำหรับมนุษย์และสัตว์
สำหรับสัตว์เมื่อกลัวแล้วก็ได้แต่วิ่งหนีอะไรที่มันนึกว่าจะทำให้มันตายได้
มันก็หลบไปชั่วครั้งชั่วคราวไปจนกว่ามันจะตายจริง !

แต่สำหรับมนุษย์นั้นมีปัญหารู้ได้ว่า ตัวเองนั้นจะต้องตายแน่
ถึงจะไปทางไหนก็ต้องตายจนได้ในวันหนึ่งวันใด แต่ก็ไม่อยากตาย
อยากมีชีวิตอยู่ไปนาน ๆ ถึงจะเจ็บไข้พิการอย่างไรก็ยังขอให้มีชีวิตเอาไว้ !!

ดังนั้นหากมีวิธีใดที่ยืดอายุได้ก็จะรีบทำ แม้กระทั่งหาพระหาเจ้าช่วยก็ต้องเอา

คนทั่วไปคิดถึงเรื่องความตายเป็นของน่ากลัวเพราะอะไรนั้นหรือ ?

ก็เพราะความหวงและห่วงชีวิตนี้ประการหนึ่ง
ด้วยความไม่รู้ว่าตายแล้วจะเป็นอย่างไรอีกประการหนึ่ง

และประการสุดท้าย คือ คนไม่รู้ว่าตายแล้วไปไหน !

เพราะตอนนี้ชีวิตอยู่ทั้งบุญและบาปที่ทำไว้นั้นจะติดตามไปหรือไม่ ?

ด้วยเหตุนี้คนจึงกลัวความตายกันอย่างมาก !

ภาวะจิตของหลวงพ่อลียังคิดต่อไปอีกว่า
เกิดก็ทุกข์ ตายก็ทุกข์..แล้วจะไปคิดถึงเรื่องความตายทำไมให้เสียเวลา...

เมื่อตายแล้วยังมีที่ไป ก็แปลว่าตายแล้วก็ต้องไปเกิดอีก เมื่อเกิดอีกทีก็ต้องทุกข์อีก
"สู้มานั่งคิดว่า ทำอย่างไรตายแล้วจะไม่เกิดไม่ดีกว่าหรือ ?!"

ใช่แล้ว...พุทธศาสนามีคำตอบ คือ นิพพาน เป็นสถานที่ไม่มีทุกข์ เพราะไม่เกิดอีก
เป็นการดับสูญโดยสิ้นเชิง

เมื่อหลวงพ่อลีคิดได้เช่นนี้ ความกลัวตายจึงมลายหายไปสิ้น
หายใจเข้าก็ตาย หายใจออกก็ตาย
หลวงพ่อจึงมอง เห็นความตายเหมือนสายฟ้าแลบ เกิดขึ้นแล้วหายไปชั่วพริบตา

รุ่งขึ้น...เวลาบ่าย ๆ ช้างตกมันเชือกนั้นตะเวนมาหยุดห่างที่หลวงพ่อปักกลดเพียง ๒๐ วา
ท่านก็มิได้ตระหนักกลัว แต่อย่างใด กลับแผ่เมตตาจิตให้มัน
เจ้าช้างตกมันเชือกนั้นจ้องมาทางท่านเป็นเวลาเกือบ ๑๐ นาที แล้วมันก็หันหลังกลับเดินเข้าป่า

เช้าวันต่อมามีญาติโยมที่ต่าง ๆ ทราบข่าวว่าช้างตกมันไม่สามารถทำอะไรหลวงพ่อลีได้
พากันมากราบนมัสการท่านเพื่อขอของดีไปป้องกันตัวกันมากมาย

หลวงพ่อกล่าวว่า "ของดีของอาตมานั้น คือความเมตตา"

เมื่อมาถึงพระอุปัชฌาย์(หนู) ได้มอบหน้าที่งานแทนพระใบฎีกาบุญรอด
พร้อมกันนั้นได้เรียนพระธรรมตรี และเรียนกรรมฐานอีก จึงมีภาระยุ่งยากหลายอย่าง
อาการของจิตจึงมีอาการเสื่อมคลายไปบ้างบางเวลา
จึงต้องใช้กรรมฐานข่มจิตมิให้วอกแวกออกไปนอกลู่นอกทาง

ในพรรษานี้พระอุปัชฌาย์ ได้เรียกให้ไปอยู่กุฏิใหม่กับท่านซึ่งเป็นกุฏิหลังใหญ่
ที่ท่านผู้หญิงตลับ ภริยาเจ้าพระยายมราช (ปั้นสุข) เป็นผู้สร้างถวาย
โดยช่วยท่านแต่งโน่นแต่งนี่ ส่วนงานที่เคยทำพระอุปัชฌาย์ได้มอบหมาย
ให้พระรูปอื่นทำแทนทำให้เบาใจไปได้ในบางเวลา

ช่วงนี้หลวงพ่อลี ได้ตรวจจิตของตนเอง รู้สึกว่าเลื่อมใสในทางปฏิบัติ
คือ จิตจะหันไปทางโลกเสียบ้าง ได้คิดต่อสู้อยู่จนตลอดพรรษา
จู่ ๆ วันหนึ่งได้เกิดความคิดในใจว่า ถ้าเราอยู่ในพระนคร (กรุงเทพ) นี้เราคงต้องสึกแน่
ถ้าเราจะไม่สึกเราต้องออกจากพระนครไปอยู่ป่าครั้นตกลางคืน
ฝันเห็นพระอาจารย์หลายท่านมากล่าวตักเตือนอยู่บ่อย ๆ

ช่วงนี้กองทัพกิเลสเข้ารบกวนจิตใจท่านหลายอย่าง
และหลวงพ่อพยายามต่อสู้อย่างเต็มที่ ความอัศจรรย์ได้เกิดขึ้นเป็นข้อเตือนใจ
ให้ท่านได้อยู่ในสมณเพศต่อไป

ครั้งแรก

ขณะที่ออกบิณฑบาตในตรอกวัดสระปทุม พอเดินไปถึงหน้าบ้านที่เขาจะใส่บาตร
เกิดรู้สึกปวดหนักจนแทบไม่ไหวจะเดินออกไปรับบิณฑบาตก็เดินไม่ได้ ก้าวขาไม่ออก
พยายามอดกลั้นขยับขาเดินได้ทีละคืบไปถึงป่ากฐินข้าง รีบวางบาตรลอดรั้วเข้าป่า

เมื่อทำธุระเสร็จออกจากป่าอุ้มบาตรออกมาบิณฑบาตต่อไป วันนั้นได้ข้าวไม่พอฉัน
กลับถึงวัดจึงเตือนตนเองว่า
"มัวแต่คิดเรื่องไร้สาระมิหาแก่นสารในธรรม ใครจะมาใส่บาตรให้ฉัน"

ครั้งที่สอง

ออกบิณฑบาตแต่เช้า เดินข้ามสะพานหัวช้างวกเข้าถนนเพชรบุรี
ข้าวแม้แต่ทัพทีเดียวก็ไม่ลงบาตร บังเอิญมองเข้าไปในบ้านหลังหนึ่ง
เห็นยายแก่ไว้ผมยาวมวยคว้าไม้กวาดตีหัวตาแป๊ะส่วนตายแป๊ะคว้ามวยผมถีบหลังยายแก่

จึงได้ข้อธรรมว่า "หากสึกออกไปเป็นฆราวาสมีครอบครัว ตัวเราโดนอย่างนี้
จะทำอย่างไรกัน คงบ้านแตกสาแหรกขาดแน่"

เมื่อหลวงพ่อกำหนดพิจารณาเห็นเช่นนั้น
เกิดความเบื่อหน่ายสังเวชสลดในชีวิตฆราวาสออกไปโดยลำดับ

ครั้งที่สาม

วันนั้นเป็นวันเทศกาลได้ออกบิณฑบาตแต่เช้ามืด เดินไประหว่างตลาดประตูน้ำสระปทุม
แล้ววกกลับมาทางหลังวัด บริเวณนั้นมีคอกม้า
มีถนนดินเวลาฝนตกถนนลื่นมากในบาตรมีข้าวเต็ม ในจิตคิดไปถึงเรื่องอื่น ๆ จนเผลอตัว

หลวงพ่อได้ก้าวลื่นถลาล้มลงไปในบ่อข้างถนนหัวเข่าทั้งสอง จมลงไปอยู่ในโคลน
ข้าวในบาตรหกหมดเกลี้ยงเนื้อตัวเลอะเทอะ ไปด้วยโคลน จึงรีบกลับวัดทันที
ท่านนึกตรึกตรองบอกว่า หากจิตยังโลดโผน แล่นไปอย่างนี้ไม่มีจุดหมายเพราะขาดสติ
จนการทำให้เกิดการประมาทเลินเล่อ เป็นเหตุให้เกิดอุบัติเหตุขึ้น...เป็นเพราะสติตัวเดียวแท้ ๆ

ครั้งที่สี่

ออกบิณฑบาตเช่นเคย เดินไปถึงวังพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าธานีนิวัตร
ซึ่งพระองค์ท่านใส่บาตรประจำวันแก่พระทั่ว ๆ ไป วันนั้นมีญาติโยมมาตั้งโต๊ะใส่บาตรอยู่ตรงข้าง
จึงเดินไปรับบาตรญาติโยมคนนั้นเสียก่อน พอรับเสร็จแล้วหันกลับไปยังหน้าวัง

พอดีมีเมล์ขาวนายเลิศวิ่งมาอย่างรวดเร็วเฉียดศีรษะห่างหนึ่งคืบ
คนโดยสารบนรถพากันร้องโวยวายกันใหญ่ ตนเองก็ยืนตะลึงอยู่เป็นเวลาหลายอึดใจ

กลับถึงวัดสติก็ร้องบอกเตือนว่า "นี่เป็นอีกคราหนึ่งที่เราขาดสติและประมาท"

คืนนั้น...ท่านจึงได้ปฏิบัติภาวนาพิจารณาจิตของตนเองที่บกพร่อง
จึงเห็นว่า...คนที่นับถือศาสนาพุทธอยู่ทุกวันนี้ดูออกจะแสวงหาสิ่งต่าง ๆ จากศาสนาพุทธ
ไม่ตรงกันเป็นต้นว่า แสวงหาความสงบบ้าง แสวงหาฤทธิ์อำนาจที่อยู่นอกเหนือธรรมชาติบ้าง

ตลอดจนถึงแสวงหาความอยู่ยงคงกระพันเมื่อมีสิ่งเหล่านี้ ก็ปฏิบัติธรรมะต่างกัน
โดยบรรลุให้ถึงความประสงค์

แต่ความจริงที่แท้แล้ว ธรรมทุกอย่าง การปฏิบัติทุกอย่างย่อมนำไปสู่สติ
คือ ความไม่ประมาทอย่างเดียวกันทั้งนั้น

หากคนทั้งหลายที่นับถือศาสนาพุทธ เข้าใจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในความจริงข้อนี้
การปฏิบัติศาสนาพุทธก็จะอยู่ในร่องรอยมากขึ้น ไม่แตกออกไปเป็นลัทธิต่าง ๆ
อย่างที่มีอยู่ในปัจจุบัน และผู้ปฏิบัติธรรมของศาสนาพุทธ จะได้รับประโยชน์มาก...

คือ...จะมีสติ หรืออยู่ในความไม่ประมาทอันเป็นอมฤตธรรมที่พิสูจน์ได้และถูกต้องที่สุด !!...


ที่มา : ประตูสู่ธรรม
คัดลอกจาก: แก่นธรรมพระแท้แสงเพชร
ด้วยจิตกราบบูชา
จากคุณ : mayrin [ 16 ก.ค 2545 ]

:b48: :b8: :b48:

ความประมาทหนทางสู่ความตาย
หลวงพ่อลี ธมฺมธโร
โพสท์ในลานธรรมเสวนา กระทู้ที่ 005775 โดยคุณ : mayrin [ 16 ก.ค 2545 ]


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ต.ค. 2009, 16:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

ขอบคุณ คุณลูกโป่งครับ

ที่นำกระทู้เก่ามาให้อ่านครับ


เก่าเก็บด้วยคุณธรรม ควรค่าแก่การจดจำ

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ต.ค. 2009, 15:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ม.ค. 2009, 20:45
โพสต์: 1094

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron