วันเวลาปัจจุบัน 24 พ.ค. 2025, 13:29  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 14 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2009, 16:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


๘ ก.ค. ๒๕๔๒
สันตินันท์(พระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชฺโช ในปัจจุบัน)


ถาม – อยากปฏิบัติธรรม แต่ก็ไม่อาจปลีกเวลา รู้สึกเป็นปฏิปักษ์ต่อสิ่งแวดล้อมในเมืองเหลือเกิน จะแก้ไขอย่างไรดี?

พวกเรานักปฏิบัติธรรมเคยรู้สึกกันบ้างไหมว่า
บางครั้งเราอยากหลีกหนีจากสภาพแวดล้อมที่กำลังประสบอยู่
จากมหาวิทยาลัย จากงาน จากครอบครัว จากบ้าน
จากถนนหนทางที่ต้องผ่านจำเจอยู่ทุกวัน
ไม่ว่าผู้คน หรือสภาพแวดล้อม ล้วนแต่น่าเบื่อหน่าย
ล้วนแต่ไม่ดี ไม่เหมาะ กับเราผู้ปฏิบัติธรรมสักอย่างเดียว
จิตใจก็น้อมไปในทางที่อยากจะหามุมสงบสักแห่งหนึ่ง อยู่กับตัวเองเงียบๆ
บางคนถึงกับอยากทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไปบวช เพื่อปฏิบัติธรรม

ความรู้สึกอย่างนี้ถ้านานๆ เกิดขึ้นสักครั้งก็ไม่เท่าไหร่
แต่ถ้าเกิดเป็นประจำ ความเบื่อหน่ายนั้นแหละจะกัดกร่อนจิตใจของเรา
เกิดความเซ็ง ความหดหู่ท้อแท้ มีโทสะติดอยู่ที่ปลายจมูก
สิ่งเหล่านี้คือการจมทุกข์อยู่ในปัจจุบัน โดยฝันหวานไปถึงอนาคต
นี้เป็นโรคทางใจที่จำเป็นต้องรีบเยียวยาแก้ไข

แท้จริงการปฏิบัติธรรมนั้น ไม่เลือกสถานที่ ไม่เลือกบุคคล และเวลา
นักปฏิบัติไม่ควรเป็นปฏิปักษ์กับสิ่งแวดล้อม
แต่ควรฝึกฝนตนเอง ให้สามารถปฏิบัติธรรมได้ในที่ทุกสถาน ในกาลทุกเมื่อ
กิเลสเกิดขึ้นเดี๋ยวนี้ ก็ต้องรู้เดี๋ยวนี้ ต้องพัฒนาจิตใจของตนเองเดี๋ยวนี้
ไม่ใช่สงวนกิเลสเอาไว้ก่อน แล้วพยายามแก้ไขที่คนอื่น สิ่งอื่น
หรือผลัดไปต่อสู้กับกิเลสในเวลาอื่น

ถ้าเราเป็นทุกข์เดี๋ยวนี้ ก็ต้องลงมือหาทางออกจากทุกข์เดี๋ยวนี้
ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะกล่าวโทษว่า ความทุกข์มาจากคนนั้น สิ่งนั้น
เพราะแท้ที่จริงแล้ว ถ้าจิตของเรานี้ไม่ส่งออกไปหาทุกข์มาใส่ตัว
ความทุกข์จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย

แทนที่จะเป็นปฏิปักษ์กับสิ่งแวดล้อม
แทนที่จะเพ่งโทษผู้อื่น หรือสิ่งอื่น
มาพากเพียรศึกษากิเลสในจิตใจของเราเองดีกว่า
เพื่อเราจะพ้นทุกข์ได้ตั้งแต่เดี๋ยวนี้
แม้สิ่งแวดล้อมจะเลวร้ายประการใดก็ตาม

ไม่มีใครทำให้เราเป็นทุกข์ได้หรอก
นอกจากเราทำของเราเอง ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์
แล้วก็รับผลอันแสบร้อนนั้นด้วยตนเอง
อย่างยุติธรรมที่สุดแล้ว

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2009, 16:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐
สวนสันติธรรม หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช


ถาม: หลวงพ่อคะ บางทีเรารู้สึกว่า เราจมอยู่กับความซึมเศร้าหดหู่
พอเรารู้ว่าซึมเศร้าหดหู่ เราก็ซึมเศร้าหดหู่ต่อ มันก็ไม่ได้หยุดค่ะ
ทำไมมันไม่หายคะ


รู้ก็ไม่ต้องอยากให้หายนะ
สิ่งทั้งหลายเกิดจากเหตุ ถ้าเหตุของมันยังอยู่มันก็ยังอยู่
แต่ว่าอยู่ที่ว่าใจของเราเป็นกลางกับมันหรือไม่
ถ้าใจของเราเห็นความซึมเศร้าหดหู่ ไม่ได้อยากให้หายนะ
แค่สักว่ารู้สักว่าเห็น ใจไม่ทุกข์
จิตซึมเศร้าหดหู่ไปอย่างนั้น แต่ใจเราไม่ทุกข์เลย
เพราะฉะนั้นในที่สุดเราจะอยู่กับโลก
ขันธ์นี้เป็นตัวทุกข์ล้วนๆ เลย แต่จิตใจนี้ไม่ทุกข์เลย ตัวใจนี้ไม่ทุกข์เลย :b42:

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2009, 16:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


จากหนังสือมหาสติปัฏฐานสูตร โดย ดังตฤณ

จิตหดหู่ก็รู้ว่าจิตหดหู่ เมื่อจิตฟุ้งซ่านก็รู้ว่าจิตฟุ้งซ่าน


ความหดหู่คืออาการซึมทื่อหรือห่อเหี่ยวไม่ชื่นบาน มีความหยุดกับที่ ชาเฉื่อยกับที่ อาการเหม่อลอยหรือขี้เกียจเคลื่อนไหวจัดเป็นความหดหู่อย่างอ่อน ส่วนความซึมเศร้าหมดอาลัยตายอยากสิ้นหวังในชีวิตนับเป็นความหดหู่ขนาดหนัก

ความฟุ้งซ่านคืออาการที่จิตไม่สงบ มีความพล่านไป ซัดส่ายไป อาการคิดวกวนไม่เป็นเรื่องนับเป็นความฟุ้งซ่านอย่างอ่อน ส่วนความตื่นเต้นหรือเครียดจัดนับเป็นความฟุ้งซ่านขนาดหนัก

ทั้งความหดหู่และความฟุ้งซ่านต่างเป็นสภาพจิตที่เอามาใช้การยาก เพราะจับอะไรไม่ค่อยติด และภาวะหดหู่กับภาวะฟุ้งซ่านก็เป็นภาวะที่ลากจูงกันมา เช่นถ้าปล่อยใจเหม่อลอยหรือแช่จมกับอารมณ์เบื่อสักพัก จะเกิดความฟุ้งซ่านรำคาญใจ และพอฟุ้งซ่านรำคาญใจจนเหนื่อย ก็กลับอ่อนเพลียเนือยนาย ไม่อยากคิดไม่อยากทำอะไรนอกจากจมอยู่กับความหดหู่ไปเรื่อยๆ วนไปเวียนมาอยู่อย่างนี้

สำหรับผู้ที่ผ่านการเจริญสติมาจนมีกำลังพอใช้ พอนึกขึ้นได้ว่าจิตเริ่มซึมลงหรือกระเจิงไป ก็จะเกิดสติรู้สึกตัว สภาพแย่ๆจะถูกตัดตอนทันที กล่าวคือสติจะเปลี่ยนจิตจากหดหู่เป็นสดชื่นขึ้น หรือเปลี่ยนจากฟุ้งซ่านเป็นสงบระงับลง สามารถกลับมาเจริญสติต่อได้

แต่สำหรับผู้ที่กำลังสติยังอ่อน การจะมีสติรู้ทันความหดหู่หรือความฟุ้งซ่านเพื่อให้หลุดออกมานั้นคงยาก ถ้าหดหู่หนักต้องแก้ด้วยการเคลื่อนไหวในแบบที่จะเกิดความกระตือรือร้นต่างๆ เช่น เร่งความเพียรในการจงกรมหรือออกกำลังหนักๆให้ได้เหงื่อ แต่ถ้าฟุ้งซ่านจัดก็ต้องแก้ด้วยการสร้างปัจจัยของความสงบต่างๆ เช่น เข้าหาบรรยากาศวิเวก ลากลมหายใจยาวๆ ผ่อนลมหายใจช้าๆ และหยุดหายใจนานเท่าที่ร่างกายต้องการระงับลม เป็นต้น :b42:

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2009, 16:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว เล่มที่ ๑
โดยดังตฤณ

ความหม่นหมองเกิดจากอะไรได้บ้าง? ทุกวันนี้ถือว่าอยู่ในกรอบของความเป็นคนดี คบเพื่อนดี ไม่คิดทำร้ายใคร ไม่เที่ยวเสียหาย ทำทานบ้างตามโอกาส แต่กลับคิดมาก เครียดเก่ง ขี้วิตกกังวลง่ายๆคล้ายไม่ต้องมีต้นสายปลายเหตุ อย่างนี้จะถือว่า จิตกำลังสะสมความหม่นหมองทีละเล็กทีละน้อย จนถึงขั้นร้ายแรงในที่สุดหรือไม่?


คำตอบง่ายๆเลยครับ สำหรับบางคน ความหม่นหมองเกิดจากความเคยชินที่จะหม่นหมอง หรือยอมตนให้กับความหม่นหมองจนเคยตัว เรื่องไม่น่าคิดก็เก็บมาคิด เรื่องไม่น่าวิตกก็เก็บมาวิตก

หากเข้าข่ายดังว่านี้ ก็ขอให้คุณทราบเถิดว่าโรคช่างวิตกมีต้นสายปลายเหตุ การยินยอมตกเป็นเบี้ยล่างของความวิตก โดยไม่หาทางทำอะไรให้ดีขึ้นนั่นเองคือต้นเหตุ เหมือนเราตกลงไปในหนองน้ำที่เน่าเหม็นและชื้นแฉะน่ารังเกียจ แล้วตั้งคำถามกับตนเองว่าเหตุใดเนื้อตัวเราจึงไม่แห้งเสียที เหตุใดกลิ่นเหม็นเน่าจึงยังติดผิวกายเราอย่างน่าอึดอัดระอา นี่ก็เป็นเพราะเราไม่หาทางยกตัวขึ้นจากหนองน้ำนั่นเอง

หนองน้ำที่ว่านี้มีพิษด้วยนะครับ เหมือนทำให้สมองเราฝ่อลงได้ หดหู่ท้อแท้ และเชื่ออยู่ลึกๆว่าจะไม่มีวันขึ้นจากหนองน้ำได้ นับว่าแปลกแต่จริง ยิ่งนานวันก็จะยิ่งซ่านไปตามเนื้อตัว สะสมไว้ที่จุดต่างๆคล้ายไขมันมีพิษ ทำให้ผิดปกติไปต่างๆนานา บางวันหงุดหงิดง่าย แต่บางวันก็คล้ายเกิดอาการทอดอาลัยตายอยาก เป็นต้น

ส่วนที่ว่าอาจพัฒนาถึงขั้นร้ายแรงหรือไม่ก็ขอให้ตรองดู ถ้าคุณมีชีวิตที่ปราศจากความสุข อะไรมันจะเลวร้ายไปได้มากกว่านั้นอีก? ชีวิตที่ขาดความสุขนั้น แม้เคยเป็นดอกไม้ก็ต้องเปรียบกับดอกไม้ที่ขาดน้ำ ดอกไม้จะดูเป็นดอกไม้อยู่หรือหากเหี่ยวเฉา? การปราศจากสุขทั้งที่ไม่มีเหตุให้ทุกข์อย่างชัดเจนนั้น แสดงถึงวิธีคิดที่ผิดพลาด เรียกว่าเหตุแห่งทุกข์ก็คือวิธีคิดนั่นเอง

ในระหว่างใช้ชีวิตอันเป็นปกติ หากยังตัดสินใจเลือกที่จะเป็นสุขไม่ได้ แล้วขณะใกล้ขาดใจตายจะมีความแน่นอนอันใด เป็นหลักประกันที่น่าไว้ใจเล่า?

ไม่มีสิ่งใดเป็นศัตรูผู้ให้โทษกับเรา ได้เท่าการตั้งจิตไว้ผิดพลาดอีกแล้ว

จะทราบได้อย่างไรว่าจิตเราหม่นหมองอยู่ในระดับตกต่ำร้ายแรงยากจะเยียวยาหรือไม่? จะใช้เกณฑ์ใดเป็นหลักวัดว่าแต่ละวันดีขึ้นหรือแย่ลง? และดีขึ้นแค่ไหนจึงแน่ใจได้ว่าจะไปถือกำเนิดในสุคติภูมิ?

เมื่อหงุดหงิดในเรื่องเล็กๆน้อยๆ ถามตัวเองว่ารู้ตัวได้เร็วแค่ไหน

๑) ไม่ทันแสดงอากัปกิริยาออกมา พอเริ่มมีความรำคาญกรุ่นขึ้นจะทราบชัด แล้วความหงุดหงิดก็จางลง เปลี่ยนเป็นปลอดโปร่งได้ง่ายๆ หรืออย่างน้อยก็หันไปสนใจสิ่งที่ควรทำเฉพาะหน้าโดยปราศจากความเก็บกด

๒) แสดงอากัปกิริยาหงุดหงิดให้เป็นที่ปรากฏ แต่ก็ระงับลงได้ในเวลาต่อมา โดยปราศจากความรู้สึกทึบแน่นหรือเก็บกด

๓) แสดงอากัปกิริยาหงุดหงิดให้เป็นที่ปรากฏ และไม่แน่ว่าจะระงับได้ ไม่แน่ว่าจะปลอดโปร่งหรือเก็บกดในเวลาต่อมา

๔) แสดงอากัปกิริยาหงุดหงิดให้เป็นที่ปรากฏ ระงับไม่ได้เลย และรู้สึกเก็บกดอยู่ตลอด

ทั้งหมดที่กล่าวนี้ คือขีดความสามารถในการปล่อยวางสิ่งที่ไม่ใช่สาระนั่นเอง หากจิตเราถูกอบรมจนกระทั่งอยู่ในสภาพไม่ยึดมั่นถือมั่นสิ่งไร้สาระได้เมื่อไหร่ เมื่อนั้นใจของเราจะเข้าข่ายข้อแรก แต่ถ้าไม่อบรมจิตเสียบ้างเลย ก็มักตกไปอยู่ในข่ายข้อสุดท้าย แต่ละข้อถือเป็นขีดระดับความน่าจะเป็นว่าจิตมีทางไปอันดีหรือร้ายในตัวเอง ผู้มีความปลอดโปร่งไม่ยึดมั่นถือมั่นได้เสมอๆ จะอุ่นใจกับตนเองว่าเราเป็นผู้ไม่มีความเศร้าหมองครอบงำโดยง่าย แต่ผู้มีความอึดอัดยึดมั่นถือมั่นปล่อยวางยาก อาจต้องกังวลว่าเราจะเป็นผู้มีความเศร้าหมองในขณะแห่งมรณกาลหรือไม่

การสังเกตตนเองด้วยหลักวัดคร่าวๆทั้ง ๔ ข้อข้างต้นวันต่อวัน จะช่วยให้เราทราบด้วยตนเองว่าดีขึ้นหรือแย่ลง และในระยะยาวภาพรวมจะปรากฏต่อสำนึกหลักของตนเอง เราเป็นผู้บอกตนเองได้ว่าชีวิตมีความสุขขึ้น เราเป็นผู้บอกตนเองได้ว่าบัดนี้ลดละนิสัยหวงทุกข์แบบเดิมๆลงแล้ว เป็นต้น

จะมีวิธีแก้ไขความหม่นหมองได้อย่างไร? ขอคำแนะนำแบบเป็นขั้นๆที่สามารถเริ่มตั้งต้นปฏิบัติตามได้เลย

๑) กระซิบบอกตนเองไว้เสมอๆว่า ‘อย่าคิดมาก’ นี่เรียกว่าเป็นการป้อนโปรแกรมให้กับจิตตนเองในระดับสำนึก เมื่อท่องบ่อยเข้าจนใจยินยอมตามโปรแกรม อาการไม่คิดมากก็จะค่อยๆปรากฏชัดขึ้นมาเอง

๒) หมั่นสังเกตใจตัวเอง หมั่นตั้งคำถามกับใจตัวเอง หมั่นจับผิดใจตัวเอง ว่าขณะหนึ่งๆกำลังคิดมากให้เปล่าประโยชน์หรือคิดน้อยอย่างได้ประโยชน์ เราจะพบว่าแค่การปฏิบัติตนอย่างง่ายๆตรงไปตรงมาเท่านี้ จะทำให้เป็นคนเลิกเพ่งโทษคนอื่น มีความหงุดหงิดน้อยลงอย่างรวดเร็วเหลือเชื่อ

๓) เมื่อหงุดหงิด วิตกเกินกว่าเหตุ หรือหดหู่เศร้าหมอง อย่าพยายามเร่งเอาตัวเองออกมาจากภาวะนั้นๆทันทีทันใดตามใจนึก แต่ให้ตระหนักว่านั่นเป็นภาคมืดของจิต เมื่อใดมีแสงสว่างสาดเข้ามา ความมืดก็จะหายไปเอง ความสว่างนั้นอาจหมายถึงการไม่ยอมจมอยู่กับทุกข์ แต่หันไปเดินเล่นในสวน หันไปอ่านหนังสือธรรมะ หันไปสวดมนต์บ่อยๆ หรือหันไปปฏิบัติภารกิจของคุณด้วยความรู้สึกว่าถ้าทำให้เสร็จ ถ้าทำให้ดี จิตใจเราจะปลอดโปร่งขึ้นกว่าเดิม ด้วยการประพฤติตนเช่นนี้ กำหนดใจไว้อย่างนี้ ในที่สุดจิตจะฉลาดเลือกทำแต่เหตุให้เกิดความสว่าง และรังเกียจเหตุให้เกิดความมืดอย่างถาวร

ลองเถอะครับ ความเป็นมนุษย์นั้นเหมือนมีดที่คมกว่าเราคิด เอาไปเฉาะดินเล่นจนทื่อก็ได้ หรือเอาไปฟันฝ่าอุปสรรคในตัวเองก็ได้ และในเวลาที่ไม่เนิ่นช้าด้วย :b42:

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2009, 16:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


เตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว ฉบับวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๔๗
โดยดังตฤณ

ถาม – มักเป็นคนมีจิตใจหดหู่ รู้ทั้งรู้ว่าไม่เป็นมงคลกับชีวิต ควรจะแก้ไขอย่างไรดีคะ?


ตัวคุณคืออะไร? ลองตัดชื่อแซ่ ตัดตัวตน ตัดวิธีคิด รวมทั้งตัดเหตุการณ์ทั้งหลายที่รายล้อมคุณออกไปให้หมด เหลือแต่เพียงสภาพจิตอย่างเดียว จะพบความจริงประการหนึ่งนะครับ นั่นคือจิตเรามีเบิกบาน มีหดหู่สลับกันได้เรื่อยๆ ไม่จำเป็นต้องมีเหตุร้ายแรงให้เศร้าใจมากมาย แค่เหนื่อยๆหน่อย นั่งรถเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง จิตใจก็มีสิทธิ์หดหู่ลงได้แล้ว

ประเด็นคือแต่ละคนมีอาการ ‘ลาดลงต่ำ’ ของจิตใจผิดแผกแตกต่างกัน บางคนหดหู่เดี๋ยวเดียวก็กลับระเริงร่าได้ใหม่ แต่บางคนหดหู่แล้วกลายเป็นเรื่องยาว แม่ค้าขายก๋วยเตี๋ยวเคยยิ้มให้แล้วมาไม่ยิ้มสักทีหนึ่งก็คิดมาก แช่อยู่กับความเสียใจว่าเขาไม่ยิ้มให้ อย่างนี้ก็มี และมีอยู่มาก เพียงแต่ไม่ค่อยเล่าสู่กันฟังเพราะเห็นเป็นเรื่องเล็กน้อย หรือบางทีตัวเองก็เห็นเป็นเรื่องขี้ปะติ๋วเสียจนจำไม่ได้ว่าเริ่มหดหู่ ตั้งแต่เจอภาพเสียงชนิดใดกระทบกระทั่งจิตใจ เราถึงมักได้ยินคนบ่นเปรยให้เพื่อนฟังทำนอง ‘ไม่รู้เป็นอะไร เซ็ง เบื่อไม่มีสาเหตุ’

ความ หดหู่ต่อเนื่องยืดยาวจนจำสาเหตุที่แท้จริงไม่ได้นี่แหละ ทำให้คนเบื่อหน่ายกับการมีชีวิตและคิดสั้นมานักต่อนัก ลองมาดูอุปนิสัยที่เราๆทำกับใจตัวเองแล้วหดหู่เก่งกันดีกว่า

๑) ชอบเหม่อ ประเภทว่างเป็นไม่ได้ ชอบทอดตาไกลๆ จะฝันก็ไม่ฝัน จะคิดธุระปะปังให้เป็นเรื่องเป็นราวก็ไม่คิด ชอบรู้สึกอยู่เรื่อยๆว่าชีวิตว่างเปล่า ไม่มีความหมาย แล้วก็ไม่อยากเติมค่าอะไรลงไปให้ชีวิตตัวเองเต็ม ถ้าเป็นแบบนี้ก็ขอให้ดูบรรดาสัตว์เลี้ยงใกล้ตัว ลองนั่งสังเกตพวกมันสักพัก จะเห็นชีวิตว่างเปล่าขนานแท้ พวกนั้นไม่มีอะไรทำจริงๆครับ วันๆมีหน้าที่เคลื่อนจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง พอเห็นความเหม่อลอยของพวกมันด้วยความตระหนักว่าไม่มีวันพัฒนาตัวเองขึ้นมา ได้อย่างที่เราสามารถทำ ก็อาจเกิดกำลังใจคิดอยากทำชีวิตให้ดีกว่าพวกมัน อันนี้ถ้าลองทำดูจะเห็นว่าเกิดพลังกระตุ้นที่ดีมาก ไม่ใช่จะให้ดูถูกตัวเอง เปรียบเทียบตัวเองเท่ากับสิ่งมีชีวิตที่ต่ำกว่าเราหรอกนะครับ แต่การเห็นเพื่อนต่างภพต่างภูมิที่เขาเคราะห์ร้าย ไม่มีวาสนาเท่าเรา จะค่อยๆทำให้เริ่มเห็นค่าศักยภาพความเป็นมนุษย์ขึ้นมารำไร

๒) ชอบจมอยู่กับอดีต ประเภทเหตุการณ์ผ่านมา ๒๐ ปี ยังอุตส่าห์ขุดขึ้นมาคิดเสียดาย คุ้ยขึ้นมาพูดด่าสาดให้คนใกล้ชิดรู้สึกผิด คนแบบนี้เท่าที่ผมเห็นนะครับ นอกจากจะเหม่อลอย หดหู่บ่อยแล้วยังเจ้าโทสะ เหมือนมีไฟกรุ่นอยู่ในอก หรือลุกเป็นเปลวขึ้นมาจากกระหม่อมทีเดียว และมีความจริงอยู่อย่างหนึ่ง คนชอบฝังใจอยู่กับอดีตนั้น มักบ่นหาถึงอนาคตที่ไม่มีวันมาถึง คือชอบหวังอะไรลมๆแล้งๆ สมมุติอะไรที่เกินตัวและเป็นไปไม่ได้จริงเสมอ พูดให้เห็นภาพง่ายๆและรวดเร็วที่สุดคือทั้งชีวิตไม่เคยมีวันนี้ มีแต่เมื่อวานกับพรุ่งนี้เท่านั้น หากยอมรับว่าเป็นคนประเภทที่ว่านี่ก็ขอให้เร่งแก้ไขนิดหนึ่ง พูดกันตรงๆตามชื่อคอลัมน์นะครับ จิตแบบนี้ถ้าตายไปก็ไม่พ้นต้องเป็นเปรตจำพวกที่นึกว่าตัวเองยังไม่ตาย เนื่องจากจิตวิญญาณเต็มไปด้วยความยึดมั่นถือมั่นเหนียวแน่น และบดบังไม่ให้เห็นอะไรที่เป็นปัจจุบันเอาเลย เคยคิด เคยกลุ้ม เคยพูดซ้ำๆซากๆอย่างไร ตายไปก็จะคิด จะกลุ้ม จะบ่นเพ้อซ้ำๆซากๆอย่างนั้นร่ำไป แต่ขณะยังมีชีวิตมนุษย์อยู่นี่พอปรับปรุงแก้ไขได้ก็ปรับปรุงเสียเถิด หัดคิดเรื่องวันนี้ หัดพูดถึงสาระประโยชน์เฉพาะหน้า พอจะหวนกลับไปคิดมากเรื่องเก่าๆก็กลับมาอยู่ตรงหน้าใหม่ ทำตัวไม่ให้ว่าง แล้วจะพบว่าเกิดความแจ่มกระจ่างทางใจมากขึ้นเรื่อยๆ อารมณ์หดหู่ไม่กลับมาครอบงำอีกง่ายๆ

๓) ชอบมองโลกในทางลบ ประเภทเห็นข่าวดาราเตียงหัก ก็มานั่งวิตกว่าเหตุแบบเดียวกันอาจจะเกิดขึ้นกับเราบ้าง หรือไม่ก็เอาแต่นั่งอ่าน นั่งขนหัวลุกอยู่ทั้งวันเกี่ยวกับเรื่องโลกแตก กลัวสงครามโลกครั้งใหม่ปะทุ กลัวน้ำมันจะแพงขึ้นถึงลิตรละ ๔๐ กลัวต่อไปเชื้อโรคจะหอบมาตามลมหรือแฝงตัวอยู่กับอาหารการกิน อันที่จริงก็ต้องเห็นใจคนยุคเราเหมือนกัน เพราะเรื่องดีๆแม้ยังมีอยู่มากก็ไม่เป็นข่าว แต่จะเป็นข่าวก็เฉพาะจำพวกเรื่องที่ทำให้หมดกำลังใจจะอยู่ต่อ ถ้ารู้ตัวว่าบริโภคข่าวด้านลบมากๆแล้วติดค้างคาใจ ไพล่ไปทึกทักว่าเรื่องร้ายๆจะต้องเกิดขึ้นกับเราด้วย ก็ขอแนะนำให้อ่านหนังสือพิมพ์หรือดูข่าวโทรทัศน์ให้น้อยลง ถ้าจะอ่านหรือดูก็คัดๆเลือกๆหน่อย ไม่ใช่ถือเป็นหน้าที่ที่ต้องอ่านมันทุกข่าว หรือติดตามข่าวร้ายเป็นซีรีส์กันทุกวัน จากนั้นหันไปอ่านหรือหันไปดูข่าวที่เป็นมงคลเสียบ้าง มองตามจริงบ้างว่าแง่ดีในโลกนี้ยังมีให้มองอีกมาก พอเริ่มมองโลกภายนอกในทางบวก ก็จะค่อยๆหันมาเริ่มมองโลกภายในไม่เป็นลบตามกันไปเอง เพื่อตัดเหตุแห่งความหดหู่ลงไปได้อีกข้อ

๔) ชอบความเหงาเศร้าโดยไม่รู้สึกตัว ประเภทนั่งคนเดียวเฉยๆแล้วน้ำตาพานจะไหลเป็นทางเหมือนไม่มีสาเหตุ หรือฟังเพลงเพื่อคนอกหักแล้วร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร ขณะเดียวกันก็พอใจกับห้วงภาวะเช่นนั้นโดยไม่อยากแก้ไขดัดแปลง ถ้ารู้ตัวว่าเป็นประเภทนี้ขอให้สังเกตว่ามีแนวโน้มจะสงสารตัวเอง ไม่พบใครที่จริงใจด้วย หรือถึงพบก็ไม่รู้สึกว่าใช่ ไม่อาจให้ความอบอุ่นกับเราได้ ลองดูดีๆจะพบว่าความเหงามี ๒ ประเภท คือเหงาแล้วโหยหาความอบอุ่นแบบจะขาดใจตาย กับเหงาแล้วมีความสุขแบบสะใจแฝงอยู่ลึกๆ แต่ไม่ว่าเหงาประเภทไหน ก็พ่วงมาซึ่งความหดหู่เก่งเสมอ และออกจะแก้ยากกว่าข้ออื่นๆสักหน่อย เนื่องจากคนเรามักเรียกร้องให้มีใครมาเห็นใจ มาให้ความอบอุ่น โดยตัวเราเป็นผู้รับหรือผู้ตอบสนอง ขอให้ลองอย่างนี้ดู คือกลับขั้วสักนิด คิดเป็นผู้เริ่มเห็นใจก่อน ให้ความอบอุ่นกับคนอื่นก่อน ยัง มีผู้ด้อยโอกาสในสังคมมากมายก่ายกองที่รอรับ ‘การให้ก่อน’ จากเราอยู่เสมอ ถ้าทำแค่ครั้งสองครั้งอาจจะยังไม่เห็นผลอะไร แต่ถ้าทำประจำจนเป็นกิจวัตรกระทั่งรู้สึกถึงความสว่าง ความอบอุ่นที่แผ่ออกมาจากจิตคิดให้ของตนเอง เมื่อนั้นคุณจะไม่ปรารถนาความรักความอบอุ่นจากภายนอกที่อยู่กับเราได้แบบไม่ คงเส้นคงวาหาความแน่นอนยากอีกเลย จะยึดเอารัศมีความอบอุ่นจากใจตัวเองนี่แหละเป็นที่พึ่งเที่ยงแท้ถาวร

อาการเหม่อซึมหรือหดหู่จะมาจากมูลเหตุใดก็ตามที สามารถแก้ไขสภาพเฉพาะหน้าได้ง่ายที่สุดคือรู้เท่าทันว่าเงื้อมเงาความหดหู่ กำลังเข้าครอบงำใจเราแล้ว แทนที่จะติดนิสัยยอมโดนครอบอย่างเคยๆมา พอรู้สึกตัวก็หันไปทำกิจธุระอันใดอันหนึ่งทันที ยิ่งถ้าเป็นธุระที่ทำให้ใจเบา ใจสว่างด้วยก็ยิ่งเยี่ยม พูดง่ายๆลองหมั่นทำบุญและอ่านหนังสือธรรมะบ่อยๆ จะเห็นเองว่าความมืดย่อมทนต่อแสงสว่างไม่ได้เป็นธรรมดา ความสว่างมา ความมืดต้องหายไปแน่ๆครับ :b44:

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ส.ค. 2009, 19:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 พ.ย. 2008, 22:38
โพสต์: 4


 ข้อมูลส่วนตัว


แล้วความหดหู่ที่เกิดจากความสงสาร เห็นภาพ เห็นเหตุการณ์ต่างๆๆที่ทำให้เราเกิดความสงสารหรือหดหู่ จะแก้ไขยังไงดีคะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ส.ค. 2009, 20:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ค. 2006, 20:52
โพสต์: 1210

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:
....มันเป็นเช่นนั้นเอง....

.....................................................
สัพเพ สังขารา อนิจจา
สัพเพ ธรรมา อนัตตา...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ส.ค. 2009, 20:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

crazy_joy เขียน:
แล้วความหดหู่ที่เกิดจากความสงสาร เห็นภาพ เห็นเหตุการณ์ต่างๆๆที่ทำให้เราเกิดความสงสารหรือหดหู่ จะแก้ไขยังไงดีคะ


ผมว่าเป็นเพราะท่านเป็นคนมีความเมตตา กรุณา นั่นเอง

ไม่น่าจะต้องแก้ไขอะไรครับ


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ส.ค. 2009, 22:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


แมวขาวมณี เขียน:
:b8: :b8: :b8:
....มันเป็นเช่นนั้นเอง....


:b8: สาธุค่ะคุณแมวขาวมณี
หากเมื่อใดที่ใจเกิดความหดหู่ โดยที่ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้
สุดท้ายดิฉันก็มักจะใช้อุบายว่า ...มันเป็นเช่นนั้นเอง...ค่ะ
แต่ก็ต้องใช้เวลากับความหดหู่ใจแบบนี้อยู่นานพอสมควร :b20:

พระอานุภาพของพระสัมมาสัมพุทโธไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือน
การสวดมนต์ แผ่เมตตาก็ช่วยได้ค่ะ

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ส.ค. 2009, 12:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


สาธุ สาธุ สาธุนะคะ

เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป...เป็นธรรมดา

ธรรมะสวัสดีค่ะ

รูปภาพ


แก้ไขล่าสุดโดย ลูกโป่ง เมื่อ 29 ส.ค. 2009, 12:11, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ต.ค. 2009, 16:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ม.ค. 2009, 20:45
โพสต์: 1094

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

อนุโมทนา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ต.ค. 2009, 04:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ต.ค. 2009, 04:39
โพสต์: 28

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: อนุโมทนาค่ะ สาธุ
กำลังรู้สึกหดหู่ค่ะ เนื่องจากงานมากมาย ทำไม่ทัน
ปัญหามากมาย จะพยายามค่ะ ตอนนี้กำลังกำหนดรู้อยู่ค่ะ ^^


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ต.ค. 2009, 07:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2009, 20:03
โพสต์: 9

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: ขออนุโมทนาครับ
กำลังหดหู่ใจกับสิ่งรอบตัวพอดี
แต่ตอนนี้เริ่มเกิดปัญญาแล้วครับ
:b8: :b8: :b8: :b8:


แก้ไขล่าสุดโดย เรือนไม้มงคล เมื่อ 06 ต.ค. 2009, 07:06, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ต.ค. 2009, 15:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ม.ค. 2009, 20:45
โพสต์: 1094

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ก้อนหินในมือ ยิ่งกำแน่น ยิ่งทิ่มแทง ....

:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 14 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร