วันเวลาปัจจุบัน 04 พ.ค. 2025, 14:26  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 9 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ต.ค. 2009, 21:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ย. 2007, 13:40
โพสต์: 462

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


สัตว์จำนวนมากได้ฟังเสียงราชสีห์แล้วย่อม (ตกใจ) กลัว.
ที่ไม่กลัวมีจำนวนน้อย.
ถามว่า ก็สัตว์จำนวนน้อยพวกนั้น คือพวกไหนบ้าง?
ตอบว่า สัตว์พวกนั้นคือ

ราชสีห์ด้วยกัน ๑
ช้างอาชาไนย ๑
ม้าอาชาไนย ๑
โคอุสภะอาชาไนย ๑
บุรุษอาชาไนย ๑
พระขีณาสพ ๑



ถามว่า ก็เพราะเหตุไร สัตว์พวกนั้นจึงไม่กลัว?

ตอบว่า

ราชสีห์ด้วยกันที่ไม่กลัวก็เพราะคิดว่า เราเสมอเหมือนกันด้วยชาติ โคตร ตระกูลและความกล้าหาญ.
ช้างอาชาไนยเป็นต้นที่ไม่กลัว ก็เพราะตนเองมีสักกายทิฏฐิรุนแรง.
(ส่วน) พระขีณาสพไม่กลัวเพราะท่านละสักกายทิฏฐิได้แล้ว.


http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=17&i=155


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ต.ค. 2009, 21:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ย. 2007, 13:40
โพสต์: 462

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อรรถกถา สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค ขันธสังยุตต์ มัชฌิมปัณณาสก์ ขัชชนิยวรรคที่ ๓
สีหสูตร ว่าด้วยอุปมาพระพุทธเจ้ากับพญาราชสีห์

๖. อรรถกถาสีหสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในสีหสูตรที่ ๖ ดังต่อไปนี้ :-

:b38:

ราชสีห์ ๔ จำพวก
บทว่า สีโห ได้แก่ ราชสีห์ ๔ จำพวก คือ

ติณราชสีห์จำพวก ๑
กาฬราชสีห์จำพวก ๑
ปัณฑุราชสีห์จำพวก ๑
ไกรสรราชสีห์จำพวก ๑.



บรรดาราชสีห์ ๔ จำพวกนั้น ติณราชสีห์ (มีรูปร่าง) เป็นเหมือนแม่โค สีคล้ายนกพิราบ และกินหญ้าเป็นอาหาร.
กาฬราชสีห์ (มีรูปร่าง) เป็นเหมือนแม่โคดำ กินหญ้าเป็นอาหารเหมือนกัน.
ปัณฑุราชสีห์ (มีรูปร่าง) เป็นเหมือนแม่โคสีคล้ายใบไม้เหลือง กินเนื้อเป็นอาหาร.
ไกรสรราชสีห์ประกอบด้วย (ลักษณะคือ) ดวงหน้า (ที่สวยงาม) เป็นเหมือนมีใครเอาน้ำครั่งมาแต่งเติมไว้ หางที่มีปลาย (สวยงาม) และปลายเท้าทั้ง ๔ ตั้งแต่ศีรษะของราชสีห์นั้นลงไป มีแนวปรากฏอยู่ ๓ แนวซึ่งเป็นเหมือนมีใครมาแต้มไว้ด้วยสีน้ำครั่ง สีชาดและสีหิงคุ (แนวทั้ง ๓ นั้น) ผ่านหลังไป สุดที่ภายในขาอ่อน เป็นวงทักษิณาวรรต.

ก็ที่ต้นคอของไกรสรราชสีห์นั้น มีขนขึ้นเป็นพวง เหมือนวงไว้ด้วยผ้ากัมพลราคาตั้งแสน (ส่วน) ที่ที่เหลือ (ภายในร่างกาย) มีสีขาวบริสุทธิ์ เหมือนแป้งข้าวสาลี และผงจุรณ์แห่งสังข์.
บรรดาราชสีห์ทั้ง ๔ จำพวกนี้ ไกรสรราชสีห์นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประสงค์เอาแล้วในสูตรนี้.


บทว่า มิคราชา ได้แก่ ราชาแห่งหมู่เนื้อ.
บทว่า อาสยา แปลว่า จากที่อยู่. อธิบายว่า ไกรสรราชสีห์ย่อมออกไปจากถ้ำทอง หรือจากถ้ำเงิน ถ้ำแก้วมณี ถ้ำแก้วผลึกและถ้ำมโนสิลา.

ก็ไกรสรราชสีห์นี้ เมื่อจะออกไป (จากที่อยู่) ย่อมออกไปด้วยเหตุ ๔ ประการ คือ

ถูกความมืดเบียดเบียนออกไปเพื่อต้องการแสงสว่าง
ปวดอุจจาระปัสสาวะออกไปเพื่อต้องการถ่ายอุจจาระปัสสาวะ
ถูกความหิวบีบคั้นออกไปเพื่อต้องการล่าเหยื่อ
หรือถูกน้ำสมภพ (อสุจิ) บีบคั้น (เกิดความกำหนัด) ออกไปเพื่อต้องการเสพอสัทธรรม (ร่วมประเวณี)

แต่ในสูตรนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประสงค์เอาว่า ไกรสรราชสีห์ออกไปเพื่อต้องการหาเหยื่อ.

บทว่า วิชมฺภติ ความว่า ไกรสรราชสีห์วางเท้าหลังสองเท้าไว้เสมอกันบนแผ่นทอง แผ่นเงิน แผ่นแก้วมณี แผ่นแก้วผลึกและมโนสิลาอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วเหยียดเท้าหน้าออก หดส่วนหลังของร่างกายเข้าแล้ว ยืดส่วนหน้าออกไปโก่งหลังชูคอ คล้ายจะส่งเสียงเหมือนฟ้าร้อง พลางสลัดฝุ่นที่ติดอยู่ตามร่างกายออกไปชื่อว่าเยื้องกราย.
ก็และไกรสรราชสีห์จะวิ่งกลับไปกลับมาอยู่บนพื้นดินที่เยื้องกราย (นั้นเอง) เหมือนลูกวัวรุ่นตะกอ ฉะนั้น ก็เมื่อมันวิ่งอยู่ ร่างกายจะปรากฏอยู่ในที่มืดเหมือนท่อนฟืน (ถูกขว้าง) หมุนคว้างอยู่ฉะนั้น.
ในบทว่า อนุวิโลเกติ มีอธิบายว่า :-

ถามว่า เพราะเหตุไร ไกรสรราชสีห์จึงชำเลืองดูซ้ายขวา.
ตอบว่า เพราะมีความเอ็นดูในสัตว์อื่น.



ว่ากันว่า เมื่อไกรสรราชสีห์นั้นบันลือสีหนาท สัตว์ทั้งหลาย เช่น
ช้าง
กวาง
และกระบือ
ซึ่งกำลังเที่ยว (หากิน) ใกล้ที่ซึ่งไม่ราบเรียบทั้งหลายมีขอบปากเหวเป็นต้น
ก็จะ (ตกใจแล้ว) พลัดตกลงไปในเหวก็ได้
ไกรสรราชสีห์ชำเลืองดูซ้ายขวาก็เพราะเอ็นดูต่อสัตว์เหล่านั้น.

ถามว่า ก็ไกรสรราชสีห์นั้นทำหน้าที่อย่างนายพรานกินเนื้อสัตว์อื่นอยู่เป็นประจำ ยังจะมีความเอ็นดูด้วยหรือ?
ตอบว่า ใช่แล้ว ยังมีอยู่.

เป็นความจริง ไกรสรราชสีห์นั้นไม่ยอมจับสัตว์เล็กสัตว์น้อยเป็นอาหารของตน เพราะคิดว่า เรื่องอะไรจะต้องให้สัตว์จำนวนมากถูกฆ่าตาย อย่างนี้ชื่อว่าทำความเอ็นดู.

สมด้วยคำที่กล่าวไว้ดังนี้ว่า ขออย่าทำให้สัตว์เล็กสัตว์น้อยที่อยู่ตามสถานที่ที่ขรุขระ (ไม่ราบเรียบ) ต้องได้รับความกระทบกระเทือนด้วยเลย.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ต.ค. 2009, 21:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ย. 2007, 13:40
โพสต์: 462

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


บทว่า สีหนาทํ นทติ ความว่า อันดับแรก ไกรสรราชสีห์จะบันลือ (สีหนาท)
ที่ไม่ก่อให้เกิดความน่ากลัว ๒ ครั้ง

ก็แลเมื่อมันยืนบันลือ (สีหนาท) บนพื้นดินที่เยื้องกรายอยู่อย่างนั้น
เสียง (บันลือ) ก็จะก้องกระหึ่มเป็นเสียงเดียวกันไปรอบทิศตลอดพื้นที่ ๓ โยชน์
หมู่สัตว์ ๒ เท้า
และ ๔ เท้า
ที่อยู่ภายในพื้นที่ ๓ โยชน์ ได้ยินเสียงบันลืออย่างก้องกระหึ่มนั้นของไกรสรราชสีห์นั้นแล้ว
ก็จะไม่สามารถจะยืนอยู่ในที่เดิมได้.


บทว่า โคจราย ปกฺกมติ ความว่า ไปล่าเหยื่อ.
ไกรสรราชสีห์ไปล่าเหยื่อด้วยวิธีอย่างไร?

อธิบายว่า ไกรสรราชสีห์นั้นยืนอยู่บนพื้นดินที่ตนเยื้องกราย เมื่อกระโจนไปทางด้านขวาด้านซ้ายหรือด้านหลังก็จะ (กระโจน) ไปถึงพื้นที่ได้ประมาณอุสภะหนึ่ง เมื่อกระโจนขึ้นข้างบนก็จะกระโจนขึ้นไปได้ ๔ อุสภะบ้าง ๘ อุสภะบ้าง เมื่อจะโลดแล่นตรงๆ หน้าบนพื้นที่ที่เรียบเสมอ ก็จะโลดแล่นไปได้ตลอดพื้นที่ประมาณ ๑๖ อุสภะบ้าง ประมาณ ๒๐ อุสภะบ้าง เมื่อจะโลดแล่นจากฝั่งแม่น้ำหรือจากภูเขาก็จะโลดแล่นไปได้ตลอดพื้นที่ประมาณ ๖๐ อุสภะบ้าง ประมาณ ๘๐ อุสภะบ้าง. (เมื่อวิ่งไป) ในระหว่างทางเห็นต้นไม้หรือภูเขาเข้าแล้ว เมื่อจะเลี่ยงต้นไม้หรือภูเขานั้นก็จะเลี่ยงไปทางข้างซ้ายข้างขวาหรือข้างบนได้ประมาณอุสภะหนึ่ง.

แต่พอบันลือสีหนาทครั้งที่ ๓ พร้อมกับการบันลือนั้นแล ก็จะปรากฏในที่ ๓ โยชน์ ครั้นไปได้ ๓ โยชน์แล้ว ก็จะกลับมาหยุดยืนฟังเสียงสะท้อนเสียงบันลือของตนเอง. ไกรสรราชสีห์หลีกออกไป (จากที่อยู่) ด้วยความเร็วอย่างนี้.


บทว่า เยภุยฺเยน ได้แก่ ปาเยน (แปลว่า โดยมาก).
บทว่า ภยํ สํเวคํ สนฺตาสํ ทั้งหมดเป็นชื่อของความหวาดสะดุ้งกลัวแห่งจิตนั่นเอง.

เพราะว่า สัตว์จำนวนมากได้ฟังเสียงราชสีห์แล้วย่อม (ตกใจ) กลัว. ที่ไม่กลัวมีจำนวนน้อย.


ถามว่า ก็สัตว์จำนวนน้อยพวกนั้น คือพวกไหนบ้าง?
ตอบว่า สัตว์พวกนั้นคือ ราชสีห์ด้วยกัน ๑ ช้างอาชาไนย ๑ ม้าอาชาไนย ๑ โคอุสภะอาชาไนย ๑ บุรุษอาชาไนย ๑ พระขีณาสพ ๑
ถามว่า ก็เพราะเหตุไร สัตว์พวกนั้นจึงไม่กลัว?

ตอบว่า ราชสีห์ด้วยกันที่ไม่กลัวก็เพราะคิดว่า เราเสมอเหมือนกันด้วยชาติ โคตร ตระกูลและความกล้าหาญ. ช้างอาชาไนยเป็นต้นที่ไม่กลัว ก็เพราะตนเองมีสักกายทิฏฐิรุนแรง. (ส่วน) พระขีณาสพไม่กลัวเพราะท่านละสักกายทิฏฐิได้แล้ว.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ต.ค. 2009, 21:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ย. 2007, 13:40
โพสต์: 462

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


บทว่า พิลาสยา ได้แก่ สัตว์ที่อยู่ในรูคืออยู่รูเป็นประจำมีงู พังพอนและเหี้ยเป็นต้น.

บทว่า ทกาสยา ได้แก่สัตว์ที่อยู่ในน้ำ (สัตว์น้ำ) มีปลาและเต่าเป็นต้น.
บทว่า วนาสยา ได้แก่ สัตว์ที่อยู่ในป่า (สัตว์ป่า) มีช้าง ม้า กวางและเนื้อเป็นต้น.
บทว่า ปวิสนฺติ ความว่า เข้าไปพลางมองดูทางด้วยคิดว่า จักมาจับเอาในบัดนี้.
บทว่า ทฬฺเหหิ แปลว่า มั่นคง.
บทว่า วรตฺเตหิ แปลว่า เชือกหนัง.

ในบทว่า มหิทฺธิโก เป็นต้น พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-

พึงทราบว่า ไกรสรราชสีห์มีฤทธิ์มากด้วยการยืนอยู่บนพื้นดินที่ตนเยื้องกราย แล้วกระโจนไปข้างขวาเป็นต้นได้ประมาณอุสภะหนึ่ง กระโจนไปตรงด้านหน้าได้ประมาณ ๒๐ อุสภะหนึ่งเป็นต้น. พึงทราบว่า ไกรสรราชสีห์มีศักดิ์มากด้วยการเป็นเจ้าแห่งมฤคที่เหลือทั้งหลาย. พึงทราบว่า ไกรสรราชสีห์มีอานุภาพมาก เพราะเหล่าสัตว์ที่เหลือได้ฟังเสียงในที่ประมาณ ๓ โยชน์รอบทิศแล้วจะพากันหนีไป.

บทว่า เอวเมวโข มีอธิบายว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถึงพระองค์ว่าเป็นเหมือนอย่างนั้นๆ ในสูตรนั้นๆ (คือ)
อันดับแรก ในสูตรนี้ว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
คำว่า สีหะ นี้แลเป็นชื่อของตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถึงพระองค์ว่าเป็นเหมือนราชสีห์.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ต.ค. 2009, 21:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ย. 2007, 13:40
โพสต์: 462

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ในสูตรนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คำว่าพราหมณ์นี้แลเป็นชื่อของตถาคต.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถึงพระองค์ว่า เป็นเหมือนพราหมณ์.

ในสูตรนี้ว่า ดูก่อนติสสะ คำว่า บุรุษผู้ฉลาดในหนทางนี้แลเป็นชื่อของตถาคต. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถึงพระองค์ว่า เป็นเหมือนมัคคุเทศก์.

ในสูตรนี้ว่า ดูก่อนเสละ เราตถาคตเป็นพระราชา. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถึงพระองค์ว่าเป็นเหมือนพระราชา.

แต่ในสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะตรัสถึงพระองค์ว่าเป็นเหมือนราชสีห์แล

จึงได้ตรัสไว้อย่างนี้.
ในพระดำรัสนั้นมี (ข้อเปรียบเทียบ) เหมือนกันดังต่อไปนี้ :-

... :b42: :b42: :b42:
[1-เวลาที่ราชสีห์อยู่ในถ้ำ]
เวลาที่พระตถาคตเจ้าทรงกระทำอภินิหาร (ปรารถนาพุทธภูมิ)
แทบบาทมูลของพระทีปังกรพุทธเจ้าแล้วทรงบำเพ็ญบารมีมาสิ้นเวลานับไม่ถ้วน ในภพสุดท้ายทรงทำหมื่นโลกธาตุให้หวั่นไหวด้วยการถือปฏิสนธิ และด้วยการประสูติออกจากพระครรภ์ของพระมารดา (ต่อมา) ทรงเจริญวัยได้เสวยสมบัติเช่นทิพยสมบัติประทับอยู่ในปราสาท ๓ หลัง

พึงเห็นว่าเหมือนกับเวลาที่ราชสีห์อยู่ในถ้ำที่อยู่มีถ้ำทองเป็นต้นฉะนั้น.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ต.ค. 2009, 21:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ย. 2007, 13:40
โพสต์: 462

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


[-2- เวลาราชสีห์ออกจากถ้ำ]

เวลาที่พระตถาคตเจ้าทรงม้ากัณฐกะมีนายฉันนะเป็นพระสหาย เสด็จออกทางพระทวาร (นคร) ที่เทวดาเปิดถวาย ผ่านเลย (ไม่สนพระทัย) ราชสมบัติทั้ง ๓ ทรงครองผ้ากาสาวะที่พรหมน้อมเกล้าถวายแล้ว (อธิษฐานพระทัย) ถือบวช ณ ริมฝั่งแม่น้ำอโนมานที เมื่อมีพระชนมายุได้ ๒๙ พระพรรษา (ต่อจากนั้น) ในวันที่ ๗ เสด็จไปยังเมืองราชคฤห์ เสด็จเที่ยวบิณฑบาตในเมืองราชคฤห์นั้นแล้ว (มาประทับ) เสวยพระกระยาหารที่เงื้อมเขาชื่อปัณฑวะ จนกระทั่งถึง (เวลา) ที่ทรงประทานปฏิญญาแด่พระราชา (พิมพิสาร) เพื่อว่าครั้นตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว จะได้เสด็จมายังแคว้นมคธก่อนเพื่อน

พึงเห็นว่าเหมือนเวลาที่ราชสีห์ออกจากถ้ำที่อยู่มีถ้ำทองเป็นต้น ฉะนั้น.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ต.ค. 2009, 21:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ย. 2007, 13:40
โพสต์: 462

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


[-3- เวลาที่ราชสีห์บิดกาย]

เวลาเริ่มตั้งแต่ที่พระตถาคตเจ้าทรงประทานปฏิญญา (แด่พระราชา) แล้วเข้าไปหาอาฬารดาบสกาลามโคตร กระทั่งถึงเวลาเสวยข้าว (มธุ) ปายาสที่นางสุชาดาถวายโดย (ปั้นเป็น) ก้อน ๔๙ ก้อน

พึงทราบว่าเหมือนเวลาที่ราชสีห์ปิดกายฉะนั้น.



[-4-ราชสีห์สะบัดสร้อยคอ]
การที่พระตถาคตเจ้าทรงรับหญ้า ๘ กำมือที่โสตถิยพราหมณ์ (ถวาย) ในเวลาเย็น อันเทวดาในหมื่นจักรวาลทรงสดุดี (พระเกียรติคุณ) (และ) บูชาด้วยเครื่องบูชามีของหอมเป็นต้น ทรงทำประทักษิณ (เสด็จเวียนขวา) โพธิพฤกษ์ ๓ รอบ แล้วทรงก้าวขึ้นสู่โพธิบัลลังก์ ทรงลาดหญ้าเป็นเครื่องลาด (รองนั่ง) บนที่สูง ๑๔ ศอก แล้วประทับนั่งอธิษฐาน จาตุรงคปธาน (ความเพียรมีองค์ ๔) ทันใดนั้นเองทรงกำจัดมารและพลพรรคของมารได้แล้วทรงชำระวิชชา ๓ ให้บริสุทธิ์ ในยามทั้ง ๓ ทรงพิจารณาทั้งอนุโลมและปฏิโลมด้วยการพิจารณาญาณคู่๑- (ยมกญาณ) คือปหานญาณและสมุทยญาณแห่งปฏิจจสมุปบาท เมื่อทรงแทงตลอดพระสัพพัญญุตญาณแล้วทำหมื่นโลกธาตุให้หวั่นไหวด้วยอานุภาพแห่งพระสัพพัญญุตญาณนั้น

พึงทราบว่าเหมือนการที่ราชสีห์สะบัดสร้อยคอฉะนั้น.



[-5- ราชสีห์ตรวจดูทิศทั้ง ๔]

การที่พระตถาคตเจ้าทรงแทงตลอดพระสัพพัญญุตญาณแล้ว ประทับอยู่ที่ควงโพธิสิ้น ๗ สัปดาห์ เสวยพระกระยาหาร คือก้อนข้าวมธุปายาส ๔๙ ก้อน วันละก้อนหมดแล้ว (จากนั้นเสด็จประทับ) ณ ควงไม้อชปาลนิโครธ ทรงรับคำอาราธนาของท้าวมหาพรหมที่ทูลขอให้ทรงแสดงธรรม แล้วประทับอยู่ ณ ควงไม้อชปาลนิโครธนั้น (เอง).
ในวันที่ ๑๑ (จากวันที่ประทับอยู่ ณ ควงไม้อชปาลนิโครธ) ทรงดำริว่า วันพรุ่งนี้จะเป็นวันเพ็ญอาสาฬหะแล้ว เวลาเช้ามืดทรงรำพึงว่า เราควรแสดงธรรมแก่ใครก่อน (พอ) ทรงทราบว่า อาฬารดาบสและอุททกดาบสมรณภาพแล้ว จึงได้ตรวจดูท่านเบญจวัคคีย์เพื่อต้องการจะ (เสด็จไป) แสดงธรรมโปรด

พึงเห็นว่าเหมือนเวลาที่ราชสีห์ตรวจดูทิศทั้ง ๔ ฉะนั้น.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ต.ค. 2009, 21:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ย. 2007, 13:40
โพสต์: 462

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


[-6-ราชสีห์เดินทางไปล่าเหยื่อเป็นระยะทาง ๓ โยชน์]

เวลาที่พระตถาคตเจ้าทรงอุ้มบาตรและจีวรของพระองค์ เสด็จออกไปจากต้นอชปาลนิโครธ ภายหลังเสวยพระกระยาหารแล้วด้วยทรงดำริว่า จักหมุนล้อธรรมโปรดเบญจวัคคีย์ ดังนี้ แล้วเสด็จพุทธดำเนินเป็นระยะทาง ๑๘ โยชน์

พึงเห็นว่าเหมือนเวลาที่ราชสีห์เดินทางไปล่าเหยื่อเป็นระยะทาง ๓ โยชน์ฉะนั้น.



[-7- ราชสีห์บันลือสีหนาท]

เวลาที่พระตถาคตเจ้าเสด็จพุทธดำเนินไปเป็นระยะทาง ๑๘ โยชน์แล้วประทับนั่งขัดสมาธิอย่างสง่าผ่าเผย เกลี้ยกล่อมพระปัญจวัคคีย์ อันหมู่เทวดาที่ (มา) ประชุมกันจากหมื่นจักรวาลห้อมล้อม ทรงหมุนล้อธรรมโดยนัยเป็นต้นว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ส่วนสุดโต่งทั้งสองเหล่านี้อันบรรพชิตไม่ควรเสพ"

พึงทราบว่าเหมือนเวลาที่ราชสีห์บันลือสีหนาท ฉะนั้น.



[-8- เวลาที่สัตว์เล็กสัตว์น้อยต้องสะดุ้งกลัวเพราะเสียงราชสีห์]
ก็แล เมื่อพระตถาคตเจ้าทรงแสดงธรรมจักรนี้อยู่ พระสุรเสียงแสดงธรรมของราชสีห์คือพระตถาคต ดังได้ยินไปทั่วหมื่นโลกธาตุ เบื้องล่างดังไปถึงอเวจี เบื้องบนดังไปถึงภวัคคพรหม.
เวลาที่พระตถาคตเจ้าตรัสสอนธรรมแสดงลักษณะ ๓ จำแนกสัจจะ ๔ พร้อมทั้งอาการ ๑๖ จนกระทั่งถึงพันนัย เหล่าเทวดาที่มีอายุยืน เกิดความสะดุ้งกลัวด้วยญาณ

พึงทราบว่าเหมือนเวลาที่สัตว์เล็กสัตว์น้อยต้องสะดุ้งกลัวเพราะเสียงราชสีห์ ฉะนั้น.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ต.ค. 2009, 22:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ย. 2007, 13:40
โพสต์: 462

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


บทว่า เยภุยฺเยน ได้แก่
ในโลกนี้ เว้นเทวดาที่เป็นพระอริยสาวก.


อธิบายว่า
เทวดาที่เป็นพระอริยสาวกเหล่านั้นไม่เกิดแม้ความกลัวคือความสะดุ้งแห่งจิต
เพราะท่านเป็นพระขีณาสพ
ทั้งไม่เกิดความสังเวชด้วยญาณ
เพราะบุคคลผู้สังเวชได้บรรลุผลที่จะพึงบรรลุได้ด้วยความเพียรแล้วโดยอุบายอันแยบคาย

แต่เทวดานอกนี้ใส่ใจถึงภาวะที่ไม่เที่ยง ตามที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
"ดูก่อนภิกษุ ก็ความหวาดสะดุ้งนั้นมีอยู่" จึงเกิด๒- แม้ความกลัว คือความหวาดสะดุ้งแห่งจิต ทั้งเกิด๒- ความกลัวเพราะญาณในเวลาที่วิปัสสนาแก่กล้า.



บทว่า สกฺกายปริยาปนฺนา แปลว่า เนื่องด้วยเบญจขันธ์.
เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงชี้โทษแห่งวัฏฏะ๓- แล้วทรงแสดงพระธรรมเทศนา กระทบไตรลักษณ์แก่เทวดาเหล่านั้นอยู่ ญาณภัยจึงก้าวลงด้วยประการฉะนี้.

-------------------------------

บทว่า อภิญฺญาย แปลว่า รู้แล้ว.
บทว่า ธมฺมจกฺกํ หมายเอา ปฏิเวธญาณบ้าง เทศนาญาณบ้าง.
พระญาณที่เป็นเหตุให้พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ประทับนั่ง ณ โพธิบัลลังก์ ได้แทงตลอด (อริย) สัจจะ ๔ พร้อมทั้งอาการ ๑๖ ได้ครบ ๑,๐๐๐ นัย ชื่อว่าปฏิเวธญาณ.

พระญาณที่เป็นเหตุให้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกาศธรรมจักร ที่มีปริวัต ๓ (และ)
มีอาการ ๑๒ ชื่อว่า
เทศนาญาณ.

พระญาณทั้งสองนั้น เป็นญาณที่เกิด (ภาย) ในพระทัยของพระทศพลเท่านั้น บรรดาพระญาณทั้งสองนั้น เทศนาญาณควร (กำหนด) ถือเอาในที่นี้.


ก็แล เทศนาญาณนี้นั้นพึงทราบว่า ตราบใดที่
โสดาปัตติผลยังไม่เกิดแก่พระอัญญาโกณฑัญญเถระ
พร้อมทั้งพรหม ๑๘ โกฏิ


ตราบนั้นยังไม่ชื่อว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกาศ
ต่อเมื่อโสดาปัตติผลเกิดแล้ว (นั่นแล) จึงชื่อว่าทรงประกาศแล้ว.

................. :b53:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 9 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร