วันเวลาปัจจุบัน 15 พ.ค. 2025, 17:01  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ส.ค. 2009, 05:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


ปัญญา หมายถึง ความรู้ที่ดับทุกข์ได้ ความรู้ที่ดับทุกข์ไม่ได้ไม่ใช่เป็นปัญญาทางธรรม เป็นเพียงความรอบรู้เท่านั้น

สติ หมายถึง การระลึกได้ สติเป็นธรรมชาติอันหนึ่งที่มีเฉพาะในตัวคนเท่านั้น มีมากไม่ต้องเจริญหรือไม่ต้องสร้างมันขึ้นมาใดๆ อีกทั้งสิ้น ทุกคนมีสติอยู่แล้วมันทำหน้าที่ของมันตลอดเวลา ตั้งแต่เราตื่นขึ้นมาจนถึงหลับ คือ ทำหน้าที่ระลึก หรือลาก หรือดึงความทรงจำที่เป็นสัญญาที่เก็บอยู่แล้วในใจแล้วแต่ว่าในใจของผู้นั้นจะเก็บบวกหรือลบ หรือกุศล อกุศล ไว้ในใจมากว่ากัน อันใหนมีมากกว่า สติก็จะดึง หรือระลึก หรือลากเอาอันนั้นออกมารับการกระทบสัมผัสจากภายนอก ถ้ามีลบมาก ก็ดึงเอาลบออกมารับ ถ้ามีบวกมากก็ดึงเอาบวกออกมารับ จากนั้นก็จะมีการคิดปรุ่งแต่งต่อไป จากนั้นจะไปสู่การกระทำผลจะออกมาตามที่เหตุทำไว้เช่น มีเสียงด่ากระทบหู ถ้าใจเราเก็บเอาอกุศลไว้มาก สติก็จะระลึก หรือลากเอาอกุศลออกมารับเสียงด่า ทำให้เกิดความไม่พอใจแสดงออกมาจะอาจจะไปทำร้ายคนด่าได้ แต่ถ้าในใจเก็บข้อมูลที่เป็นกุศล (บวก) ไว้มาก สติก็จะระลึกหรือลากเอากุศลเหล่านั้นออกมารับเสียงด่า แล้วมองเห็นเสียงด่านั้นเป็นคำตักเตือนทันที มองเห็นคุณค่าของเสียงด่านั้น นี่คือหน้าที่ของสติ มันทำหน้าที่อย่างนี้ การเจริญสติที่ทำกันมานั้นไม่ถูกต้อง ที่ถูกต้องจะต้องเจริญความรู้ที่ดับทุกข์ได้ หรือปัญญา ให้สติลากออกมาต้อนรับการกระทบสัมผัส เพื่อแก้ไขปัญญหารือทุกข์ตั้งแต่ที่ถูกกระทบสัมผัสหรือที่ที่มันเกิด ซึ่งตรงกับคำสอนของพระพุทธเจ้าว่า ทุกข์เกิดที่ใหนดับที่นั่น

ปัญญาในพระธรรมคำสอนของพระพทธเจ้าหมายถึงพระธรรมในส่วนที่เป็นผล ไม่ใช่ส่วนที่เห็นเหตุ คำว่าเอาปัญญาไปดับทุกข์ จะต้องรู้และเข้าใจต่อไปว่าปัญญาที่เป็นความรู้ที่ดับทุกข์ได้นั้น มีต้นตอหรือแหล่งกำเนิด หรือเหตุปัจจัยของการเกิดอยู่ที่ใหน

ปัญญาเกิดได้อย่างไร ปัญญาที่เป็นความรู้ที่ดับทุกข์ได้นั้น เกิดจากความจริงที่เป็นความจริงของโลกและชีวิตเท่านั้น ความจริงๆ ที่เป็นต้นตอของปัญญา

ความจริงของโลกและชีวิต คือ กฏธรรมชาติ 2 กฏ ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ คือ กฎไตรลักษณ์ หรืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หรือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป และ กฎของเหตุและปัจจัย หรือ อิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุทปบาท กฎนี้แหละ เป็นต้นตอหรือแม่เหตุปัจจัยของปัญญา ปัญญาจะเกิดกับความจริงเท่านั้น อวิชชาจะเกิดจากความพอใจไพอใจ หรือความเชื่อ ความเชื่อเป็นเหตุปัจจัยหรือต้นตอของอวิชชา

เมื่อเรารู้จักที่มาที่ไปของสติปัญญาแล้วจะเห็นว่า การปฏิบัติธรรมโดยการเจริญสติปัญญาโดยตรงอย่างที่มีการสอนการปฏิบัติกันในปัจจุบันนี้ไม่ถูกต้องตามธรรม ไม่ถูกเหตุถูกปัจจัย เมื่อรู้เหตุของสติปัญญาแล้ว การปฏิบัติก็จะเริ่มเจริญปัญญา ไม่ต้องเจริญสติเพราะมีอยู่แล้ว แต่คนเราขาดปัญญาจึงจำเป็นต้องเจริญปัญญามาดับทุกข์หรือแก้ปัญหา

การเจริญปัญญาที่ถูกต้อง ต้องเจริญที่เหตุของการเกิดปัญญา เหตุปัจจัยของการเกิดปัญญาหรือสัมมาทิฏฐิ นั้นคือ พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าที่พระองค์ตรัสไว้เป็นทางสายเอก คือ การวิปสสนาภาวนา พิจารณาขันธ์ 5 อินทรีย์ 6 ให้รู้ให้เห็นสิ่งทั้งปวงที่มากระทบสัมผัสตามตัวเรา ความเป็นจริงของโลกและสิ่งมีชีวิตว่า สิ่งทั้งปวงไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่มีตัวตนเป็นของตัวเอง พิจรณาให้รู้ให้เห็นตามความเป็นจริงอย่างนี้จนเป็นปกตินิสัยในชีวิตประจำวันแล้วจะมีปัญญาหรือสัมมาทิฏฐิเกิดขึ้น รู้เท่าทันความจริงของโลกและชีวิต ดับความพอใจ (โลภ) ไม่พอใจ (โกรธ) ทันที อย่างนี้เรียกว่าสัมมาทิฏฐิ ปัญญาเกิดขึ้น มรรคมีองค์แปดเกิดขึ้น องค์ธรรมอื่นๆ จะเกิดมาจนครบโพธิปักขยิธรรม 37 ประการ แล้วมีปญญาดับทุกข์แก้ไขปัญญหากับตังเองได้อย่างถาวร

เมื่อมีปัญญา รู้แจ้ง รู้จริง เกิดขึ้นในใจตลอดเวลาแล้ว ปัญญาจะเกิดขึ้นเข้ามาแทนที่อวิชชา เมื่อมีอะไรมากระทบสัมผัสเรา สติก็จะระลึกหรือดึงหรือลากเอาเอาความจริงที่เป็นปัญญาที่เก็บอยู่ในใจ ใจเป็นสัญญา (ความจำ) ออกมารับกระทบสัมผัส ปัญหาหรือทุกข์ก็จะถูกแก้ไขหรือดับที่มันเกิดทันที ยกตัวอย่างเช่น มีเสียงด่ามากระทบหู สติก็จะลากหรือระลึกเอาปัญญาหรือความจริงออกมารับเสียงด่าว่าไม่เที่ยง ปัญญาจะทำหน้าที่พิจารณาว่าเสียงด่าเกิดดับ คนด่าก็เกิดดับ คนถูกด่าก็เกิดดับ หรือพูดง่ายๆ ว่าคนด่าก็ตาย คนถูด่าก็ตาย เช่นกัน แล้วปัญญาจะสั่งให้ยิ้มกับคนด่าทันที เพราะความน่ามืดที่เกิดจากความพอใจไม่พอใจถูกดับไปก่อนแล้ว ถ้าเราไม่ฝึกเจริญความจริงไว้ในใจแล้วก็จะไม่มีปัญญาออกมารับเสียงด่า สติก็จะลากเอาความเชื่อที่เป็นความพอใจไม่พอใจที่เก็บเป็นอวิชชาอยู่ในใจออกมารับกระทบกับเสียงด่า ความพอใจไม่พอใจเกิดขึ้นทำให้เราควบคุมตัวเองไม่ได้

ความจริงแล้ว คำว่าสติปัญญาในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้านั้นเป็นคำตรัสย่อๆ ของพระพุทธเจ้าใช้ตรัสกับอริยบุคคล ตรัสอย่างนี้ อริยบุคคลเข้าใจได้ จะเอาคำว่าสติปัญญาไปปฏิบัติหรือเจริญโดยตรงไม่ได้ไม่ถูกธรรม วิธีปฏิบัติหรือเจริญปัญญาที่ถูกต้องนั้นต้องเอาพระธรรมที่เป็นเหตุของการได้ปัญญามาปฏิบัติก่อน จนมีปัญญาเกิดขึ้นแล้วเก็บไว้ในใจจนเป็นปกตินิสัยประจำวันแล้ว ปัญญาก็จะเข้าไปแทนอวิชชา (ความหลง) อยู่ในใจของเรา ใจเราก็เต็มไปด้วยปัญญารู้จริง รู้แจ้ง เมื่อมีอะไรมากระทบสัมผัส สติก็จะลากหรือระลึกเอาปัญญาออกมากระทบแล้วแก้ปัญญหาหรือดับทุกข์ได้ กระบวนการเจริญสติปัญญาเต็มรูปแบบตามคำสอนของพระพุทธเจ้าต้องปฏิบัติอย่างนี้

สรุป การเจริญสติปัญญาที่ถูกต้องตรงตามคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น ต้องปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา พิจารณาขันธ์ 5 อนทรีย์ 6 ตามทางสายเอกที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้นั่นเอง

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


แก้ไขล่าสุดโดย Supareak Mulpong เมื่อ 31 ส.ค. 2009, 20:51, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ต.ค. 2009, 12:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ม.ค. 2009, 20:45
โพสต์: 1094

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มี.ค. 2010, 01:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


๗. ปวิฏฐเถรคาถา

สุภาษิตเกี่ยวกับการเห็นเบญจขันธ์

[๒๒๔] เราเห็นเบญจขันธ์ตามความจริงได้แล้ว ทำลายภพทั้งปวงได้แล้ว ชาติสงสารสิ้นแล้ว บัดนี้ ภพใหม่ไม่มี.

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร