วันเวลาปัจจุบัน 19 มี.ค. 2024, 18:12  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 10 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ส.ค. 2009, 16:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

ทศบารมีวิภาค - เนกขัมมบารมี
พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (สิริจนฺโท จันทร์)
วัดบรมนิวาส ราชวรวิหาร กรุงเทพมหานคร


อิทานิ อฏฺฐมี ทิวเส สนฺนิปติตาย พุทฺธปริสาย กาจิ ธมฺมิกถา กถิยเต,
อิโต ปรํ เนกฺขมฺมปารมี อนุสนฺธึ ฆเฏตฺวา ภาสิสฺสามีติ อิมสฺส
ธมฺมปริยายสฺส อตฺโถ สาธายสฺมนฺเตหิ สกฺกจฺจํ โสตพฺโพติ


ณ วันนี้เป็นวันอัฏฐมีดิถีที่ ๘ ค่ำ แห่งสุกลปักษ์
พุทธบริษัทได้มายังสันนิบาตประชุม เพื่อจะฟังพระธรรมเทศนา
ได้ทำกิจเบื้องต้น มีไหว้พระสวดมนต์ เป็นต้น
ให้สำเร็จกิจคืออามิสบูชาและปฏิบัติบูชาเสร็จแล้ว

ต่อนี้ เป็นโอกาสที่จักฟังพระธรรมเทศนา
พึงตั้งใจกำหนดตามทำประโยชน์ของตนให้สำเร็จ
คือให้ตั้งใจเพ่งตามให้คิดว่า
โอวาทนี้พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนเราคนเดียว
เราคนเดียวจะเป็นผู้รับปฏิบัติตามพระพุทธโอวาทนี้

ความจริงการฟังเทศน์ไม่ใช่เป็นของง่าย
จะเข้าใจได้ก็ต้องอาศัยผู้แสดงชี้แจงเปิดเผยให้เข้าใจ
พระปริยัติธรรมเป็นแต่แผนที่เท่านั้น
ถ้าแสดงแต่ตามแนวของพระปริยัติธรรมเท่านั้น
ก็เท่ากับชี้แผนที่ให้ดูเท่านั้น


ความจริงภูมิประเทศกับแผนที่ไกลกันมาก
ถึงจะคูณหารวัดเส้นวัดวาได้อย่างคล่องแคล่ว
ก็ยังห่างไกลกับความจริงอยู่นั่นเอง


ถ้าเข้าใจแผนที่แล้ว แลไปตรวจดูในภูมิประเทศนั้น ๆ
ให้เห็นด้วยตนเองนั่นแล จะได้รู้ของจริง
ผู้ศึกษาจำทรงพระปริยัติธรรมก็เท่ากับเรียนแผนที่เท่านั้น
จะได้รู้ของจริงหามิได้

ต่อเมื่อเข้าใจพระปริยัติธรรมแล้ว และตั้งใจปฏิบัติตาม
จนเกิด ญาณทัสสนะ รู้จริงเห็นจริงตามความเป็นจริงอย่างไร
ที่ท่านแสดงไว้ว่า ยถาภูตญาณทัสสนะ นั่นแล
จึงชื่อว่าถือเอาประโยชน์ในพระปริยัติธรรมได้


ก็ต้องอาศัยนายกผู้เดินนำหน้า คือผู้แสดงชี้แจง
ถ้าผู้แสดงรู้แต่แผนที่ ไม่รู้ภูมิประเทศ ขืนให้เป็นผู้นำหน้าก็วนกันเท่านั้น
เพราะเหตุนั้นจึงว่าการฟังธรรมเป็นของยาก คือ ยากที่จะเข้าใจ
ด้วยพุทธโอวาทไม่ใช่เป็นของตื้น

ให้มองดูคนไทยเราทั้งประเทศ
ล้วนแต่ใฝ่ใจทางพุทธศาสนาโดยมาก ทั้งคฤหัสถ์บรรพชิตนับด้วยล้าน
แต่จะหาผู้สิ้นสงสัยในพระอริยมรรคอริยผลอย่างต่ำเพียงภูมิพระโสดาเท่านั้น
ก็มีส่วนน้อยเหลือเกิน

ในพวกเรานี้ ทุกคนให้พากันตั้งใจว่า
จะถือเอาโลกุตรธรรมให้ได้
เพราะพระธรรมเป็นของกลาง
ใครจริงใครได้ ไม่ต้องเป็นห่วงคนอื่น


อย่าดูถูกดูหมิ่นตนเอง
ที่เราสมบูรณ์ด้วยรูปสมบัติ ปัญญาสมบัติ เห็นปานนี้
พึงเข้าใจเถิดว่า
อุปนิสัยของเราสามารถจะบรรลุโลกุตรธรรมได้โดยแท้
ตนของเราที่สมบูรณ์ด้วยคุณธรรมถึงเพียงนี้


เปรียบเสมือนมีดหรือดาบ
เท่ากับชุบเข่นมาดีแล้ว ยังขาดอยู่แต่การลับเท่านั้น
ถ้าตั้งใจลับให้ถึงคม ก็ใช้การได้เท่านั้นเอง
ข้ออุปมานี้ฉันใด ตนของเราที่พรักพร้อมด้วยคุณสมบัติและปัญญาสมบัติ
พอรู้ผิดรู้ถูกนี้ ชื่อว่ามีอุปนิสัยบริบูรณ์แล้ว
ยังขาดอินทรีย์ หรือ พละ คือ สัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา เท่านั้น


ถ้าบำรุงอินทรีย์ หรือกำลังทั้ง ๕ นี้ให้เต็มรอบแล้ว
ก็คงเห็นหน้าเห็นหลังกันเท่านั้นเอง
การบำรุงอินทรีย์หรือพละนี้
เท่ากับลับมีดลับดาบให้ถึงคม มีอุปไมยฉันนั้น


(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ส.ค. 2009, 16:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


บัดนี้จักแสดง เนกขัมมบารมี ต่ออนุสนธิสืบไป
ด้วยพระบารมีธรรมทั้ง ๑๐ ประการนั้น
เปรียบเหมือนอาหารอันประณีตแต่ละอย่าง ๆ
ถ้าผู้ได้รับแจกตั้งใจบริโภค แม้แต่อย่างเดียว
ก็อาจให้สำเร็จประโยชน์ที่ตนประสงค์ได้

เนกขัมมบารมีนี้
องค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
ได้ทรงสร้างมาสิ้นโกฏิแห่งกัลปเป็นอันมาก
ครั้นถึงปัจฉิมชาติจึงได้นำมาแจกแก่พุทธบริษัท
ได้ปฏิบัติสืบเนื่องกันมาแต่ครั้งพุทธกาลจนบัดนี้


คือผู้ประพฤติพรหมจรรย์ได้แก่
พระสงฆ์ สามเณร ตาผ้าขาว นางชี
อุบาสกอุบาสิกา ผู้รักษาอุโบสถศีล

ชื่อว่า ประพฤติเนกขัมมะ คือคุณธรรมเป็นเหตุออกจากกาม
ผู้เห็นโทษของกาม จึงจะประพฤติเนกขัมมคุณได้


ความจริงกามตัวนี้เป็นตัวสวรรค์ สคฺโค แปลว่า สวรรค์
แปลสวรรค์อีกทีหนึ่งว่า อารมณ์เลิศ
กาม ศัพท์แปลว่า ความรักความใคร่ ความชอบใจ
ถ้ารักใคร่ชอบใจในวัตถุที่มีวิญญาณ
หรือวัตถุที่หาวิญญาณมิได้ก็ชื่อว่า กาม ทั้งสิ้น


คำที่ว่า กาม นั้น เป็นคำกลาง
จะน้อมไปทางใดก็ได้ ได้ทั้งดีและชั่ว


แต่ เนกขัมมะ ออกจากกามในเนกขัมมบารมีนี้
หมายการเว้นอสัทธรรมโดยตรง
กามทั้งหายแหล่ เป็นเจ้าโลก จึงเรียกว่า กามโลก
ควรจะคิดให้เห็นโทษของกาม


การที่จะคิดให้เห็นโทษของกาม เป็นการเห็นด้วยยาก
เพราะกามไม่ใช่มีแต่โทษอย่างเดียว
คุณของกามก็มีมาก คุณนั้นแหละมาปิดโทษเสีย


คุณของกามนั้นก็คือความสุขในโลก

ได้แก่ความสุขเกิดแต่เป็นหนุ่มเป็นสาว
เกิดแต่การมีเหย้ามีเรือน มีลาภมียศ มีบุตรมีหลาน
ความสุขเกิดแต่ความเป็นขัตติยมหาศาล
พราหมณมหาศาล เป็นเศรษฐี คหบดี
ความสุขเกิดแต่ความไม่มีโรค
ความสุขเกิดแต่ดูการเล่นเต้นรำ
ไม่อาจพรรณนาให้ทั่วถึงได้
เครื่องยั่วยวนให้เพลิดเพลินลุ่มหลงทั้งสิ้น
ชื่อว่าความสุขในโลก

ถ้าจะชี้คุณของกามให้เต็มขีดแล้ว
พึงเข้าใจว่า ผู้จะสำเร็จเป็น พระพุทธเจ้า พระปัจจเจก พระอรหันต์
ตลอดถึงพวกเราที่ได้ประสบพบเห็นพระพุทธศาสนา
ได้มีศรัทธาบวชเรียนบำเพ็ญพรตพรหมจรรย์
หรือได้ปฏิญาณตนเป็นอุบาสกอุบาสิกาอยู่ทุกวันนี้
ถ้าจะไม่ชอบดูถูกดูหมิ่นแล้ว ก็ต้องว่าเป็นคุณของกามทั้งสิ้น


ถ้าว่าโดยโทษเล่า ก็มากมายเหลือเกิน
เกิดมาแล้วต้องป่วยต้องไข้ มีโรคภัยต่าง ๆ
จนเหลือความสามารถของแพทย์

แต่ยังเด็กยังเล็กก็มีโรคชนิดหนึ่ง มีตาล มี ทรางเป็นต้น
เจริญขึ้นมาเป็นหนุ่มเป็นสาว
ก็มีโรคอีกชนิดหนึ่ง มีโลหิตพิการเป็นต้น
เจริญขึ้นถึงกลางคน ก็มีโรคอีกชนิดหนึ่ง
แก่เฒ่าแล้วก็มีโรคสำหรับคนแก่คนเฒ่าอีกชนิดหนึ่ง
มีประเภทต่าง ๆ กัน จนถึงแก่ตั้งโรงพยาบาลรักษากัน ก็ไม่ฟังตาย

ความตายเล่าก็หานิมิตเครื่องหมายไม่ได้
บางทีตายมาแต่ในครรภ์ บางทีคลอดออกมาแล้วก็ตาย
ตายทั้งมารดาเสียด้วยก็มี ตายแต่บุตรก็มี
บรรดาผู้ที่ตายเหล่านั้น ไม่ว่าตายขนาดไหน
ต้องมีเจ้าของไม่ยอมให้ตายทั้งสิ้น โดยที่สุด

คนเลวทรามเหนือโลก ตามพระราชกำหนดกฎหมายของบ้านเมือง
บ่งความอยู่ว่า ผู้ประพฤติเช่นนี้ ต้องตายตามกฎหมาย
แต่อย่างนั้นก็ยังมีเจ้าของหวงแหน ไม่อยากให้ตาย
คนแก่ ๆ เฒ่า ๆ ก็ไม่อยากให้กันตาย
ถ้ามีแต่ความแก่ ความไข้ ความตาย เป็นทุกข์เท่านั้นก็พอทำเนา
ยังต้องเดือดร้อนด้วยการข่มเหงเบียดเบียนกัน

เป็นต้นว่า ประเทศต่อประเทศ
คณะต่อคณะ บุคคลต่อบุคคล
จนกระทั่งสามีภรรยาก็ข่มเหงเอาเปรียบกัน
ถ้าหาผู้ข่มเหงไม่ได้ ตัวของตัวเองก็ข่มเหงเบียดเบียนตัวเอง
คือประพฤติตนโดยการเหลวไหลยากจนค่นแค้น ทุกข์ยากลำบากใจ
ชั้นแต่อาหารมื้อละอิ่มก็ไม่เพียงพอ
การแสวงหาอาหารก็แสนกันดาร

ถ้าพรรณนาความทุกข์ความลำบากของโลก
ดู ๆ ก็ไม่ทีที่สิ้นสุด
ความทุกข์เหล่านี้มีกามเป็นต้นเหตุ
น่าเบื่อน่ารำคาญเสียนี่กระไร
โทษกับคุณเทียบดู คุณไม่พอแก่โทษ
เพียงแต่ความป่วยไข้หรือความตายเท่านั้น
ก็หักลบล้างคุณ คือความสุขเสียสิ้น


(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ส.ค. 2009, 16:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


นักปราชญ์ทั้งหลาย มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน
เห็นโทษของโลกอย่างนี้ จึงพยายามหนีโลก
เมื่อหนีพ้นด้วยพระองค์แล้ว จึงทรงประกาศพุทธโอวาท
ให้ผู้เห็นโทษหนีด้วย ทางหนีโลกก็คือ เนกขัมมะ

การออกจากกาม คือการประพฤติพรหมจรรย์
ออกด้วยกายเสียก่อน การบวชเป็นพระสงฆ์สามเณร
เป็นตาผ้าขาว นางชี อุบาสก อุบาสิกา
เมถุนวิรัติ ชื่อว่าเนกขัมมะ

ออกจากกามด้วยกาย เมื่อพรากกายให้ห่างจากกามได้แล้ว
ถึงแม้จะยังเกี่ยวข้องอยู่ด้วยใจ ก็ยังมีโอกาสที่จักแก้ไข
การที่แก้ไข พรากกายออกจากกามได้ ชื่อว่า กายวิเวก
เป็นเนกขัมมคุณประการหนึ่ง


การที่จักพรากกามออกจากใจ ต้องเจริญสมาธิให้ชำนาญ
แต่นั่นแหละ สมาธิมีประเภทเป็นอันมาก ยากที่จักเลือกสรร
ถ้าโดนมิจฉาสมาธิเข้า ก็ทำให้เสียเวลาไม่ใช่น้อย
เหมือนพวกเจริญวิปัสสนาบางพวก เกิดหูทิพย์ ตาทิพย์ปรจิตตวิชา
รู้ใจของคนอื่นได้ ก็เข้าใจเสียว่า ตนได้สมาธิวิเศษวิโส
แต่จะพรากกายออกจากกามก็ไม่ได้

อย่าว่าแต่จะพรากกามออกจากใจเลย พึงวินิจฉัยว่า
นั่นมิจฉาสมาธิ ไม่ใช่ทางพระพุทธศาสนา

ทางพระพุทธศาสนาท่านแสดงว่า

วิวิจฺเจว กาเมหิ วิวิจฺจ อกุสเลหิ ธมฺเมหิ
ความว่า จิตสงัดจากกามทั้งหลาย สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลาย


มีวิตก วิจาร ปีติ และสุขเป็นอยู่ จึงเป็นประเภทแห่งสัมมาสมาธิ
พึงเข้าใจว่า กามาวจรชวนะ ดับก่อนแต่ปฐมฌาน

การเจริญสมาธิจนจิตพรากออกจากกามได้ ชื่อว่า จิตตวิเวก
เป็นเนกขัมมคุณประการหนึ่ง
แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังเป็นแต่ ตทังคปหาน วิกขัมภนปหาน
ยังเป็น กุปปธรรมอยู่
ก็อย่าพึงหลงใหล ต้องบำเพ็ญเนกขัมมะอย่างสูง
ที่เรียกว่า อุปธิวิเวก ให้เกิดให้มีให้จงได้


ส่วนอุปธิวิเวกนี้ เป็นหน้าที่ของ ทิฏฐิวิสุทธิวิปัสสนาญาณ
คือว่าเมื่อกุลบุตรผู้เจริญจิตตวิสุทธิ พรากจิตออกจากกามได้แล้ว
พึงทำทิฏฐิความเห็นให้ตรง อย่าให้เงื้อมไปในทางผิด
คือ กามสุขัลลิกานุโยค และ อัตตกิลมถานุโยค
ทั้ง ๒ ให้จิตดิ่งอยู่ที่ปัจจุบัน
กำจัดอดีตอนาคตเสียให้หมด ให้เห็น สัมปยุตตธรรม


คือ อดีต อนาคต ปัจจุบัน รวมอยู่ในที่อันเดียวกัน
ตัดความสงสัย ในอดีต อนาคตเสีย
อดีตอนาคตนั้นเองเป็นตัวสังขาร ความเกิด ความดับ
โทษ ทุกข์ ภัย อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อยู่ที่สังขารทั้งสิ้น
เมื่อเพ่งสังขารด้วยจิตอันเป็นกลาง
ที่ท่านตั้งชื่อว่า สังขารุเปกขาญาณด้วยอนุโลมปฏิโลม
ก็จักเกิดญาณทัสสนะ คือ ยถาภูตญาณ เป็นมรรคปฏิปทา

รู้เท่าสังขาร คือรู้เท่าสมมติ เป็น วิมุตติญาณทัสสนะ
ที่เข้าใจว่า ตัวเป็นนาม เป็นรูป เป็นธาตุ เป็นขันธ์ ก็ดับ
คือดับความไม่รู้จริง


ทีนี้ตัวก็ไม่ได้เป็นนาม เป็นรูป เป็นธาตุ เป็นขันธ์ เป็นธรรมต่างหาก
เห็นตัวเป็นธรรมชัดใจ ชื่อว่าจิตตกกระแสธรรม
ได้ชื่อว่า ได้ดื่มรสของพรหมจรรย์ เป็นอุปธิวิเวก
ชื่อว่าเนกขัมมคุณประการหนึ่ง

(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ส.ค. 2009, 16:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


แต่นั่นแหละ อุปธิวิเวก ก็มีอย่างต่ำอย่างกลาง อย่างสูง
อย่างต่ำเพียงภูมิ พระโสดา พระสกิทาคา
อย่างกลางเพียงภูมิ พระอนาคา
อย่างสูงเป็นภูมิของ พระอรหันต์


เนกขัมมะในที่มาบางแห่ง
ท่านแสดงว่าเป็นชื่อของพระนิพพาน
ผู้ถึงพระนิพพานแล้ว
ทุกข์ในโลกดับหมด


ถึงแม้อัตตภาพยังอยู่ในโลก
ถึงจะเกิดโรคาพาธไข้ตาย ก็ได้รับแต่ทุกขเวทนาเท่านั้น
ส่วน โสกะ ปริเทวะ ทุกขโทมนัสอุปายาส ไม่ได้ทำให้ใจสะเทือน
จึงได้ชื่อว่าผู้พ้นทุกข์ ใจของท่านมีนิพพานเป็นอารมณ์อย่างเดียว
เสวยแต่ นิรามิสสุข เป็นความสุขอันเลิศ ไม่เจือด้วยทุกข์


อย่าเข้าใจว่าพระนิพพานสูญหายไป
สูญหายไปแต่กิเลสผู้แต่งทุกข์เท่านั้น
อริยมรรคอริยผลเป็นของมีจริง พระนิพพานก็เป็นของมีจริง
เป็นวิสัยของพระอริยมรรคจะแสดงพระนิพพานให้เห็น

ก็เมื่อความสุขอันปราศจากทุกข์มีอยู่เช่นนี้
เราจะมางมงายอยู่กับความสุขอันเจือด้วยทุกข์อยู่อย่างนี้
เห็นสมควรแก่มนุษยชาติของตนแล้วหรือ ?


ความสุขในโลกนี้เปรียบเหมือนความสุขอันเกิดแต่ไฟ
คือไฟให้สำเร็จความอบอุ่น ให้สำเร็จอาหารกิจ
และให้แสงสว่าง ให้ความสุขแก่มนุษย์อย่างพอใจทุกประการ
ชื่อว่าเป็นของมีคุณ มีประโยชน์ หาสิ่งเปรียบไม่ได้

แต่นั่นแหละ ไม่มีแต่คุณอย่างเดียว มีทั้งโทษอย่างมหึมา
ถ้าจะพรรณนาโทษของไฟก็ลึกซึ้ง
มนุษย์พวกเราเสียชีวิต
เสียทรัพย์สินเงินทองเจ็บป่วยเพราะไฟปีหนึ่ง ๆ ก็นับไม่ถ้วน
ความสุขเกิดแต่กาม กับความสุขเกิดแต่ไฟ มีอุปไมยเช่นเดียวกัน


ส่วนความสุขของพระนิพพาน
มีแต่คุณอย่างเดียว ไม่มีโทษ
เปรียบเหมือนมีแก้วสารพัดนึกดวงหนึ่ง
มีคุณวิเศษปรารถนาอะไรสำเร็จหมด
ต้องการแสงสว่าง แก้วนั้นก็ให้แสงสว่าง
ต้องการอบอุ่น ต้องการต้มแกง ย่าง เผา อะไร
ซึ่งเป็นอาหารหรือเป็นกิจการ
สำเร็จตามปรารถนาได้ทุกประการ

แต่จะไหม้ผู้คนให้เจ็บปวด
หรือไหม้เหย้าเรือนทรัพย์สมบัติไม่เป็น
แก้วนั้นให้แต่คุณ คือความสุขแก่เจ้าของอย่างเดียวเท่านั้น

ข้ออุปมานี้ ฉันใด

พระนิพพานก็ให้ความสุขแกผู้ได้ผู้ถึง โดยส่วนเดียวฉันนั้น
จึงเป็นธรรมอันนักปราชญ์ผู้เห็นโทษทุกข์ภัยในวัฏฏะปรารถนายิ่งนัก


ให้พุทธบริษัทตรวจตรองดูให้เห็นจริงด้วยปัญญาของตน
ถ้าเห็นว่าควรยินดียิ่งนักต่อพระนิพพาน
ก็ให้อุตส่าห์บำเพ็ญเนกขัมมบารมี
โดยนัยที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงแจก
รีบรับปฏิบัติตามอย่านอนใจ
พระพุทธเจ้ามีพระวาจามิได้วิปริต

ถ้าผู้มีศรัทธาเชื่อจริง ทำตามจริง
คงจะได้พบของจริงตามพระพุทธประสงค์
โดยนัยดังวิสัชชนามาด้วยประการฉะนี้ ฯ


:b8: :b8: :b8:

ที่มา : หนังสือ ทศบารมีวิภาค-มงคลสุตตวิภาคบรรยาย
ของพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (สิริจนฺโท จันทร์) อดีตเจ้าอาวาสวัดบรมนิวาส

สำเนาเทศน์เช้า เดือน ๑๒ ขึ้น ๙ ค่ำ (๒/๘/๗๐) [ทศบารมีวิภาค - เนกขัมมบารมี]


:b50: :b50: ทศบารมีวิภาค : พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (สิริจนฺโท)
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=30&t=56279

:b44: รวมคำสอน “พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (สิริจนฺโท)”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=47595

:b44: ประวัติและปฏิปทา “พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (สิริจนฺโท)”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=26908


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ส.ค. 2009, 16:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ส.ค. 2009, 18:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 เม.ย. 2009, 19:25
โพสต์: 579

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เป็นธรรมะที่ไพเราะมาก

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ส.ค. 2009, 20:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ค. 2008, 14:07
โพสต์: 285

อายุ: 0
ที่อยู่: ประเทศไทย

 ข้อมูลส่วนตัว


สาธุครับ ครั้งแรกที่ได้อ่านคำเทศน์ของท่าน พระอุบาลีคุณูปมาจารณย์ แบบเต็มๆ
ขอบคุณครับ

.....................................................
"ใครเกิดมา ไม่พบพระพุทธศาสนา ไม่เลื่อมใส ไม่ปฎิบัติ ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย เป็นโมฆะตลอด ตั้งแต่วันเกิดจนวันตาย"

"ให้พากันหมั่นให้ทาน รักษาศีล เจริญเมตตาภาวนา"

พระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี
http://www.luangta.com/

"ทำสมาธิมากเนิ่นช้า คิดพิจารณามากฟุ้งซ่าน หัวใจของการปฏิบัติคือการมีสติในชีวิตประจำวัน"
หลวงปู่มั่น

"ดูจิต...ด้วยความรู้สึกตัว"
หลวงพ่อปราโมทย์ สวนสันติธรรม ชลบุรี
http://www.wimutti.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ส.ค. 2009, 20:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

อนุโมทนาสาธุ

กับบทความของคุณกุหลาบสีชาด้วยครับ


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ส.ค. 2009, 02:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ม.ค. 2009, 02:20
โพสต์: 1387

ที่อยู่: สัพพะโลก

 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนา สาธุครับ :b8: คุณ กุหลาบสีชา
อ่านยังไม่จบ แต่ขอadd ไว้ใน Favorites ก่อนเอาไว้มาอ่านต่อ :b12:

.....................................................
ผู้มีจิตเมตตาจะไม่มีศัตรู ผู้มีสติปัญญาจะไม่เกิดทุกข์.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มิ.ย. 2018, 09:06 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 เม.ย. 2015, 09:43
โพสต์: 702

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุโมทนาสาธุนะครับ
:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 10 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 17 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร