วันเวลาปัจจุบัน 23 เม.ย. 2024, 18:20  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 9 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ค. 2009, 13:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

ธ ร ร ม ศึ ก ษ า
พระนิพนธ์ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

คุณและโทษของทิฐิ

ทิฐิที่หมายถึงความเห็น
ย่อมมีอยู่ในความรู้สึกนึกคิดของทุกคน ไม่มียกเว้นว่าเป็น คนโง่หรือคนฉลาด คนดีหรือคนชั่ว
แต่ทิฐิคือความเห็นของทุกคนไม่เหมือนกัน มีแตกต่างกัน แบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ ๒ ประเภท
คือความเห็นผิดหนึ่ง
ความเห็นชอบหนึ่ง

ความเห็นผิดเป็นมิจฉาทิฐิ
ความเห็นชอบเป็นสัมมาทิฐิ

ทิฐิเป็นจุดเริ่มต้นของการคิดการพูดการทำทุกอย่าง
ถ้าไม่มีทิฐิแล้วการสืบเนื่องย่อมไม่มี

ทบทวนดูถึงอะไรๆ ที่เกิดขึ้นแล้วกับชีวิตของเราเองทุกคน
ก็จะเห็นได้ว่าจุดเริ่มต้นคือ ทิฐิ
คือต้องเริ่มมีความเห็นเสียก่อนว่านั่นดีนั่นชั่ว นั่นควรทำอย่างนั้น นั่นควรทำอย่างนี้
ต่อจากนั้นจึงจะลงมือปฏิบัติการต่างๆ ให้เป็นไปอย่างที่ตนรู้สึกว่าเหมาะควร
กับบุคคลหรือกับสิ่งกับเรื่องที่ตนมีความเห็นอย่างนั้นแล้ว
ทิฐิจึงเป็นคุณอย่างยิ่งถ้าเป็นสัมมาทิฐิ
และเป็นโทษอย่างยิ่งถ้าเป็นมิจฉาทิฐิ


ผู้ที่ทำความผิดร้ายทั้งหลายเป็นต้นว่าปล้นฆ่า
จะต้องเริ่มด้วยมีมิจฉาทิฐิความเห็น ผิดอย่างแน่นอน

คือจะต้องเริ่มต้นมีความเห็นว่าการทำเช่นนั้นเป็นการสมควรที่ตนพึงจะทำ
แม้จะผิดกฎหมายแต่การทำผิดกฎหมายนั้น ถ้าตนจะได้ประโยชน์คุ้มกันก็น่าทำ
และก็เห็นผิดไปว่าตนมีเล่ห์เหลี่ยมกลอุบายสูงพอ ทำแล้วกฎหมายจับไม่ได้ ลงโทษไม่ได้
ผู้ร้ายฆ่าปิดปากทั้งหลายที่ปรากฏเป็นข่าวอยู่เสมอๆ
มีมิจฉาทิฐิความเห็นผิดเป็นมูลเหตุอย่างแน่นอน
คือต้องเห็นว่าฆ่าเจ้าทุกข์เสียแล้ว ก็ไม่มีทางที่จะรู้ได้ว่าตนเป็นผู้ร้าย

นี่เป็นมิจฉาทิฐิ แท้ๆ นำไปสู่ความผิด ความไม่ชอบ
แม้ผู้ที่ไม่ได้ลงมือทำผิดนั้นด้วยตนเองแต่ทุกคน
ย่อมสามารถคำนึงถึงความรู้สึกของผู้ร้ายฆ่าคนได้ทุกคน

ประมาณว่า ผู้ร้ายฆ่าคนตายจะมีความทรมานเพียงไร เร่าร้อนเพียงไร
เป็นโทษที่แม้จะไม่ใช่โทษของบ้านเมือง แต่ก็เป็นโทษทางใจที่หนัก
และโทษที่หนักนี้ จะเกิดไม่ได้แม้ไม่มีมิจฉาทิฐิเห็นผิดไปว่าตนได้ประโยชน์ยิ่งกว่าโทษ

ทำสัมมาทิฐิคือความเห็นชอบให้เกิดไว้เถิด
ใช้ปัญญาพิจารณาให้รอบคอบเถิด และ อย่าตกเป็นทาสของมิจฉาทิฐิ
อย่าเห็นแก่ความเป็นใหญ่ได้หน้าได้ลาภได้ยศของตนเอง

เพราะการเห็นว่าสิ่งเหล่านั้นสำคัญจนเกินไปนั้นเป็นมิจฉาทิฐิ

ความเห็นผิด จักก่อให้เกิด ทางดำเนินที่ผิด
การโกงกินลักโขมยปล้นจี้ทั้งหลายเกิดจากความเห็นไม่ชอบว่าเงินมีค่า เหนือความสุจริต
อันที่จริงความสุจริตมีค่าเหนือเงิน

และความสุจริตไม่ใช่ว่าจะทำให้ยากไร้
แม้ผู้สุจริตคนใดจะยากไร้ แต่ก็ไม่ได้เกิดจากความสุจริต

ความสุจริตที่ประกอบด้วยความขยันหมั่นเพียรปฏิบัติให้ถูกให้ควร
จักเป็นทางให้พ้นจากความยากไร้ได้เงินย่อมเกิดขึ้นได้แก่ผู้สุจริตทีขยันหมั่นเพียรโดยชอบ

เงินไม่ได้เกิดจากความทุจริตอย่างเดียว

ตรงกันข้าม ความยากไร้ย่อมเกิดได้จากความทุจริต
ผู้ที่ถูกยึดทรัพย์เมื่อความทุจริตปรากฏขึ้น ก็เป็นที่รู้เห็นกันอยู่
ผู้ที่ต้องรับโทษตามกฎหมาย มีเงินก็เหมือนไม่มีเงิน เพราะความไม่สุจริต
ก็เป็นที่รู้เห็นกันอยู่มากมาย

ถ้ามีสัมมาทิฐิแล้ว ความทุจริตย่อมไม่เกิด
โทษที่จะเกิดจากความทุจริตย่อมไม่มี

โทษของความทุจริตนั้นไม่เกิดแต่กับผู้ประพฤติเท่านั้น
แต่ย่อมเกิดกว้างใหญ่่ไปถึงผู้เกี่ยวข้องทั้งหลายด้วย

ก็เพราะดังกล่าวแล้ว คนดีคนเดียวย่อมยังความสุขให้เกิดได้กว้างไกล
และคนชั่วคนเดียวก็ย่อมก่อให้เกิดความทุกข์ได้อย่างยิ่ง

http://www.mahamakuta.inet.co.th/study/ ... mk645.html


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ค. 2009, 13:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗
ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต

อิติวุตตกะ ติกนิบาต วรรคที่ ๓
๑. มิจฉาทิฐิสูตร

[๒๔๘] จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว
พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว
เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วว่า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เราได้เห็นสัตว์ผู้ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นมิจฉาทิฐิ

ยึดมั่นการกระทำด้วยอำนาจมิจฉาทิฐิ
เมื่อตายไป เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวคำนั้นแลว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราได้เห็นสัตว์ผู้ประกอบด้วยกายทุจริต เข้าถึงอบาย ทุคติ
วินิบาต นรก เพราะได้ฟังต่อสมณะหรือพราหมณ์อื่นก็หามิได้
ก็แต่ว่าเรารู้มาเอง เห็นมาเอง ทราบมาเอง จึงกล่าวคำนั้นแลว่า
เราเห็นสัตว์ผู้ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นมิจฉาทิฐิ
ยึดมั่นการกระทำด้วยอำนาจมิจฉาทิฐิ เมื่อตายไป เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ฯ

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว
ในพระสูตรนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า ฯ

บุคคลในโลกนี้ ตั้งใจไว้ผิด กล่าววาจาผิด กระทำการงานผิดด้วยกาย
ผู้มีการสดับน้อย ทำกรรมอันไม่เป็นบุญไว้ในชีวิตอันมีประมาณน้อย
ในมนุษยโลกนี้ เขาผู้มีปัญญาทราม เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงนรก ฯ

เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วฉะนี้แล ฯ
จบสูตรที่ ๑

http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_it ... =25&A=5748


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ค. 2009, 13:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


[๑๙๓] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เราไม่เล็งเห็นธรรมอย่างอื่นแม้ข้อหนึ่งซึ่งจะมีโทษมากเหมือนมิจฉาทิฏฐินี้เลย
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โทษทั้งหลายมีมิจฉาทิฏฐิเป็นอย่างยิ่ง.



ในสูตรที่ ๓ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.

บทว่า มิจฺฉาทิฏฐิปรมานินี้มีวิเคราะห์ว่า
มิจฉาทิฏฐิเป็นอย่างยิ่งของโทษเหล่านั้น
เหตุนั้นโทษเหล่านั้นชื่อว่ามิจฺฉาทิฏฐิ ปรมานิ

โทษทั้งหลายมีมิจฉาทิฏฐิเป็นอย่างยิ่ง.
อธิบายว่า อนันตริยกรรม ๕ ชื่อว่ากรรมมีโทษมาก.
มิจฉาทิฏฐิเท่านั้น ชื่อว่ามีโทษมากกว่าอนันตริยกรรม ๕ แม้เหล่านั้น.

ถามว่า เพราะเหตุไร.
ตอบว่า เพราะอนันตริยกรรม ๕ นั้นมีเขตกำหนด.
ด้วยว่า ท่านกล่าวอนันตริยกรรม ๔ อย่างว่า ให้เกิดในนรก.
แม้สังฆเภทก็เป็นกรรมตั้งอยู่ในนรกชั่วกัปเท่านั้น.
อนันตริยกรรมเหล่านั้นมีเขตกำหนดที่สุด ก็ยังปรากฏ ด้วยประการอย่างนี้.

ส่วนนิยตมิจฉาทิฏฐิ คือ ความเห็นผิดอันดิ่ง ไม่มีเขตกำหนด
เพราะนิยตมิจฉาทิฏฐินั้นเป็นรากเหง้าของวัฏฏะ.
การออกไปจากภพ ย่อมไม่มีสำหรับคนผู้ประกอบด้วยนิยตมิจฉาทิฏฐินั้น .
ชนเหล่าใด เชื่อฟังถ้อยคำของคนผู้ประกอบด้วยนิยตมิจฉาทิฏฐินั้น
แม้ชนเหล่านั้นก็ย่อมปฏิบัติผิด.

อนึ่ง ทั้งสวรรค์ ทั้งมรรค
ย่อมไม่มีแก่คนผู้ประกอบด้วยนิยตมิจฉาทิฏฐินั้น

ในคราวกัปพินาศ เมื่อมหาชนพากันเกิดในพรหมโลก
บุคคลผู้เป็นนิยตมิจฉาทิฏฐิไม่เกิดในพรหมโลกนั้น (แต่กลับ) เกิดที่หลังจักรวาล.

ถามว่า ก็หลังจักรวาลไฟไม่ไหม้หรือ.
ตอบว่า ไหม้.

บางอาจารย์กล่าวว่า ก็เมื่อหลังจักรวาลแม้ถูกไฟไหม้อยู่
คนผู้เป็นนิยตมิจฉาทิฏฐินี้ ก็ถูกไฟไหม้อยู่ในโอกาสแห่งหนึ่งในอากาศ.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2009, 07:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


อนุโมทนาสาธุค่ะ...คุณชาติสยาม

ลูกโป่งตามอ่านเรื่องที่คุณตอบและนำธรรมะดีดีที่นำมาฝากกันเสมอ
ซาบซึ้งใจค่ะ...ได้ข้อคิดที่ดี และมองหลายๆอย่างได้กว้างขึ้น
บางทีก็มองต่างมุม มีหลายอารมณ์ที่คุณแสดงออกมาแต่ละครั้ง
แต่ได้ข้อคิดบ่อยบ่อย
อาจไม่ได้พบหน้า...แต่ประทับใจค่ะ
รออ่านนะคะ...ขอบคุณมากค่ะ

:b48: ลานธรรมจักร...ณ แห่งนี้มีธรรมะ และกัลยาณมิตร :b48:

ธรรมะสวัสดีค่่ะ

รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ค. 2009, 00:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ชอบหวือหวาเหรอครับ
แสดงว่าชอบดูละครแน่ๆเลย :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ค. 2009, 09:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


ชาติสยาม เขียน:
ชอบหวือหวาเหรอครับ
แสดงว่าชอบดูละครแน่ๆเลย :b32:


...ลูกโป่งชอบง่ายๆ สบายๆค่ะ...
แต่ชอบการวิเคราะห์ของแต่ละท่านค่ะ
ชอบฟังเหตุผลค่ะ...ว่าแต่ละคนมีความคิดเห็นอย่างไร
ได้ความรู้ดีค่ะ ได้ดูอารมณ์ของคนอื่น
และตรวจสอบตัวเองไปด้วยว่าเป็นอย่างไร
แต่ไม่ยึดติดค่ะ...รู้เฉยๆ...แล้วก็วางค่ะ
เหมือนในละครนะคะ...จบแล้่วก็จบกัน...รอดูตอนใหม่
แต่ถ้าเป็นผู้เล่น ต้องเล่นให้ดีที่สุดนะคะ...ละครชีวิตนี่สำคัญ
ทำอะไรก็ต้องทำให้ดี...แต่ต้องไม่ทำร้าย ไม่เบียดเบียน

:b48: DO THE BEST EACH DAY, IT WILL NEVER BE AGAIN. :b48:


...ลูกโป่งชอบอ่านหนังสือมากกว่าค่ะ...

เพราะเราเลือกในสิ่งที่เราอยากอ่านได้ ไม่ต้องถูกยัดเยียดค่ะ

ธรรมะสวัสดีตอนสายค่ะ

รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ค. 2009, 10:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 เม.ย. 2009, 19:55
โพสต์: 548

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ชาติสยาม เขียน:
.....


กระท้อนลูกนี้ อมหวาน อมเปรี้ยว
เนื้อกำลังดี เม็ดก็กำลังฟู
:b13: :b13: :b13:

ถึงกระท้อนลูกนี้จะรู้ว่าตนยังไม่ใช่กระท้อนที่หวาน
แต่...เราก็เข้าใจว่ากระท้อนลูกนี้เป็นกระท้อนที่ใครได้ชิม
ก็เป็นต้องรู้สึกเอร็ดอร่อย กับรสชาดของมัน

และคนชิมก็อดที่จะอยากตามไปเห็นต้นของมันไม่ได้...

:b16: :b16: :b16:

กระท้อนจ๋า ต้นของเธออยู่แห่งหนไหนจ๊ะ...

:b9: :b9: :b9:


แก้ไขล่าสุดโดย yahoo เมื่อ 28 ก.ค. 2009, 17:00, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ค. 2009, 10:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


yahoo เขียน:
กระท้อนลูกนี้ อมหวาน อมเปรี้ยว
เนื้อกำลังดี เม็ดก็กำลังฟู

ถึงกระท้อนลูกนี้จะรู้ว่าตนยังไม่ใช่กระท้อนที่หวาน
แต่...เราก็เข้าใจว่าเป็นกระท้อนลูกนี้เป็นกระท้อนที่ใครได้ชิม
ก็เป็นต้องรู้สึกเอร็ดอร่อย กับรสชาดของมัน

และคนชิมก็อดที่จะอยากตามไปเห็นต้นของมันไม่ได้...


:b43: :b43: :b43:

เห็นด้วยค่ะ คุณ yahoo :b4:

โบราณว่า "กระท้อน ยิ่งทุบ....ยิ่งหวาน"
ที่สำคัญต้อง "ถูกทุบอย่างต่อเนื่อง" ด้วยสิคะ
เดี๋ยวก็หวานได้ที่เองแหละค่ะ

:b32: :b13: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ส.ค. 2009, 11:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


wink wink wink

เขิลลลลลลล


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 9 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 34 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร