วันเวลาปัจจุบัน 24 เม.ย. 2024, 20:29  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.ค. 2009, 20:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2009, 17:25
โพสต์: 281

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




356.jpg
356.jpg [ 15.43 KiB | เปิดดู 1406 ครั้ง ]
:b36: ในเยาว์วัยดิฉันเรียกยายว่า แม่
ในเยาว์วัยดิฉันเรียกตาว่า พ่อ
แม่และพ่อที่แท้จริงของดิฉันไปไหนดิฉันไม่ทราบ ไม่มีใครทราบเลย

ท่านทั้ง 2 อยู่ในวัยชรา แถมยากจนอีกต่างหาก แต่ท่านทั้งสองกลับเป็นที่พึ่งที่ดีที่สุดของดิฉัน
แม่คือยายของดิฉันทำงานหนักมากขึ้นเมื่อดิฉันเข้าโรงเรียน
พ่อคือตาของดิฉันก็ทำงานแทบไม่ได้พักผ่อน
ท่านทั้ง 2 เก็บหอบรอมริบเอาเงินฝากธนาคารไว้ให้ดิฉันเพื่อการศึกษา


เราสามคนอยู่บ้านหลังเก่า หลังเดิมยี่สิบกว่าปี มีความสุขกันตามประสาพ่อแม่ลูก
โชคดีที่พ่อแม่ของดิฉันสุขภาพดี ร่างกายแข็งแรง ไม่เคยเข้าโรงพยาบาลเลย แม้วัยล่วงเลยมาถึง 75 ปี
แม่ดิฉันใส่บาตรทุกวันพร้อมพ่อ วันพระไปนอนวัดถือศีล 8 มาตั้งแต่ยังไม่ได้แต่งานกัน
ท่านทั้งสองรู้จักประมาณในการดื่มกิน ทั้งนี้เพราะรักดิฉัน อาหารการกินจึงเก็บไว้เพื่อดิฉัน
ดิฉันพลอยได้รับอุปนิสัยนี้ไปด้วย คือดื่มกินพออิ่มทุกวันตามท่าน


การเรียนของดิฉันอยู่ในเกณฑ์ดี ได้รับทุนการศึกษาเสมอ ๆ
แต่ตอนเรียนระดับปริญญาเอกในสถาบันการศึกษาแห่งหนึ่งในต่างประเทศ ด้วยทุนรัฐบาล
ดิฉันกลับเจ็บป่วยทางใจ เพราะสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ อยู่ร่วมกับคนที่กิเลสหนาแน่น ในมหาวิทยาลัย
แถมเรียนหนัก งานวิจัยก็ยากทุนการศึกษาก็ใกล้จะหมดกำหนดเวลา ต้องรีบให้จบทันเวลา
เพราะพ่อแม่ของดิฉันไม่มีเงินจ่ายส่วนที่เกินตรงนี้
ดิฉันปวดศีรษะ และเครียดมากนอนไม่หลับ ต้องไปปรึกษาแพทย์ ต้องพึ่งพายาแก้ปวดและยานอนหลับ เก็บเรื่องราวทุกข์ใจไว้คนเดียว ไม่ต้องการให้พ่อแม่ทุกข์ใจ


วันหนึ่งเป็นบุญของดิฉัน คงเพราะอกุศลกรรมเลิกให้ผลแล้ว หรือให้ผลกับดิฉันสิ้นสุดไปแล้วก็เป็นได้
ดิฉันท่องอินเตอร์เน็ต พบเว็ปธรรมะ ได้พบกัลยาณมิตรผู้แสนดีท่านหนึ่ง ชักนำดิฉันไปสนทนาธรรมกับท่านพระอาจารย์ทาง MSN ได้รับคำแนะนำถึงวิธีคลายเครียด วิธีเจริญสมาธิทำจิตให้เป็นกุศลสร้างปีตีสุขให้เกิด สนทนาธรรมกับท่านพระอาจารย์ทาง MSN แทบจะทุกวัน ถ้าออนไลน์เวลาตรงกัน
พระอาจารย์เมตตาดิฉันมากบางคืนท่านไม่ได้นอนเลย สนทนากับดิฉันเสร็จท่านก็ไปบิณฑบาตรต่อเลย


ปัญหาคาใจที่ดิฉันเก็บมาถามท่านอาจารย์คำถามหนึ่งคือเรื่องที่พ่อแม่ ซึ่งคือตาและยายของดิฉันทำไมท่านไม่เจ็บไขได้ป่วยเลยทั้งที่กินดื่มแบบประหยัดมัธยัต

ท่านพระอาจารย์อะบายเป็นคาถาว่า

" มนุษย์ผู้มีสติอยู่ทุกเมื่อ ( จิตเป็นกุศลอยู่ทุกเมื่อ )
รู้จักประมาณในโภชนะที่ได้มา
ย่อมมีเวทนาบางเบา
เขาย่อมแก่ช้าและอายุยืน "



แต่ยารักษาใจของดิฉันที่ได้จากท่านพระอาจารย์คืออรหัตตมัคคเจ้าค่ะ
ปัจจุบันดิฉันไม่ต้องดื่มกินยาใด ๆ อีกเลยนอกจากธรรมรสของอรหัตตมัคคเท่านั้น
ขอขอบพระคุณท่านพระอาจารย์เป็นอย่างยิ่งเจ้าค่ะ


ปัจจุบันดิฉันเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยของรัฐแห่งหนึ่ง
ซึ่งทันทีที่ดิฉันได้กลับมาถึงเมืองไทย
ดิฉันได้เล่าถึงคุณของพระพุทธเจ้า คุณของพระธรรม คุณของพระสงฆ์ ให้พ่อแม่ของดิฉันได้ทราบ
เราทั้ง 3 คนพากันกอดกันร้องให้ด้วยความตื้นตันใจในคุณของพระรัตนตรัยเป็นอย่างยิ่ง


3 วันต่อมาดิฉันพร้อมพ่อและแม่สรวมใส่....ชุดสีขาว ...
ชุดสีขาวสำหรับผู้ปฏิบัติธรรมที่ดิฉันไม่ได้สรวมใส่มานานในต่างแดน
เรา 3 คนเดินทางไปกราบท่านพระอาจารย์ในป่าที่ท่านถือธุดงค์อยู่
พวกเราได้ปฏิบัติธรรม มีปีติในธรรม ได้ปัญญาตามคำสั่งสอนอบรมของท่านพระอาจารย์
ถ้าไม่ได้ท่านพระอาจารย์นำพระธรรมมาให้ดิฉันในตอนนั้น จะมีดิฉันในวันหรือเปล่าก็ไม่รู้
อาจเป็นบ้าหรือตายไปแล้ว คงไม่มีโอกาสได้ทดแทนบุญคุณแสดงความกตัญญูต่อพ่อแม่แน่เลย


แต่เดี๋ยวนี้ดิฉันเป็นโรคจิตเจ้าค่ะ
ยินยอมเป็นด้วยความเต็มใจเจ้าค่ะ

คือ โรคจิตเป็นกุศลเจ้าค่ะ


อรหัตตมัคคที่ดิฉันเจริญอยู่เป็นนิตย์ ตามคำสอนของพระอาจารย์

" กิเลสเครื่องกังวลใดมีอยู่ในกาลก่อน
เธอจงยังกิเลสเครื่องกังวลนั้นให้เหือดแห้งหายไป
กิเลสเครื่องกังวลจงอย่ามีแก่เธอในภายหลัง
ถ้าเธอจักไม่ยึดถือขันธ์ในท่ามกลาง
จักเป็นผู้สงบระงับแล้วเที่ยวไป "




--------------------------------------------------------------------------------

.....................................................
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thai.dhamma.org
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ส.ค. 2009, 10:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 เม.ย. 2009, 06:18
โพสต์: 731

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คนสมัยก่อนมีจิตใจที่สูงส่ง
กินอาหารเพียงด้วยความรู้สึกถึงหน้าที่บริหารกายตามธรรมชาติ
แม้อาหารจะเลวทรามจืดชืดเพียงใดก็บริโภคได้อย่างเยือกเย็น
เนื่องจากมีความรู้สึกที่ดีงาม..............
ความมีสติสัมปชัญญะ ความหยั่งถึงเหตุผล เป็นต้น
อย่างเพียบพร้อมเสมอ เพราะนั่นเป็นความฉลาด
เหล่านั้นคือ นิมิตของความสุข
อันเกิดจากความมีชีวิตอยู่ด้วยความปราศจากความอยากและราคะ

ขออนุโมทนาบุญ สาธุ..... :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 23 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร