วันเวลาปัจจุบัน 04 พ.ค. 2025, 18:15  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 7 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ค. 2009, 11:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


จิตพระอริยอยู่เหนือกิเลส
พระญาณสิทธาจารย์ (สิม พุทฺธาจาโร)
26 กุมภาพันธ์ 2519

ต่อไปนี้ให้พากันตั้งใจนั่งสมาธิภาวนา ปล่อยวางอารมณ์ภายนอกภายในออกไปให้หมด ตั้งใจบริกรรมภาวนา วันนี้เป็นวันสิริมงคลวันหนึ่ง เป็นวันอุโบสถในทางพุทธศาสนา ให้พวกเราทั้งหลายได้ตั้งอกตั้งใจปฏิบัติภาวนา ที่ถ้ำผาปล่องนี้สถานที่ที่เราอาศัยอยู่ เป็นสถานที่สิริมงคล เมื่อเรามาสู่สถานที่สิริมงคลแล้ว อย่าปล่อยให้จิตใจฟุ้งซ่านไปที่อื่น จงตั้งอกตั้งใจภาวนา ดำเนินกายภายในดวงจิตดวงใจ
คำว่าภาวนานี้ ได้แก่สงบจิตสงบใจ ไม่ให้ใจวุ่นวาย คิดถึงบ้านเรือน คิดถึงลูกหลาน วุ่นวายไปภายนอก ให้พากันระลึกถึงมรณภัย มรณกรรมฐานมันใกล้เข้ามาทุกวันทุกคืน ไม่ใช่ว่าเราอยู่ที่เก่า สังขารธรรมทั้งหลาย รูปร่างกายของเราทุกคน มีความเจ็บไข้ได้ป่วย มีความชำรุดทรุดโทรม เสื่อมไปสิ้นทุกวันคืน แม้ผู้ที่ยังเด็กยังหนุ่ม ก็อย่าประมาทมัวเมาว่าข้าพเจ้าไม่แก่ การตายไม่เฉพาะแต่คนแก่ บางคนคนหนุ่มนั้นตายก่อนคนแก่ก็มี คนแก่ยังยืนยาวคราวไกลไปก็มี ทุกคนจงระลึกถึงมรณภัยคือความตาย ไม่มีทางหลบหลีก แม้หลบหลีกได้ว่า ในเวลาเราหนุ่มแน่น กำลังดีไม่ตาย เมื่อถึงวัยแก่วัยชราก็ไม่มีทางหลบ จำเป็นต้องแตกดับทำลาย

แต่ผู้ใดภาวนาดี ละกิเลสความโกรธหมดไป ละกิเลสความโลภหมดไป ละกิเลสความหลงหมดไป ผู้นั้นก็ไม่ทุกข์ ไม่เดือดร้อนประการใด แม้ความตายมาถึงเข้า ท่านก็ยอมตาย คือ ท่านเห็นแล้วว่า ตายเป็นเรื่องของธาตุทั้งสี่ ดิน น้ำ ไฟ ลม มันกระจัดกระจายไปเขาก็เรียกว่าตาย ใช้การไม่ได้ เขาก็เรียกว่าตาย จิตใจมันไม่ได้ตาย
จิตใจไม่ได้ตายนั้น ย่อมส่อแสดงให้เห็นแล้วว่า แม้พระอริยเจ้าทั้งหลาย ที่เราว่าท่านดับขันธ์เข้าสู่นิพพานแล้ว มันก็เป็นแต่ว่าดวงจิตดวงใจของท่านส่วนหนึ่ง ร่างกายของท่านแตกดับไป แต่จิตใจเป็นของไม่ตาย แต่จิตนี้เมื่อละกิเลสราคะ โทสะ โมหะ หมดไปแล้ว ออกจากจิตใจไปแล้ว เหลือแต่จิตอันบริสุทธิ์ผ่องใส จะอยู่ที่ใดเป็นอะไร ก็
ชื่อว่าอยู่ในนิพพาน ไม่มีเรื่องราวอะไร ที่จะมาทำให้ท่านเป็นทุกข์เป็นร้อน อย่างสามัญชนคนเราทั่วไป
คนเราทั่วไปที่มันทุกข์มันร้อนอยู่ ก็คือว่ากิเลสทางตา ได้แก่ รูป ตาเห็นรูปก็เกิดกิเลส หูได้ยินเสียงก็เกิดกิเลส เพราะกิเลสมันยังไม่ดับ จึงจำเป็นต้องตั้งอกตั้งใจภาวนา อย่ามีความท้อถอย ผู้ใดท้อถอยชื่อว่าเป็นผู้มัวเมา จะต้องมาเวียนว่ายตายเกิด ในภพน้อยภพใหญ่ไม่มีที่สิ้นสุด ยุ่งเหยิงอยู่ด้วยกิเลสกาม วัตถุกาม

ตั้งแต่วันนี้ไป ให้พากันตัดบ่วงห่วงอาลัย อารมณ์สัญญาที่คิดถึงบ้านถึงเรือน ถึงลูกถึงหลาน ถึงอะไรต่อมิอะไรให้ตัดขาด ว่าสถานที่เรานั่งสมาธิภาวนาอยู่นี้ เท่ากันกับว่าเป็นสถานที่วิเศษ เป็นทางที่จะให้เราทุกคนละกิเลสให้หมดไปสิ้นไปได้ ถ้าตั้งใจภาวนา แต่ไม่ใช่ว่าสถานที่จะมาละกิเลสให้เรา ใจเรานี้แหละภาวนาละกิเลสเอาเอง
กิเลสนั้น เมื่อผู้ใดเลิกได้ละได้แล้ว ไม่เลือกว่าเณร ไม่เลือกว่าพระ ไม่เลือกว่าจะสมมุติว่า เป็นธรรมยุต เป็นมหานิกาย อะไรก็ได้ทั้งนั้น ไม่ใช่สมมุตินั้นละกิเลส การละกิเลสมันเป็นเรื่องภายในจิตใจของแต่ละดวงจิตดวงใจ ผ้าขาวผ้าเหลืองไม่ได้มาละกิเลสให้ สถานที่ก็ไม่ได้มาละกิเลสให้แก่เรา จิตใจเรานั้นเองเป็นผู้ละกิเลส

เมื่อภาวนาพุทโธๆ เมื่อภาวนามรณกรรมฐานได้ทุกลมหายใจเข้าออก จนดวงจิตดวงใจผู้รู้อยู่นี้ไม่ไปไหน อยู่ภายในสงบนิ่งแน่วเป็นดวงเดียว ตั้งมั่นอยู่ภายในจิตใจได้ตลอดเวลา นั่นแหละต้นทางที่จะเป็นไปเพื่อละกิเลส ตัดกิเลสตัณหาได้ เพราะกิเลสตัณหานั้นมีอยู่ภายใน ไม่ใช่มีแต่ภายนอก
เมื่อคนเราจิตไม่สงบระงับ ก็เข้าใจว่าสิ่งภายนอกเป็นกิเลส รูปเป็นกิเลส เสียงเป็นกิเลส กลิ่นเป็นกิเลส รสโผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์เป็นกิเลส ความจริงตัวกิเลสจริงๆ ก็คือจิตใจผู้รู้อยู่ภายในใจของเราทุกคนนี้แหละ ในจิตดวงผู้รู้นั้น มีกิเลสราคะอยู่ที่นั้น มีกิเลสโทสะอยู่ที่นั้น มีกิเลสโมหะอยู่ที่นี้ เมื่อใดการภาวนาละกิเลสภายในใจของเรา ยังไม่พร้อมมูลบริบูรณ์แล้ว อาสวะกิเลสเหล่านี้ก็ต้องอยู่ในใจตลอดเวลา
การภาวนาละกิเลสต้องละภายใน ไม่ใช่ละภายนอก ภายนอกนั้นเป็นแต่ว่าอุปกรณ์กิเลส เราให้คิดดูดีๆว่า ถ้าหากว่า คน รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์เป็นกิเลส ก็ลองคิดดูว่า ถ้าเราฆ่าคนทั้งโลกนี้ให้ตายหมด ยังเหลือแต่เราคนเดียว กิเลสเรามันจะหมดไปสิ้นไปหรือไม่ มันก็ยังไม่หมด คนทั้งโลก สัตว์ทั้งโลก สมมติว่าให้เขาตาย
ไปหมดเสีย กิเลสของเรามันจะหมดไปไหม มันก็ไม่หมด เมื่อไม่หมดแสดงว่าอันนั้นก็ไม่ใช่ตัวกิเลส
ตัวกิเลสจริงๆ ก็จิตเรานี่แหละ จิตขี้เกียจขี้คร้านภาวนา จิตไม่รักษาศีล จิตไม่มีทาน จิตไม่มีศีล จิตไม่มีภาวนา จิตไม่ละกิเลส เมื่อจิตไม่ละกิเลสก็นี่แหละคือตัวกิเลส ตัวกิเลสเป็นตัวอย่างไร ตัวกิเลสก็เป็นตัวเหมือนตัวเรานั่นเอง ขาสอง แขนสอง ศีรษะหนึ่ง ดวงใจครองอยู่ในร่างกายอันนี้ นั่นแหละตัวกิเลส
ดูเวลากิเลสความโกรธมันเกิดขึ้น ตาแดง ตาพอง ทุบต่อย ตีกัน ประหัตประหาร ฆ่าฟันรันแทงกัน อะไรมันตี อะไรมันทำ ก็คือจิตนั่นแหละมาใช้รูปร่างกายนี้ ให้ดุด่าว่าร้ายออกมา จนถึงรบราฆ่าฟันกันเป็นธรรมดาโลก นั่นแหละ กิเลสมันอยู่ภายใน แต่เวลามันจะทำ มันมาใช้รูปขันธ์นี้ให้ทำ รูปขันธ์ร่างกายนี้มันไม่ได้กลัวบุญกลัวบาป มันเป็นเพียงธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม เท่านั้น สุดแท้แต่จิตที่มีกิเลสหรือไม่มีกิเลสภายในใช้ให้ทำอะไร มันก็ทำ

นี่แหละร่างกายสังขาร ตัวกิเลสก็ตัวเราทุกคนนั่นแหละ จิตเราทุกคนนั่นแหละ กิเลสความโลภ กิเลสความไม่อิ่มไม่พอในวัตถุข้าวของทรัพย์สินเงินทอง กิเลสกาม วัตถุกาม มันอยู่ที่ไหน มันก็อยู่ที่กายนี้ อยู่ที่จิตนี้แหละ ดวงจิตนั่นแหละเป็นตัวกิเลสราคะตัณหา แล้วเวลามันใช้ ก็มาใช้รูปขันธ์ ทำให้เกิดลูกมา เกิดหลานมา เป็นทุกข์เป็นร้อนวุ่นวาย มันมาจากไหน ก็มาจากจิต จิตราคะตัณหา
พระภิกษุสามเณร แม่ขาว นางชีอยู่ดีๆไม่ได้ ต้องสึกไป ก็เพราะอะไร ก็เพราะอำนาจกิเลสโลภะ กิเลสราคะตัณหา ไม่ภาวนาละกิเลสในจิตใจอันนี้ออกไป เมื่อกามตัณหา ภวตัณหามีอยู่ในจิต ไม่เลิกไม่ละ ไม่สงบระงับ มันก็วุ่นวายสร้างภพสร้างชาติขึ้นมา สร้างรูปสร้างนามขึ้นมา มันมีอยู่ภายใน ไม่ใช่อยู่ภายนอกอย่างเดียว ตัวสำคัญมันอยู่ที่จิต
ทีนี้พระพุทธเจ้าของเรา พระองค์รู้ว่ากิเลสทั้งหลายแหล่พาให้เกิด แก่ เจ็บ ตาย มันอยู่ที่ดวงจิต พระองค์ก็เอาดวงจิตภาวนาทุกลมหายใจเข้าออก พระองค์ควบคุมจิตใจไม่ให้วิ่งหนีไปที่อื่น ทบทวนกระแสเข้ามาสู่ภายในดวงจิตดวงใจ ดวงที่รู้อยู่ภายใน ตอนแรกๆ ก็เอาลมหายใจเป็นที่ยึดเหนี่ยว คือว่าเอาลมหายใจเป็นที่สังเกต ลมเข้าไปจิตผู้รู้อยู่ที่นี้ดูจิตดูลม ไม่ให้หลง จิตเข้ามาจิตออกไป ตามอยู่ที่ลมนี้ ผู้รู้ว่าลมก็คือจิตนั่นเอง

แต่ว่าจิตใจของคนเรานั้น จะหาเป็นตัวเป็นตน เหมือนคนเหมือนวัตถุข้าวของไม่ได้ ไม่มีตัว ไม่มีตัวแต่มีอำนาจใหญ่ อำนาจกิเลสมันใหญ่ เหมือนกับธาตุลม ธาตุอากาศ ลมไม่มีตัวตน เวลามีลมแรงๆพัดมา พัดเอาบ้านเรือนตึกรามพังทลายไป นั่นลมไม่มีตัวแต่ทำไมมันมีกำลัง นี่แหละจิตใจคนเรานี้ก็เหมือนกัน จิตใจที่ยังมีกิเลส มันก็ใช้ให้เป็นไปตามอำนาจกิเลส
จิตใจที่มุ่งหวังเป็นทางพ้นทุกข์พ้นภัย ในโลก ในวัฏฏสงสาร ต้องเป็นทานบารมี การทำบุญให้ทาน ศีลบารมี รักษากาย วาจา จิตของตน ไม่ให้ทำผิดในหลักศีลห้า ศีลแปดขึ้นไป เมื่อบำเพ็ญประกอบกระทำอยู่ในสิ่งเหล่านี้ จิตใจของเราทุกคนก็ย่อมมีกำลังแก่กล้าในกองการกุศล ในการภาวนาละกิเลส ไม่ปล่อยให้ความลังเลสงสัยมาอยู่ในจิตในใจ ไม่ว่าจะนั่งจะนองจะยืนจะเดินไปมาที่ไหน
ภาวนามรณกรรมฐานเตือนจิตใจนี้อยู่เสมอ ว่าชีวิตของเรานี้ต้องถึงซึ่งความตาย ที่ใครคิดว่าเมื่อเกิดโรคภัยไข้เจ็บแล้ว ก็จะไปโรงพยาบาลให้มันดีมันหาย มันไม่มีทางที่จะหายได้ มันนับวันนับคืน นับชั่วโมงนาทีวินาที มันใกล้ไปสู่ความตายทุกวันเวลา เมื่อมันเจ็บไข้ได้ป่วยได้ แล้วจะไม่ตายนั้นไม่ได้ มันต้องตายแน่ๆ มันแสดงให้เห็นแล้วว่าหนีไม่พ้น เมื่อหนีไม่พ้นแล้วนั้น มันก็มีทางพ้นอยู่ก็คือการภาวนา เอาจิตใจให้มันหลุดมันพ้นออก ไม่ให้ใจหลงใจเมามาอยู่ภายในนี้
ท่านจึงมีวิธีการภาวนาพุทโธ ภาวนามรณกรรมฐาน ภาวนาลมหายใจ เพื่อให้จิตใจเราทุกดวงจิตดวงใจสงบระงับ ตั้งมั่นเป็นดวงหนึ่งดวงเดียว เดี๋ยวนี้จิตมันฟุ้งไปซ่านไปมัวเมาไป ไม่มีที่สุดที่สิ้น เลยวุ่นวายอยู่อย่างนั้นเอง

พระพุทธเจ้า พระอริยเจ้าทั้งหลาย ท่านมีความสุขกาย สบายใจ ไม่เดือดร้อนวุ่นวาย เพราะท่านภาวนาละกิเลส ภาวนาละกิเลสนั้นไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เมื่อใดยังมีกิเลสราคะ โทสะ โมหะอยู่ เราอย่าได้ถอยความเพียร มันจะคิดไปที่ไหน อย่าไปตามอำนาจกิเลสที่มันคิด ให้มาอยู่ภายในดวงจิตดวงใจของตนให้ได้
ใจเป็นธาตุรู้มีอยู่ในใจทุกๆคน การภาวนาไม่ใช่ว่าเรามาภาวนามาปรุงมาแต่งเอาใจใหม่ มันไม่ใช่อย่างนั้น ใจมันมีอยู่แล้ว จิตมันมีอยู่แล้ว แต่จิตนี้เป็นจิตที่หลงใหลไปตามจิตสังขาร จิตวิญญาณ จิตกิเลส จิตตัณหา มันดิ้นรนวุ่นวายไปตามกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหาตลอดเวลา หาเวลาสงบระงับไม่ได้
ท่านจึงสอนว่า ให้สงบจิตสงบใจลงไป ภาวนาพุทโธ ให้จิตใจมาจดจ่อในพุทโธ สงบระงับลงไป ไม่ต้องไปตามอารมณ์อะไรของใครทั้งหมด เรื่องราวอดีตอนาคตมันอยู่ข้างหน้า อนาคตกาลก็อย่าไปเป็นทุกข์เป็นร้อน อดีตที่มันล่วงมาแล้ว สิ่งเหล่านั้นมันก็ล่วงมาแล้ว จิตอย่าไปหลงไปยึดเอามา เดี๋ยวนี้เวลานี้ ดวงจิตดวงใจภาวนาอยู่ที่นี้ นั่งอยู่ที่นี้บริกรรมอยู่ที่นี้ จิตอย่าวุ่นวายไปที่อื่น ให้รวมจิตใจเข้ามา ตั้งให้มั่น เอาให้มันจริง

เมื่อเอาจิตใจสงบระงับตั้งมั่นแล้ว จิตใจดวงที่สงบระงับตั้งมั่นนี้ก็จะมองเห็นทีเดียวว่า กิเลสราคะไม่ดีอย่างไร ก็จะได้ทำการละกิเลสราคะ ตัดต้นตอให้มันหมดไปสิ้นไป กิเลสโทสะไม่ดีอย่างไร ต้นตอของกิเลสโทสะมันอยู่ที่ไหน จะได้ตัดละกิเลสความโกรธออกไป กิเลสความหลงไม่ดีอย่างไร จะได้ทำความเพียรละกิเลสความหลงให้หมดสิ้นไป เมื่อเลิกเมื่อละถอนออกไปหมดแล้ว จิตใจก็จะเย็นสบาย มีความสุขไม่ทุกข์ร้อนประการใด

เหตุนั้น การภาวนาทำความเพียรปฏิบัติบูชา ในทางพุทธศาสนานี้ จงตั้งจิตเจตนาลงให้มั่นคง อย่าได้ให้ใจอ่อนแอท้อแท้กลัวตาย การสร้างบุญบารมี ภาวนาละกิเลสมันไม่ตาย ถ้าหากว่าผู้ใดภาวนาเด็ดเดี่ยวแล้วก็ตายเอาตายเอา จะมีพระพุทธเจ้าได้หรือ เพราะว่าภาวนาเคร่งเครียดเข้าไปก็ตาย ไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้า ภาวนามากเข้าไปจะได้เป็นพระอรหันต์ก็ไม่ได้ มันตายเสียก่อน ถ้ามันเป็นอย่างนี้ก็ไม่มีพระซิ ที่มันมีพระอยู่ก็คือว่ามันไม่ตาย

:b8: :b8: :b8: สา...ธุ

:b44: ใจดวงเก่า ภาวนาพุทโธ :b44:

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ค. 2009, 13:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


คำว่าภาวนานี้ ได้แก่สงบจิตสงบใจ ไม่ให้ใจวุ่นวาย
คิดถึงบ้านเรือน คิดถึงลูกหลาน วุ่นวายไปภายนอก
ให้พากันระลึกถึงมรณภัย มรณกรรมฐานมันใกล้เข้ามาทุกวันทุกคืน
ไม่ใช่ว่าเราอยู่ที่เก่า สังขารธรรมทั้งหลาย รูปร่างกายของเราทุกคน
มีความเจ็บไข้ได้ป่วย มีความชำรุดทรุดโทรม เสื่อมไปสิ้นทุกวันคืน
แม้ผู้ที่ยังเด็กยังหนุ่ม ก็อย่าประมาทมัวเมาว่าข้าพเจ้าไม่แก่
การตายไม่เฉพาะแต่คนแก่ บางคนคนหนุ่มนั้นตายก่อนคนแก่ก็มี
คนแก่ยังยืนยาวคราวไกลไปก็มี ทุกคนจงระลึกถึงมรณภัยคือความตาย
ไม่มีทางหลบหลีก แม้หลบหลีกได้ว่า ในเวลาเราหนุ่มแน่น กำลังดีไม่ตาย
เมื่อถึงวัยแก่วัยชราก็ไม่มีทางหลบ จำเป็นต้องแตกดับทำลาย


แต่ผู้ใดภาวนาดี ละกิเลสความโกรธหมดไป ละกิเลสความโลภหมดไป
ละกิเลสความหลงหมดไป ผู้นั้นก็ไม่ทุกข์ ไม่เดือดร้อนประการใด
แม้ความตายมาถึงเข้า ท่านก็ยอมตาย คือ ท่านเห็นแล้วว่า
ตายเป็นเรื่องของธาตุทั้งสี่ ดิน น้ำ ไฟ ลม
มันกระจัดกระจายไปเขาก็เรียกว่าตาย ใช้การไม่ได้
เขาก็เรียกว่าตาย จิตใจมันไม่ได้ตาย
จิตใจไม่ได้ตายนั้น ย่อมส่อแสดงให้เห็นแล้วว่า
แม้พระอริยเจ้าทั้งหลาย ที่เราว่าท่านดับขันธ์เข้าสู่นิพพานแล้ว
มันก็เป็นแต่ว่าดวงจิตดวงใจของท่านส่วนหนึ่ง
ร่างกายของท่านแตกดับไป แต่จิตใจเป็นของไม่ตาย
แต่จิตนี้เมื่อละกิเลสราคะ โทสะ โมหะ หมดไปแล้ว
ออกจากจิตใจไปแล้ว เหลือแต่จิตอันบริสุทธิ์ผ่องใส
จะอยู่ที่ใดเป็นอะไร ก็ชื่อว่าอยู่ในนิพพาน
ไม่มีเรื่องราวอะไร ที่จะมาทำให้ท่านเป็นทุกข์เป็นร้อน
อย่างสามัญชนคนเราทั่วไป
คนเราทั่วไปที่มันทุกข์มันร้อนอยู่ ก็คือว่ากิเลสทางตา
ได้แก่ รูป ตาเห็นรูปก็เกิดกิเลส หูได้ยินเสียงก็เกิดกิเลส
เพราะกิเลสมันยังไม่ดับ จึงจำเป็นต้องตั้งอกตั้งใจภาวนา
อย่ามีความท้อถอย ผู้ใดท้อถอยชื่อว่าเป็นผู้มัวเมา
จะต้องมาเวียนว่ายตายเกิด ในภพน้อยภพใหญ่ไม่มีที่สิ้นสุด
ยุ่งเหยิงอยู่ด้วยกิเลสกาม วัตถุกาม

ตั้งแต่วันนี้ไป ให้พากันตัดบ่วงห่วงอาลัย

อารมณ์สัญญาที่คิดถึงบ้านถึงเรือน ถึงลูกถึงหลาน
ถึงอะไรต่อมิอะไรให้ตัดขาด ว่าสถานที่เรานั่งสมาธิภาวนาอยู่นี้
เท่ากันกับว่าเป็นสถานที่วิเศษ เป็นทางที่จะให้เราทุกคนละกิเลสให้หมดไปสิ้นไปได้
ถ้าตั้งใจภาวนา แต่ไม่ใช่ว่าสถานที่จะมาละกิเลสให้เรา
ใจเรานี้แหละภาวนาละกิเลสเอาเอง

กิเลสนั้น เมื่อผู้ใดเลิกได้ละได้แล้ว ไม่เลือกว่าเณร ไม่เลือกว่าพระ
ไม่เลือกว่าจะสมมุติว่า เป็นธรรมยุต เป็นมหานิกาย อะไรก็ได้ทั้งนั้น
ไม่ใช่สมมุตินั้นละกิเลส
การละกิเลสมันเป็นเรื่องภายในจิตใจของแต่ละดวงจิตดวงใจ
ผ้าขาวผ้าเหลืองไม่ได้มาละกิเลสให้
สถานที่ก็ไม่ได้มาละกิเลสให้แก่เรา จิตใจเรานั้นเองเป็นผู้ละกิเลส


สาธุ สาธุ สาธุ

ธรรมะสวัสดีวันพระค่ะ

รูปภาพ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ค. 2009, 14:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 ก.พ. 2009, 02:06
โพสต์: 811

อายุ: 0
ที่อยู่: มหานคร

 ข้อมูลส่วนตัว


อุฏฺฐาเนนปฺปมาเทน
สญฺญเมน ทเมน จ
ทีปํ กยิราถ เมธาวี
ยํ โอโฆ นาภิกีรติ . . . ฯ ๒๕ ฯ

ด้วยความขยัน ด้วยความไม่ประมาท
ด้วยความสำรวมระวัง และด้วยการข่มใจตนเอง
ผู้มีปัญญาควรสร้างเกาะ (ที่พึ่ง) แก่ตน
ที่ห้วงน้ำ (กิเลส) ไม่สามารถท่วมได้


:b8: :b1: :b8:

.....................................................
ทุกสิ่งทุกอย่างในโลก มันถูกต้องอยู่แล้ว มีแต่ความเห็นของเราเท่านั้นที่ผิด (หลวงพ่อชา สุภัทโท)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2009, 11:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.ค. 2009, 20:12
โพสต์: 791

แนวปฏิบัติ: พุทโธและสัมมาอรหัง
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
สิ่งที่ชื่นชอบ: ใต้ร่มโพธิญาณ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




_1_946.jpg
_1_946.jpg [ 44.62 KiB | เปิดดู 3037 ครั้ง ]
วิธีทำใจเมื่อใกล้ตาย



ในสมัยที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว
ท่านพระมหากัจจายนะอาศัยอยู่ในป่าแห่งหนึ่งในชายแดนบ้านนอก
สมัยนั้น พระเจ้าอัสสกราชครองราชสมบัติในโปตลินคร แคว้นอัสสกะ พระราชกุมารพระนามว่า สุชาตะ
เป็นพระโอรสของอัครมเหสีของพระเจ้าอัสสกราช มีพระชนมายุได้ ๑๖ พรรษา
ออกจากเมือง เพราะยื้อแย่งราชสมบัติกับพระเทวีน้อย จึงเข้าป่า อาศัยอยู่กับพวกพรานในป่า

เล่ากันว่า พระราชกุมารนั้นเคยบวชเป็นภิกษุในสมัยพระพุทธเจ้า พระนามว่า กัสสปะ
ดำรงอยู่ในคุณเพียงแค่ศีล ได้ตายอย่างปุถุชน บังเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ แล้วท่องเที่ยวอยู่ในสุคตินั้น
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสรู้ได้ ๓๐ พรรษา ได้บังเกิดในพระครรภ์ของอัครมเหสีของพระเจ้าอัสสกะ

เมื่อพระอัครมเหสีสิ้นพระชนม์ พระเจ้าอัสสกราชได้ตั้งพระเทวีองค์อื่นเป็นพระอัครมเหสี
ต่อมาพระนางได้ประสูติพระโอรส พระราชาทรงเอ็นดูโอรสของพระนาง
ได้ประทานพรให้พระนางถือเอาสิ่งที่ปรารถนา พระนางรับพรไว้ แต่ไม่ขอพรในทันที

เมื่อสุชาตกุมารมีชันษาได้ ๑๖ พรรษา พระนางอ้างถึงพรที่ประทานไว้ กราบทูลขอราชสมบัติให้แก่โอรสของตน
พระราชาทรงปฏิเสธ พระเทวียืนคำบ่อยๆ ก็ไม่อาจผูกพระทัยพระราชาได้

วันหนึ่ง พระเทวีกราบทูลพระราชาว่า ข้าแต่เทวะ ถ้าพระองค์ยังดำรงอยู่ในสัจจะ ก็โปรดพระราชทานเถิด

พระราชาทรงเสียพระทัยที่นางพูดเช่นนี้ แต่ก็ทรงปฏิเสธไม่ได้

สุชาตกุมารทราบเรื่องก็ทูลลาไปอยู่ในป่า พระราชาไม่ทรงเห็นด้วย
แต่พระกุมารยืนยันว่าจะไป พระราชาจึงทรงอนุญาตทั้งน้ำพระเนตร


พระราชกุมารเข้าป่าอาศัยพวกพรานอยู่ วันหนึ่ง ไปล่าเนื้อ
เทพบุตรองค์หนึ่งเคยเป็นสหายกันในครั้งที่เขาเป็นสมณะ จำแลงรูปเป็นเนื้อมาล่อเขาด้วยความหวังดี
วิ่งไปใกล้ที่อยู่ของท่านพระมหากัจจายนะแล้วหายไป พระราชกุมารวิ่งไล่จับเนื้อตัวนั้นไป
จนถึงที่อยู่ของพระมหากัจจายนะ ไม่เห็นเนื้อ เห็นแต่พระมหากัจจายนะนั่งอยู่นอกบรรณศาลา
จึงได้ยืนถือธนูอยู่ในที่ใกล้พระมหากัจจายนะ

พระมหากัจจายนะทราบเรื่องของเขาทั้งหมด แต่ทำเป็นไม่รู้ เพื่อจะอนุเคราะห์เขา จึงถามเขาว่า
ท่านสะพายธนูซึ่งทำด้วยไม้แก่น อันมั่นคง ท่านเป็นใครหนอ

พระราชกุมารตรัสว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าชื่อ สุชาตะ เป็นโอรสของพระเจ้าอัสสกะ
เที่ยวลัดเลาะไปในป่าใหญ่แสวงหาหมู่เนื้อ ไม่เห็นเนื้อ เห็นแต่ท่าน จึงได้ยืนอยู่

พระมหากัจจายนะทูลว่า ท่านผู้มีบุญมาก การมาจากที่ไกลของท่านชื่อว่า มาดีแล้ว
ขอจงตักน้ำล้างเท้าของท่าน แล้วเชิญดื่มน้ำอันเย็นใสสะอาด และขอเชิญนั่งบนพื้นอันปูลาดไว้แล้วเถิด

พระราชกุมารตรัสว่า ข้าแต่พระมหามุนี วาจาของท่านช่างไพเราะ จับใจ มีแต่ประโยชน์
ท่านอยู่ในป่า ยินดีอะไร โปรดบอกทีเถิด

พระ มหากัจจายนะทูลว่า ดูก่อนพระราชกุมาร เราชอบการไม่เบียดเบียนสัตว์ทั้งปวง การไม่ลักขโมย
การไม่ประพฤติล่วงเกินทางกาม การไม่เสพของมึนเมา และชอบการไม่ทำบาป ความประพฤติสงบ
ความเป็นพหูสูต ความกตัญญู เพราะธรรมเหล่านี้วิญญูชนสรรเสริญ

จากนั้นพระมหากัจจายนะได้ตรวจ ด้วยอนาคตังสญาณ เห็นอายุของพระราชกุมารเหลืออีก ๕ เดือนเท่านั้น
เพื่อให้เขาสลดใจแล้วตั้งอยู่ในสัมมาปฏิบัติ จึงทูลว่า ดูก่อนพระราชกุมาร ความตายของท่านใกล้เข้ามาแล้ว
ท่านจักตายใน ๕ เดือน ขอท่านจงรู้แล้วรีบปลดเปลื้องตนเถิด

พระราชกุมารถามถึงอุบายหลุดพ้นว่า
ข้าพเจ้าพึงไปที่ไหน ทำการงานอะไร ทำกิจอะไรของบุรุษ หรือพึงเล่าเรียนวิชาอะไรหนอ จึงจะไม่แก่ ไม่ตาย

พระมหากัจจายนะ ทูลว่า ดูก่อนพระราชกุมาร ไม่มีสถานที่ใดที่สัตว์ไปแล้วจะไม่แก่ไม่ตาย
ไม่มีการงาน กิจของบุรุษ หรือวิชา ที่สัตว์กระทำหรือเล่าเรียนแล้วจะไม่แก่ไม่ตาย

ผู้มีทรัพย์มาก มีโภคสมบัติมาก เป็นกษัตริย์ปกครองแว่นแคว้น มีทรัพย์และข้าวเปลือกมากมาย
ท่านเหล่านั้นจะไม่แก่ ไม่ตาย ก็หาไม่

ท่านที่มีเพลงอาวุธอันได้ศึกษาแล้ว แกล้วกล้า อาจหาญ สามารถประหารฝ่ายศัตรู
แม้ท่านเหล่านั้นก็ถึงความสิ้นอายุ จะดำรงยั่งยืนเหมือนพระอาทิตย์พระจันทร์ ก็หาไม่

กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร คนจัณฑาล คนขนขยะ และชนชาติอื่นๆ แม้คนเหล่านั้น จะไม่แก่ ไม่ตาย ก็หาไม่

ท่านที่เรียนมนต์พรหมจินดาอันมีองค์ ๖ ท่านที่เรียนวิชาอื่นๆ แม้ท่านเหล่านั้น จะไม่แก่ ไม่ตาย ก็หาไม่

อนึ่ง พวกฤาษีผู้สงบ สำรวมตน บำเพ็ญตบะ แม้ท่านเหล่านั้น ก็จำต้องละทิ้งร่างกายไปตามกาล

แม้พระอรหันต์ทั้งหลาย ผู้อบรมตนแล้ว เสร็จกิจแล้ว ไม่มีกิเลส สิ้นบุญและบาป ก็ยังต้องทอดทิ้งร่างกายนี้ไป

พระราชกุมารตรัสว่า
ข้าแต่พระมหามุนี ข้าพเจ้าโล่งใจเพราะวาจาอันท่านกล่าวดีแล้ว ขอท่านจงเป็นที่พึ่งของข้าพเจ้าเถิด

พระเถระกล่าวว่า
ท่านอย่าถึงอาตมภาพเป็นที่พึ่งเลย จงถึงพระพุทธเจ้าผู้เป็นพระมหาบุรุษที่อาตมาถึงเป็นที่พึ่ง ว่าเป็นที่พึ่งเถิด

พระราชกุมารตรัสถามว่า พระพุทธเจ้าผู้เป็นบรมครูของท่าน เวลานี้ประทับอยู่ในชนบทไหน
ข้าพเจ้าจักไปเฝ้าพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ผู้หาบุคคลเปรียบปานมิได้

พระเถระตอบว่า
พระพุทธเจ้าผู้เป็นบรมครู ทรงเป็นบุรุษอาชาไนย ประทับอยู่ทางทิศตะวันออก แต่พระองค์ปรินิพพานเสียแล้ว

พระราชกุมารตรัสว่า ถ้าพระพุทธเจ้าผู้เป็นบรมครูของท่านพึงยังดำรงพระชนม์อยู่ไซร้
ถึงจะประทับอยู่ไกลพันโยชน์ ข้าพเจ้าก็จะไปเฝ้าให้จงได้ เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้ว
ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้าซึ่งเสด็จปรินิพพานแล้ว กับทั้งพระธรรมและพระสงฆ์สาวกเป็นที่พึ่ง
ข้าพเจ้าของดเว้นจากการฆ่าสัตว์และการลักขโมย ไม่ประพฤติล่วงเกินในทางกาม ไม่พูดเท็จ และไม่ดื่มน้ำเมา

เมื่อพระราชกุมารตั้งอยู่ในสรณะและศีลแล้ว พระเถระก็ทูลว่า ดูก่อนราชกุมาร ไม่มีประโยชน์ที่จะอยู่ในป่านี้
ท่านจักสิ้นพระชนม์ใน ๕ เดือน ฉะนั้น ท่านควรไปยังสำนักพระราชบิดาของท่าน
ทำบุญทั้งหลายมีทาน เป็นต้น พึงเป็นผู้มีสวรรค์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า

จากนั้น พระเถระได้แบ่งพระบรมสารีริกธาตุให้พระราชกุมาร

พระราชกุมารตรัสว่า ข้าพเจ้าจักไปตามคำของท่าน แม้ท่านก็พึงไปในที่นั้น เพื่ออนุเคราะห์ข้าพเจ้า

เมื่อพระเถระรับนิมนต์แล้ว พระราชกุมารก็ทำความเคารพ แล้วเสด็จกลับไปนครของพระบิดา
กราบทูลเรื่องราวให้ทรงทราบ

พระราชาทรงสดับแล้ว มีพระราชประสงค์จะอภิเษกให้พระราชกุมารครองราชสมบัติ

พระราชกุมารกราบทูลว่า ข้าพระองค์มีอายุน้อย อีก ๔ เดือนก็จักตาย
ประโยชน์อะไรด้วยราชสมบัติ ข้าพระองค์จักอาศัยพระองค์ทำบุญเท่านั้น

จากนั้นพระราชกุมารได้ตรัสสรรเสริญคุณของพระรัตนตรัย และคุณของพระมหากัจจายนะ

พระราชาสดับแล้วทรงเลื่อมใสในพระรัตนตรัยและพระเถระ
โปรดให้สร้างวิหารใหญ่แล้วทรงส่งทูตไปรับพระมหากัจจายนะ นิมนต์ให้เข้าวิหาร
บำรุงด้วยปัจจัยสี่โดยเคารพ ตั้งอยู่ในสรณะและศีล

พระราชกุมารสมาทานศีล บำรุงพระเถระและภิกษุทั้งหลายโดยความเคารพ ให้ทาน ฟังธรรม
ล่วงไปสี่เดือนก็สิ้นพระชนม์ไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์

..จาก (จูฬรถวิมานวัตถุ ๒๖/๖๓)





เรื่องของพระราชกุมารนี้ มีสาระที่ควรกล่าวถึง ดังนี้

*๑. คุณค่าของคนอยู่ที่ความดี สุชาตกุมารแม้อายุจะสั้น แต่มีโอกาสทำความดี เช่น ให้ทาน รักษาศีล ฟังธรรม
ก็ไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ ดีกว่าบุคคลประเภท โตเพราะกินข้าว เฒ่าเพราะเกิดนาน
ซึ่งแก่แค่อายุ ไม่แก่ด้วยคุณงามความดี ปล่อยให้ชีวิตล่วงเลยไปเปล่าๆ ไม่ได้สร้างความดีไว้เลย

*๒. พระมหากัจจายนะให้การต้อนรับอย่างดี ครบถ้วนด้วยธรรมและอามิส ทำให้สุชาตกุมารทรงเลื่อมใส
ในทางโลกก็เช่นกัน ห้างร้านใดให้การต้อนรับดี ลูกค้าก็มาอุดหนุนมาก
ดังนั้น การต้อนรับจึงเป็นเหตุอย่างหนึ่ง แห่งความเจริญทั้งทางโลกและทางธรรม

*๓. คนดีกับคนชั่วย่อมยินดีต่างกัน คนดีย่อมยินดีในศีลธรรม เห็นของเขาลืมทิ้งไว้ แม้มีโอกาสก็ไม่ลักขโมย
ส่วนคนชั่วย่อมตรงกันข้าม ของที่เขาเก็บซ่อนหรือรักษาไว้อย่างมั่นคงในบ้าน
ยังพยายามหาทางลักของเขาไปจนได้

*๔. ชีวิตคนเราไม่เที่ยง แม้เด็กก็อาจตายก่อนผู้ใหญ่ แม้ลูกก็อาจตายก่อนพ่อแม่
เพราะคนเราเมื่อเกิดมาแล้ว ก็แก่พอจะตายได้ทุกคน ดังนั้น จึงไม่ควรมัวเมาประมาทในชีวิตว่า เราจะอยู่ไปอีกนาน
เรายังไม่ตายง่ายๆ ควรใช้เวลาที่ยังเหลืออยู่ให้เป็นประโยชน์ อย่าปล่อยให้เวลาล่วงไปเปล่า
แต่ละวันจะน้อยหรือมากก็ให้ได้อะไรบ้าง

*๕. ทุกคนล้วนต้องตาย ไม่ใช่เราคนเดียว เมื่อความตายมาถึง ไม่มีทางหนีหรือป้องกันได้
การดิ้นรนขัดขืนมีแต่ทำให้ทุกข์ใจมากยิ่งขึ้น จึงควรยอมรับและเผชิญหน้ากับความตายอย่างมีสติ
วิธีทำใจก่อนจะไปไม่กลับ หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มี หนีไม่พ้น มีดังนี้

๕.๑ ละความห่วงใยในบุคคล
ต่างคนต่างเกิด ต่างคนต่างตาย ทุกคนมีกรรมเป็นของตนเอง การมาอยู่ร่วมกันในโลกนี้ก็เพียงชั่วคราวเท่านั้น
เทียบได้กับจุดเล็กๆ จุดเดียวในสังสารวัฏอันหาที่สุดมิได้ เมื่อถึงเวลาทุกคนก็ไปตามยถากรรมของตน
แม้จะห่วงใย เราก็ต้องจากไปสู่โลกหน้าเพียงลำพัง ไม่อาจช่วยเหลือใครได้ จึงควรละความห่วงใยคนอื่นๆ เสีย


๕.๒ ละความห่วงใยในทรัพย์สิน
เมื่อเกิดก็มามือเปล่า เมื่อตายก็ไปมือเปล่า จะเอาทรัพย์สินติดตัวไปไม่ได้เลย
วัตถุต่างๆ เป็นของคู่โลกที่ถูกยืมมาใช้ชั่วคราว ไม่มีใครเป็นเจ้าของ
ไม่ใช่สมบัติของเราหรือใครๆ จึงควรละความห่วงใยในทรัพย์สินเสีย

๕.๓ ลืมเรื่องเศร้าในอดีตเสีย
เพราะผ่านไปแล้วแก้ไขไม่ได้ และอย่ากังวลกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง จะเป็นอย่างไรก็ช่าง
อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิดไป จงทำปัจจุบันให้ดี แล้วอนาคตย่อมดีไปเอง

๕.๔ ระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย ด้วยความเลื่อมใสอันมั่นคง
เพราะเป็นที่พึ่งอันแท้จริง ทรัพย์สิน ญาติมิตร ... หาใช่ที่พึ่งอันแท้จริงไม่


๕.๕ รับศีลจากพระหรือสมาทานศีลด้วยตนเองว่า
“ข้าพเจ้า ขอสมาทานศีล ๕“ (สมาทาน = รับมาปฏิบัติ)


๕.๖ ระลึกถึงบุญกุศลหรือความดีที่เคยกระทำมา ก็จะเกิดปีติยินดี อิ่มใจ สุขใจ

๕. ๗ มีสติอยู่กับวิปัสสนากรรมฐาน
เช่น ระลึกว่า ไม่มีใครแก่ ไม่มีใครเจ็บ ไม่มีใครตาย ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นต้น ต่างหาก มันแก่ มันเจ็บ มันตาย
นึกจนใจเป็นกลาง ไม่ยินดีต่อความเป็น ไม่กลัวต่อความตาย

เมื่อทำใจดังกล่าวมานี้ ได้ชื่อว่า ตายดี กล่าวคือ
๕.๑-๕.๖ ย่อมเป็นไปเพื่อสุคติ
ข้อ ๕.๗ ย่อมเป็นไป เพื่อมรรคผลนิพพาน

อนุโมทนาครับ

.....................................................
ข้าพเจ้าขออาราธนาพระบารมี 30 ทัศ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เสด็จนิพพานไปแล้ว มากยิ่งกว่าเม็ดกรวดเม็ดทรายในท้องมหาสมุทรทั้ง 4 ด้วยเดชะพระพุทธานุภาพ พระธรรมมานุภาพ พระสังฆานุภาพ พระบารมีพระโพธิสัตว์ พระปัจเจกโพธิสัตว์เจ้า พระอรหันต์ทั้งหลายและพระบารมีขององค์พระสมณะโคดมบรมครู ขอได้ส่งพลังมายังตัวข้าพเจ้า จงดลบันดาลให้ข้าพเจ้าหายจากโรคภัยไข้เจ็บและสรรพเคราะห์ทั้งหลายในกายของข้าพเจ้า จงหายไปสิ้นทั้งหมดขอให้ข้าพเจ้าเป็นผู้ชนะต่ออุปสรรคและมารทั้งหลาย
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ส.ค. 2009, 14:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 เม.ย. 2009, 06:18
โพสต์: 731

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผู้ถึงธรรมดับกิเลสเสียได้
อยู่สบายทุกเวลา ผู้ใดไม่ติดอยู่ในกามทั้งหลาย
เขาจะเย็นสบาย ไม่มีที่ให้กิเลสตั้งตัวได้

ตัดความติดข้องเสียให้หมด
กำจัดความกระวนกระวายในหทัยเสียให้ได้
พักจิตได้แล้ว จึงถึงความสงบใจอยู่สบาย

ขอกราบอนุโมทนาบุญ สาธุ.......... :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ส.ค. 2009, 21:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


:b42: เสียงพระธรรมเทศนา "วิธีหาจิต" โดย :b8: หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี :b8:

http://www.imeem.com/akesira/music/bc7Qmj3u//

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ต.ค. 2009, 12:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ม.ค. 2009, 20:45
โพสต์: 1094

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 7 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร