วันเวลาปัจจุบัน 27 ส.ค. 2025, 15:59  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 61, 62, 63, 64, 65, 66, 67 ... 102  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2010, 01:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อาจารย์คะ ได้ฟังธรรมของอาจารย์แล้วก็ได้เริ่มปฎิบัติตัวเองไม่ให้ผิดศีล เพราะกลัวบาป ท่านอาจารย์คะ บังเอิญได้ฟังธรรมมักกะลีผล ซึ่งเป็นประวัติของหลวงพ่อจรัญ และได้หาฟังต่ออีก เช่นเรื่องสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ยิ่งได้ฟัง ยิ่งซาบซึ้งและเคารพในหลวงพ่อจรัญมากยิ่ง ขึ้นมีเรื่องรบกวนจะถามอาจารย์ค่ะ
1. ทำไมเมื่อฟังประวัติของหลวงพ่อ ทำให้อยากไปเข้ากรรมฐาน สัก 7 วัน และมองตัวเองว่าที่ผ่านมายังทำอะไรไม่ได้เรื่องเลย
2. ที่บ้านฟังด้วยกันในครอบครัว ดิฉันได้ถามพ่อบ้านว่าอยากไปปฎิบัติกรรมฐานไหม เค้าบอก
ไม่ เพราะอะไรคะ ทั้งๆๆที่ตอนฟังก็ศรัทธา แต่เพราะอะไรพ่อบ้านถึงยังไม่อยากไป
3. การที่มีคนผู้พูดว่า มีของเก่าติดตัวมาคืออะไรคะ

กราบขอบพระคุณค่ะ

คำตอบ
(๑) คำว่า “ ฟัง ” คือได้ยินเสียงคนอื่นพูด หากเสียงที่ได้ยินเป็นเหตุให้เกิดศรัทธาได้แล้ว ผู้ศรัทธาจึงอยากนำตัวเข้าปฏิบัติกรรมฐาน ความอยากเพียงอย่างเดียวไม่ทำให้คนดีได้ หากประสงค์จะเป็นคนดีมีธรรมะคุ้มครองใจ ต้องนำตัวเองเข้าปฏิบัติกรรมฐานด้วย

(๒) เพราะศรัทธาที่เกิดกับพ่อบ้านยังมีกำลังอ่อนกว่า กำลังของกิเลสที่มีอยู่ในจิตวิญญาณของพ่อบ้าน

(๓) ถ้าของเก่าเป็นสิ่งไม่ดี ถูกเก็บสั่งสมไว้ในจิตวิญญาณ จึงเรียกของที่ติดตัวมาว่า มีบาปติดตัว ตรงกันข้ามถ้าของเก่าเป็นสิ่งดีงาม ถูกเก็บสั่งสมไว้ในจิตวิญญาณ เรียกของที่ติดตัวมาว่า มีบุญติดตัว

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2010, 01:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. ปริมาณอาหารควรเตรียมให้เท่ากับจำนวนคนเมื่อเทียบกับภพมนุษย์รึเปล่าคะ หนูเคยทราบมาว่าปริมาณอาหารในภพมนุษย์จะมีขนาดใหญ่กว่าในภพสัมภเวสี ขอทราบอัตราส่วนคร่าวๆด้วยค่ะเช่น 1 ส่วนต่อ 5 ส่วนเป็นต้น

2. เวลา 1 วันในภพสัมพเวสีเท่ากับเวลากี่วันในภพมนุษย์คะและสัมภเวสีต้องทานอาหารวันละ กี่มื้อ

3. เรา(ตัวหนูและครอบครัว)ควรทานอาหารที่เซ่นไหว้เสร็จแล้วรึเปล่าคะ

4. การที่เราเซ่นไหว้อาหารให้กับสัมภเวสีโดยตรงกับการที่เราถวายภัตตาหารแก่พระ ภิกษุสงฆ์แล้วอุทิศกุศลให้มีผลกับสัมภเวสีเหมือนกันไหมคะ

5. เราสามารถเชิญสัมภเวสีซึ่งเป็นญาติมาอยู่กับเราได้ไหมคะเพื่อที่พวกท่านจะ ได้ไม่เร่ร่อนและต้องทำอย่างไร กรุณาแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีบอกกล่าวกับเจ้าที่ที่บ้านด้วยค่ะเพื่อที่ จะไม่เป็นการล่วงเกิน

สุดท้ายนี้ขอให้อาจารย์ดร.สนองและทีมงานกัลยาณธรรมเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป ค่ะ


คำตอบ
(๑) คนที่ตายก่อนถึงอายุขัย แล้วไปโอปปาติกะ เป็นสัมภเวสี คือเป็นสัตว์กายทิพย์ที่มีรูปลักษณ์เหมือนเดิมก่อนตายทุกประการ สัมภเวสียังอยู่ในภพมนุษย์แต่อยู่ในมิติที่ต่างกัน เมื่อยังเป็นมนุษย์ที่มีกายหยาบอยู่ เขาชอบบริโภคอาหารชนิดใดและบริโภคประมาณเท่าใด เมื่อตายไปเป็นสัมภเวสีแล้ว เขายังชอบบริโภคอาหารชนิดเดิมและปริมาณเดิม

(๒) เนื่องจากเป็นรูปนามอยู่ในภพมนุษย์เดียวกันกับผู้ที่ยังไม่ตาย วันเวลาของสัมภเวสีและวันเวลาของมนุษย์ จึงมีความยาวนานเป็นอย่างเดียวกัน ส่วนสัมภเวสีจะกินอาหารวันละกี่มื้อ ขึ้นอยู่กับจริตในการบริโภคอาหารของเขาในขณะยังเป็นมนุษย์กายหยาบ เขาบริโภคอาหารวันละกี่มื้อ สันดานในการบริโภคอาหารของมนุษย์สัมภเวสีตนนั้น ก็จะแสดงออกมาเหมือนกัน เพราะสัญญาจำนวนมื้อในการบริโภคยังคงมีอยู่

(๓) ถ้าผู้ถามปัญหาและครอบครัวมีคุณธรรมสูงกว่ารูปนามที่ถูกเซ่นไหว้ หากไปบริโภคอาหารที่เหลือจากการเซ่นไหว้ ถือว่าเป็นเดนอาหาร ไม่ควรทำเพราะจำเป็นโทษกับผู้บริโภค ตรงกันข้าม หากผู้ถามปัญหาและครอบครัวมีคุณธรรมต่ำกว่ารูปนามที่ถูกเซ่นไหว้ การบริโภคอาหารที่เหลือจากการเซ่นไหว้ ไม่เรียกว่าเดนอาหาร สามารถบริโภคได้เพราะเป็นคุณกับผู้บริโภค

(๔) มีผลกับสัมภเวสีเหมือนกันเมื่อเซ่นไหว้โดยตรง หรือถวายอาหารแก่ภิกษุสงฆ์ที่มีคุณธรรมระดับเดียวกับผู้เซ่นไหว้ แล้วจึงอุทิศบุญกุศลให้กับสัมภเวสี หากผู้เซ่นไหว้เป็นอริยบุคคลแต่สงฆ์เป็นปุถุชน สัมภเวสีได้อานิสงค์จากการเซ่นไหว้มากกว่าการมาอนุโมนาบุญจากสงฆ์ผู้เป็น ปุถุชน ตรงกันข้าม สัมภเวสีได้อานิสงค์น้อยกว่า จากการเซ่นไหว้ของบุคคลผู้เป็นปุถุชนแต่ได้อานิสงค์มากกว่า หากมาอนุโมทนาบุญจากสงฆ์ผู้เป็นอริยบุคคล

(๕) สัมภเวสีเป็นสัตว์ที่มีบุญน้อยกว่าเจ้าที่ จึงต้องขออนุญาตเจ้าที่ก่อน หากเจ้าที่อนุญาตแล้ว สัมภเวสีจึงจะมีสิทธิ์เข้าสู่บริเวณของบ้านได้ แม้ขณะเป็นมนุษย์เคยเดินเข้าเดินออกจากบ้านนั้นมาก่อนก็ตาม เมื่อเป็นสัมภเวสีแล้วก็มิอาจเข้าบ้านได้โดยพลการ การขออนุญาตไม่ยุ่งยากเพียงแต่สื่อให้เจ้าที่ทราบด้วยจิต และเมื่อเขาอนุญาตแล้วสัมภเวสีจึงจะเข้าบ้านได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2010, 01:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1.เรื่องการประกอบอาชีพของแต่ละคน บางคนเป็นแพทย์ เป็นวิศวกร เป็นข้าราชการ เป็นพ่อค้า เป็นกรรมกร อยากทราบว่าเกิดจากกระทำในปัจจุบันของตัวเอง หรือเกิดจากกรรมในอดีตกำหนดมา

2.เพื่อนผมแนะนำให้ทำธุรกิจขายตรง โดยได้รับการอบรมวิธีการขาย วิธีต่าง ๆ นานา เพื่อให้สามารถขายสินค้าได้ แต่ทำไมตัวผมไม่มีความสุขในการประกอบอาชีพนี้เลย รู้สึกไม่อยากทำ เป็นเพราะอะไรครับ

3.ถ้าเราโดนโกงเงิน จะมีวิธีคิดอย่างไรให้ใจเป็นทุกข์น้อยที่สุด หรือมีวิธีป้องกันอย่างไรไม่ให้เกิดขึ้นอีกครับ

4.ผมประกอบอาชีพค้าขาย แต่ก็ล้มเหลวมาหลายครั้ง เปลี่ยนไปทำอย่างอื่นบ้าง ก็ยังไม่สำเร็จ อยากทราบว่าเป็นเพราะอะไร แล้วเราจะเจอธุรกิจที่ประสบความสำเร็จได้อย่างไร

ขอขอบคุณอาจารย์อย่างสูงครับ

คำตอบ
(๑) เกิดจากกรรมที่ทำไว้แต่อดีตกับกรรมที่ทำในปัจจุบันให้ผลร่วมกัน

(๒) เหตุที่ไม่มีความสุขในการประกอบอาชีพ เพราะกรรมในอดีตมีกำลังมากกว่า กรรมที่ทำอยู่ในปัจจุบันมีกำลังน้อยกว่า

(๓) ผู้มีปัญญาเห็นถูก เห็นว่าตัวเองถูกคนอื่นโกงเงิน ดีกว่าตัวเองไปโกงเงินคนอื่น ผู้มีปัญญาเห็นถูก เห็นว่าอดีตตัวเองเคยไปโกงเงินเขามาก่อน ปัจจุบันจึงต้องใช้หนี้กรรมที่เคยไปเอาเงินเขามาแล้วไม่ชดใช้คืน หนี้เก่าจะได้จบสิ้นกันไป ผู้มีปัญญาเห็นถูก เห็นว่าเงินเป็นทรัพย์ภายนอกที่เป็นสาธารณะแก่โจร แก่น้ำ แก่ไฟ ฯลฯ ผู้มีปัญญาเห็นถูก เห็นว่าเงินเป็นทรัพย์กำพร้า เป็นทรัพย์ภายนอก ตายแล้วเอาไปไม่ได้ จึงมีจิตไม่เสียดายเงินที่ถูกโกง แล้วผู้ถามปัญหามี ปัญญาเห็นถูกหรือมีปัญญาเห็นผิดล่ะ

(๔) ประกอบธุรกิจแล้วไม่ประสบความสำเร็จ มีเหตุที่ทำให้เกิดได้ดังนี้
๑. มีความรู้ มีความสามารถในอาชีพ และมีคุณธรรมด้อยกว่าคนอื่นที่ประกอบอาชีพในลักษณะเดียวกัน
๒. มีศีล ๕ ไม่บริสุทธิ์ มีศีลไม่ครบ ๕ ข้อ
๓. อกตัญญูต่อบุพการี หรือผู้มีอุปการะ หรือต่อแผ่นดินเกิด
๔. กำลังเสวยผลของอกุศลวิบากจากกรรมเก่า
ฯลฯ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2010, 01:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ช่วงนี้รู้สึกบริจาคสนุกดี อยากบริจาคพวกของให้เด็กอะไรทำนองนี้ เงินที่ใช้คือเงินที่แม่ให้กินข้าวประจำสัปดาห์ คือหนูแบ่งไว้ ส่วนนึงใช้บริจาคอ่ะค่ะ แล้วคือ ที่จริงหนูก็ยังอยากจะบริจาคอยู่

อาจารย์ว่าการที่หนูทำอย่างงี้ นี่เหมือนใช้จ่ายไม่คิดรึเปล่าคะ

คือหนูรู้สึกสบายใจที่เวลาบริจาคแล้วไม่งกอ่ะค่ะ คือชอบตอนตัวเองไม่งก เพราะอยากเลิกงกมานาน

ค่ะ
สวัสดีค่ะ

คำตอบ
ทาน คือการให้ การสละ การบริจาค ผลที่จะกลับมาสู่ผู้ให้ทาน คือ ผู้ให้เป็นสุข ยิ่งให้ยิ่งมีมากเพราะการให้ทานเป็นที่ตั้งแห่งโภคะทั้งปวง ผู้ให้ทานมีเครื่องป้องกันภัยในวัฏสงสาร เป็นผู้มีที่พึ่งอาศัยทั้งในโลกนี้และในโลกหน้า ทานเหมือเครื่องกำจัดความตระหนี่ ความโลภได้ ฯลฯ คนที่ไม่งกเป็นคนดี ..... สาธุ การให้ทานแล้วได้บุญต้องไม่เบียดเบียนตัวเอง การให้ทานเป็นการเปลี่ยนทรัพย์ภายนอกให้เป็นทรัพย์ภายใน คนที่มีความเห็นถูกมีความคิดถูกจึงประพฤติเช่นนี้ได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2010, 01:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1 ช่วงเข้าพรรษาหนูตั้งใจเดินจงกรม และนั่งสมาธิภาวนาพุท-โธ อย่างละ1/2ชม.ทุกวัน ขาดบ้างไม่น่า
เกิน 7 วัน ปกติเวลาเริ่มนั่ง ก็เหมือนกับดำนำ พอใกล้เวลา 1/2 ชม. ก็จะเหมือนกับคนจะโผล่พ้นผิวน้ำ
-ระหว่างเข้าพรรษา มีการนั่งสมาธิครั้งหนึ่งที่หนูดูตรงสีข้างลำตัวด้านซ้าย รู้สึกว่ามีกายซ้อนกายห่างประมาณ
หนึ่งนิ้ว1/2 ถึง 2 นิ้ว กายหนึ่งหายใจตามปกติ อีกขอบของกายหนึ่งไม่ได้ขยับหายใจตามกายแรก ดูสักพัก ประมาณ5-10 วินาทีก็หาย
ถาม อาการที่เกิดเรียกว่าอะไร เกี่ยวกับสมาธิหรือไม่

-ต่อมาเช้าวันหนึ่งหนูขับรถ ตาก็เห็นทุกอย่างเห็นถนน เห็นอาคาร เห็นรถเป็นปกติ แต่เกิดความรู้สึกว่าว่าง ไม่มีโลก ไม่มีหนู ไม่รู้ว่าหนูเป็นใคร เพียง 3-4 วินาที มีสติรู้ แต่เกิดขณะขับรถ เลยต้องกลับมาคิดว่าตัวเองเป็นใคร และกำลังทำอะไรอยู่ โชคดีที่เช้านั้นรถไม่มาก
ถาม อาการนี้เกิดขึ้นใช่เหมือนกับผู้ถามในข้อ 958 และ 1014 หรือเปล่า เกี่ยวกับสมาธิหรือไม่
-หนูนั่งสมาธิก่อนนอน ตอนนอนก็ภาวนาพุท-โธ วางฐานจิตที่สะดือ และคิดจะหยุดเพื่อหลับไป ตามปกติ
พอหนูหยุดภาวนา แต่กลับยังมีการภาวนาพุท-โธ อยู่ และยังวางฐานจิตที่เดิม ทำให้หนูเหมือนจะนอน
ไม่หลับ มันตื่นตลอด แต่รุ่งขึ้นต้องทำงานเลยเปลี่ยนอริยาบถเพื่อให้เสียงนั้นหยุดไป สักพักก็หยุดเป็นปกติ
ถาม ที่เกิดขึ้นคืออะไร หนูต้องทำอย่างไร

2 หลังออกพรรษานั่งสมาธิอยู่แต่ไม่ทุกวัน เดือนธันวาคมนั่งแทบทุกวัน หนูนั่งสมาธิก่อนนอนได้นานขึ้นเป็น 1 ชม.
ถึง 1 ชม.ครึ่ง หลังๆ วันละ 2-3 ครั้ง จนเมื่อต้นเดือนมกราคม 52 อาการเวทนาเจ็บขายังมีอยู่แต่ระหว่างเวทนา
กับความรู้สึกเหมือนมีม่านกั้นอยู่ คือมันยังเจ็บอยู่แต่มันห่างจากใจ และมีอาการเวทนาที่อื่นคือกระตุกนิดๆ บางทีคันยิบๆ
บางทีมีอาการเหมือนเข็มจิ้ม บางทีบางส่วนของร่างกายก็มีคลื่นเล็กๆเย็นๆสบาย ฯลฯ ซึ่งแปลกที่มีความรู้สึกรู้ทัน
ว่ามัน จะเกิดตรงไหนและดูทันตั้งแต่ตอนเกิดและ ดูจนมันดับหายไป ทุกอาการค่อยๆ เกิดตามลำดับทั่ว ร่างกายแล้วหายไป และนั่งสมาธิ ครั้งต่อๆมาก็รู้ทันแต่ตอนที่เวทนาดับ ครั้งหลังขณะนั่งสมาธิรู้สึกว่าฟันกรามบนขวาซี่ในสุดล่วงหลุด
แล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้น และต่อมาเห็นปลายนิ้วกลางเป็นผงสลายจากปลายนิ้วเข้ามาสู่กลางนิ้ว ส่วนกายที่นั่งก็มีการลั่นของกระดูกและเหมือนจะเอนตัวล้มลงนอน ไม่ได้น้อมใจให้คิด แต่ขณะนั่งหนูไม่แน่ใจว่า ตัวเอนจริงหรือเปล่าเลยออกจากสมาธิเห็นว่าตัวก็เอนจริงๆ ที่เล่าให้อาจารย์ฟังหนูปฏิบัติถูกต้องหรือผิดพลาดอย่างไร มีมิจฉาสมาธิบ้างหรือเปล่าคะ แล้วต้องแก้ไขอย่างไร

กราบขอบพระคุณอาจารย์ ขอบุญคุ้มครองอาจารย์ให้มีสุขภาพแข็งแรงค่ะ

คำตอบ
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเรียกว่า นิมิต เหตุเป็นเพราะจิตมีความถี่ช่วงคลื่นที่ทำให้เกิดนิมิตได้เพียงเดี๋ยวเดียว แล้วความถี่คลื่นจิตเปลี่ยนไป จึงทำให้ภาพนิมิตหายไป ถามว่านิมิตที่เห็นนั้นเกี่ยวกับสมาธิหรือไม่ ตอบว่า เกี่ยวกับจิตที่เข้าสู่ภาวะตั้งมั่นเป็นสมาธิประเดี๋ยวประด๋าว (ขณิกสมาธิ)

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2010, 01:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พ่อของหนูอายุ 62 ปี ป่วยเป็นโรคตามาหลายปี (ปลายประสาทตาเสื่อม มองไม่ค่อยเห็น) ต้องออกจากงาน และส่งผลให้มีปัญหาสุขภาพอื่นๆ ตามมา เช่น ปวดหลัง ปวดขา เพราะเดินไม่ค่อยสะดวก กลัวว่าจะชนโน่นชนนี่ ทุกวันนี้หนูก็ต้องทำงานไม่ค่อยมีเวลาดูแลพ่อเท่าไหร่นัก มีก็เพียงพาไปหาหมอ หาข้าวให้กินหรือพากินข้าวนอกบ้านตามโอกาส แต่ก็มีแม่ที่ช่วยดูแลบ้าง และก็ต้องทำงานบ้านด้วย

หนูเข้าใจว่าทุกอย่างเกิดจากผลกรรมที่ส่งผลมาทั้งสิ้น แต่จะมีหนทางใดช่วยพ่อให้บรรเทาทุกข์เรื่องสุขภาพบ้าง และหนูต้องทำอย่างไร

กราบขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะ

คำตอบ

เมื่อใดที่กรรมให้ผลเป็นอกุศลวิบาก ความรู้ทางด้านการแพทย์แผนปัจจุบันไม่สามารถรักษาให้หายได้ ผู้ทำกรรมจึงต้องรับวิบากด้วยตัวเอง ดูวิธีบริหารหนี้เวรกรรมจาก web site ข้อ 728 หรือจากหนังสือสนทนาภาษาธรรม เล่ม ๑๑ ข้อ ๗๘

อนึ่งอาการปวดหลัง ปวดขา สามารถบำบัดได้ชั่วคราว อาทิ พัฒนาจิตตนเองให้เข้าสู่ความตั้งมั่นเป็นสมาธิแน่วแน่ (อัปปนาสมาธิ) หรือที่เรียกว่า สมาธิในระดับฌาน ตราบใดที่จิตทรงอยู่ในฌาน อาการปวดหลังปวดขาจะไม่เกิดขึ้น ผู้ใดพัฒนาจิตจนรู้เห็นเข้าใจตามความเป็นจริงว่า กายกับจิตเป็นคนละส่วนกัน แล้วกันจิตให้เป็นอิสระจากกาย อาการปวดหลังปวดขาจะไม่เกิดขึ้น หรือผู้ใดมีสภาวะของจิตเป็นอริยบุคคล นับแต่พระอนาคามีขึ้นไป แล้วพัฒนาจิตให้เข้าสู่สภาวะที่เรียกว่า นิโรธสมาบัติ ได้ อาการปวดหลังปวดขาจะไม่เกิดขึ้น กับจิตที่เข้าสู่สภาวะเช่นนี้ ฯลฯ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2010, 01:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ในกรณีที่ข้าพเจ้าประกอบอาชีพ ตำรวจ ทนายความ อัยการ ผู้พิพากษา ด้วยสุจริตซื่อสัตย์ ถูกกฏหมายทุกประการในบ้างครั้งจะทำให้ ท่านอื่นทนมาน เพราะท่านเหล่านั้นทำผิดตามกฏหมาย ข้าพเจ้าทำตามกฏหมาย จะต้องรับผลอย่างไรบ้าง ก่อนตาย และหลังตาย ในกรณีดังกล่าวส่งผล และมีวิธีแก้ไขอย่างไรที่จะไม่ต้องรับผลดังกล่าว(เนื่องจากอ่านเรื่องพระเต มีย์ใบ้ทำให้ข้าพเจ้าสงสัย)

ด้วยความเครารพอย่างสูง

คำตอบ
อาชีพเสี่ยงต่อความผิดพลาดสี่อาชีพที่ถามไป หากผู้ถามปัญหาประพฤติได้ถูกตรงตามกฎ กติกาของบ้านเมือง ปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างถูกตรงและเอาผู้กระทำความผิดมาลงโทษได้ตามกฎหมาย สังคมถือว่าผู้นั้นประพฤติสุจริต แต่การกระทำยังมีส่วนเข้าไปร่วมในกระบวนกรรมของผู้อื่น คือได้บุญการช่วยคนไม่ผิด และได้บาปจากผู้ถูกลงโทษหากเขาจองเวรเอาไว้

กรรมร่วมแบบนี้ หากตามให้ผลทันในชาติปัจจุบันหรือชาติถัดไป การดำเนินชีวิตและการปฏิบัติงาน ติดขัด ล่าช้า ไม่เป็นอิสระ และมีปัญหาเกิดขึ้นให้ต้องแก้ไข ดังนั้นวิธีป้องกันมิให้เวรกรรมตามทัน

๑. ต้องทำตนให้มีศีล ๕ คุมใจอยู่ทุกขณะตื่น พัฒนาจิตให้มีสติคุมใจอยู่ทุกขณะตื่น เพราะศีลและสติ เป็นเครื่องคุ้มครองชีวิตมิให้ต้องได้รับความวิบัติใดๆ

หรือ ๒. ต้องพัฒนาจิตเป็นผู้มีดวงดีอยู่เสมอ ด้วยการประพฤติทาน ศีล และภาวนาตลอดชีวิต ตราบใดที่ยังต้องทำงานอยู่กับอาชีพเสี่ยงข้างต้น

หรือ ๓. ปิดอบายภูมิด้วยการพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง (วิปัสสนาภาวนา) แล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้ง กำจัดกิเลสในสังโยชน์ ๑๐ อย่างน้อยกำจัดกิเลสสามตัวแรก คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ให้หมดไปจากใจได้เมื่อใด ความเป็นอริยบุคคลขั้นต้น (โสดาบัน) จะเกิดขึ้น การทำงานเสี่ยงอันตรายต่ออาชีพทั้งสี่ย่อมปลอดภัย เพราะอริยบุคคลไม่ลงไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในอบายภูมิใดอีกต่อไป

ส่วนการแก้ไขกรรมที่ทำผิดพลาดไปแล้ว ต้องบริหารจัดการหนี้เวรกรรม ตามวิธีการ ๔ อย่างดังนี้
๑. เมื่อหนี้เวรกรรมตามทัน ต้องรับความจริงและยอมชดใช้หนี้กรรมจนกว่าจะหมดสิ้น
๒. ทำบุญใหญ่แลกหนี้ บุญใหญ่ที่ว่านี้คือ ปฏิบัติกรรมฐาน (สมถกรรมฐานและวิปัสนนากรรมฐาน) แล้วอุทิศบุญที่เกิดขึ้นชดใช้หนี้เวรกรรมที่ตามทัน
๓. ทำดีหนีหนี้ คือ คิดดี พูดดี ทำดีทุกขณะตื่น คำว่าดี ในที่นี้หมายถึง คิด พูด ทำ ไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดศีล และไม่ผิดธรรม
๔. หนีเข้านิพพาน คือ พัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง (วิปัสสนาภาวนา) แล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้งดับอวิชชาให้หมดไปจากใจ เมื่อใดที่อายุขัยเวียนบรรจบ จำเป็นต้องทิ้งขันธ์ลาโลก ดับรูปดับนามเข้าสู่นิพพาน หนี้เวรกรมที่เหลือเป็นอันยกเลิก ไม่ต้องชดใช้(อโหสิกรรม) เหตุเพราะไม่มีรูปนามมาปรากฏในวัฏสงสารอีกต่อไป

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2010, 01:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันสงสัยคำว่า "ตามดูจิต" หมายความว่าอย่างไร การตามดูจิตทำอย่างไร เป็นอย่างไร และ การพิจารณาให้เห็น "การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป" เป็นอย่างไร ทำอย่างไร ขอยกตัวอย่าง เช่น หากกำลังทำสมาธิอยู่ แล้วไปคิดถึงสถานที่หนึ่ง จะตามดูจิตอย่างไร พิจารณาการเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป อย่างไร ได้โปรดอธิบายด้วยค่ะ เพราะไม่เข้าใจ

ขอบพระคุณมากค่ะ

คำตอบ
คำว่า “ ตามดูจิต ” หมายถึงการใช้จิตที่มีความตั้งมั่นเป็นสมาธิจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) ตามดูสิ่งที่เข้ากระทบจิต (ผัสสะ) ว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ เมื่อผัสสะเข้าสู่อนัตตา ผัสสะไม่ใช่ตัวตน จิตจะปล่อยวางสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตน จิตเป็นอิสระแล้วว่างเป็นอุเบกขา พร้อมกับเกิดปัญญาเห็นแจ้งในผัสสะ

ส่วนตัวอย่างที่ยกถามไป การที่จิตไปคิดถึงสถานที่หนึ่ง นั่นแสดงว่า จิตรับกระทบแล้วปรุงเป็นอารมณ์ (คิดถึงสถานที่) ได้เกิดขึ้นแล้ว เหตุเป็นเพราะจิตมีกำลังของสติอ่อน อารมณ์จึงได้เกิดขึ้น เมื่อเป็นเช่นนี้ต้องกำหนดว่า “ คิดหนอๆๆๆ ” ไปเรื่อยๆ จนกว่าความคิดถึงสถานที่จะดับไป ผู้ที่ยังไม่มีความชำนาญในการพัฒนาจิตต้องกำหนดตามที่แนะนำมา แต่ผู้ที่มีความชำนาญแล้วจึงจะใช้จิตที่ตั้งมั่นระดับขณิกสมาธิไปตามดูความ คิดถึงสถานที่ตามกฎไตรลักษณ์ได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2010, 01:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หากเราเพียงแค่ร่วมบริจาคเงินเพียงเล็กน้อยที่เรามี ในการเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารแก่พระภิกษุ และหมู่โยคี ที่เข้าร่วมปฏิบัติธรรมตาม คอร์สที่กำหนดไว้ประมาณ 7 วัน
1. อานิสงฆ์ของเงินเล็กน้อยของเราจะเรียกได้ว่าเป็น "มหาทาน" หรือไม่ หรือจะต้องเป็นเจ้าภาพใหญ่เท่านั้น

2. หากเรามิได้ไปที่สถานที่ที่จัดปฏิบัติธรรมนั้นๆ (เพราะเป็นการโอนเงินไปร่วมทำบุญ) เราจะอนุโมทนาบุญ รวมถึงอธิษฐานในวันสุดท้ายของการปฏิบัติธรรม ได้หรือไม่

คำตอบ
(๑) การเอาเงินเพียงเล็กน้อยไปให้ทานกับผู้มีคุณธรรมสูง (อริยบุคคล) ให้กับหมู่สงฆ์ ให้กับคนหมู่มาก หรือให้ทานกับผู้ที่ออกจากนิโรธสมาบัติเป็นคนแรก ฯลฯ ต่างๆเหล่านี้ แม้จะเป็นทานเพียงเล็กน้อย ย่อมมีอานิสงค์เกิดขึ้นมาก การกระทำเช่นนี้เรียกว่า มหาทานได้

(๒) ได้ครับ ก่อนโอนเงินหากมีศรัทธามาก ขณะโอนเงินมีความตั้งใจมาก เมื่อโอนเงินแล้วเกิดเป็นความอิ่มใจสุขใจอย่างมาก ผลบุญจะเกิดขึ้นมากกับผู้กระทำเช่นนี้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2010, 02:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คำถามที่เหลือจากโรงพยาบาล นครปฐม 6 ข้อ
เรื่องมหัศจรรย์แห่งจิต

ข้อ ๑. ให้อธิบาย นิโรธสมาบัติ

คำตอบ
นิโรธสมาบัติ หมายถึงการพัฒนาจิตของพระอนาคามีหรือพระอรหันต์ ให้เข้าถึงภาวะปลอดทุกข์ ด้วยการเจริญสมถภาวนา จนเข้าถึงรูปฌาน ๔ และอรูปฌาน ๔แล้วต่อด้วยการพัฒจิตให้มีกำลังสติเพิ่มมากยิ่งขึ้น แล้วจิตจะเข้าถึงภาวะที่เรียกว่า นิโรธสมาบัติ สภาวะเช่นนี้ จิตปลอดจากสัญญาและปลอดจากเวทนาให้เป็นเครื่องบ่งชี้ได้


ข้อ ๒. อาจารย์คะ ปฏิบัติธรรมแนววิปัสสนากรรมฐาน (ไม่ใช่สมถกรรมฐาน) จะไม่มีโอกาสได้ทิพพจักขุหรือทิพพโสต สิคะ ดูเหมือนคนละทางกัน

คำตอบ
ผู้ใดพัฒนาจิตตามแนวของวิปัสสนากรรมฐาน จะไม่สามารถเข้าถึงอภิญญา ๕ เช่น ทิพพโสต ทิพพจักขุ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ฯลฯ ได้


ข้อ ๓. การที่อยากไปเกิดอยู่ภพภูมิชั้นบน (สุคติภพ) ไม่ถือว่าเป็นความโลภหรือคะ

คำตอบ
ถือว่าเป็นความโลภได้


ข้อ ๔. (๑) ที่ว่าพลังจิตมหัศจรรย์มีประโยชน์หลายอย่าง ถ้าคนที่มีพลังจิตแผ่ให้คนอื่นหรือคนไม่สบายได้ เข้าใจถูกมั๊ยคะ เป็นการแผ่หรือ protect หรือ transfer
(๒) หนทางก่อหรือฝึกให้เกิดพลังจิต คำตอบคือภาวนาสมาธิหรือวิปัสสนาภาวนาหรือเปล่าคะ ขอบคุณค่ะ

คำตอบ
(๑) ได้ทั้งแผ่ เช่น แผ่เมตตาให้กับสัตว์ที่ปองร้าย หรืออุทิศบุญให้กับสัตว์ที่ต้องการบุญ หรือปกป้องคุ้มครองภัยเช่น การสวดพระปริตร ส่วนคำว่า transfer หากหมายถึงถ่ายหรือโอน หากผู้รับการถ่าย,โอน สามารถรับได้ ก็สามารถแก้ปัญหาความเจ็บป่วยได้
(๒) การสร้างพลังให้กับจิต ทำได้ทั้งสมถภาวนาและวิปัสสนาภาวนา ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดของพลังที่ประสงค์จะพัฒนาให้เกิดขึ้น


ข้อ ๕. การที่เห็นคนใส่ชุดขาวเดินเข้าบ้าน (บ้านข้างๆ) ทั้งที่ประตูบ้านไม่ได้เปิด ที่ปรากฏให้เราเห็นหมายความว่าอย่างไร

คำตอบ
หมายความว่า คนที่ถูกเห็นเป็นอมนุษย์



ข้อ ๖. (๑) กรณีที่เป็นโรคหลายอย่าง แต่หาสาเหตุไม่พบ ต้องไปพบหมอจนท้อสุดๆ จะปฏิบัติอย่างไรกับความทุกข์นั้น
(๒) เจอมรสุมชีวิตโดนกลั่นแกล้งทางวาจา จากการกระทำแรงๆจากคนรอบข้าง จะทำอย่างไรให้ไม่คิดโต้ตอบ
(๓) ขอเสนอสถานที่ปฏิบัติธรรม ชื่อ “ ธรรมโมธยะ ” สายของเจ้าคุณโชดก

คำตอบ
(๑) โรคที่เกิดจากกรรมเป็นต้นเหตุ หมอไม่สามารถตรวจหาสาเหตุให้พบได้ จึงรักษาโรคประเภทนี้ไม่หาย ฉะนั้นประสงค์จะไม่ทุกข์ด้วยความเจ็บป่วย ต้องพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง แล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้งตามดูความทุกข์ที่เกิดขึ้นว่า ดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ เมื่อใดความทุกข์เข้าสู่อนัตตา จิตจึงจะเห็นแจ้งว่า ความทุกข์ไม่ใช่ตัวตน จิตจะปล่อยวางความทุกข์ แล้วจะไม่ทุกข์กับโรคที่เกิดขึ้น

(๒) ต้องให้อภัยเป็นทานอยู่เสมอ ทุกครั้งที่มีเหตุทำให้ขัดใจต้องทำจิตนิ่ง แล้วให้อภัยกับผู้ที่ทำเหตุขัดใจ ให้อภัยไปเรื่อยๆ จนเกิดเป็นเมตตา และถูกเก็บสั่งสมเป็นเมตตาบารมีอยู่ในจิตใจ แล้วจะไม่ทุกข์ใจจากคนรอบข้างอีกเลย

(๓) ผู้ถามปัญหาเสนอสถานปฏิบัติธรรมชื่อ “ ธรรมโมธยะ ” สายของเจ้าคุณโชดก ... สาธุ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2010, 02:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ปีนี้ไม่ทราบว่าที่วัดศรีดอนมูล ครูบาท่านเข้านิโรธสมาบัติหรือไม่ ในช่วงเวลาเดิมหรือเปล่า อยากร่วมทำบุญค่ะ

ดิฉันมีปัญหาในการเลื่อนตำแหน่ง ผู้บริหารระดับกรมลงมาเป็นประธานในการสอบเอง บางคนก็ผ่านโดยง่ายดาย และไม่ได้พิจารณาที่ผลงานด้วยซ้ำ ดิฉันมานั่งเขียนผลงานเพื่อส่งเข้าไปใหม่ เรื่องแบบนี้เป็นวิบากกรรม หรือเป็นเรื่องธรรมดาๆ ของคนทำงานคะ

กราบขอบพระคุณค่ะ ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยคุ้มครองอาจารย์ อยู่เป็นที่พึ่งและชี้นำทางให้เพื่อนมนุษย์ผู้ยังวนเวียนอยู่ในทุกข์ได้เห็น แสงสว่าง

คำตอบ
พระสงฆ์ที่เข้านิโรธสมาบัติที่วัดศรีดอนมูล มีกำหนดออกจากนิโรธฯ วันอาทิตย์ที่ ๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒ และเรื่องที่ต้องกลับมาเขียนผลงานเพื่อเสนอเข้าพิจารณาใหม่นั้น เป็นผลเนื่องมาจากกรรมที่ให้ผลเป็นวิบากที่ผู้ถามปัญหาต้องยอมรับ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2010, 02:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1.ในช่วงนี้ผมได้พยายามปฎิบัติสมถกรรมฐานโดยการกำหนดรู้ลมหายใจเข้า ออก อย่างเช่นพุท-โธ โดยตั้งฐานของสมาธิไว้ที่อาการพอง-ยุบของหน้าท้อง
เพราะมีความรู้สึกว่าตามลมได้ง่ายกว่า แต่พอทำไปได้ซักระยะมีความรู้สึกว่าการจับลมที่หน้าท้องละเอียดและเบาลง เหลือแต่คำภาวนาที่จับได้ชัดเจนและรู้สึกว่าจิตสงบยิ่งขึ้น จึงอยากถามท่านอาจารย์ว่าการที่เราระลึกรู้คำภาวนาได้ชัดเจนโดยที่รู้สึกถึง ลมเข้า-ออกที่หน้าท้องเบาลงมากๆนั้นถูกต้องหรือไม่ครับ อาการอย่างนี้เรียกว่าอะไร และหากไม่ใช่อาการที่ถูกจะมีวิธีแก้ไขอย่างไรจึงจะผ่านจุดนี้ไปเพื่อปฎิบัต ิต่อไปให้ก้าวหน้าได้ครับ

2.การภาวนาโดยใช้การนับเลขกำหนดลมหายใจเข้า-ออก เช่น 1-10 หรือ พุท-โธ 1-10 ไปเรื่อยๆนั้นจะสามารถทำให้เกิดฌานได้หรือไม่ครับ การที่เราจดจำว่าเรานับถึงเลขที่เท่าไรถือเป็นสัญญาหรือไม่ ซึ่งความจำนี้จะเป็นอุปสรรคทำให้เราเข้าถึงอัปปนาสมาธิได้มั้ยครับ

3.การทำจิตให้นิ่งโดยไม่คิดอะไรเลยนอกจากรู้ลมเข้า-ออกนั้น จัดเป็นสมาธิหรือไม่ครับเพราะไม่มีคำภาวนากำกับ

4.การทำสมาธิโดยระลึกถึงคำภาวนาโดยไม่มีฐานของลมหายใจหรือไม่กำหนดลมหายใจ เข้า-ออกนั้น หากทำไปเรื่อยๆจนใจไม่วอกแวก อยู่แต่กับคำภาวนานั้นๆ จะทำให้ผู้ปฎิบัติสามารถเข้าถึงสมาธิสูงสุดได้หรือไม่ครับ

ขอขอบพระคุณท่านอาจารย์สนองเป็นอย่างสูงนะครับ อาจารย์ถือเป็นกัลญาณมิตรที่ผมเคารพเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งผมเองก็ติดตามงานหนังสือและฟังบรรยายของอาจารย์อยู่ตลอด ทำให้เกิดปัญญา กำลังใจ และศรัทธาที่จะเป็นคนดีประพฤติดีเป็นอย่างมาก ผมจะตั้งใจปฎิบัติตามคำแนะนำของอาจารย์และถืออาจารย์เป็นแบบอย่างที่ดีเพื่อ ช่วยเหลือตนเองและผู้อื่นต่อไปนะครับ ขอให้อาจารย์สุขภาพแข็งแรง อยู่เป็นกัลญาณมิตรของพวกเรานานๆนะครับ ขออนุโมทนา สาธุครับ


คำตอบ
(๑) เป็นการปฏิบัติสมถภาวนาที่ถูกต้องครับ อาการที่เกิดขึ้นเนื่องมาจากจิตเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ)

(๒) ทั้งสองวิธีที่บอกเล่าไป หากทำให้ถึงที่สุดแล้ว จิตจะปล่อยวางวิธีการที่เป็นสัญญา แล้วเข้าถึงสมาธิสูงสุด (อัปปนาสมาธิ) หรือเรียกว่าสมาธิในฌานได้

(๓) หากจิตจอจ่อหรือระลึกอยู่กับลมหายใจเข้า-ลมหายใจออก เรียกจิตที่มีสภาวะเช่นนี้ว่า จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ โดยไม่มีคำภาวนามากำกับ

(๔) หากจิตระลึกถึงคำภาวนาอย่างอื่น ที่มิได้เนื่องมาจากลมหายใจเข้า-ลมหายใจออก เช่นภาวนาคำว่า มรณํ ๆๆๆ คือระลึกถึงความตายเป็น มรณัสสติ ภาวนาคำว่า อัฏฐกะๆๆๆ คือระลึกถึงโครงกระดูกเป็น อสุ ภะกรรมฐาน ภาวนาคำว่า โลหิตํๆๆๆ คือระลึกถึงสีแดงเป็น กสิณกรรมฐาน ฯลฯ ต่างๆเหล่านี้เป็นเหตุทำให้จิตของผู้ภาวนา เข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิสูงสุดได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2010, 02:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมมีปัญหาที่สงสัยอยู่ในเรื่องของศีลข้อ 2 คือการลักทรัพย์

เรื่องมีอยู่ว่าปัจจุบันนี้ผมได้ทำงานเป็นช่างซ่อมคอมพิวเตอร์ครับ สำหรับในประเทศไทยนั้นก็เป็นที่ทราบกันดีว่ามี แผ่นก๊อปปี้ ของโปรแกรมคอมพิวเตอร์อยู่มากมาย เพราะโปรแกรมตัวแท้ ๆ นั้นแพงมาก ประมาณ 99 % ลูกค้าส่วนใหญ่ของผมจะใช้โปรแกรมที่ก๊อปปี้กันทั้งนั้น และตรงนี้แหละครับที่ผมสงสัยคือ ผมเองเป็นช่างซ่อมคอมพิวเตอร์ก็ต้องไปหาซื้อโปรแกรมที่เขาก๊อปมาวางขายตาม ตลาดบ้างเป็นบางครั้งบางทีก็ดาวน์โหลดเอาจาก internet บ้างเพราะเขาเปิดให้โหลดกันฟรี แต่เป็นของผิดลิขสิทธิ์อยากทราบว่ามันผิดศีลข้อ 2 หรือปล่าวครับผมไม่ค่อยแน่ใจ ผมเคยนั่งลองคิดดูไม่ได้คิดแบบเข้าข้างตัวองเป็นความคิดแบบโง่ ๆ ของผมคือผมคิดว่าผมว่ามันน่าจะเหมือนกับศีลข้อ 1 น่ะครับคือเขาหามาตั้งแผงขายให้เราแล้วเราก็ซื้อเหมือนเนื้อสัตว์น่ะครับ

ทุกวันนี้ผมก็พยายามไม่ซื้อแผ่นโปรแกรมก็อปปี้เลยถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ ส่วนแผ่นหนังแผ่นเพลงนั้นผมเช่าดูแล้วก็ยืมเขาบ้าง ซื้อบ้าง ครับ ยกเว้นแผ่นโปรแกรมนี่แหละครับที่ต้องใช้ของก๊อปปี้อยู่เพราะมันแพงมาก

ผมเกรงว่าจะคิดผิดไปจึงส่งคำถามนี้มาถาม อ.สนองน่ะครับ ขอบคุณครับ

คำตอบ
เมื่อใดที่เจ้าของโปรแกรมคอมพิวเตอร์ บอกอนุญาตหรือเขียนอนุญาตให้ก๊อปปี้ได้ ผู้ที่ก๊อปปี้โปรแกรมฯ ไม่ถือว่าประพฤติทุศีลข้อสอง แต่หากเจ้าของโปรแกรมมิได้แสดงหลักฐานการอนุญาต แล้วไปก๊อปปี้โปรแกรมฯ มาแจกหรือขาย ถือว่าประพฤติผิดกฎหมายลิขสิทธิ์และผิดศีลข้อสองด้วย

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2010, 02:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูมีเรื่องอยากเรียนถามอาจารย์ค่ะ คือเมื่อปลายปีที่แล้ว มีอาจารย์ท่านหนึ่งบอกว่าสามีหนูปีนี้ชะตาไม่ดีมากๆ อาจถึงขั้นหมดอายุขัย ให้สร้างพระโพธิสัตว์กวนอิมองค์ยืนสูง เท่าคนจริงไว้ในวัดให้คนกราบไหว้บูชา จะช่วยต่ออายุขัยได้ 5-10 ปี และเหตุที่ให้สร้างพระโพธิสัตว์กวนอิม อาจารย์ท่านนั้นบอกว่าพระโพธิสัตว์กวนอิมยังเมตตาโปรดสัตว์อยู่ใน โลกมนุษย์ ขอพรอะไรก็จะได้ผลดีกว่า ส่วนพระพุทธเจ้านั้นได้เสด็จสู่ปรินิพพานแล้ว ท่านปล่อยวางหมดแล้ว ขอพรอะไรก็คงไม่ได้ผล

อาจารย์มีความคิดเห็นเป็นเช่นไรคะ และถ้าคนไม่มีปัจจัยเพียงพอจะทำอย่างไร การสร้างพระองค์ใหญ่ๆจะช่วยสะเดาะเคราะห์และต่ออายุขัยได้จริงหรือ สมควรทำตามหรือไม่คะ

อีกอย่างค่ะ คืออาจารย์ท่านนี้บอกว่าหนูไม่สามารถปฏิบัติธรรมได้สำเร็จ เพราะอดีตชาติ ไม่ได้ทำมา ไปฝึกกรรมฐานที่ไหนก็ไม่ได้ แต่หนูชอบฟังธรรมะมากค่ะโดยเฉพาะกับอาจารย์ ดร.สนอง และหนูไม่เคยพลาดงานแสดงธรรมของชมรมกัลยาณธรรมเลย

หนูขอรบกวนอาจารย์ช่วยชี้แนะด้วยค่ะ ช่วยให้ความสว่างแก่ผู้ด้อยปัญญาคนนี้ด้วย หนูขอกราบขอบพระคุณอาจารย์มากค่ะที่ได้ตอบคำถามหนูทุกครั้ง

กราบมาด้วยความเคารพรักและศรัทธาเป็นอย่างสูง

คำตอบ
คำพูดที่ออกจากปากของอาจารย์ท่านนั้น พูดถูกตามความเห็นของท่าน แต่เป็นการพูดผิดไปจากความจริงในพุทธศาสนา ว่าการขอพรนั้น พระพุทธโคดมมิได้สอนให้พุทธบริษัทประพฤติตนเป็นผู้ขอ แต่สอนพุทธบริษัททำเหตุให้ถูกตรงกับความปรารถนาที่ตั้งไว้ เมื่อใดเหตุปัจจัยลงตัว สิ่งที่ปรารถนาย่อมปรากฏเป็นจริงได้ ตามกฎแห่งกรรมนั่นไง

ผู้ถามปัญหาประสงค์จะสะเดาะเคราะห์ ต้องทำเหตุให้ถูกตรงดังที่เหลี่ยวฝานได้ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง ตามหนังสือเรื่อง “ วิธีอยู่เหนือดวง ” ที่ชมรมกัลยาณธรรมได้จัดพิมพ์ขึ้นเผยแพร่

เช่นเดียวกัน การปฏิบัติธรรมจะสำเร็จหรือไม่ มิได้เกิดขึ้นจากคำพูดที่ออกจากปากของคนอื่น แต่อยู่ที่การปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ที่ตนเองประพฤติอยู่นั่นแหละเป็นต้นเหตุ ที่จะทำให้เข้าถึงธรรมที่ปฏิบัติได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มิ.ย. 2010, 02:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พื่อนหนูคนหนึ่งเขามีลูกชายสองคน เขาบอกว่ากลางปีนี้จะให้ลูกชายทั้งสองคนบวชพร้อมกัน อยู่วัดเดียวกัน แต่มีคนทักว่าพี่น้องบวชอยู่ด้วยกันสองคนไม่ได้ บวชนั่งคู่ติดกัน ไม่ได้ ต้องหาอีกคนมาบวชนั่งคั่นอยู่ตรงกลาง และเวลาแห่นาค ก็ต้องให้มีนาคคนอื่นมาคั่นกลาง พี่น้องเดินเรียงกันไม่ได้

หนูอยากทราบว่าเพราะเหตุใด เพื่อนหนูอยู่เพชรบุรีค่ะ เขาจะบวชลูกชายที่วัดเขาตระเครา เพชรบุรี เขาบอกว่าประเพณีเป็นอย่างนั้น

รบกวนอาจารย์ช่วยให้ความกระจ่างด้วยค่ะ กราบขอบพระคุณมากค่ะ

ด้วยความเคารพและศรัทธาเป็นอย่างสูง

คำตอบ
สิ่งที่บอกเล่าไปเป็นความเห็นถูกของคนที่ทักท้วงว่า พี่น้องบวชอยู่ด้วยกันสองคนไม่ได้ บวชนั่งคู่ติดกันสองคนไม่ได้ พี่น้องเดินเรียงกันไม่ได้ ฯลฯ แต่เป็นความเห็นผิดของผู้เข้าถึงความจริงในพุทธศาสนาว่า ศาสนาพุทธมิได้สอนให้บุคคลเอาจิตไปผูกติดกับพิธีกรรม แต่ให้เอาจิตไปผูกติดกับกุศลกรรมที่ทำให้เป็นฆราวาสที่ดี ทำให้เป็นนักบวชที่ดีมีความประพฤติถูกตรงตามธรรมวินัย ทำให้จิตเป็นอิสระจากกิเลสที่ผูกมัดใจสัตว์ ให้ต้องเวียนตาย-เวียนเกิดอยู่ในวัฏสงสาร คือกำจัดสังโยชน์ทั้งสิบให้หมดไปจากใจ ดังนั้นคำทักท้วงดังกล่าวข้างต้น จึงมีต้นเหตุมาจากความไม่รู้จริง (อวิชชา) ของผู้ที่พูดทักท้วง

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 61, 62, 63, 64, 65, 66, 67 ... 102  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร