วันเวลาปัจจุบัน 13 ต.ค. 2025, 15:58  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 47, 48, 49, 50, 51, 52, 53 ... 102  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 29 พ.ค. 2010, 15:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. เวลาทำความดีที่เป็นบุญ อธิษฐานว่า ขอให้อานิสงฆ์ผลบุญช่วยให้ข้าพเจ้าเจอครูบาอาจารย์ที่ถูกจริตและขอให้ ข้าพเจ้าบรรลุธรรมอันประเสริฐในชาตินี้ด้วยเทอญ
ถ้าอธิฐานแบบนี้บ่อยๆจะสำเร็จตามคำอธิษฐานได้หรือไม่อะครับ

2. เป็นคนฟุ้งซ่านค่อนข้างที่จะไม่ค่อยมีสมาธิเท่าไหร่ครับ ชอบคิดถึงเรื่องเก่าๆที่ไม่ดี หรือบ้างทีก็คิดถึงเรื่องอนาคตบ้าง บางทีก็ชอบนึกถึงเรื่องอื่นขณะที่ทำอย่างอื่นอยู่
อยากถามอาจารย์ว่า ควรจะฝึกสมาธิแบบไหน แนวไหนดีครับ ขออาจารย์ช่วยแนะนำ และบอกวิธีฝึกด้วยครับ

กราบขอบคุณอาจารย์ล่วงหน้าด้วยครับ

คำตอบ
(1) อธิษฐานพบครูอาจารย์ที่ถูกกับจริตของตนก็จะพบแต่ครูบาอาจารย์ที่ไม่ดี คือครูบาอาจารย์ที่ยังมีจิตเป็นทาสของกิเลส ตัณหา อุปาทาน อธิษฐานในลักษณะเช่นนี้จะไม่สามารถนำตัวเองให้บรรลุธรรมอันประเสริฐในชาติ นี้ได้ คำอธิษฐานเช่นนี้จึงเป็นไปไม่ได้คือไม่สำเร็จตามที่อธิษฐาน

แต่หากอธิษฐานให้ได้พบครูบาอาจารย์ ที่มีความเห็นถูกตรงตามธรรมจะเป็นปุถุชนหรืออริยบุคคลก็ได้และขอบรรลุธรรม อันประเสริฐนั้นด้วย คำอธิษฐานเช่นนี้เป็นสัมมาทิฏฐิ อธิษฐานแล้วมีโอกาสพบกับความสำเร็จได้

(2) ก่อนฝึกสมาธิต้องพัฒนาใจให้มีศีลห้าข้อสถิตอยู่กับใจทุกขณะตื่นให้ได้ก่อน และต้องนำบทกรรมฐานที่ถูกกับจริตของตัวมาใช้เป็นองค์บริกรรมตัวอย่างเช่น วิตกจริตหรือโมหะจริต ควรใช้อานาปานสติมาเป็นองค์บริกรรม สัทธาจริตควรให้อนุสติ 6 ข้อแรก คือระลึกถึงคุณของพระพุทธะ ระลึกถึงคุณของพระธรรม ระลึกถึงคุณของพระสงฆ์ ระลึกถึงคุณของศีลที่ตนรักษาได้ ระลึกถึงคุณของทานที่ตนได้บริจาคแล้ว ระลึกถึงคุณที่ทำคนให้เป็นเทวดา มาเป็นองค์บริกรรม โทสจริตควรใช้เมตตาพรหมวิหารหรือวรรณกสิณมาเป็นองค์บริกรรม พุทธิจริตควรใช้มรณัสสติ อาหารปฏิกูลสัญญา ฯลฯ มาเป็นองค์บริกรรมและสุดท้าย ราคจริต ควรให้อสุภะ หรือกายคตาสติมาเป็นองค์บริกรรม

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 29 พ.ค. 2010, 15:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมไม่แน่ใจว่าเรื่องที่ผมจะสอบถามไปนี้ สมควรถามท่าน อจ.ณ ที่นี้หรือเปล่า เพราะเห็นใน webbroad ถามเรื่องแนวการปฏิบัติทั้งนั้น แต่มีพี่ท่านหนึ่งให้ลองลองถามท่าน อจ.ดูน่ะครับ หากผมได้ล่วงเกินท่าน อจ.ผมก็ขอกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยน่ะครับ

ผมมีเรื่องเรียนสอบถามถึงปัญหาครอบครัวและการปฏิบัติ ครับ เลยขอรบกวนท่าน อจ.ช่วยชี้แนะด้วยครับ

1. คุณแม่ผมท่านหายออกไปจากบ้านประมาณ 4 ปีแล้ว ผมอยากเจอท่านครับ อยากนำท่านกลับมาดูแล ครับ ไม่รู้ว่าผมยังพอมีหวังไหม ท่านป่วยทางจิตครับ ผมดูแลท่านมาประมาณ 10 ปี หลังจากท่านกลับ มาจากต่างประเทศ อาการท่านเคยดีขึ้นมาก ผมพาท่านไปวัดทุกวันอาทิตย์ หวังว่าจะได้กุศลจากการฟังธรรมบ้าง ผมรู้สึกดีมากที่ชวนท่านไป ท่านก็ไป (2 คนแม่ลูก)

2. ผมมีน้องสาวอีกคน ก็ป่วยทางจิตเหมือนกัน ตอนนี้อาการสงบบ้างแต่ยังไม่หายดี หมอบอกว่าไม่หายขาด ผมอยากให้น้องดีขึ้น สงสารเค้าน่ะครับ ผมอ่านเจอคำตอบเกี่ยวกับคยป่วยทางจิตในกระทู้มาแล้วครับ ว่าเป็นเรื่องของเจ้ากรรมนายเวร แต่ก็อยากเรียนถามท่านอจ.อีกครั้ง เผื่อว่าจะมีทางอื่นด้วยน่ะครับ

3. ผมเคยบวชเมื่อตอนเรียนมหาวิทยาลัย มีความสุขมากและดีใจที่ตนเองเจอหนทางนี้ เคยคิดว่าจะบวชตลอดชีวิต แต่ระหว่างที่ตนเองยังไม่สามารถบวชได้เพราะยังมีภาระ ก็ปฏิบัติเองไปเรื่อยๆก่อน แต่ 10 กว่าปีที่ผ่านมาผมรู้สึกว่าไม่คืบหน้าไปไหน ศรัทธาก็ตกลง ไม่เท่าเดิม เจอ อจ.ท่านใดก็ลองปฏิบัติตามแนวท่าน แต่ก็ยังไม่ดีขึ้นเท่าไหร่
เหมือนลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆครับ ก็เลยอยากรบกวนท่าน อจ.แนะนำแนวทางปฏิบัติ ที่เหมาะสมกับผมด้วยน่ะครับ


คำตอบ
(1) ตราบใดที่ความหวังยังไม่สิ้น และตั้งเหตุให้ถูกตรงด้วยการสร้างมหาทาน แล้วอธิษฐานขอพบแม่และสุดท้ายรักษาศีล 5 ให้มีอยู่กับใจได้ตลอดไป เมื่อใดที่เหตุปัจจัยลงตัวคือบุญส่งผล โอกาสพบกันอีกย่อมเกิดขึ้นได้ในกาลข้างหน้า

(2) อาการป่วยทางจิตเป็นโรคที่เกิดจากรรมของผู้เป็นน้องได้ผูกพยาบาทไว้กับเจ้า กรรมนายเวร หากเขายกเลิกการจองเวรอาการป่วยทางจิตจึงจะหมดไปได้

(3) การปฏิบัติธรรมที่เหมาะสมคือ ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมแล้วความสำเร็จในผลแห่งการปฏิบัติย่อมเกิดขึ้นได้ การปฏิบัติธรรมที่สมควรแก่ธรรมคือ ต้องมีศีล 5 คุมใจให้ได้ก่อน เร่งความเพียรในการปฏิบัติ โดยใช้บทกรรมฐานที่เหมาะกับจริต มาเป็นองค์บริกรรมให้ต่อเนื่องและยาวนาน สุดท้ายพัฒนากายและใจให้ศักดิ์สิทธิ์ ด้วยมีสัจจะคุมกายใจเมื่อใดที่เหตุปัจจัยดังกล่าวลงตัวผลสัมฤทธิ์ในการ ปฏิบัติจะเกิดขึ้นได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 29 พ.ค. 2010, 15:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูมีปัญหาอยากถามอาจารย์ดังนี้ค่ะ มีอยู่ช่วงหนึ่งที่หนูเครียดมาก เครียดเป็นอาทิตย์จากการที่ตัองอ่านหนังสือสอบและลุ้นผลประกาศสอบเข้าทำงาน จนหนูมีอาการปวดหัวข้างเดียว ร้าวไปทั้งกระโหลก พอนึกเรื่องสอบที่ไร ท้องอืดทันที กินข้าวไม่อร่อยเลย ซึ่งเป็นสิ่งที่แทบไม่เคยเกิดมาก่อนในชีวิต

หลังจากเครียดอยู่เป็นอาทิตย์ พอตื่นมาเช้าวันจันทร์ กลายเป็นว่า หนูมีความสุขมาก สุขมากที่สุดในช่วงหลายปี ไม่น่าเชื่อเลยค่ะ ที่จิตมันพลิกกลับจากทุกข์มากเป็นสุขมาก สุขมากจนสามารถนอนอมยิ้มได้ ทั้งที่หนูเป็นคนหน้าเครียด หน้าตาดุดัน เพราะหนูไม่ค่อยสมหวังเรื่องงานเลยค่ะทำให้หน้าตาอมทุกข์ตลอดเวลา แต่ช่วงนั้นหน้าตาและจิตใจผ่อนคลายเยอะมาก หนูมีความสุขอยู่ตลอดเวลาเลยค่ะ

หนูอยากรู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไงคะ แต่หนูก็พยายามรู้ตัวอยู่เสมอค่ะว่า อาการขณะนี้กำลังคิดอะไร ทำอะไร รู้สึกอะไร เจอใครทำอะไรก็ไม่ปรุงแต่งไปเองค่ะ เห็นก็คือเห็น ได้ยินเสียงด่าก็รู้ว่าเขาด่าเรา แต่มันเฉย มันแค่ได้ยินเสียงค่ะ แต่ไม่คิดต่อ มันมีความสุขมากค่ะ

อารมณ์สุขนี้อยู่ได้ประมาณห้าวันค่ะ จนเจอเรื่องที่มีผลกระทบกับจิตใจมากๆ นั่นคือออกไปสัมภาษณ์และมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น คราวนี้มันเหมือนกับรู้สึกตัวค่ะ ที่ผ่านมามีความสุขมากนั้นเหมือนมันฝันไป แต่ตอนนี้ที่สุขมันเกิดกระทบและคลายออกมันเหมือนกับกลับมาสู่ความเป็นจริง ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นหนูก็พยายามรู้ตัวอยู่เสมอ สุขหนอๆ อิ่มเอมใจหนอ อะไรไปตามเรื่อง มันก็ไม่ได้ดับไปโดยง่าย แต่มันอยู่หลายวันและก็มีความสุขอยู่อย่างนั้น

หนูขอเรียนถามว่า จิตของเรานี้พอมันสุดโต่งข้างใดข้างหนึ่งมากๆมันจะพลิกเป็นตรงกันข้ามใช่ไหม คะ หรือ มันเป็นการเสวยอกุศลกรรรมและกุศลกรรม ทั้งๆที่ชีวิตหนูส่วนใหญ่ก็อยู่ที่บ้านไม่ค่อยได้ออกไปไหน เหตุการณ์เดิมซ้ำซากแต่บางวันทุกข์มาก บางวันสุขมาก บางครั้งหนูคิดว่า เอ ใครหนอแผ่เมตตาให้เรา (เคยได้รับค่ะ) จิตนี้ทำงานอย่างไรคะ


คำตอบ
ที่อารมณ์ของจิตพลิกจากความเลวร้ายกลับมาอยู่ในอารมณ์สงบสุขได้ เหตุเกิดเพราะจิตระลึกได้ทันสิ่งกระทบ (ผัสสะ) ไม่รับเอาสิ่งกระทบเข้าปรุงเป็นอารมณ์ จิตจึงสงบแล้วความสุขที่ละเอียดประณีตจึงเกิดขึ้นดังที่บอกเล่าไป ปรากฎการณ์ทั้งหมดนี้ถูกตรงตามพุทธวจนะที่ว่า “ สรรพสิ่งเกิดขึ้นแล้ว ย่อมดับไปเป็นธรรมดา ” นั่นหมายความว่า สรรพสิ่งเกิดขึ้นกับจิตจะดำเนินไปตามกฎของไตรลักษณ์ ผู้ใดมีสติระลึกได้ทันสิ่งที่เข้ากระทบจิต ไม่รับเอาสิ่งที่เข้ากระทบจิตมาปรุงเป็นอารมณ์แล้วใช้จิตที่มีความตั้งมั่น จวนแน่วแน่ ตามดูสิ่งที่เข้ากระทบว่าดำเนินไปตมกฎไตรลักษณ์ เมื่อสิ่งกระทบผันตัวเองเข้าสู่ความเป็นอนัตตา ความเป็นตัวตนของสิ่งกระทบย่อมไม่มี จิตจะปล่อยวางสิ่งกระทบแล้วเข้าสู่ความว่างเป็นอุเบกขารมณ์ ความสุขที่ละเอียดประณีตอันเกิดจากจิตสงบจึงเกิดขึ้นด้วยประการฉะนี้แล

หากผู้ถามปัญหาพัฒนาจิตตนเองให้มีกำลังของสติมากจนเป็น “ มหาสติและพัฒนาจิตตนเองให้มีกำลังของปัญญาเห็นแจ้ง จนเป็น “ มหาปัญญา ” ได้แล้วเมื่อใด ความสุขจากจิตสงบและความสุขจากจิตเป็นอิสระ จะเกิดขึ้นแน่นอนและตลอดไปหากพัฒนาได้เช่นนี้...สาธุ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 29 พ.ค. 2010, 15:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. กระผมเป็นคนที่มีใจไว ซุกซนเหมือนลิง มาเร็วไปเร็ว ควบคุมลำบากมาก จิตใจขุ่นเหมือนน้ำซาวข้าว ทำอย่างไรถึงจะทำให้ใจนิ่งๆได้ครับ อีกอย่างกระผมคิดว่ากระผม มีจริต ครบ 6 อย่าง ทั้ง ราคะ โทสะ โมหะ วิตก หนักไปทางกามราคะ (เหมือนเป็นเศษกรรมอะไรติดมา) แม้พิจารณาด้วยอสุภะต่างๆ แต่ก็เป็นเพียง สัญญา ความจำได้หมายรู้ ไม่ใช่ ภาวนามย ปัญญา รู้สึกว่าเวลาตาเห็นรูป จิตจะปรุงแต่งไปมาก ต้องกำหนดว่า รู้เท่าทันอารมณ์ มันถึงจะหยุด ผมควรจะปฎิบัติต่ออย่างไรบ้างครับ

2. กระผมมีลูกสาวคนเล็กอายุประมาณ 1 ขวบเศษ ชื่อ ดญ.ชนิดาภา สมณะ ป่วยเป็นเนื้องอกในสมอง และเนื้อเป็นเนื้อร้ายระดับ 3 รักษาที่ รพ. เด็ก อนุสาวรีย์ชัย ปัจจุบันอยู่บ้านต่างจังหวัด ก็สบายดี ผมรู้ว่าเขาคงมีกรรมที่หนัก เพราะการผ่าตัด ถือเป็นกรรมหนัก ผมได้อธิฐาน ตั้งจิต ถือศีล 5 และวันพระ ศีล 8 ตลอดชีวิต เพื่อเป็นกุศลให้ตัวกระผมและลูกสาว พยายามสวดมนต์ นั่งสมาธิ แผ่ส่วนบุญกุศลทุกวัน และบนบวชพระให้ 3 วัน 7 วัน
อาจารย์ช่วยกรุณาชี้ทางสว่างให้กระผมด้วยว่า ควรทำสิ่งใดเพิ่มเติมบ้าง เขาทำกรรมใดมา ถึงเป็นอย่างนี้ อยากทำให้เขามากๆเท่าที่พ่อในชาติปัจจุบันจะทำได้ ครับ พอมีทางช่วยให้เขาอยู่ได้นานไหมครับ

3. ผู้ปฏิบัติถึงขั้นใด จึงจะสามารถ ได้พบเห็น หรือ เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าได้ และ สามารถ พูดคุยได้หรือครับ


คำตอบ
(1) สภาวะจิตของผู้ถามปัญหา กับสภาวะจิตของผู้ตอบปัญหาก่อนเดือนเมษายน 2518 มีสภาวจิตเป็นเช่นเดียวกัน แต่ปัจจุบันเป็นตรงข้าม ไม่โลดโยนโจนทะยานออกไปรับกระทบภายนอกทั้งดีและไม่ดีเข้ามาปรุงอารมณ์ให้จิต หวั่นไหว ด้วยเหตุเคยไปบวชเป็นพระสงฆ์ปฏิบัติธรรมจนจิตมีกำลังของสติ ระลึกทันสิ่งกระทบ และมีกำลังของปัญญาเห็นแจ้งเห็นสิ่งกระทบดับไปตามกฎไตรลักษณ์ จึงปล่อยวางสิ่งกระทบ แล้วจิตผันตัวเองเข้าสู่ความว่างเป็นอุเบกขารมณ์ ดังนั้นก่อนที่ผู้ถามปัญหาจะพัฒนาจิตให้นิ่งเป็นสมาธิ ต้องทำใจให้มีศีล 5 คุมให้ได้ก่อน แล้วเลือกองค์บริกรรมที่เหมาะกับจริต ราคะจริตควรใช้อสุภะหรือกายคตาสติมาเป็นองค์บริกรรมเร่งความเพียรและมีสัจจะ ได้แล้ว โอกาสพัฒนาจิตตนเองให้นิ่งเหมือนลิงชรา จึงจะเป็นไปได้

(2) อธิษฐานตั้งจิตถือศีล 5 และวันพระถือศีล 8 ยังไม่ดีเท่ากับไม่ต้องอธิษฐานแต่ทำใจให้เป็นปกติมีศีล 5 มีศีล 8 อยู่ได้ทุกขณะตื่น จะได้อานิสงส์ของศีลมากกว่า การอธิษฐานถือศีล

การบนบานไม่ใช่วิถีแห่งพุทธะ แต่การนำครอบครัวปฏิบัติธรรมร่วมกัน แล้วอุทิศบุญกุศลที่เกิดขึ้นให้กับลูกสาวที่กำลังป่วยด้วยโรคกรรมยังดีกว่า นำตัวเองเขาบวชเป็นพระสงฆ์ เหตุเพราะการปฏิบัติมีอานิสงส์แห่งบุญสูงสุดที่สามารถส่งผลให้ผู้ปฏิบัติ เข้าถึงนิพพานได้ หากได้อุทิศบุญเช่นนี้ให้กับเจ้ากรรมนายเวรของลูกสาว หากเขามาอนุโมทนาบุญแล้วยกเลิกการจองเวร โอกาสหายจากโรคกรรมจะเป็นไปได้

(3) ผู้ที่จะประพฤติเช่นนี้ได้ต้องเคยเกิดร่วมสมัยกับพระพุทธเจ้าเช่น ปฏาจารา พาหิยะฯลฯหากพระพุทธเจ้านิพพานไปแล้วบุคคลดังกล่าวต่อไปนี้ยังมีโอกาสได้ เห็น ได้เข้าเฝ้าและได้สนทนากับพระพุทธเจ้า ได้แก่มนุษย์ปุถุชนผู้พัฒนาจิตให้เข้าถึงความมีฤทธิ์ทางใจ (มโนมยิทธิ) หรือมนุษย์ปุถุชนผู้เข้าฌานได้ หรือมนุษย์ที่ไปเกิดเป็นเทวดาปุถุชน เช่น อังกุรเทพบุตร อินทกเทพบุตร หรือพรหมปุถุชนเช่น พกาพรหม สนับบดีพรหม ฯลฯ หรือพรหมอนาคามี เช่น ฆฏิการพรหมหรือมนุษย์อริยบุคคลที่มีอภิญญาฯลฯ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 29 พ.ค. 2010, 15:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ข้าพเจ้า(ขออนุญาตใช้ข้าพเจ้า เพราะดิฉันและหนูล้วนเกี่ยวข้องกับวัย) เพิ่งเริ่มปฏิบัติธรรมเมื่อไม่นานนี้เอง ด้วยเหตุว่าคืนหนึ่งขณะหลับ จิตตื่นขึ้นกะทันหัน และรู้สึกว่ากายที่นอนหายใจอยู่นี้ไม่ใช่เรา จึงเริ่มสนใจธรรมะ และเริ่มฝึกสติโดยการดูจิตในชีวิตประจำวัน ก่อนนอนก็จะดูลมหายใจจนหลับไป เวลาหลับข้าพเจ้ามักมีสติรู้ตัว ขยับตัวก็รู้ ฝันก็รู้ บ่อยครั้งรู้สึกว่ากายเป็นคูหา บางคราวก็เห็นรูปเกิดดับ เสียงเกิดดับ ไม่ต่อเนื่องกันและไม่พร้อมกัน

๑. ทำไมจึงไม่เห็นเช่นนั้นในเวลาปกติคะ (ปกติจะเห็นแต่ว่ากายนี้ไม่ว่าจะขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวใดๆล้วนเป็นไปตามจิต ทั้งสิ้น) เพราะเวลาปกติจิตจะไม่ยอมทำสมถะเลย กำลังสมาธิไม่พอใช่ไหม

๒. ครั้งหนึ่งจิตสงบตั้งมั่นดีนอนดูลมหายใจอยู่ เกิดมีดวงสีขาวปรากฏขึ้น และในดวงสีขาวนั้นปรากฏภาพเคลื่อนไหว คล้ายๆกับเราดูกล้องวงจรปิดค่ะ ดวงนี้คืออะไรคะ (ข้าพเจ้ากลัวเลยไม่ได้ตามดู)

กราบขอบพระคุณในความกรุณาต่อทุกขิตสัตว์เช่นข้าพเจ้า และกราบขออภัยที่รบกวนธาตุขันธ์ค่ะ

คำตอบ
(1) คำว่าสมถะ หมายถึง ธรรมอันเป็นเครื่องสงบระงับจิต เวลาปกติเห็นกายขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวไปตามการสั่งงานของจิตการเห็นในลักษณะ นั้นเป็นเรื่องของปัญญา ที่มีพื้นฐานมาจากจิตมีกำลังของสมาธิมากพอที่จะทำให้เกิดปัญญาเช่นนั้นได้

(2) ดวงสีขาวที่ถูกเห็นเป็นอาหารของจิตที่เริ่มมีความตั้งมั่นเป็นสมาธิ การเห็นดวงสีขาวเป็นอุปกิเลสที่เกิดขึ้นกับจิตที่มีวิปัสสนาญาณอ่อน หากไม่รู้วิธีการกำจัดอุปกิเลสตัวนี้จะไม่มีโอกาสพัฒนาจิตให้เกิดวิปัสสนา ญาณที่ชัดเจนได้ ฉะนั้นเมื่อดวงสีขาวปรากฏขึ้นกับจิตต้องกำหนดว่า “ เห็นหนอๆๆๆ ” จนกวาดวงสีขาวหายไปแล้วดึงจิตกลับมาสู่องค์ภาวนาเดิม วิปัสสนาญาณจึงจะกล้าแข็งขึ้นได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 29 พ.ค. 2010, 15:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. การถวายภัตตาหารแด่หมูสงฆ์ เพื่อเป็นมหาทานนั้น หากทำไม่ติดต่อกันเจ็ดวัน ยังจะเรียกเป็นมหาทานหรือไม่ครับ? เช่น ทำวันที่1-3ติดกัน หยุดหนึ่งวัน และต่อวันที่ 5-8 ครับ

2. หากการทำมหาทานไม่จำเป็นต้องทำติดกัน เราสามารถสะสมทำไปเรื่อย เดือนละวัน พอครับเจ็ดวัน เมื่อไหร่ ก็เรียนกเป็นมหาทานเหมือนกันใช่ไหมครับ

3. ผมศรัทธาทำมหาทานเป็นนิจ แต่เนื่องด้วยตัวไม่ได้อยู่ในกรุงเทพ ไม่สามารถไปร่วมถวายมหาทานด้วยตนเอง แต่ได้ร่วมปัจจัย และมีเพื่อนในคณะเดียวกันไปถวายอย่างพร้อมเพรียง อย่างนี้ ยังจะสามารถเรียกว่ามหาทานได้อีกหรือเปล่าครับท่าน?

ขอกราบเท้าท่านอาจารย์ครับ

คำตอบ
(1) คำว่ามหาทาน หมายถึงการบริจาคทานอันยิ่งใหญ่ เช่นการให้ทานแก่อริยบุคคลในวันที่ออกจากนิโรธสมาบัติการให้ทานแกหมู่อริย สงฆ์ การให้ธรรมะเป็นทานแก่คนหมู่มาก การบริจาคทรัพย์สร้างถนน สร้างสะพาน สร้างน้ำอุปโภคบริโภค สร้างแสงสว่าง ฯลฯ เป็นทานให้สาธารณะชนได้ใช้สอย อนึ่งการสร้างโรงทานไว้กับวัดที่มีการปฏิบัติธรรม การถวายอาหารเลี้ยงหมู่สงฆ์นาน 7 วันเหล่านี้จัดเป็นมหาทานได้

(2) การกระทำดังตัวอย่างที่บอกเล่าไปไม่เรียกว่าเป็นมหาทาน

(3) การได้ร่วมบริจาคปัจจัย เพื่อใช้ในสัจจธรรมตามข้อ (1) แม้ไม่มีเวลาไปร่วมกิจกรรมด้วยตัวเอง ยังถือว่าเป็นมาทานเช่นกัน

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 29 พ.ค. 2010, 15:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูกราบขอบพระคุณอาจารย์มา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ และหนูก็มีเรื่องรบกวนสอบถามอาจารย์ด้วยค่ะ อาจารย์ช่วยอนุเคราะห์หนูด้วยนะคะ

1. ตอนนี้หนูมีความทุกข์ใจอย่างมากๆค่ะ ตัวหนูเป็นคนที่สนใจธรรมะมา 5 ปี แล้วค่ะ หนูเคยดีใจที่ตัวหนูตาสว่างได้เร็วเพราะหนูมาสนใจธรรมะเมื่ออายุยังน้อย ประมาณยี่สิบต้นๆ แต่หนูไม่ทราบจริงๆว่าทำกรรมใดไว้ เลยทำให้ ณ ตอนนี้หนูต้องทุกข์ใจอย่างมากมาย มันอาการว่าเหมือนมีอีกความคิดหนึ่งที่ไม่ดีต่อพระพุทธศาสนาทั้งที่หนูไม่ ได้คิดมันเลย หนูพยายามรู้ตามก็เริ่มเห็นว่าความคิดนี้จะผุดขึ้นมาตอนหนูไม่มีสติค่ะ เป็นมาเกือบปีแล้วค่ะ ทำให้ตัวหนูท้อแท้และสิ้นหวังมากๆ แต่หนูก็ไม่ท้อถอยค่ะ พยายามสู้กับจิตใจตัวเอง สวดมนต์ก่อนนอนทุกคืน พยายามนั่งสมาธิทุกคืน ถือศีล 8 ที่บ้านมา 2 ครั้งแล้วค่ะ แต่บางวันเหมือนเราจิตตกค่ะความท้อแท้ก็เข้ามาจู่โจม (หนูสังเกตตัวเองว่าจะเป็นมากๆในเวลากลางคืนจนบางคืนฝันร้ายค่ะ) แต่ก็พยายามนั่งสมาธิแผ่ส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร เคยทำตามที่อาจารย์แนะนำท่านอื่นๆว่าให้ถือเทียนแพไปขอขมากับพระประธานหนูก็ ทำแล้วค่ะ และรู้สึกว่าดีขึ้นบ้าง หนูสันนิษฐานเองค่ะว่าอาจเกิดจากกรรมที่ช่วงแฟนเก่าหนูบวชเป็นพระและหนูเคย ทำให้เขาร้อนรุ่มเรื่องหนูค่ะ ตอนนี้เท่าที่ทำได้ก็คือแผ่เมตตาให้เขาค่ะ พอคิดได้เช่นนี้หนูก็ตั้งหน้าตั้งตารับผลกรรมและพยายามทำแต่กุศลกรรมค่ะ หวังว่าสักวันผลกรรมนี้จะหมดสิ้น ขอเรียนถามอาจารย์ว่าความคิดที่ไม่ดีจะทำให้หนูบาปไหมคะ

สิ่งที่หนูเป็นน่าจะเกิดจากกรรมอันนี้หรือเปล่า และหนูดำเนินมาถูกทางหรือเปล่า (ที่ต่อสูกับจิตใจตนเองและพยายามทำแต่กุศลกรรม)

2. ช่วงชีวิตที่เหลืออยู่หนูตั้งใจจะรักษาศีลและหลีกเลี่ยงทางที่นำไปสู่ความ เสื่อมทุกทางเท่าที่ตัวหนูจะระลึกรู้ได้ แต่ตอนนี้หนูทำงานอยู่ที่ธนาคารค่ะ ถือว่าเป็นอาชีพที่ถูกต้องในทางธรรมหรือไม่คะ เพราะเงินเดือนเราก็มาจากการเก็บดอกเบี้ยคนอื่น ( ถือเป็นการเบียดเบียนหรือไม่) อาจารย์ช่วยยกตัวอย่างอาชีพที่ดีในทางธรรมด้วยค่ะ

ขอกราบขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูงล่วงหน้านะคะขอให้อาจารย์ได้ สะสมบารมีจนถึงสิ่งที่อาจารย์หวังค่ะ บางครั้งที่หนูนั่งสมาธิหนูแผ่ส่วนกุศลให้อาจารย์ด้วยค่ะ เพราะหนูถือว่าอาจารย์เป็นผู้มีพระคุณต่อหนูอย่างสูงคนหนึ่ง

คำตอบ
(1) ความคิดที่เป็นอกุศล ผู้ใดคิดแล้วบาปจะถูกเก็บสั่งสมอยู่ในจิตของผู้ทำกรรม การขอขมากรรมในเรื่องนี้
1. นำดอกไม้สดหรือพวงมาลัยดอกไม้สดรวมทั้งธูปเทียน ไปขอขมากรรมต่อพระรัตนตรัยจึงจะถูกตรงที่สุด
2. หลังจากขอขมากรรมแล้ว ต้องพัฒนาใจให้มีศีล 5 ข้อคุมใจให้ได้ทุกขณะตื่น
3. ก่อนนอนสวดมนต์ แล้วต่อด้วยการบริกรรม “ พุทโธๆๆๆ ” นาน 15-30 นาที ทุกวัน แล้วอุทิศบุญกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวรไปเรื่อย ๆ จนกว่าความคิดอกุศลจะหมดไปจากใจ

(2) อาชีพดีในทางธรรมต้องเป็นอาชีพที่ไม่ผิดศีลและไม่ผิดธรรม เช่นอาชีพที่ทำเกี่ยวกับสังฆทาน พวงหรีดงานศพโรงบรรจุศพ อุปกรณ์ไฟฟ้าที่ให้แสงสว่าง อาหารสำเร็จรูปที่เป็นมังสวิรัติ ฯลฯ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 29 พ.ค. 2010, 15:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1)ท่านอาจารย์เคยตอบคำถามไว้ว่ากรณีที่เราเข้าไปข้องเกี่ยวกับคนที่กำลัง ใช้กรรมของเขาอยู่ เราจะต้องรับผลของกรรมนั้นๆ ของเขาด้วย ต.ย เช่น อาจารย์เคยต้องปวดขาเพราะไปช่วยนวดขาให้ครูบาอาจารย์ที่กำลังเจ็บขาอยู่
ขอเรียนถามว่า ถ้าเราทำบุญกุศลทุกครั้งแล้วอุทิศส่วนกุศลที่เราทำให้กับเจ้ากรรมนายเวรของ ญาติพี่น้องของเรา ที่กำลังมีความทุกข์เพราะกรรมมาถึงนั้นเราจะต้องได้รับกรรมนั้นจากเจ้ากรรม นายเวรของญาติเราหรือไม่ค่ะ

2) กรณีมีญาติที่ยังเป็นนักศึกษาอยู่ติดการพนันบอล จะมีวิธีอย่างไรที่จะสามารถช่วยดลจิตใจให้เขาเห็นผิดชอบชั่วดีบ้างไหมค่ะ พยายามชักชวนให้ฟังธรรมเพื่อจะได้มีปัญญารู้เห็นเอง ก็ยังมาบ้างไม่มาบ้าง ยังไม่เกิดศรัทธาจากตัวเองจริงๆ

กราบขอบพระคุณค่ะ

คำตอบ
(1) หากไม่ประสงค์ให้เวรกรรมที่ไปช่วยคนอื่น เข้ามาถึงตัวเอง ต้องอุทิศบุญกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรของตัวเองด้วย

(2)หากผู้ถามปัญหาพัฒนาตัวเองให้ดีจากศรัทธาได้เมื่อใด จึงจะมีโอกาสชี้ทางถูกผิดให้เขาฟัง แล้วโอกาสที่จะทำให้เขาเปลี่ยนพฤติกรรมจากไม่ดีมาเป็นพฤติกรรมดีย่อมมีโอกาส เป็นไปได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 29 พ.ค. 2010, 15:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อช่วงก่อนสิ้นเดือนที่ผ่านมา ผมได้ถูกให้ออกจากงานอย่างกระทันหัน เหมือนกับว่าถูกใส่ความ โดยดูจากสถานการณ์และบุคคลแวดล้อมแต่ยังพิสูจน์ไม่ได้ แต่ถึงแม้เป็นเรื่องจริงผมก็ให้อภัยครับ และวันถัดมาคุณพ่อก็ต้องเข้าโรงพยาบาล เพื่อรอผ่าตัดมะเร็งต่อมลูกหมาก และในระหว่างที่คุณพ่อพักฟื้น ผมก็ไปสัมภาษณ์งานใหม่ ไม่กี่วันถัดมา ก็ทราบว่าไม่ผ่านโดยคนที่รู้จักกันในบริษัทที่ไปสัมภาษณ์ บอกว่า คุณสมบัติดีเกินไป หากเข้าไปแล้วผลงานจะเข้าตากรรมการจะทำให้เจริญก้าวหน้าในงานแล้วจะทำให้ลูก น้องคนอื่น ๆ ไม่สามารถก้าวหน้าในงานได้ ซึ่งพิจารณาเหตุการณ์ที่ผ่านมา ก็ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เหมือนถูกตัดหนทางในการประกอบอาชีพ แต่ยังจะมีค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายเพิ่มเกิดขึ้นอีก

ทุกวันนี้ผมยังมีคุณแม่ที่ป่วยเป็นอัมพาตมาประมาณ 10 ปี ที่ต้องดูแล (ค่าใช้จ่ายดูแลต่อเดือนเกือบ 3 หมื่นบาท) รายได้ที่ได้มาไปกับการดูแลรักษาพยาบาลผู้มีพระคุณเกือบทั้งหมดบางส่วนก็ไป ทำบุญ ส่วนตัวเองแทบไม่ได้ใช้เลย มาเจอปัญหาตนเองถูกให้ออกจากงานและคุณพ่อมาป่วยเพิ่มอีกคนและจะต้องมีค่าใช้ จ่ายที่ต้องดูแลไปอีกนานคาดว่าอีกเป็นล้านบาท ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ผมได้ปันเงินบางส่วนไปช่วยเหลือหลาย ๆ คนหลายแสนบาท พอถึงเวลาที่ตนเองเจอปัญหาคนเหล่านั้นก็ไม่สามารถช่วยอะไรผมได้เลย

ผมอยากขอกราบเรียนถามท่านอาจารย์ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนเกิดจากกรรมอะไร แล้วผมควรจะแก้ไขปัญหาอย่างไรดีครับ เพื่อให้ปัญหาทุกอย่างคลี่คลายครับ

จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เข้าใจได้ลึกซึ้งมากขึ้นเลยว่าการเกิดเป็นทุกข์ การมีชีวิตอยู่ก็เป็นทุกข์

ขอกราบขอบพระคุณอาจารย์ล่วงหน้าด้วยครับ และขอให้อาจารย์มีสุขภาพแข็งแรงครับ
ด้วยความเคารพอย่างสูง

คำตอบ
ปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากเหตุทำกรรมเบียดเบียน ที่ผู้เป็นลูกประพฤติปาณาติบาตร่วมกับพ่อแม่ เมื่ออกุศลกรรมให้ผลพ่อแม่จึงต้องรับอกุศลวิบากด้วยการเจ็บป่วย ลูกได้รับอกุศลวิบากทำให้เสียงานเสียทรัพย์ ประสงค์จะแก้ไขปัญหาให้หมดไป โปรดดูวิธีบริหารจัดการหนี้กรรมในเว็บไซด์ข้อ 728

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 29 พ.ค. 2010, 15:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูมีปัญหาค่ะ เป็นมานานหลายปีแล้ว ร่างกายหนูมีปัญหา แล้วพาลไปเกิดอาการลบหลู่ศาสนาด้วยค่ะ

หนูมีแฟน และมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งระดับหนึ่ง ทำให้ร่างกายบางส่วนค่อนข้างมีความรู้สึกไวบางทีอยู่ๆมันก็จะรู้สึกคันๆ
ยุกยิกๆ ขึ้นมาเฉยๆ ทีนี้ คนเราไม่ได้อยู่คนเดียวในโลก เวลาหนูไปที่ไหนๆก็ต้องพบเจอผู้คน ทั้งหญิงชาย แต่ร่างกายมันรู้สึกตลอดเวลา หนูรู้สึกแย่ๆ เวลาอยู่ใกล้ๆคนอื่นค่ะ

แล้วเหมือนว่าเราจะคิดว่าความคิดของเราไปเหนี่ยวนำกระแสความคิดของ คนอื่น ซึ่งจริงๆหนูก็ไม่ทราบว่ามันบังเอิญหรือเปล่าว กับผู้หญิง หนูก็รู้สึกว่าเค้าอาจจะรู้สึกด้วย ทีนี้ กับผู้ชายก็ยิ่งแย่ไปใหญ่ ที่บ้านหนูก็มีพระ เวลาอยู่ต่อหน้าพระ ไหว้พระ มันก็เป็น ยิ่งห้ามมันยิ่งไม่หยุด หนูกลัวตกนรกมากๆ บางทีใส่บาตรมันก็เป็น เวลาผ่านเจ้าที่ ก็เหมือนเราไปลบหลู่เค้าเช่นกัน เรียกง่ายๆว่า เป็นตลอดเวลา มีวิธีไหนที่จะทำให้ร่างกาย กับจิต เรานิ่งได้ตลอดไปคะ หนูเคยหาจิตแพทย์ มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรได้เลย เหมือนแก้ที่ปลายเหตุ แต่สาเหตหนูก็ยังแก้ไม่ได้ เหมือนตัวเราสกปรกน่ารังเกียจตลอดเวลา บางทีก็จิตหลอนๆกลัวจะถูกข่มขืนต่างๆนาๆ

ขอความกรุณาชี้แนะด้วยค่ะ

คำตอบ
สิ่งที่บอกเล่าไปเป็นการเจ็บป่วย (อาพาธ) ชนิดหนึ่งในยุคปัจจุบันคนเจ็บป่วยด้วยเหตุสี่อย่างคือ ออกกำลังไม่สม่ำเสมอเพียรมากเกินไปฤดูกาลเปลี่ยน และเกิดจากกรรมไม่ดี สามเหตุแรกรักษาให้หายได้ง่ายส่วนเหตุสุดท้ายผู้ทำกรรมไว้ก่อนต้องชดใช้ อกุศลวิบากจนกว่าจะจบสิ้นดูการบริหารจัดการกรรมในเว็บไซด์ข้อ 728 เพิ่มเติมแล้วต้องไปขอขมากรรมต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคยประพฤติทุศีลไว้ ก่อน แล้วพัฒนาจิตให้มีศีล 5 คุมใจให้ได้ทุกขณะตื่น แล้วนำตัวเองเข้าปฏิบัติธรรม 7 วัน 10 วันแล้วสุดท้ายอุทิศบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรอยู่เสมอ หากประพฤติได้เช่นนี้โอกาสที่ปัญหาดังกล่าวจะหมดไปย่อมเกิดขึ้นได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 29 พ.ค. 2010, 15:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ได้รับพระบรมสารีริกธาตุมาสามองค์ ควรบูชาอย่างไร และควรวางไว้สูงกว่าพระพุทธรูป (บนโต้ะหมู่บูชาในห้องพระ) หรือเปล่าค่ะ

คำตอบ
ควรนำพระบรมธาตุบรรจุในผอบ วางในพานที่มีดอกไม้สีขาวเช่นดอกมะลิ แวดล้อมอยู่รอบคอผอบแล้วนำไปวางไว้บนโต๊ะหมู่บูชา ระดับเดียวกับพระพุทธรูปหรือสูงกว่าในห้องพระก็ได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 29 พ.ค. 2010, 15:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เนื่องด้วยดิฉันเป็นคนยึดมั่นถือมั่นเป็น อย่างมาก และเข้าใจผิดว่าทำดีแล้วต้องได้ผลกลับมาดีเสมอ โดยลืมคิดว่าทำดีก็ได้ดีตอนที่กระทำแล้ว จนกระทั่งดิฉันพบความผิดหวังในตัวบุคคลหนึ่งอย่างรุนแรง ก็ได้หันมาหาคำสอนขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อดับทุกข์ และรู้แจ้งมากกว่า ใช้ความคิดเห็นด้วยกับคำสอนเพียงอย่างเดียว เหมือนอย่างที่ได้อ่านหนังสือของท่านอาจารย์ว่าสำคัญที่ภาวนามยปัญญา ดิฉันระลึกถึงคำนี้มาโดยตลอด แต่ดิฉันไม่สามารถลืมเรื่องที่บุคคลหนึ่งกระทำกับดิฉันได้ แม้ดิฉันจะกล่าวอโหสิกรรมและบอกกับเขาว่าขอให้เราจบกันไปแต่โดยดี ดิฉันเพียรภาวนาดูจิต ดูกายมาโดยตลอด ส่วนใหญ่จะได้สมถะมากกว่า วิปัสสนา ซึ่งดิฉันใคร่ดับทุกข์โดยสิ้นเชิงมากกว่า ไม่ทราบว่าเป็นกรรมเก่าของดิฉันที่กระทำกับเขามาก่อนหรือในชาติก่อนๆดิฉัน ไม่ได้บำเพ็ญศีลมาก่อนเลยไม่มีบารมีพอที่จะทำได้สำเร็จเร็ววัน ดิฉันีเลยจุดธูปต่อหน้าพระพุทธรูปเสมือนเป็นตัวแทนพระพุทธเจ้า

ดิฉันได้อธิษฐานขออโหสิกรรมต่อเขาและผู้หญิงคนนั้น เพื่อเป็นอภัยทานแด่องค์สัมมาสัมพุทธเจ้า มีสิ่งที่แปลกประหลาดมากในคืนนั้นดิฉันพยายามจะนึกถึงเขาและเรื่องราว หรือปรุงแต่งความคิดถึงเขาต่างๆนาๆที่เคยกระทำ ปรากฎว่าดิฉันกลับนึกไม่ออก นึกได้แต่ชื่อเขาเท่านั้น พอนานวันเข้าก็นึกได้บ้างแต่ไม่นานนัก ดิฉันดูจิตดูความรู้สึกก็หายไป ดิฉันจะเอ่ยคำว่าอโหสิกรรมทุกครั้งที่คิดถึงเขาและระลึกได้ว่าดิฉันได้กล่าว อธิษฐานอโหสิกรรมต่อหน้าพระพุทธรูปซึ่งดิฉันได้เพียรสวดมนต์ทุกคืนค่ะ ใคร่รบกวนถามดังต่อไปนี้

1. ดิฉันเคยทำกรรมกับเขาไว้ในชาติก่อนๆใช่มั้ยค่ะถึงได้ยังทุกข์ทรมานกับสิ่ง ที่เขากระทำไว้
2. การที่ดิฉันไม่สามารถระลึกถึงเขาได้ในคืนอธิษฐานเป็นเพราะสาเหตุใด
3. ถ้าดิฉันเพียรดูจิต ดูกาย ดูเวทนา และถือศึล ให้ทาน และภาวนาอยู่เป็นนิจ

ดิฉันจะสามารถบรรลุถึงมรรคผลตามคำสอนของพระพุทธเจ้าชาตินี้ไหมค่ะถ้าชาติ ก่อนๆดิฉันไม่เคยกระทำมา
ตั้งแต่ที่ดิฉันเพียรติดตามหนังสือธรรมทานของอาจารย์สม่ำเสมอ อ่านทุกวันและเพียรดูจิตดูกาย เลิกเพ่งโทษผู้อื่น ทำให้จิตใจดิฉันนิ่งกว่าแต่ก่อน ทุกข์น้อยลง มองบุคคลอื่นๆด้วยจิตใจอ่อนโยนขึ้น ความตระหนี่น้อยลงมาก ตั้งแต่พยายามให้ทานหลากหลายโดยไม่เลือก จากที่เคยดูแลบิดามารดามาตลอด ตอนนี้ก็ทำดีกว่าเก่ามากขึ้น

ต้องขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่ให้ธรรมะเป็นทานมาโดยตลอด นับว่าดิฉันมีบุญบ้าง จะพยายามทำตามคำแนะนำของท่านอาจารย์ตลอดไปค่ะ ถ้าดิฉันมีบุญขอได้มีโอกาสพบท่าน ดิฉันจะพยายามหาโอกาสเข้ากรุงเทพเพื่อพบท่านในงานธรรมะต่างๆค่ะ



คำตอบ
(1) ตอบว่าใช่ ผลกรรมที่ทำแล้วได้ถูกเก็บสั่งสมไว้ในจิตวิญญาณ เมื่อจิตนิ่งกำลังของสติจะไประลึกรู้ถึงกรรมที่เคยทำไปซึ่งดับ (อนัตตา)ไปแล้วตามกฎไตรลักษณ์ จิตที่มีอวิชชาไม่ปล่อยวางสิ่งที่ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน จิตจึงยึดไว้เป็นอุปาทาน ความทุกข์ใจจงเกิดเป็นผลตามมา

(2) เพราะในคืนที่อธิษฐาน กำลังของอธิษฐาน (ความตั้งใจมั่นในสิ่งที่ปรารถนา) มีมากกว่า กำลังของกิเลส(อุปาทาน) การระลึกถึงกรรมที่ทำในอดีตจึงไม่สามารถเกิดขึ้นได้

(3) ผู้ใดประพฤติเหตุได้ถูกตรงตามธรรม พร้อมทั้งบุญเก่าส่งผล อาทิใจนิ่งจากอารมณ์ปรุงแต่ง การลดลงของความตระหนี่เพียรดูใจตนเองมากขึ้น เลิกเพ่งโทษคนอื่นฯลฯ เหล่านี้เป็นตัวบ่งชี้ถึงผลปฏิบัติที่ถูกทาง ผู้ไม่ประมาท เพียรไม่สร้างอกุศลกรรมใดๆ ให้เกิดขึ้นใหม่ ผู้ไม่ประมาทเพียรกำจัดอกุศลกรรมที่มีอยู่ให้หมดไป ผู้ไม่ประมาทเพียรทำความดีทุกรูปแบบให้เกิดขึ้น และผู้ไม่ประมาทเพียรรักษาความดีที่เกิดขึ้นแล้วให้คงอยู่ หากผู้ถามปัญหาปฏิบัติได้ดังนี้ ความสุขที่เกิดจากมีจิตเป็นอิสระย่อมเกิดขึ้นแน่นอน ผู้รู้เลือกทางชีวิตสู่อิสรภาพด้วยการประพฤติเช่นนี้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 29 พ.ค. 2010, 15:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันเป็นคนที่มีเงินไม่มากนัก ปกติดิฉันจะมีบาตรเล็กๆ ใบหนึ่งเอาไว้ใส่เงินที่แบ่งมาทุกวัน โดยตั้งใจว่าเงินนี้จะเป็นไปเพื่อบำรุงพระศาสนาและเพื่อผู้อื่นที่ยากไร้ กว่า แต่วันหนึ่งดิฉันได้ทราบว่าผู้มีพระคุณที่เป็นเหมือนแม่คนที่ 2 ผู้ที่ตอนนี้กำลังดูแลแม้แท้ๆ ของดิฉันอยู่ด้วย กำลังมีความลำบากเรื่องเงิน ถึงขนาดไม่ค่อยจะมีพอซื้ออาหารทานอย่างเพียงพอ ส่วนตัวดิฉันเองก็ไม่มีมากพอที่จะเจียดให้จึงนำเงินในบาตรนี้ออกมาเพื่อให้ ท่านไว้ใช้จ่าย ซึ่งก็ยังถือว่าเป็นจำนวนแค่นิดหน่อย อยากถามว่าทำแบบนี้เป็นบาปหรือไม่คะ ถือว่านำของสงฆ์ไปใช้ในการส่วนตัวหรือเปล่า

และคำถามอีกข้อหนึ่งนะคะ ระยะนี้รู้สึกว่าทำอะไรก็ลำบาก ขัดสน เงินทองไม่พอใช้ คิดอะไรก็ไม่สมหวังคล่องตัวเหมือนเมื่อก่อนสักเท่าไหร่ ไม่ทราบว่าจะทำบุญหรือทำอย่างไรดีคะ ที่จะทำให้ชีวิตดีขึ้นกว่านี้ ดิฉันอยากมีกำลังพอที่จะเป็นแรงช่วยบำรุงพระศาสนา และดูแลผู้มีพระคุณให้ได้มากกว่านี้ รู้สึกว่าตัวเองเกิดมาเสียชาติเกิดอย่างไรก็ไม่รู้ค่ะ เกิดมาแค่เอาตัวเองรอดไปวันๆ ไม่ได้ทำประโยชน์อะไรให้เกิดขึ้นเลย แค่หน้าที่ตัวเองในความเป็นลูก เป็นหลาน เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พบพระอริยเจ้าก็ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่นั่งดูตาปริบๆ ระบายมาตั้งยาว ขอรบกวนท่านอาจารย์เพียงเท่านี้ค่ะ

บุญใดที่ดิฉันได้ทำมาทั้งอดีตชาติ และปัจจุบันชาติแม้จะน้อยนิดปานใดก็ขอเป็นแรงเล็กๆ อีกแรงหนึ่งให้ท่านอาจารย์มีบุญบารมียิ่งๆ ขึ้นไปและประสบสิ่งที่ท่านอาจารย์มุ่งหวังไว้ทุกประการ

ขอบคุณค่ะ

คำตอบ
ไม่ถือว่าเป็นบาป เพราะมิได้ประพฤติผิดไปจากเจตนาเดิมที่ตั้งใจไว้ ในอันดับที่สองของการออมเงิน ว่าออมเงินเพื่อบำรุงพระศาสนา และเพื่อผู้อื่นที่ยากไร้กว่า

วิธีแก้ปัญหาในตอนถัดไป คือต้องปรับแก้ไขตัวเองด้วย

1. บริโภคใช้สอยมักน้อย เท่าที่ชีวิตดำรงอยู่ได้

2. บริโภคให้สอยแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ (สาระ) กับชีวิตเท่านั้น

3. ทุกอย่างที่บริโภคใช้สอย ต้องทำให้มีขึ้นด้วยตัวเอง โดยไม่ซื้อหา ฯลฯ

เหล่านี้จะทำให้ชีวิตดำรงอยู่ได้ จากประสบการณ์ตรงของผู้ตอบปัญหา ได้นำพาชีวิตผ่านพ้นวิกฤตข้าวยากหมากแพงที่เกิดขึ้นในห้วงของสงครามโลกครั้ง ที่สอง ซึ่งโหดร้ายกว่าที่เกิดขึ้นในปัจจุบันด้วยการประพฤติตนตามที่เสนอแนะมาข้าง ต้น

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 29 พ.ค. 2010, 16:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. หากมีเวทนาเกิดขึ้นขณะปฎิบัติ เรากำหนดปวดหนอเป็นเวลานานอาการนั้นไม่หายไป เราจะกลับมาที่พองยุบได้หรือไม่ หรือต้องกำหนดที่เวทนานั้นจนหมดเวลาคะ( เวลาปวดจะมีอาการไม่สบาย ใจจะสั่น ร่างกายจะสั่นน้อยๆ คะ )

2. เวลาเดินจงกรมจะง่วงมากคะ ควรวางสายตาอย่างไรคะในเวลาเดินจงกรม เพื่อให้อาการง่วงนั้นหายไป เวลานั่งสมาธิจะมีอาการง่วงช้ากว่าการเดินจงกรมคะ หรือว่าเราควรบริกรรมขณะเดินอย่างเร็วๆคะ

3. ดิฉันมีอาชีพเป็นครูคะ ในชั่วโมงที่ไม่มีสอน หรือเวลาที่สั่งงานให้เด็กทำ ( ดิฉันจะคอยตอบคำถามเด็กในห้องตลอดไม่ได้ไปไหน ) ดิฉันจะมาเปิดเวปไซต์ ธรรมะ เพื่อศึกษา ถือว่าเป็นการคอรัปชั่นเวลาหรือไม่คะ ( ที่บ้านเปิดอินเทอร์เน็ตไม่ได้คะ)

4. การแผ่เมตตาเพื่อลดโทสะนั้น ดิฉันมักจะแผ่เมตตาด้วยคำบริกรรม ที่ว่า เมตตาคุณนัง อรหังเมตตา ให้ตัวเองเวลาที่โกรธ และเมื่อพบคนที่ไม่พอใจ ทำถูกหรือไม่คะ

สุดท้ายนี้ขอขอบพระคุณในความเมตตาที่ท่านอาจารย์ที่มีต่อพวกเราทุกคนคะ

คำตอบ
(1) หากกำหนดว่า “ ปวดหนอ ๆๆๆ ” เป็นเวลานานแล้วอาการปวดยังไม่หายไป ต้องกำหนดต่อไปไม่หยุด แม้จะเป็นร้อยครั้งหรือหลายร้อยครั้งก็ยังต้องทำไปเรื่อย ๆ จนกว่าอาการปวดจะดับไปตามกฎของไตรลักษณ์ ในขณะที่ทุกขเวทนายังไม่ดับไป ต้องไม่นำจิตกลับมาจดจ่ออยู่กับอาการพอง-ยุบ ของผนังหน้าท้อง

(2) ควรเลิกเดินแล้วใช้วิธีแก้ความง่วงในหนังสือสนทนาภาษาธรรมเล่ม 8 ข้อ 117 และสนทนาภาษาธรรม เล่ม 6 ข้อ 66 มาแก้ปัญหา

(3) เอาเวลาราชการมาใช้ในเรื่องส่วนตัว ถือว่ามีการคอรัปชั่นเวลาครับ

(4) ผู้ใดมีอารมณ์โกรธเกิดขึ้นกับจิตแล้ว แสดงวาจิตของผู้นั้นมีกำลังของเมตตาไม่กล้าแข็ง การบริกรรมด้วยคำว่า “ เมตตาคุณนัง อรหังเมตตา ” เป็นการดึงจิตให้มาจดจ่อ (สติ) อยู่กับองค์บริกรรม ซึ่งไม่ต่างไปจากการนับหนึ่งถึงสิบหรือนับหนึ่งถึงร้อยซึ่งมิใช่เป็นวิธี กำจัดโทสะให้หมดไปโทสะหมดไปด้วยการให้อภัยกับผู้ทำเหตุขัดใจ หากทำได้ทุกครั้งดังนี้เมตตาจะเกิดขึ้นและสั่งสมเป็นเมตตาบารมีอยู่ในจิตของ ผู้เข้าถึง

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 29 พ.ค. 2010, 16:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


น้องชายของหนูอายุ 32ปี มัวเมาอยู่ในยาเสพติดมาเป็นเวลา 2ปีกว่าแล้วค่ะ เข้าบำบัดมา2ครั้ง (โดยไม่ได้เต็มใจไปเอง) ครั้งสุดท้ายนี้ เขาออกมาตั้งใจจะเลิก แต่ก็ยังคบเพื่อนที่มีปัญหายาเสพติดเหมือนกันอยู่ ยังไปในที่ๆไม่ดีอยู่
หนูอยากช่วยเหลือน้องชาย เพราะสงสารทั้งคุณพ่อ คุณแม่ และลูกชายวัย2ขวบของเขาเอง (ที่ไม่มีคุณแม่ดูแลแล้ว เพราะแยกทางกัน)ซึ่งกำลังจำและเลียนแบบพฤติกรรมผู้ใหญ่

หนูพยายามทำทาน สวดมนต์และทำสมาธิอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรของน้องชาย และพยายามชักชวนให้คุณพ่อ คุณแม่ทำทาน สวดมนต์และทำสมาธิด้วย ส่วนน้องชายเคยขอให้เขาบวชแต่เขาปฏิเสธ

1. น้องชายของหนูเป็นเจ้ากรรมนายเวรของคุณพ่อ คุณแม่หรือเปล่าค่ะ ที่บ้านไม่มีปัญหาอะไรเลยนอกจากเรื่องเขา ตลอดเวลาที่ผ่านมาก็จะคอยสร้างปัญหาให้ที่บ้านเดือดร้อนมาโดยตลอด โมโหร้าย ก้าวร้าวคุณพ่อ คุณแม่ เวลาเขาอยู่ที่บ้านแล้วบ้านจะไม่ค่อยมีความสุข ต้องคอยระวัง ยิ่งมีลูกชายของเขา หนูยิ่งกังวลกลัวเค้าเห็นภาพไม่ดี

2. มีวิธีไหนที่หนูจะช่วยให้น้องชายเลิกยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดได้บ้างค่ะ เขาตั้งใจที่จะเลิก แต่ก็ไม่แน่ว่าจะทำได้อย่างที่ตั้งใจหรือเปล่า เพราะยังเต็มไปด้วยมิจฉาทิฐิจริงๆ

3. หนูอยากชักชวนให้น้องชายปฎิบัติธรรม(เขาเคยบวชมาแล้วตอนอายุ 23ปี) แต่เหมือนเขาไม่สนใจเลย แต่ถ้าชวนทำทานก็ไปบ้างตามโอกาส

4. หนูทุ่มเทช่วยน้องชายเต็มที่ จนความสุขและทุกข์ของหนูไปขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของเขา ถ้าเขาไปทำตัวไม่ดี หนูจะเครียดและกังวลมากจนไม่เป็นอันทำอย่างอื่น หนูอยากวางอุเบกขาให้ได้ แต่ยังทำไม่ได้เลยค่ะ ทำสมาธิบางที่ก็ฟุ้งซ่านเป็นกังวล จนคุณแม่เห็นแล้วสงสารหนูแทน หนูควรทำอย่างไรดีค่ะ


กราบขอบพระคุณมากค่ะ

คำตอบ
(1)เวรหมายถึงความปองร้ายกัน ความแค้นเคืองฯลฯ พฤติกรรมของน้องชายตามที่บอกเล่าไปถือได้ว่าเป็นเจ้ากรรมนายเวรของพ่อแม่ได้

(2) ไม่มีใครแก้ปัญหาให้ใครได้แท้จริง แต่มีใครแก้ปัญหาให้หมดไปได้แท้จริง ด้วยการแก้ที่ต้นเหตุของปัญหาให้ดับไปด้วยตัวของตัวเอง

ดังนั้นความประสงค์ที่จะให้น้องชาย เลิกยุ่งเกี่ยวกับสิ่งเสพติดในทางโลกทำได้ด้วยการนำตัวน้องชายให้ห่างไกลจาก บาปมิตร และแหล่งที่มีการซื้อขายยาเสพติด วิธีการเช่นนี้พอจะช่วยเขาได้บ้าง

(3) เพียงแต่บอกเจตนาที่ดีแต่มิได้ถามเป็นปัญหา จึงไม่ต้องตอบ

(4) นอกจากเป็นเจ้ากรรมนายเวรของพ่อแม่แล้ว น้องชายยังเป็นเจากรรมนายเวรของพี่สาวอีกด้วย

ความอยากวางใจเป็นอุเบกขานั้นอยากได้ แต่ผลสำเร็จจะเกิดขึ้นได้ต้องทำเหตุให้ถูกตรง อุเบกขาเกิดได้สองแนวทาง คือพัฒนาจิตจนตั้งมั่นเป็นสมาธิระดับฌาน 4 หรือพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง แล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้งตามดูสิ่งที่เข้ากระทบจิต ว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ เมื่อสิ่งกระทบจิตเข้าสู่ความเป็นอนัตตาจิตจะปล่อยวางสิ่งกระทบ แล้วอุเบกขาจะเกิดขึ้นกับจิตได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 47, 48, 49, 50, 51, 52, 53 ... 102  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร