วันเวลาปัจจุบัน 23 มิ.ย. 2025, 11:48  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 32 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ธ.ค. 2009, 11:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


สัจจานุโลมิกญาณ แปลว่า ปัญญาที่เป็นไปตามลำดับแห่งอริยสัจธรรมทั้ง ๔ คือ
ปัญญาที่เป็นอนุโลมตามญาณต่ำและญาณสูง อนุโลมตามโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ
จัดเป็นสัมมาทิฏฐิ แปลว่า ความเห็นถูก เห็นตรง เห็นไม่ผิด สัมมาทิฏฐินั้น
ได้จำแนกออก ๓ อย่าง ดังนี้

๑. กัมมัสสกตาสัมมาทิฏฐิ เห็นว่าสัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของๆตน

๒. ทสวัตถุกสัมมาทิฏฐิ สัมมาทิฏฐิ วัตถุ ๑๐

๓. จตุสัจจสัมมาทิฏฐิ สัมมาทิฏฐิ ที่เห็น อริยสัจ ๔


ทสวัตถุสัมมาทิฏฐิ แปลว่า ความเห็นถูกมีวัตถุ ๑๐ คือ

๑.อตฺถิ ทินฺนํ สมฺมาทิฏฐิ มีความเห็นถูก คือ เห็นว่าทานที่บุคคลให้แล้วมีผลแน่นอน
เช่น เมณฑกเศษฐีเป็นตัวอย่าง ดังมีเรื่องเล่าไว้ว่า


แพะทองคำประมาณเท่าช้าง ม้า โค ได้ผุดขึ้นที่หลังเรือนของท่านเศรษฐีคนหนึ่ง จึงมีนามว่า
เมณฑกเศษฐี เพราะบุพกรรมที่ได้ทำบุญไว้แต่ชาติก่อน ครั้นศาสนาของพระพุทธเจ้า
พระนามว่า วิปัสสี ท่านผู้นี้ได้สร้างศาลารายถวายแด่พระตถาคตเจ้า และสร้างธรรมาสน์ไว้
สร้างแพะไว้ ๖ ตัว ตั้งแวดล้อมมณฑป ตั้งไว้ภายใต้ตั่งรองเท้าขึ้นธรรมสาน์ ๒ ตัว
ได้ทำการฉลองศาลาโดยนิมนต์พระบรมศาสดาพร้อมทั้งพระสงฆ์รับภัตราหาร
ได้ถวายทานตลอด ๔ เดือน วันสุดท้าย ได้ถวายไตรจีวรแก่พระสงฆ์ทุกรูป มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน

ครั้นตายจากชาตินั้น ได้ไปบังเกิดเป็นเทวดา และมนุษย์ ต่อมาได้มาบังเกิดในสกุลเศษฐี
มีโภคะมากในเมืองพาราณสี ได้ทำทานตลอดอายุขัย ครั้นมาถึงศาสนาแห่งพระพุทธเจ้าของเรา
ก็ได้มาเกิดในสกุลเศษฐีในภัททิยนคร ผลสุดท้าย ได้พบพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงแสดงอนุปุพพิกถา
ให้ฟังว่า ท่านเศษฐีได้ตั้งใจฟัง และเจริญวิปัสสนาจนได้บรรลุโสดาปัตติผล

นิทานเรื่องนี้ ชี้ให้เห็นเป็นตัวอย่างได้เป็นอย่างดีว่า คนเราตายแล้วเกิดอีก ถ้าใครทำดีไว้
ก็ได้เกิดในที่ดี ถ้าใครทำชั่วไว้ก็ได้เกิดในที่ชั่ว ท่านผู้ได้เป็นเศษฐีก็เพราะได้ทำบุญไว้
ความเห็นถูก คือ เห็นว่า ทานที่บุคคลให้แล้วมีผลแน่นอน จัดเป็นสัมมาทิฏฐิข้อที่หนึ่ง


๒. อตฺถิ ยิฏฐํ สมฺมาทิฏฐิ มีความเห็นถูก คือ เห็นว่า ของที่เราบูชาไปแล้วมีผลแน่นอน
เช่น อามิสบูชา บูชาด้วยอามิส มีดอกไม้ ธูปเทียน เสนาสนะ ยาแก้ไข้ เป็นต้น

ปฏิปัตติบูชา บูชาด้วยการปฏิบัติตาม เช่น ถึงไตรลักษณ์ รักษาศิล ฟังธรรม
เจริญสมถะ และวิปัสสนาเป็นตัวอย่าง

๓. อตฺถิ หุตํ สมฺมาทิฏฐิ มีความเห็นถูก คือ เห็นว่า ของที่เราบริจาคไปแล้ว
เป็นของมีผลตามเจตนาของผู้บริจาค เช่น บริจาคสร้างโรงพยาบาล สร้างศาลาการเปรียญ
สร้างกุฏิวิหาร สร้างพระไตรปิฎก ถือว่าเป็นมหากุศล มีผลให้ได้มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ
และนิพพานสมบัติในภพชาติต่อๆไป ตามสมควรแก่ปณิธานที่ผู้บริจาคได้ตั้งใจไว้


๔. อตฺถิ กมฺมานํ ผลวิปาโก สมฺมาทิฏฐิ มีความเห็นถูก คือ เห็นว่า ผลแห่งกรรมดี
และกรรมชั่วเป็นของมีจริง ใครทำดีได้ดี ใครทำชั่วได้ชั่ว ดังตัวอย่างในปัจจุบัน เช่น
มีท่านผู้หนึ่งโกรธให้แมว เอาน้ำมันก๊าดราดลงไป เอาเชือกผูกไว้ ขีดไม้ขีดไฟใส่แมว
แมวถูกไฟเผาตายไปในไม่ช้า ครั้นต่อมาประมาณเดือนเศษ ท่านผู้นั้นก็ถูกไฟไหม้ตายไปดุจแมวตัวนั้น

ส่วนในอดีตมีอยู่ เช่น นายพรานสุนัข ชื่อ โกกะ ได้พาสุนัขไปไล่เนื้อ เผอิญไปพบพระรูปหนึ่ง
เข้าใจว่าตัวได้พบคนกาฬกัณณี จะไม่ได้เนื้อเป็นแน่ในวันนี้ และก็เป็นความจริง
วันนั้นทั้งวันไม่ได้เนื้อเลยสักตัวเดียว ตอนกลับบ้านมาพบพระรูปนั้นอีก จึงมีความโกรธมาก
จึงยุหมาให้กัดท่าน ท่านรีบขึ้นต้นไม้ ห้ามไว้ไม่ยอมฟัง มิหนำซ้ำ ยังเอาหอกแทงเท้าของท่านอีก
ท่านเจ็บปวดมากไม่มีสติ จีวรหลุดมาคลุมหัวนายพราคนนั้น สุนัขเข้าใจว่า พระตกลงมา
ก็พากันกัดกินจนเหลือแต่กระดูก นี้ก็เป็นผลแห่งกรรมชั่วที่ว่า
" ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั่นถึงตัว ทำชั่วได้ชั่ว "

ส่วนในฝ่ายดีก็มี เช่น ลิงที่ถวายรวงผึ้งแก่พระพุทธเจ้า ครั้งประทับอยู่ที่ป่าเรไรกับช้างตัวหนึ่ง
ได้พากันปรนนิบัติพระพุทธเจ้า ครั้นตายไป ก็ได้ไปสู่สุคติโลกสวรรค์ นอกจากนี้ก็ยังมี
ตัวอย่างอีกมาก เช่น จูเฬกสาฎกพราหมณ์และนางราชธิดา ธัมมิกอุบาสก เป็นต้น


๕. อตฺถิ มาตา สมฺมาทิฏฐิ มีความเห็นถูกคือ เห็นว่า มารดาเป็นผู้มีพระคุณต่อลูกมาก
เพราะท่านประกอบด้วยพรหมวิหารธรรม ๔ เป็นพระพรหมของลูกเป็นเทวดาของลูก
เป็นอาจารย์ของลูก และเป็นพระของลูก ห้ามไม่ให้ลูกทำชั่ว ให้ลูกตั้งอยู่ในความดี
ให้ศึกษาศิลปวิทยา หาภรรยาสามีที่สมควรให้ มอบทรัพย์สมบัติให้ในสมัย ถ้าลูกคนใดปฏิบัติดี
ปฏิบัติชอบ ตอบแทนบุญคุณท่าน โดยความเคารพคารวะจงรักภักดี เช่น ท่านได้เลี้ยงมา
แล้วเลี้ยงท่านตอบ ทำกิจการงานของท่านดำรงวงศ์สกุล ประพฤติตนให้สมควรจะรับทรัพย์มรดก
ให้ท่านได้ให้ทาน รักษาศิล ฟังธรรม ปฏิบัติธรรม เช่น เจริญสมถกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน
เมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว ทำบุญอุทิศให้ท่าน ลูกคนนั้นจะได้รับความยกย่องสรรเสริญ
จะได้รับความสุขทั้งภพนี้และภพหน้า

๖. อตฺถิ ปิตา สมฺมาทิฏฐิ มีความเห็นถูกคือ เห็นว่า บิดาก็เป็นผู้มีบุญคุณต่อลูกมาก
เช่นเดียวกับมารดา แล้วปรนนิบัติอุปฐากตอบแทนคุณท่านด้วยหลัก ๖ ประการดังกล่าวมานั้น
องค์สมเด็จพระจอมธรรม์ทรงยกย่องสรรเสริญไว้ว่า เป็นการตอบแทนคุณที่ถูกต้อง
ตามทำนองคลองธรรมแท้

๗. อตฺถิ สตฺตา โอปฺปาติกาสมฺนทิฏฐิ มีความเห็นถูกคือ เห็นว่าอบายภูมิ ๔ เป็นของมีจริง
เทวภูมิก็เป็นของมีจริง พรหมภูมิเป็นของมีจริง

๘. อตฺถิ อยํ โลโก สมฺมาทิฏฐิ มีความเห็นถูกคือ เห็นว่าโลกนี้เป็นของมีอยู่จริง

๙. อตฺถิ ปรโลโก สมฺมาทิฏฐิ มีความเห็นถูกคือ เห็นว่าโลกหน้าเป็นของมีอยู่จริง

๑๐. อตฺถิ โลโก สมณพฺราหมณา สมฺมาทิฏฐิ มีความเห็นถูกคือ เห็นว่า
สมณพราหมณีผู้ประพฤติปฏิบัติชอบมีอยู่ในโลกแน่นอน


เมื่อท่านผู้ใด ได้ปฏิบัติธรรมจนถึง อนุโลมญาณแล้ว ท่านผู้นั้นจะมีความเห็นถูก
เกือบเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้าเลยไปอีกสักสองญาณเท่านั้น ผู้นั้นจะหายความข้องใจสงสัย
ในเรื่องโลกนี้ โลกหน้า บุญ บาป นรก สวรรค์ นิพพาน ได้โดยสิ้นเชิง เพราะฉะนั้น
ทางที่จะเป็นเครื่องพิสูจน์ได้และเป็นหนทางที่ยังสรรพสัตว์ ให้รีบรัดตัดตรงข้ามห้วงมหรรณพ
ภพสงสารเข้าสู่อมตมหานฤพานได้นั้น ก็มีอยู่ทางเดียวเท่านั้นคือ สติปัฏฐาน ๔

พระอริยสาวกที่ล่วงมาแล้วก็ดี ที่จะมาข้างหน้าก็ดี ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ก็ดี จำเป็นต้องดำเนิน
ตามสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ด้วยกันทุกๆรูป จึงจะได้บรรลุ มรรค ผล นิพพาน เช่น พระโมฆราช
เป็นตัวอย่าง มีประวัติย่อม ดังต่อไปนี้คือ


ท่านพระโมหราช เป็นบุตรพราหมณ์ ในพระนครสาวัตถี เมื่อเจริญวัย ได้ไปฝากตัว
เป็นศิษย์ของพราหมณ์พาวรี ผู้เป็นปุโรหิตของพระเจ้าปเสนทิโกศล เพื่อศึกษาศิลปวิทยา
ตามประเพณีของพราหมณ์ ครั้นพราหมณ์พาวรีเบื่อหน่ายในฆราวาส ทูลลาพระเจ้าปัสเสนทิโกศล
ออกจากตำแหน่งปุโรหิต ออกบวชเป็นชฎิล ประพฤติตนตามลัทธิของพราหมณ์ ตั้งอาศรมอยู่
ที่ฝั่งแม่น้ำโคธาวารี ระหว่างพรหมแดนแห่งเมืองอัสสกะ และอาฬกะต่อกัน เป็นอาจารย์ใหญ่
บอกไตรเพทแก่หมู่ศิษย์โมฆราชพร้อมด้วยมาณพ ๑๕ คน พาบริวารออกบวชติดตามไปอยู่ด้วย

ครั้นต่อมาพราหมณ์พาวรีได้ทราบข่าวว่า พระราชโอรสของสักยราชเสด็จออกบรรพชา
ปฏิญญาณพระองค์ว่า เป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ แสดงธรรมสั่งสอนแก่ประชาชน
มีคนเชื่อและเลื่อมใส ยอมตนเป็นสาวกประพฤติปฏิบัติตามคำสั่งสอนแก่ประชาชน
มีคนเชื่อและเลื่อมใส ยอมตนเป็นสาวกประพฤติปฏิบัติตนตามคำสั่งสอนเป็นอันมาก

พราหมณ์พาวรีคิดหลากหลายใจ ใคร่จะสืบสวนให้ได้ความจริง จึงเรียกมาณพผู้เป็นศิษย์ ๑๖ คนมา
มีอชิตมาณพเป็นหัวหน้า ผูกปัญหาไว้ให้คนละหมวดๆ ให้ไปทูลถามลองดู โมฆราชมาณพ
คนหนึ่งอยู่ในจำนวนนั้น พร้อมกับลาพราหมณ์พาวรี ผู้เป็นอาจารย์ พาบริวารไปเฝ้าพระบรมศาสดา
ที่ปาสาณเจดีย์แว่นแคว้นมคธ ทูลขอโอกาสถามปัญหา เมื่อได้รับพระอนุญาตแล้ว อชิตมาณพ
ทูลถามปัญหาเป็นคนแรก ครั้นพระบรมศาสดาทรงพยากรณ์แล้ว โมฆราชปรารภจะทูลถาม
ปัญหาดีกว่ามาณพทั้ง ๑๖ คนคิดทูลถาม แต่เห็นว่า อชิตมาณพเป็นผู้ใหญ่กว่า และเป็นหัวหน้า
จึงยอมให้ทูลถามก่อน พระบรมศาสดาจึงตรัสห้ามว่า โมฆราชท่านรอให้มาณพอื่นถามก่อนเถิด
โมฆราชก็หยุดอยู่ ต่อแต่นั้นมาณพอื่นได้ทูลถามปัญหาเป็นลำดับๆกัน ถึง ๘ คนแล้ว โมฆราชมาณพ
ปรารภจะถามปัญหาเป็นคนที่ ๙ อีก พระบรมศาสดาทรงห้ามไว้ดุจนัยหนหลัง โมฆราชก็ยับยั้งนิ่งอยู่
รอให้มาณพอื่นทูลถามถึง ๑๔ คนแล้ว จึงทูลถามปัญหาเป็นคนที่ ๑๕ ว่า

ทฺวาหํ สิก อปุจฺฉิสฺสํ น เม พฺยากาสิ จกฺขุมา

ข้าแต่พระองค์ผู้ศักยวงศ์ ข้าพระองค์ได้ทูลถามปัญหาถึง ๒ ครั้งแล้ว พระองค์ผู้มีญาณจักษุ
หาได้ทรงพยากรณ์แก่ข้าพระองค์ไม่ ข้าพระองค์ได้ยินมาว่าทูลถามถึง ๓ ครั้งแล้ว
พระองค์ย่อมทรงพยากรณ์

อยํ โลโก ปโร โลโก พฺรหฺมโลโก สเทวโก

ในโลกนี้ ดลกอื่น พรหมโลก กับทั้งเทวโลก ย่อมไม่ทราบความเห็นของพระองค์ผู้โคดม
ทรงบริบูรณ์ด้วยเกียรติยศ อิสริยยศ ปริวารยศ ข้าพระองค์มีความประสงค์จะทูลถามปัญหา
จึงได้มาเฝ้าพระองค์ผู้ทรงเห็นธรรมอันประเสริฐอย่างนี้

กถํ โลกํ อเวกฺขนฺตํ มจฺจุราชา น ปสฺสติ

ข้าพระองค์จะพิจรณาเห็นโลกอย่างไร มัจจุราชคือความตาย จึงไม่แลเห็น คือไม่ตามทัน?

พระพุทธองค์ทรงพยาการณ์ว่า

" สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ โมฆราช สทา สโต "

" ดูก่อนโมฆราช ท่านจงเป็นคนมีสติ พิจรณาเห็นโดยความเป็นของสูญ คือ ว่างเปล่า
จากความเที่ยง จากสุข จากสัตว์ จากบุคคล ตัวตน เรา เขา ทุกเมื่อเถิด ถอนอัตตานุทิฏฐิ
คือ ความตามเห็นว่าเป็นตัวตนเสียได้ด้วยอุบายอย่างนี้ ท่านจึงข้ามพ้นพระยามัจจุราชได้
พระยามัจจุราชจะไม่แลเห็น จะไม่ตามทัน ซึ่งบุคลลผู้พิจรณาเห็นโลกด้วยอาการอย่างนี้ " ดังนี้

เมื่อพระองค์ทรงแก้ปัญหาไป ท่านก็เจริญวิปัสสนาตามไป ในที่สุดก็มีวิปัสสนาญาณเกิดขึ้นมา
โดยลำดับๆ จนกระทั่งถึงอนุโลมญาณ โคตรภูญาณ มรรคญาณ ผลญาณ ปัจจเวกขณญาณ
โดยอวสานก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์

โมหราชมาณพพร้อมด้วยมาณพอีก ๑๕ คน กับทั้งบริวารทูลขออุปสมบทในพระธรรมวินัย
พระองค์ทรงอนุญาติให้เป็นพระภิกษุ ด้วยวิเอหิภิกขุสัมปทา

เมื่อท่านโมฆราชได้อุปสมบทแล้ว ท่านยินดีในจีวรสีกลัก คือ มีสีเศร้าหมอง ด้วยเหตุนี้
จึงได้รับยกย่องจากพระบรมศาสดาว่า
" เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายผู้ทรงจีวรเศร้าหมอง "

ท่านได้ทำกิจพระศาสนา ช่วยเหลือพระบรมศาสดามาทั้งในด้านคัถธุระ และวิปัสสนาธุระ
จนกระทั่งถึงอายุขัยก็ดับขันธ์ปรินิพพานไป

ตามประวัตินี้ ชี้ให้เห้นว่า พระอริยสาวกทุกๆรูป ต้องลงมือเจริญวิปัสสนากรรมฐาน
ผ่านวิปัสสนาญาณมาโดยลำดับๆ นับตั้งแต่ต่ำจนกระทั่งถึงสูง ผลสุดท้ายก็มีจิตหลุดพ้นจากอาสวะ
ไม่ถือมั่นด้วยอุปทาน ดังพระโมหราชเป็นตัวอย่าง

คำว่า สัจจานุโลมิกญาณ แปลว่า ปัญญาที่เป็นไปตามลำดับ นับตั้งแต่ญาณที่ ๔
จนกระทั่งถึงญาณที่ ๑๒ ซึ่งเริ่มเห็นอริยสัจธรรมทั้ง ๔ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
อันเป็นส่วนโลกียะได้ดี ความเห็นจริงอย่างนี้ จัดเป็น สัมมาทิฏฐิ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ม.ค. 2010, 19:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


วิธีละความโกรธ

ความโกรธเมื่อเกิดขึ้นแก่ผู้ใด ทำให้จิตใจของผู้นั้นเร่าร้อน เป็นทุกข์ ไม่สบายใจ นอนไม่หลับ ฝันร้าย ถ้าโกรธมาก ๆ อาจทำให้ต้องไปฆ่าผู้อื่น ติดคุกติดตารางเป็นทุกข์ทั้งแก่ตัวเอง ทั้งแก่ผู้อื่น จะเจริญเมตตาจิตก็ลำบากเพราะเมื่อเจริญไปแก่ผู้ที่เราโกรธอยู่ ก็เจริญไม่ขึ้น แต่ถ้าเราละความโกรธได้ เราก็จะเป็นสุข ดังพระบาลีว่า “โกธํ ฆตฺวา สุขํ เสติ” แปลว่า “ฆ่าความโกรธได้แล้วย่อมเป็นสุข” ฉะนั้น อาตมาจะได้นำวิธีละความโกรธที่ท่านแสดงไว้ใน “คัมภีร์วิสุทธิมรรค” มาแนะนำท่านผู้อ่าน มีถึง ๙ วิธี ด้วยกัน คือ

๑. ระลึกถึงโทษของความโกรธ

บุคคลผู้มักโกรธนี้ ถูกความโกรธครอบงำแล้ว โกรธเต็มประดา ย่อมประพฤติชั่วด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจครั้นประพฤติชั่วด้วยกายวาจาใจแล้ว ย่อมเดือดร้อนในโลกนี้ตายไปแล้วย่อมเกิดในอบายภูมิทั้ง ๔ ภูมิ หรือเราจะระลึกถึงโอวาทที่พระพุทธเจ้าทรงสอน เช่นว่า “ผู้ใดโกรธตอบผู้ที่โกรธ (ก่อน) เพราะเหตุที่โกรธตอบนั้น ผู้นั้นกลับเลวกว่าผู้ที่โกรธ (ก่อน) นั้นเสียอีก ผู้ไม่โกรธตอบผู้โกรธ (ก่อน) ชื่อว่าชนะสงครามที่ชนะได้ยาก ผู้ใดรู้ว่าผู้อื่นโกรธขึ้นมาแล้วมีสติระงับใจเสียได้ (ไม่โกรธตอบ) ผู้นั้นเชื่อว่าประพฤติเป็นประโยชน์ด้วยกันทั้ง ๒ ฝ่าย คือทั้งฝ่ายตนและฝ่ายผู้อื่นและผู้ที่มัวโกรธอยู่อย่างนี้ ไม่ชื่อว่าเป็นผู้ทำตามคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วย”

๒. ระลึกถึงความดีของเขา

ถ้าวิธีที่ ๑ ไม่สำเร็จ ลองวิธีที่ ๒ คือ ระลึกถึงความดีของเขา เพราะบางคนความประพฤติทางกาย เขาปฏิบัติดีเป็นอันมาก ชนทั้งปวงก็รู้ได้ แต่วาจาและใจไม่เรียบร้อยเราก็ระลึกถึงแต่ความดีทางกายของเขาอย่างเดียว บางคนดีทางวาจาอย่างเดียว พูดจาอ่อนหวาน พูดให้คนอื่นสบายใจมีหน้าชื่นบาน ทักก่อน แต่ความประพฤติทางกายและใจไม่เรียบร้อย เราก็อย่าคิดถึงทางกายและใจ ระลึกถึงแต่ความดีทางวาจาของเขาอย่างเดียว บางคนดีทางใจเท่านั้นความเรียบร้อยทางใจของเขานั้น ปรากฏแก่ชนทั้งปวงในการทำกิจต่าง ๆ เช่น การไหว้พระเจดีย์ เขาย่อมไหว้โดยเคารพไม่นั่งใจลอย โงกง่วงอยู่ในที่ฟังธรรม เราก็ระลึกถึงแต่ความเรียบร้อยทางใจของเขาอย่างเดียวเถิด สำหรับบางคน ประพฤติไม่ทั้งทางกาย วาจา ใจ เราควรตั้งความกรุณาในบุคคลนั้นด้วยคิด (สงสาร) ว่า “เวลานี้เขาอยู่ในโลกมนุษย์ แต่ว่าอีกไม่นาน เขาก็จะต้องไปเพิ่มให้มหานรกทั้ง ๘ ขุม เต็มขึ้น” เมื่อทำใจเช่นนี้ ความอาฆาต โกรธแค้น ย่อมระงับลงได้ เพราะอาศัยความกรุณา

๓. พึงสอนตนว่า “ความโกรธคือการทำความทุกข์ให้ตนเอง”

เช่นว่า “เจ้าไปพะนอความโกรธ อันเป็นตัวตัดมูลรากของศีลทั้งหลายที่เจ้ารักษาเสีย ขอถามหน่อย ใครโง่เหมือนเจ้าบ้างเล่า เจ้าโกรธว่า คนอื่นทำกรรมป่าเถื่อน (กรรมชั่ว) ให้อย่างไรหนอ เจ้าจึงปรารถนาจะทำกรรมเช่นเดียวกันนั้นเสียเองเล่า ถ้าคนอื่นอยากให้เจ้าโกรธ จึงทำความไม่พอใจให้ไฉนเจ้าจึงจะช่วยทำความตั้งใจของเขาให้สำเร็จ โดยปล่อยให้ความโกรธเกิดขึ้นเล่า น่าตำหนิ เจ้าโกรธแล้วจักได้ทำทุกข์ให้แก่เขาหรือไม่ก็ตาม แต่เดี๋ยวนี้ เจ้าก็ได้เบียดเบียนตนเองด้วยโกรธทุกข์ (ความทุกข์ใจเพราะความโกรธ) อยู่แท้ ๆ”

๔. พิจารณาความที่สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของ ๆ ตน

ถ้ายังไม่หายโกรธ พึงพิจารณาให้เห็นว่าตนและคนอื่นต่างมีกรรมเป็นของ ๆ ตน เช่นว่า เจ้าโกรธเขาแล้ว เจ้าจักทำอะไร กรรมที่มีโทสะเป็นเหตุ จักเป็นไปเพื่อความเสื่อมเสียแก่ตัวเจ้าเองมิใช่หรือ เจ้าจักทำกรรมใดไว้ เจ้าจะต้องเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น กรรมอันนี้จะสามารถให้สมบัติทั้งหลายมีความเป็นพระราชา พระอินทร์ เป็นต้น ก็หามิได้เลย กรรมนี้มีแต่จะทำให้เจ้าเสวยทุกข์ในเรือนจำ ทุกข์ในนรกเป็นต้น อย่างนี้แล้วจึงพิจารณาถึงฝ่ายคนอื่นบ้าง ดังที่พิจารณาในฝ่ายตน

๕. พิจารณาถึงความประพฤติในกาลก่อนของพระศาสดา

เช่นว่า พระศาสดาของเจ้าในกาลก่อนแต่การตรัสรู้แม้เป็นพระโพธิสัตว์ ทรงบำเพ็ญพระบารมีอยู่ตลอด ๔ อสงไขยกับแสนกัป มิได้ทรงยังจิตให้คิดประทุษร้ายในบุคคลทั้งหลายผู้เป็นศัตรู แม้เป็นผู้ปลงพระชนม์เอาในชาตินั้น ๆ เช่น เรื่องในขันติวาทีชาดก พระโพธิสัตว์ เมื่อพระราชาพระนามว่ากลาพุ ผู้โง่เขลาถามว่า สมณะ แกกล่าววาทะอะไร ตอบว่าอาตมากล่าววาทะคือขันติ (ความอดทน) ถูกโบยด้วยหวายทั้งหนามแล้ว ตัดมือและเท้าเสีย ก็ทรงมิได้ทำแม้แต่อาการขุ่นเคือง หรือเรื่องในมหากปิชาดก พระโพธิสัตว์เกิดเป็นกระบี่ใหญ่ (ลิง) เมื่อถูกชายผู้หนึ่งผู้ที่ตนเองช่วยฉุดขึ้นจากเหวรอดชีวิตแล้ว ยังคิดร้ายว่า “ลิงนี่ก็เป็นอาหารของพวกมนุษย์เหมือนสัตว์ป่าอื่น ๆ ในป่านั่นเอง อย่ากระนั้นเลย เราก็หิวแล้ว ฆ่าลิงตัวนี้กินเสียเถิดน่ะ เรากินอิ่มแล้ว จะถือเอาเนื้อมันเป็นเสบียงไปด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็จักข้ามทางกันดารไปได้เสบียงก็จักมีแก่เราด้วย” ดังนี้แล้ว ยกก้อนหินทุ่มหัวเอากระบี่ใหญ่ก็ยังมองชายผู้นั้น ด้วยดวงตาอันนองด้วยน้ำตากล่าวกะเขาด้วยดีว่า นายจ๋า นายอย่าทำกะข้าซิ น่าติ! นายทำกรรมเช่นนี้ได้ (ลงคอ) นายก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้มีอายุยืนควรแต่จะห้ามคนอื่น (มิให้ทำร้ายกัน แต่นี่นายกลับทำร้ายเสียเอง) ไม่ยังจิตให้คิดร้ายในชายผู้นั้น ไม่คิดถึงความทุกข์ของตนเลย ยังพาชายผู้นั้นให้ถึงที่ ๆ ปลอดภัยเสียด้วย

๖. พิจารณาถึงความที่เคยเกี่ยวข้องกันในสังสารวัฏ

พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า สัตว์ผู้ที่ไม่เคยเป็นมารดา ไม่เคยเป็นบิดา ไม่เคยเป็นพี่น้องชาย ไม่เคยเป็นพี่น้องหญิง ไม่เคยเป็นบุตร ไม่เคยเป็นธิดา มิใช่หาได้ง่ายเพราะฉะนั้น เราพึงยังจิตอย่างนี้ให้เกิดขึ้นในผู้นั้นว่า “ผู้นี้เป็นมารดาในอดีตของเรา รักษาเราอยู่ในท้อง ไม่แสดงอาการเกลียดสิ่งปฏิกูลทั้งหลาย มีอุจจาระ ปัสสาวะ น้ำลาย และน้ำมูล เป็นต้น ของเรา เช็คได้ราวกะจันทร์แดง (ต้นไม้หอมชนิดหนึ่ง) ให้เรานอนแนบอก อุ้มเราไป เลี้ยงเรามา...เป็นบิดาในอดีตของเรา ประกอบอาชีพต่าง ๆ ทำงานที่ยากอื่น ๆ บ้างเพื่อประโยชน์แก่ตัวเรา คิดว่า จักเลี้ยงลูกน้อยรวบรวมทรัพย์ด้วยการงานนั้น ๆ เลี้ยงเรามา... การทำใจร้าย โกรธเคืองในบุคคลนั้น ไม่สมควรแก่เราเลย”

๗. พิจารณาอานิสงส์เมตตา

ถ้ายังไม่อาจดับความโกรธได้ ลองพิจารณาอานิสงส์ของเมตตา ถ้าเราละความโกรธได้ มีจิตเมตตาปรารถนาให้ผู้อื่นเป็นสุข ก็จะได้รับอานิสงส์ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้มีถึง ๑๑ อย่าง คือ

๑. หลับเป็นสุข

๒. ตื่นเป็นสุข

๓. ไม่ฝันร้าย

๔. เป็นที่รักของมนุษย์ทั้งหลาย

๕. เป็นที่รักของอมนุษย์ทั้งหลาย

๖. เทวดาย่อมรักษาผู้นั้น

๗. ไฟ พิษ หรือศัสตรา ย่อมไม่ทำร้ายผู้นั้น

๘. จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิเร็ว

๙. สีหน้าผ่องใส

๑๐. ไม่หลงตาย คือมีสติก่อนตาย

๑๑. เมื่อไม่บรรลุคุณวิเศษที่ยิ่ง ย่อมเข้าถึงพรหมโลก

๘. ใช้วิธีแยกธาตุ

พึงสอนตนอย่างนี้ว่า “ตัวเจ้าเมื่อโกรธบุคคลนั้นโกรธอะไร โกรธผมหรือ หรือว่า โกรธขน โกรธเล็บ ฯลฯ หรือมิฉะนั้น ก็โกรธธาตุดิน โกรธธาตุน้ำ โกรธธาตุไฟ หรือโกรธธาตุลม เมื่อเห็นว่ามีแต่ธาตุ แล้วเราจะโกรธไปทำไม”

๙. วิธีสุดท้าย-ทำการให้และการแบ่ง

ถ้ายังไม่หายโกรธอีก พึงให้ของ ๆ ตนแก่เขา รับของ ๆ เขามาเพื่อตนเอง แต่ถ้าเขามีอาชีพไม่บริสุทธิ์ ก็พึงให้แต่ของ ๆ ตนไปฝ่ายเดียว อย่ารับของ ๆ เขาเลย เมื่อเราทำไปอย่างนั้นความอาฆาตในบุคคลนั้น จะระงับไปได้ ส่วนความโกรธของอีกฝ่ายหนึ่ง แม้จะติดตามมาตั้งแต่อดีตชาติ ก็จะระงับไปในทันทีเหมือนกัน ดังที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า “ ททมาโน ปิโย โหติ ” แปลว่า “ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก (ของผู้รับ)”

“ เขาว่าเรา เราอย่าโกรธ ลงโทษเขา

ในเมื่อเรา นี้ไม่เป็น เช่นเขาว่า

หากเราเป็น จริงจัง ดังวาจา

เมื่อเขาว่า อย่าโกรธเขา เราเป็นจริง ”


คัดจากหนังสือ ตายแล้วไปไหน ?

เรียบเรียงโดย พระมหาสุสวัสดิ์ จนฺทปญฺโญ ป.ธ.๙

พิมพ์โดย สุวิภา กลิ่นสุวรรณ์

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 32 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร