วันเวลาปัจจุบัน 24 มิ.ย. 2025, 09:53  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 21 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2012, 11:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


สมาธิ

อะไรชื่อว่า สมาธิ?

ภาวะจิตที่มีอารมณ์อันเดียวฝ่ายกุศล ชื่อว่า สมาธิ


ที่ชื่อว่า สมาธิ เพราะอรรถว่าอะไร?

มีชื่อว่า สมาธิ เพราะอรรถว่า ความตั้งมั่น ตั้งใจมั่น


ที่ว่าความตั้งมั่นนี้ ได้แก่อะไร?

ได้แก่ ความตั้งอยู่หรือความดำรงของจิตและเจตสิกทั้งหลายในอารมณ์อันเดียวอย่างสม่ำเสมอ และโดยถูกทางด้วย

เพราะฉะนั้น จิตและเจตสิกทั้งหลายย่อมตั้งอยู่ในอารมณ์เดียวอย่างสม่ำเสมอและโดยถูกทางด้วย ไม่ฟุ้งซ่านและไม่ส่ายไปในอารมณ์อื่น ด้วยอำนาจแห่งธรรมชาติใดธรรมชาตินี้ พึงทราบว่า คือ ความตั้งมั่น


อะไร เป็นลักษณะ, เป็นรส, เป็นอาการปรากฏ และเป็นปทัฏฐานของสมาธิ?

สมาธิมีความไม่ฟุ้งซ่านเป็นลักษณะ

มีการกำจัดเสียซึ่งความฟุ้งซ่านเป็นรส

มีความไม่หวั่นไหวเป็นอาการปรากฏ

มีความสุขเป็นปทัฏฐาน


เพราะบาลีรับรองว่า สุขิโน จิตฺตํ สมาธิยติ

จิตของบุคคลผู้มีความสุขย่อมตั้งมั่น ฉะนี้




หมายเหตุ

ในการทำสมาธิ ส่วนมากจะเจอปัญหาเรื่องการทำจิตให้เป็นสมาธิ ดูเหมือนว่า จะทำได้ยาก โดยเฉพาะเรื่อง ฌาน ที่มีความพยายามจะทำให้ได้

และที่สำคัญ ความรู้สึกตัวขณะจิตเป็นสมาธิ ยิ่งไม่ต้องไปพูดถึง

เหตุเกิดจากความไม่รู้ที่มีอยู่ ไม่รู้ชัดในเรื่องสภาวะของสมาธิและอารมณ์ของจิตขณะที่กำลังเป็นสมาธิ ซึ่งแท้จริงแล้วการทำให้จิตเป็นสมาธิ แม้กระทั่งฌานต่างๆ ทุกรูปทุกนามทำได้มาตั้งแต่เกิด/สัญญา


เหตุของจิตตั้งมั่นได้ยาก

๑. เกิดจากเหตุที่ทำมา ได้แก่ เหตุที่เคยทำไว้ในอดีต และเหตุที่กำลังสร้างขึ้นใหม่ในปัจจุบัน

เช่น ไม่รู้ชัดในเรื่องของจิต

ไม่รู้ชัดในอารมณ์ต่างๆของจิตในขณะที่จิตเป็นสมาธิ

ไม่รู้ว่าสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในขณะจิตเป็นสมาธิเกิดจากอะไรฯลฯ

เพราะความไม่รู้ที่มีอยู่ จึงยึดติดในสิ่งที่คิดว่ารู้ แล้วนำสิ่งที่คิดว่ารู้ไปสร้างเป็นเหตุใหม่ให้เกิดขึ้น เป็นเหตุให้บัญญัติบดบังสภาวะ เพราะจะมีแต่การนำสิ่งที่เกิดขึ้น ไปเทียบเคียงกับบัญญัติที่มีอยู่ สิ่งที่คิดว่ารู้ คิดว่าใช่ ล้วนเป็นกับดักของกิเลส


๒. ตกหลุมพรางบัญญัติ ยึดติดกับบัญญติต่างๆตามที่เคยได้ยิน ได้แก่ การไปนำผลมาทำเป็นเหตุ(ความสงบจากนิวรณ์) ไม่ได้ทำจากเหตุ(สัปปายะ)ไปรู้ผลของสาเหตุที่จิตไม่ตั้งมั่น/สมาธิ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มี.ค. 2012, 09:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ศิล สมาธิ ปัญญา



ศิล/การดูตามความเป็นจริง
เป็นเหตุของการตัดเหตุของการเกิดในภพชาติปัจจุบัน

ภาวนา/สัมมาสมาธิ เป็นเหตุของการตัดภพชาติในวัฏสงสาร

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 มี.ค. 2012, 09:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ศิล

พระผู้มีพระภาค ทรงแนะแนวการสร้างเหตุของการตัดภพตัดชาติในปัจจุบันและภพชาติในวัฏสงสารไว้ให้แล้ว

การสร้างเหตุของการเกิดภพชาติในปัจจุบัน คือ ศิล

กล่าวโดยสภาวะ

คือ แค่รู้ แค่ยอมรับ ในสิ่งที่ตนมีและเป็นอยู่ แต่ไม่สร้างเหตุออกไป


ความไม่รู้

ด้วยความไม่รู้ชัดในสภาวะของศิล จึงทำการสมาทานศิลด้วยจิตที่มีกิเลส มีแต่ใจทะยานอยาก จึงเป็นที่มาของสภาวะ สีลัพพตปรามาส

กล่าวโดยสภาวะ

คือ ทำการสมาทนาศิล แต่ไม่หยุดการสร้างเหตุ(ยินดี/อนุโมทนา ยินร้าย/นินทา)

เหตุเพราะ ไม่รู้ชัดในสภาวะของศิล รู้เพียงบัญญัติ(เปลือก)


สภาวะศิล

เมื่อยังไม่สามารถรู้ชัดในศิลโดยสภาวะ จึงต้องอาศัยการสมาทานในการสร้างเหตุของของการเกิดสภาวะศิลโดยบัญญัติไปก่อน

การสมาทานศิลโดยบัญญัติ เป็นอุบายของการสร้างเหตุการเกิดสภาวะของศิลที่เป็นสภาวะปรมัตถ์

การสร้างเหตุของสภาวะศิลจากสภาวะบัญญัติเป็นสภาวะปรมัตถ์
เมื่อผัสสะเกิด แค่ดู สักแค่รู้ แค่เห็นตามความเป็นจริงของสภาวะ/สิ่งที่กำลังเกิดขึ้น

เพียงยอมรับตามความเป็นจริงของสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งภายนอกและภายใน แต่ไม่สร้างเหตุออกไป


ศิล จึงเป็นเหตุของการตัดภพชาติในปัจจุบันเพราะเหตุนี้ เหตุมี ผลย่อมมี เหตุไม่มี ผลย่อมไม่มี



การสมาทาน เหมือนดาบสองคม เมื่อสมาทานไปแล้ว ทำไม่ได้ ย่อมเสียสัจจะ ผู้ที่เสียสัจจะ คิดทำสิ่งใด ย่อมไม่ประสพความสำเร็จ

หากทำได้ นั่นคือ การดับที่ต้นเหตุของการสร้างเหตุให้เกิดภพชาติในปัจจุบัน

ทุกๆบัญญัติ ล้วนมีสภาวะปรมัตถ์ซ้อน ซ่อนอยู่ภายใน เพียงแต่จะสามารถรู้เห็นตามความเป็นจริงได้ ต้องดับเหตุที่ตนเองก่อน ดับได้ จิตย่อมเบาสบาย ปัญญาย่อมเกิดขึ้นตามความเป็นจริง

เพียงแค่รู้ รู้ซ้อนรู้ รู้ลงไปตาามความเป็นจริงของสภาวะ/สิ่งที่เกิดขึ้น รู้ซ้อนรู้ ล้วนเป็นเพียงสัญญา

วันใดใจหยุดรู้ สักแต่ว่ารู้ สภาวะปัญญาย่อมเกิดขึ้นตามความเป็นจริง

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 พ.ค. 2012, 07:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


สติปัฏฐาน ๔-มหาสติปัฏฐาน ในปัจจุบัน


สติปัฏฐานสูตร

[๑๓๒] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธภาษิตนี้ว่า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย หนทางนี้เป็นที่ไปอันเอก เพื่อความบริสุทธิ์ของเหล่าสัตว์ เพื่อล่วงความโศกและปริเทวะ เพื่อความดับสูญแห่งทุกข์และโทมนัส เพื่อบรรลุธรรมที่ถูกต้อง เพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง. หนทางนี้คือ สติปัฏฐาน ๔ ประการ.

๔ ประการเป็นไฉน?

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ๑

พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลก
เสียได้ ๑

พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ๑

พิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ๑.


ดูเนื้อความทั้งหมดที่

http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.p ... 754&Z=2150





มหาสติปัฏฐานสูตร

[๒๗๓] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้-

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในกุรุชนบท มีนิคมของชาวกุรุ ชื่อว่า กัมมาสทัมมะ ณ ที่นั้น พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธภาษิตนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย หนทางนี้เป็นที่ไปอันเอก เพื่อความบริสุทธิ์ของเหล่าสัตว์ เพื่อล่วงความโศกและปริเทวะ เพื่อความดับสูญแห่งทุกข์และโทมนัส

เพื่อบรรลุธรรมที่ถูกต้อง เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน หนทางนี้ คือ สติปัฏฐาน ๔ ประการ

๔ ประการ เป็นไฉน

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ
มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ๑

พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ๑

พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ๑
พิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ๑ ฯ


ดูเนื้อความทั้งหมดที่

http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.p ... 257&Z=6764




หมายเหตุ:

ไม่แตกต่างกับคำเรียก วิปัสสนากับวิปัสสนาญาณ ที่มีปรากฏอยู่ในปัจจุบัน

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 พ.ค. 2012, 09:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


สติปัฏฐาน ๔


"เอกายโน อยํ ภิกฺขเว มคฺโค สตฺตานํ วิสุทฺธิยา โสกปริเทวานํ สมติกฺกมาย ทุกขฺโทมนสฺสานํ อตถงฺคมาย ญายสฺส อธิคมาย นิพฺพานสฺส สจฺฉิกิริยาย ยทิทํ จตฺตาโร สติปฏฺฐานา" ดังนี้เป็นต้น แปลเป็นใจความว่า

ดูก่อนท่านผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสารทั้งหลาย ทางนี้เป็นทางสายเอก เป็นไปพร้อมเพื่อความบริสุทธิ์หมดจดของสัตว์ทั้งหลาย เพื่อก้าวล่วงความเศร้าโศกปริเทวนาการ เพื่อดับทุกข์ทางกาย ดับทุกข์ทางใจของสัตว์ทั้งหลาย เพื่อบรรลุมรรคผล เพื่อกระทำให้แจ้งพระนิพพาน ทางนั้นคือ สติปัฏฐาน ๔ ดังนี้


จตุนฺนํ อริยสจฺจานํ ยลาภูตมทสฺสนา

สํสริตํ ทีฆมทฺธานํ ตาสุ ตาเสฺวว ชาตีสุ

การที่เราท่านทั้งหลาย ได้พากันเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏฏสงสารตลอดกาลนานหลายหมื่นปีแสนปี ก็เพราะไม่รู้แจ้งแทงตลอดอริยสัจ ๔ ตามความเป็นจริง


ยานิ เอเตนิ ทิฏฐฺฐานิ ภวเนตฺติ สมูหตา

อุจฺฉินฺมํ มูลํ ทุกฺขสฺส นตฺถีทานิ ปุนปภฺโว

อริยสัจ ๔ เหล่านั้น เราและท่านทั้งหลาย ได้เห็นแล้ว ได้ถอนตัณหาที่จะนำไปสู่ภพแล้ว ตัดมูลรากของทุกข์ให้หมดสิ้นไป บัดนี้ภพใหม่ไม่มีอีกแล้ว


เย ทุกฺขํ นปฺปชานนฺติ อโถ ทุกฺขสฺส สมฺภวํ

ยตฺถ จ สพฺพโส ทุกฺขํ อเสสํ อุปรุชฺฌติ

ตญฺจ มคฺคํ น ชานนฺติ ทุกฺขูปสมคามินํ

เจโตวิมุตฺติ หีนา เต อโถ ปญฺญาวิมุตฺติยา

อภพฺพา เต อนฺตกิริยาย เต เว ชาติชรูปคา.

ชนเหล่าใด ไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้เหตุเกิดทุกข์ ไม่รู้ความดับทุกข์โดยประการทั้งปวง ไม่รู้มรรคอันเป็นทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ไม่สามารถจะทำที่สุดแห่งทุกข์ในวัฏฏะได้ จึงต้องเข้าถึงความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ตลอดไป


เย จ ทุกฺขํ ปชานนฺติ อโถ ทุกฺขสฺส สมฺภวํ

อตฺถ จ สพฺพโส ทุกฺขํ อเสสํ อุปรุชฺฌติ

ตญฺจ มคฺคํ ปชานนฺติ ทุกฺขูปสมคามินํ

เจโตวิมุตฺติสมุปนฺนา อโถ ปญฺญาวิมุตฺติยา

ภพฺพา เต อนฺตกิริยาย น เต เว ชาติชรูปคา.

ชนเหล่าใด รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดของทุกข์ รู้ความดับทุกข์โดยประการทั้งปวง รู้มรรค ๘ อันเป็นทางปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ชนเหล่านั้นถึงพร้อมด้วยเจโตวิมุติ และปัญญาวิมุติ สามารถทำที่สุดแห่งทุกข์ในวัฏฏะได้ ไม่ต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย ตลอดไป


เอสว มคฺโค นตฺถญฺโญ ทสฺสนสฺส วิสุทฺธิยา

เอเตญฺหิ ตุมฺเห ปฏิปชฺชถ มารสฺเสตํ ปโมหนํ

ทางนี้เท่านั้นที่เป็นไปเพื่อมรรคผล ทางอื่นไม่มีเลย ท่านทั้งหลาย จงดำเนินไปตามเส้นทางนี้เถิด เพราะเส้นทางนี้เป็นที่ลุ่มหลง แห่งมารและเสนามาร



เอตญฺหิ ตุมฺเห ปฏิปนฺนา ทุกฺขสฺสนฺตํ กริสฺสถ

อกฺขาโต โว มยา มคฺโค อญฺญาย สลฺสตฺถนํ

เมื่อท่านทั้งหลาย ดำเนินไปตามทางนี้แล้ว จักทำทุกข์ในวัฏฏสงสารทั้งสิ้นให้เด็ดขาดลงไปไม่มีเหลือ เราได้ทราบทางนี้ว่าเป็นที่สลัดออกซึ่งลูกศรทั้งหลาย มีราคะเป็นต้น ด้วยตนเองอย่างแน่นอนแล้ว จึงได้บอกแก่พวกท่าน


ตุมฺเหหิ กิจิจํ อาตปฺปํ อกฺขาตาโร ตถาคตา

ปฏิปนฺนา ปโมกิขนฺติ ฌายิโน มารพนฺธนา

ท่านทั้งหลาย จงรีบทำความเพียร เพื่อเผากิเลสให้สิ้นไปจากขันธสันดาน เพราะพระตถาคตทั้งหลายเป็นแต่ผู้ชี้บอกทางให้เท่านั้น

เมื่อชนเหล่าใดปฏิบัติตามทางที่ตถาคตชี้บอกไว้แล้ว เพ่งด้วยฌานทั้ง ๒ คือ อารัมมนูปนิชฌาน ลักขนูปนิชฌาน ได้แก่ เจริญสมถกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน ชนเหล่านั้น ย่อมหลุดพ้นจากเครื่องผูกแห่งมาร กล่าวคือ วัฏฏะเป็นในภูมิ ๓


ปญฺจ กิเลสกฺขนฺธาภิสงฺขารเทวปุตฺตมจฺจุมาเร อภญ์ชิ

สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงกำจัดมารทั้ง ๕

มารมี ๕ คือ

๑. กิเลสมาร มาร คือ กิเลส

๒. ขันธมาร มาร คือ ขันธ์ ๕

๓. อภิสังขาร มาร คือ อภิสังขาร ๆ นั้น มีอยู่ ๓ คือ

ปุญญาภิสังขาร ได้แก่ บุญ

อปุญญาภิสังขาร ได้แก่ บาป

อเนญชาภิสังขาร ได้แก่ ปัญจมฌาน

๔. เทวปุตตมาร มาร คือ เทพบุตรผู้มุ่งร้าย

๕. มัจจุราชมาร มาร คือ ความตาย



สมโถ ภิกิขเว ภาวิโต กิมตฺถมนุโภติ จิตฺตํ ภาวิยติ จิติตํ ภาวิตํ กิมตฺถมนุโภติ โย ราโค โส ปหียติ

ดูก่อนท่านผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสารทั้งหลาย บุคคลเจริญสมถกรรมฐาน แล้วจะได้ประโยชน์อะไร? ได้การอบรมจิต? จิตที่บุคคลอบรมดีแล้ว จะได้ประโยชน์อะไรเล่า? ได้ประโยชน์คือ ละราคะได้


วิปสฺสนา ภิกฺขเว ภาวิตา กิมตฺถมุโภติ ปญฺญา ภาวิยติ ปญฺญา ภาวิตา กิมตฺถมนุโภติ ยา อวิชฺชา สา ปหียติ

ดูก่อนท่านผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสารทั้งหลาย บุคคลเจริญวิปัสสนากรรมฐานแล้ว จะได้ประโยชน์อะไร? ได้การอบรมปัญญา ปัญญาที่บุคคลอบรมดีแล้ว จะได้ประโยชน์อะไร? ได้ประโยชน์คือ ละอวิชชาได้




ธมฺมารา ธมฺมรโต ธมฺมํ อนุวิจินฺตย

ธมฺมํ อนุสฺสรํภิกฺขุ สทฺธมฺมา น ปริหายติ

"ภิกษุ มีธรรมคือ สมถะและวิปัสสนาเป็นที่มา ยินดียิ่งในธรรม คือ สมถะและวิปัสสนา คิดถึงอยู่บ่อยๆ นึกถึงอยู่บ่อยๆ กระทำไว้ในใจบ่อยๆ อนุสรณ์ถึงอยู่บ่อยๆ

ซึ่งสมถะและวิปัสสนานั้น ย่อมไม่เสื่อมจากโพธิปักขยธรรม ๓๗ ประการ และไม่เสื่อมจากโลกุตรธรรม ๙ คือ มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑




สำหรับ โยคีบุคคลโดยทั่วไป ถ้าปราศจากพระอาจารย์ที่คอยให้คำแนะนำพร่ำสอนแล้ว จะไม่สามารถปฏิบัติให้เจริญก้าวหน้าในการบำเพ็ญตามหลักของสมถะ-วิปัสสนาในสติปัฏฐาน ๔ ได้เลย

ทั้งหมดนี้ล้วนเกิดจากเหตุปัจจัยในอดีตที่ทำไว้ และเหตุที่กำลังสร้างให้เกิดขึ้นมาใหม่

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ค. 2012, 22:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


หลักสำคัญในการปฏิบัติ


จิ.เจ.รุ.นิ.



แนวทางการปฏิบัติ


๑. ปฏิจจสมุปบาท

๒. โยนิโสมนสิการ

๓. สัมมาสติ

๔. การเจริญอิทธิบาท ๔ สมาธิ

๕. การปรับอินทรีย์

๖. สัมมาสมาธิ

๗. สัมมาทิฏฐิ



กล่าวโดยย่อ ได้แก่ ศิล สมาธิ ปัญญา


เหตุของการเกิดสภาวะของศิล ได้แก่ ปฏิจจสมุปบาท ๑ โยนิโสมนสิการ ๑ สัมมาสติ ๑

เหตุของการเกิดสมาธิ ได้แก่ การเจริญอิทธิบาท ๔ และการปรับอินทรีย์

เหตุของการเกิดปัญญา ได้แก่ สัมมาสมาธิ





หมายเหตุ:

หลักสำคัญของการปฏิบัติ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นหรือสภาวะที่สำคัญที่ควรรู้อย่างมากๆ ก่อนลงมือปฏิบัติ

คือ ควรอ่านก่อนลงมือทำ หรือศึกษาไปด้วย ปฏิบัติไปด้วย หรือไม่ต้องการรู้ ก็ตามสะดวก แล้วแต่เหตุปัจจัยของแต่ละคน

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 21 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร