วันเวลาปัจจุบัน 05 พ.ค. 2025, 07:30  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 26 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ม.ค. 2010, 17:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




Y4775273-7.jpg
Y4775273-7.jpg [ 13.72 KiB | เปิดดู 1470 ครั้ง ]
เมื่อรู้จักเช่นนี้เห็นไหมล่ะ
แต่เพียงแสดงให้ฟังเช่นนี้เราก็เบื่อเสียแล้ว
ไม่ต้องไปทำละ ก็มันยากอย่างนี้
ฟังก็ยาก
เข้าใจก็ยาก
รู้ก็ยาก
เบื่อทีเดียว
ไม่อยากจะฟังเชียว
ถ้าไม่นึกอายในใจ เห็นท่าจะลุกไปเสียทีเดียว
มันน่าลำบาก นี่มันยากแค้นอย่างนี้ นี่เห็นไหมล่ะ มันยากแค้นอย่างนี้ พึงรู้เถิดว่าที่ท่านทรงรับสั่ง
พุทฺธุปฺปาโท จ ทุลฺลโภ ความบังเกิดขึ้นของพระพุทธเจ้า เป็นของยากอย่างนี้


แก้ไขล่าสุดโดย หลับอยุ่ เมื่อ 14 เม.ย. 2010, 00:13, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ม.ค. 2010, 17:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




Y4775273-7.jpg
Y4775273-7.jpg [ 13.72 KiB | เปิดดู 1445 ครั้ง ]
นี้พระบวชใหม่ท่านทำเป็นแล้ว เป็นแล้วอย่างนี้ ท่านจึงละสมบัติพัสถานได้ ท่านจึงบวชจริง ตั้งใจจริง ท่านไปสอนในประเทศญี่ปุ่นมาทั้งประเทศละนี่น่ะ
เพราะท่านถึงนี่แล้ว ท่านถึงความเป็นพระพุทธเจ้าอย่างนี้แล้ว ถึงตลอดถึงไกลไปกว่านี้ไปอีกนับไม่ถ้วน ท่านไปไกลแล้ว เพราะฉะนั้นท่านเห็นจริงเห็นจังอย่างนี้แล้ว
นี่แหละ ธรรมอันนี้เป็นของลึกซึ้ง ถ้าว่าผู้ใดไปถึงเข้าแล้ว ผู้นั้นก็จะรู้สึกน่ะ ไม่ว่าผู้หญิงผู้ชาย
พุทโธ่เอ๋ย เราเกิดมาตั้งแต่เล็กจนโต เป็นหนุ่มเป็นสาว ครองเหย้าครองเรือน
เหมือนเด็กจริงๆ เด็กๆ เล่นขายของกันแท้ๆ


เดี๋ยวก็ตี เดี๋ยวก็ทะเลาะกัน
เพราะอ้ายนั่นไม่พอ อ้ายนี่ไม่พอ
หึงหวงกันต่างๆ นานา เหมือนเด็กๆ เล็กๆ แท้
ถ้าไปถึงพระเข้าแล้วก็ ไอ้นี่มันไม่ใช่เรื่องอย่างนี้หรือนี่
นี่แกก็ไปเห็นอย่างนั้นเข้าเหมือนกัน แกจึงทิ้งบ้านทิ้งช่อง
แม้ใครจะมายอมเป็นภรรยา แกก็ไม่ยอมอีกนั่นแหละ แกกลัวจะเล่นเรื่องเด็กกันอีก แกกลัว
แกรีบมาเสีย แกกลัวจะไปเล่นเรื่องเด็กกันอีก ยุ่งๆ เหยิงๆ กันต่างๆ นานา
ที่รบกันไปรบกันมานั้น มันก็เรื่องเด็กๆ นะ ไม่ใช่เรื่องผู้ใหญ่
ถ้าเรื่องผู้ใหญ่ไม่รบกันดอก ดูแต่ผู้ใหญ่กับผู้ใหญ่นั้นซิ อยู่ด้วยกันไปๆ ก็ไม่เป็นไร โอบอ้อมอารี ซึ่งกันและกัน ไม่ค่อยจะเป็นอันตรายนัก แต่ว่าต่างคนต่างก็เป็นผู้ใหญ่
เป็นเด็กๆ ไม่รู้เดียงสา พูดกันไม่รู้เรื่อง ฟังกันไม่รู้เรื่อง กลับเป็นเด็กๆ เสียอีก


แก้ไขล่าสุดโดย หลับอยุ่ เมื่อ 14 เม.ย. 2010, 00:16, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ม.ค. 2010, 17:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




000000000000000000000000000000000000000000000000000000.bmp
000000000000000000000000000000000000000000000000000000.bmp [ 466.22 KiB | เปิดดู 1444 ครั้ง ]
เพราะเหตุนี้ความเป็นพระพุทธเจ้าเป็นของได้ยาก ต้องเป็นผู้ใหญ่จริงๆ นะจึงจะเป็นพระพุทธเจ้าได้ ถ้าเป็นเด็กๆ เป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้ ยังทะเลาะเบาะแว้งกันอยู่
สมัยเมื่อยังเป็นเด็กๆ พระพุทธเจ้าไม่มีทะเลาะกันกับใคร ใจดีนักทีเดียว ไม่ข้องแวะกับใคร ไม่กระทบกระเทือนใครทีเดียว
สังเกตดูพระบวชใหม่ แกไม่กระทบกระเทือนแก่ใครๆ แกหลบของแกตามเรื่องของแกทีเดียว เพราะเหตุอะไร?
แกเป็นผู้ใหญ่เข้าแล้ว มีธรรมของผู้ใหญ่เข้าแล้ว มีกระแสพระพุทธเจ้าเข้าแล้ว เป็นพระพุทธเจ้าเข้าแล้ว
มีได้ยากอย่างนี้ ของได้ยาก ไม่ใช่ได้ง่าย
หลายคนด้วยกันพี่น้อง ก็มีน้องสุดท้องก็ยังไม่ได้กับเขาเลย ประพฤติกับเขาเหมือนกัน น้องรองมานั้นได้แล้ว พี่ชายยังไม่ได้ มารดาก็ได้แล้ว เพราะเห็นเข้าแล้วในวันนั้น



วันนี้เขาทำบุญเป็นอย่างแปลกประหลาดอย่างอัศจรรย์ คนที่รู้จักบุญเห็นบุญเช่นนี้ บุญก็ไหลมาเหลือประมาณนับประมาณไม่ได้ เจ้าของเขาก็เห็นเป็นดวงใหญ่โตมโหฬารนับประมาณไม่ได้
บุญที่ส่งมาคราวนี้แหละจะได้เป็นกำลังของพระบวชใหม่ ให้ประกาศศาสนาในประเทศญี่ปุ่น ให้ญี่ปุ่นเขาเคารพนบนอบหมดทั้งประเทศ
มันสำคัญอย่างนี้ ส่งบุญมาวันนี้ ต้นธาตุส่งบุญมาให้มโหฬารทีเดียว นับประมาณไม่ไหว
เหตุนี้ความจะได้เป็นพระพุทธเจ้าเป็นของได้ยากอย่างนี้ เพราะว่า ขณสมฺปตฺติ ที่เราถึงพร้อมด้วยขณะด้วยสมัยเช่นนี้ ไม่ใช่ง่ายนะ หมดทั้งประเทศไทย ไม่ใช่ง่ายหรอก
ทั้งประเทศไทยทั้ง ๑๘ ล้านเศษๆ นี้ เราเข้าใจ เขานับถือพระพุทธศาสนาทุกคนหรือ ที่ไหนก็มีศาสนาต่างๆ ก็มี ศาสนาผีก็มี เจ้าก็มี ต่างๆ นานา ศาสนาพุทธจริงๆ มีน้อย
ถ้าไม่เข้าถึงพระพุทธเจ้า
ไม่เป็นพระพุทธเจ้า
ไม่เห็นพระพุทธเจ้า
ที่จะถึงพระพุทธเจ้าจริงๆ น้อยนัก ต้องเห็น ต้องเป็น จึงจะถือแท้แน่นอน
ที่เขาถือจริงก็มีอยู่ ยังไม่เห็น ยังไม่เป็นก็ถือจริงเหมือนกัน นั่นก็จริงใช้ได้เหมือนกัน แต่ว่ายังไม่มั่นนัก ต้องเป็นจึงจะมั่นหมาย
ท่านจึงวางตำราไว้ในบาทที่สามว่า
ทุลฺลภา ขณสมฺปตฺติ ที่จะถึงพร้อมด้วยขณะด้วยสมัยเป็นของได้ยาก ไม่ใช่เป็นของได้ง่าย
ขณะสมัยเป็นอย่างไร? ขณะสมัย ๘ พระพุทธเจ้ามาอุบัติตรัสขึ้นในโลก พระสิทธัตถราชกุมารมาตรัสขึ้นในโลก หรือมีธรรมกายปรากฏขึ้นเช่นนี้แล้ว
นี่พระพุทธเจ้ามาตรัสขึ้นในโลกแล้ว ในโลก ขันธโลก สัตวโลกแล้ว ในตัวสัตว์นี่เอง ไม่อยู่ที่ไหน
ธรรมกายเกิดขึ้นแล้วที่จะมีผู้เชื่อจริง เห็นจริงได้ยากนัก โน้น เราไปเกิดเสียปลายดงปลายแขม แคว้นชนบท บ้านป่าเมืองดอน ธรรมกายไม่รู้เรื่องของพระพุทธเจ้ากับเขา
มันจะรู้เรื่องอะไร ร้อยวันพันปีภิกษุ สามเณรไม่กรายไปแม้แต่ทีหนึ่ง มันเกิดมาก็ตายเปล่า ไปดูซิ ถามว่าเคยพบพระนครบ้างหรือเปล่า ไม่ได้เคยไปเลย นั่นแน่ะถึงขนาดนี้แน่ะ มันไปดูปลายดงปลายแขมเสียขนาดนี้นะ
นี่แนะเมื่อพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นมันจะรู้เรื่องอะไร ไม่รู้เรื่องทีเดียว
นี้เป็น อขณะ อสมัย ทีเดียว


แก้ไขล่าสุดโดย หลับอยุ่ เมื่อ 14 เม.ย. 2010, 00:17, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ม.ค. 2010, 17:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




post-1-1246894090.jpg
post-1-1246894090.jpg [ 69.97 KiB | เปิดดู 1464 ครั้ง ]
พระพุทธเจ้ามาเกิดขึ้นในโลก โน้น ไปเกิดในอรูปสัตว์ อสัญญีสัตว์ ต่อภพข้างบนโน่นแน่ะ ไปเสวยสุขเสีย ๘๔,๐๐๐ กัลป์ ๘๔,๐๐๐ มหากัลป์นั่น มันก็ไม่ได้พบพระพุทธเจ้า
ไปเป็นอสัญญีสัตว์อยู่พรหมชั้นที่ ๑๑ ไปนั่งไปนอนเป็นตุ๊กตาหินอยู่นั่นเอง นั่นเขาเรียกว่า พรหมลูกฟัก ไม่รู้บาป รู้บุญ รู้คุณ รู้โทษอะไร ไปนอนเฉยอยู่นั่นล่ะ ไม่เอาเรื่องเอาราวกับใคร นับเป็นตั้ง ๕๐๐ มหากัลป์ อยู่นั่นแหละ พระพุทธเจ้ามาตรัสเท่าไรๆ ไม่รู้เหมือนกัน นั่นมันก็เป็นอขณะอสมัยเหมือนกัน
มันเกิดกับเขาในโลกที่พระพุทธเจ้ามาตรัสในโลกเหมือนกัน แต่ว่าแกเป็นมิจฉาทิฏฐิไปเสีย ไม่เชื่อความเป็นพระพุทธเจ้าทีเดียว แกไม่เชื่อทีเดียวนั่นแหละ จะกระทำอย่างไร แกก็ไม่เชื่อ แกเป็นมิจฉาทิฏฐิเสีย นั่นถึงจะอยู่รวมหมู่เดียวคณะเดียว ก็เป็นอขณะอสมัย ไม่ได้เรื่องอีกเหมือนกัน
พระพุทธเจ้ามาอุบัติตรัสในโลก ปรากฏอยู่ เขาก็เกิดมาในมนุษย์โลกอีกเหมือนกัน ใบ้บ้า บอด หนวก เสียเอาเรื่องไม่ได้อีก เป็นอขณะอสมัยอีก
พระพุทธเจ้ามาอุบัติตรัสในโลก โน่น..ไปเกิดในอเวจีอีก ไปเกิดในอเวจีนั่นเป็นสัตว์นรกเสียอีกแล้ว ไม่ได้เรื่องเป็นสัตว์เดรัจฉานเสียอีกแล้ว
เป็นเปรต เป็นอสุรกาย อยู่ในอบายภูมิเสียแล้ว มันก็เป็น อขณะอสมัยไม่ได้เรื่อง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ม.ค. 2010, 17:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




000000000000000000000000000000000000000000000000000000.bmp
000000000000000000000000000000000000000000000000000000.bmp [ 466.22 KiB | เปิดดู 1443 ครั้ง ]
ต่อเมื่อไรพระพุทธเจ้ามาอุบัติตรัสในโลก เกิดมาในมนุษย์รู้ดี รู้ชั่ว รู้ผิดรู้ชอบทุกอย่าง รู้สูง รู้ต่ำทุกอย่าง ไม่เข้าใจ แนะนำสั่งสอนคนอื่นไม่ได้ เป็นพุทธศาสนาแท้ๆ เป็นมิจฉาทิฏฐิเสียจนได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เป็นอขณะอสมัยกับเขา เป็นอขณะอสมัยแท้ๆ ไม่ได้มรรคผล
พวกเหล่านี้ต่อเมื่อใดพระพุทธเจ้ามาอุบัติตรัสในโลก เชื่อแท้ เห็นแท้ เหมือนกับพระบวชใหม่ อย่างนี้มันก็ต้องทำธรรมกายเหมือนอย่างนั้นนั่นแน่ะเขาถึงพร้อมด้วยขณะด้วยสมัยอย่างนั้นแน่ ถึงพร้อมด้วยขณะด้วยสมัยอย่างนั้นแน่ะสมบูรณ์บริบูรณ์ทีเดียว
พระพุทธเจ้าในนิพพานตาย เดี๋ยวเขาไปเฝ้าพระพุทธเจ้าก็ได้ ไปถามพระพุทธเจ้า ไปจับมือถือแขนท่านก็ได้
พระพุทธเจ้าจะลูบหูลูบหัวท่านก็ได้ พระพุทธเจ้าท่านจะเอามือลูบหูลูบหัวก็ได้ จับมือถือแขนท่านก็ได้ อย่างนี้ เขาว่องไวอย่างนี้ อย่างนี้แหละถึงจะอยู่ใกล้พระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าท่านนิพพานไปแล้ว เขาเกิดเป็นมนุษย์เช่นนี้ เขาก็เหมือนพระพุทธเจ้ามีพระชนม์อยู่ เขาจะเฝ้าพระพุทธเจ้าเวลาใดก็ได้เวลานั้น
ให้พระพุทธเจ้ามาสู่หาเวลาใด ก็มาสู่หาเขาเวลานั้น
ในขณะจิตนั้นไม่คลาดเคลื่อน นี่เขาถึงพร้อมด้วยขณะด้วยสมัย
มันเป็นอย่างนี้ ได้ยากนี่ ไม่ใช่เป็นของง่าย ไม่ใช่เป็นของง่าย เป็นของได้ยากนักหนาทีเดียว

นี่เรียกว่า ทุลฺลภา ขณสมฺปตฺติ ถึงพร้อมด้วยขณะด้วยสมัย พระพุทธเจ้าน่ะทรงรับสั่งว่า เป็นของได้ยาก ไม่ใช่เป็นของธรรมดา
สทฺธมฺโม ปรมทุลฺลโภ สัทธรรมเป็นของได้ยากอย่างยิ่ง นี่เป็นของพระพุทธเจ้าแท้ๆ สัทธรรมเป็นของได้ยากอย่างนี้
สัทธรรมน่ะอะไรเป็นของได้ยากอย่างนี้?
สัทธรรมน่ะ คือ ธรรมที่ทำให้เป็นพระพุทธเจ้า ธรรมที่ทำให้เป็นพระพุทธเจ้าน่ะดวงใหญ่อยู่กลางกายพระพุทธเจ้า สะดือทะลุหลัง ขวาทะลุซ้าย กลางกั๊กนั่นพอดี กลางกายนั่นพอดี วัดผ่าเส้นศูนย์กลาง ๒๐ วา กลมรอบตัว
กายละเอียดก็แบบเดียวกัน กายหยาบก็แบบเดียวกัน นี่เป็นองค์สัทธรรมอันถึงได้ยาก ที่จะเข้าถึงได้ยาก ที่จะรู้จักก็ยาก ธรรมดวงนี้น่ะ แล้วก็ดวงสัทธรรมที่ทำให้เป็นพระอนาคา วัดผ่าศูนย์กลาง ๑๕ วา กลมรอบตัว พระอนาคาละเอียด ๒๐ วา กลมรอบตัวนั่นก็เป็นสัทธรรม นั่นก็เป็นสัทธรรม นั่นเป็นสัทธรรมเหมือนกัน

สัทธรรมที่ลดส่วนลงมา ดวงธรรมที่ทำให้เป็นพระสกิทาคา วัดผ่าเส้นศูนย์กลาง ๑๐ วา กลมรอบตัว
ธรรมกายละเอียดของพระสกิทาคา วัดผ่าเส้นศูนย์กลาง ๑๕ วา กลมรอบตัว นั่นก็เป็นดวงสัทธรรมแท้ๆ
ลดส่วนกว่านั้นลงมา พระโสดา สัทธรรมของพระโสดาวัดผ่าเส้นศูนย์กลาง ๕ วา กลมรอบตัว
กายพระโสดาละเอียด วัดผ่าเส้นศูนย์กลาง ๑๐ วา กลมรอบตัว นั่นดวงสัทธรรมแท้ๆ ได้ยาก เข้าถึงยากนัก เป็นทางไปของพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ทีเดียว ในกลางดวงนั้น
มาถึงโคตรภูบุคคล ธรรมกายละเอียดวัดผ่าเส้นศูนย์กลาง ๕ วา กลมรอบตัว ธรรมกายไม่ละเอียดหย่อนกว่า ๕ วา ลงมา กลมรอบตัวเหมือนกัน นั่นก็ดวงสัทธรรมแท้ๆ นี่ส่วนธรรมกาย
ดวงสัทธรรมที่เป็นธรรมกายนั่นแหละ ดวงนั้นแหละเป็นตัวสัทธรรมแท้ๆ
ลดส่วนลงมากกว่านั้นลงมากายอรูปพรหมละเอียด ดวงธรรมที่ทำให้เป็นอรูปพรหมละเอียด วัดผ่าเส้นศูนย์กลาง ๘ เท่าฟองไข่แดงของไก่ ๘ ดวง ๘ ฟองเอามารวมกันเข้า เป็นดวงเดียวกัน
ลดเล็กลงมาอย่างนั้นเข้ามาถึงในภพเสียแล้วนี่
เล็กลงมานั่นตัวพระสัทธรรมแท้ๆ มาถึงกายอรูปพรหมหยาบ วัดผ่าเส้นศูนย์กลาง ๗ เท่าฟองไข่แดงของไก่
มาถึงกายรูปพรหมละเอียด วัดผ่าเส้นศูนย์กลาง ๖ เท่าฟองไข่แดงของไก่
มาถึงกายรูปพรหมหยาบวัดผ่าเส้นศูนย์กลาง ๕ เท่าฟองไข่แดงของไก่
มาถึงกายทิพย์ละเอียด วัดผ่าเส้นศูนย์กลาง ๔ เท่าฟองไข่แดงของไก่
มาถึงกายทิพย์ วัดผ่าเส้นศูนย์กลาง ๓ เท่าฟองไข่แดงของไก่
มาถึงกายมนุษย์ละเอียดวัดผ่าเส้นศูนย์กลาง ๒ เท่าฟองไข่แดงของไก่
มาถึงกายมนุษย์หยาบนี่เท่าฟองไข่แดงของไก่นั่นแหละ
ดวงนั่นแหละเป็นดวงสัทธรรม ที่จะเป็นพระพุทธเจ้าต้องไปในทางดวงนั้น เดินไปในทางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ กายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์ กายทิพย์ละเอียด กายรูปพรหม กายรูปพรหมละเอียด กายอรูปพรหมกายอรูปพรหมละเอียด เดินเข้าไปในกายธรรม กายธรรมละเอียด
กายพระโสดา โสดาละเอียด พระสกิทาคา สกิทาคาละเอียด อนาคา อนาคาละเอียด อรหัต อรหัตละเอียด เดินเข้าไปในนั้น ดวงนั้นแหละเป็นสัทธรรมแท้ๆ


แก้ไขล่าสุดโดย หลับอยุ่ เมื่อ 14 เม.ย. 2010, 00:21, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ม.ค. 2010, 17:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




Y4775273-7.jpg
Y4775273-7.jpg [ 13.72 KiB | เปิดดู 1442 ครั้ง ]
เมื่อใจเข้าไปอยู่กลางดวงนั้นแล้ว "หยุด" ความชั่วไม่ทำเลย ใจหยุดทีเดียว

ถ้าไม่หยุดเข้าไปในดวงนั้นไม่ได้ อยู่ข้างนอกเสีย
อยู่ข้างนอกเสีย เป็นถิ่นที่ทำเลของมาร
มารก็ปั่นหัว เหมือนเด็กๆ
ยุยงส่งเสริมตามชอบใจ
บังคับบัญชาตามชอบใจ
บังคับบัญชาอย่างน่าบัดสีน่าอับอาย
มันไม่อาย มารมันบังคับเสีย มันไม่อาย มันเอาเสียหมด
เหมือนจ้าวทรงผีสิงทีเดียว เข้ารบเข้าราน่ะมันอายกันเพียงไรน่ะ หน้าด้านน่ะ มันอายเมื่อไรล่ะ
ทำหน้าเจี๊ยมเลี่ยม สบายอก สบายใจ ใส่ลูกระเบิดเจ้าเข้าให้ ยิงเจ้าเข้าให้ ขึ้นเครื่องบินนั่งยิ้มแย้ม แจ่มใส
อ้ายนี่ มารมันบังคับทั้งนั้น เหมือนเด็กๆ เล็กๆ มันอายเขาเมื่อไรเล่านั่น ทำชั่วมันควรจะอายมนุษย์ มันอายได้เมื่อไรเล่า
นั่นไปฆ่าเขาไปฟันมันน่าอายเขาเบาไปหรือนี่


เพราะเหตุฉะนั้น สัทธรรมน่ะเป็นดวงใสอย่างนั้นเป็นของได้ยากอย่างยิ่ง
สัทธรรมถ้าว่าจะกล่าวถึงมัน สัทธรรมโดยปริยาย เมื่อใจหยุดอยู่กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์
กายมนุษย์มันก็บริสุทธิ์


แก้ไขล่าสุดโดย หลับอยุ่ เมื่อ 14 เม.ย. 2010, 00:22, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ม.ค. 2010, 17:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




Y4775273-7.jpg
Y4775273-7.jpg [ 13.72 KiB | เปิดดู 1441 ครั้ง ]
แม้จะใช้กาย กายก็ไม่กระทบกระเทือน ไม่เดือดร้อนใคร เย็นตา เย็นใจทุกคน
เข้าใกล้ใคร กายไม่ให้กระทบกระเทือนใครเลย ไม่กระแทกแดกดันด้วยประการใดประการหนึ่ง
ไม่แถกด้วยตา ว่าด้วยปาก อย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่มีเลยทีเดียว ไม่กระทบกระเทือนใครทีเดียว
นั่นกายอย่างชนิดนั้นออกจากใจที่หยุด ใจที่เป็นธรรม ใจที่สงบ ออกจากสัทธรรม สงบเงียบ เรียบร้อยเป็นอันดี
เมื่อกายบริสุทธิ์เสีย กล่าววาจาใดๆ ก็ไม่กระทบตน และบุคคลผู้อื่น ไม่เดือดร้อนตน ไม่เดือดร้อนผู้อื่น กล่าวออกไปแล้วชุ่มชื่นด้วยกันทั้งนั้น ยิ้มแย้ม แจ่มใส สบายอกสบายใจนั้น
นี่ออกจากใจที่หยุดออกจากสัทธรรมนั่นทั้งนั้น ไม่ใช่ออกจากอื่น
ส่วนใจจะคิดสิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็คิดแต่สิ่งที่ดีที่ชอบทั้งนั้น ประกอบแต่สุจริต ทุจริตไม่มี ทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งใจ
นี่เป็นอาการของสัทธรรมทั้งนั้น


"สัทธรรม" แปลว่า "ธรรมเป็นเครื่องสงบ"



สงบอย่างไร ?
สงบวาจาจากบาปธรรม ไม่มีบาปธรรมเลย เหลือแต่วาจาที่ดี
สงบกาย กายก็หมดจากบาปธรรม ไม่มีบาปธรรมเลย มีแต่กายที่บริสุทธิ์
สงบใจ ใจก็ไม่มีพิรุธ มีแต่บริสุทธิ์ฝ่ายเดียว
สงบได้อย่างไร?
กายฆ่าสัตว์ ลักฉ้อ ประพฤติผิดในกาม เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ ลักฉ้อ ประพฤติผิดในกามได้ นี่สงบเสียได้อย่างนี้
วาจาพูดปด ส่อเสียด คำหยาบ โปรยประโยชน์ เมื่อวาจาสงบลงไป วาจาก็พูดจริง พูดสมานไมตรี พูดอ่อนหวาน พูดเป็นหลักเป็นธรรมเป็นวินัย นี่สงบชั่วเสียหมดเหลือแต่ดีอย่างนี้
ใจล่ะสงบชั่วเสีย เลิกอยากได้ของเขา พยาบาทปองร้ายเขา เห็นผิดจากคลองธรรม ให้ของของเราแก่บุคคลอื่น
เหมือนเจ้าของทานอย่างนี้ ให้ของของตัวแก่บุคคลอื่นน่ะ แปลกประหลาดใจไหมล่ะ แล้วยินดีด้วย ชอบอกชอบใจด้วย เสียเงินเป็นก่ายเป็นกอง แล้วชอบอกชอบใจด้วย
นี่ชอบใจอย่างนี้ เขาเรียกว่าเพราะถูกสัทธรรมนี่
สัทธรรมท่านก็ช่วยน่ะซี ให้ใจผ่องใส เข้าประคองใจให้ใจปลาบปลื้ม ให้บุญไหลมา ใจเอิบอิ่ม ตื้นเต็ม ไม่เสียดมเสียดายอะไร ให้อะไรก็ไม่รู้จักหมดจักสิ้น
ทางหลังฉาก ก็ไหลมาอีก สัทธรรมท่านก็ช่วยสงเคราะห์อย่างนี้
เมื่อใจสะอาดสะอ้านได้เช่นนี้ เมื่อใจสะอาดสะอ้าน จากความโลภที่จะโลภสมบัติของผู้อื่นมาเป็นของของตน กลับให้ของของตนแก่บุคคลอื่นเสียได้ นี่เป็นสัทธรรมอย่างนี้
โกรธ คิดประทุษร้ายเขา กลับเมตตา รักใคร่ ปรารถนา จะให้เขาเป็นสุขเสียอีกแล้วนี่เป็นสัทธรรมอย่างนี้
เห็นผิดจากคลองธรรม เห็นชอบจะผิดอย่างไร อยู่กับสัทธรรมแล้ว สัทธรรมท่านก็ช่วยพิทักษ์รักษา
ใจก็ปลาบปลื้ม เอิบอิ่ม ตื้นเต็ม ในความดีอยู่เป็นธรรมดา นี่ได้ชื่อว่าเป็น "สัทธรรม" อย่างนี้นี่แหละเป็นของได้ยากหนา ไม่ใช่ของได้ง่าย
เมื่อได้สัทธรรมของมนุษย์แล้ว สัทธรรมของมนุษย์ละเอียด สัทธรรมของกายทิพย์ สัทธรรมของกายทิพย์ละเอียด เป็นลำดับขึ้นไป ฯลฯ สัทธรรมของกายธรรม กายธรรมละเอียด กายโสดาโสดาละเอียด สกิทาคา สกิทาคาละเอียด อนาคา อนาคาละเอียด กายอรหัต อรหัตละเอียด ที่นอกทำนองคลองธรรมไม่ไป
อยู่ในทำนองคลองธรรมฝ่ายเดียว ก็อยู่ในสัทธรรมทั้งสิ้น เป็นของได้ยากจริงๆ
สทฺธมฺโม ปรมทุลฺลโภ สัทธรรมเป็นของได้ยากจริงๆ อย่างนี้


แก้ไขล่าสุดโดย หลับอยุ่ เมื่อ 14 เม.ย. 2010, 00:24, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ม.ค. 2010, 17:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




810.jpg
810.jpg [ 42.12 KiB | เปิดดู 1456 ครั้ง ]
บัดนี้เจ้าภาพได้สัทธรรมสมมาดปรารถนา ได้บรรพชาอุปสมบทในพระพุทธศาสนา ฝ่ายมารดา ฝ่ายโยมผู้หญิงนั่นยังไม่ได้เคยบวชเลย ลูก ๔ คนด้วยกัน ลูกชายทั้งนั้น คนโตเขาก็ยังไม่ยอมให้บวช คนที่ ๓ ที่ ๔ เขาก็ยังประกอบการงานอยู่ เขายังไม่เข้าถึงสัทธรรม

ฝ่ายคนที่ ๒ รองหัวปีเข้าถึงสัทธรรม เห็นสัทธรรมได้สัทธรรม แต่ว่าตัวอย่างที่เขาสั่งมาเป็นครูของชาวญี่ปุ่นนา คอยดูไปข้างหน้าซีจะได้พึ่งพาอาศัย จะได้เป็นที่ไหว้ที่บูชาของชาวญี่ปุ่นต่อไป

เหตุนี้ท่านผู้มีปัญญา เมื่อมาโมทนาในกองการกุศลของท่านภิกษุใหม่ที่มาบวชในพระธรรมวินัยนี้
การบวชในพระธรรมวินัยน่ะ ได้ชื่อว่าสนองคุณมารดาบิดาจริงๆ เชียว มารดาบิดาน่ะ ถ้าว่าเห็นลูกบวชแล้วปลาบปลื้ม เอิบอิ่ม เต็มตื้นนัก อะไรจะไปเท่าไม่มีล่ะ ร่าเริงบันเทิงใจ จะกินข้าวหรือไม่กินก็ไม่รู้ละ อิ่มเอิบไปหมดบอกไม่ถูกทีเดียว
ถ้าว่าลูกของใครบวชเข้าไปแล้ว ไม่ว่าผู้หญิงผู้ชายปลาบปลื้ม อิ่มเอิบ ตื้นเต็มอย่างนั้น

บาลีท่านยืนยันในมงคลทีปณีว่า มารดาบิดาไม่มีศรัทธาไม่เชื่อในพระรัตนตรัย เชื่อพระรัตนตรัยขึ้น นี่เป็นแทนคุณข้อที่หนึ่ง
มารดาบิดาไม่มีศีล ให้มีศีลขึ้น นี้เป็นแทนคุณข้อที่สอง
มารดาไม่มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ให้เลื่อมใสหนักขึ้นนี้เป็นแทนคุณข้อที่สาม
มารดาไม่รู้จักบาป บุญ คุณ โทษ ประโยชน์ มิใช่ประโยชน์ แก้ไขมารดาบิดาให้รู้จักประโยชน์ มิใช่ประโยชน์ขึ้น เหมือนกับตนผู้บวชในวันนี้มารดาบิดาไม่เลื่อมใส ทำให้เลื่อมใส หนักขึ้น หรือเลื่อมใสน้อยทำให้เลื่อมใสมากขึ้น
มารดาบิดาไม่มีศีล เข้าใกล้พระ รับศีล เมื่อเข้าก็รับศีลแล้ว
เมื่อตอนก่อนก็รับศีลเหมือนกัน นี่เขาก็เคยรับศีลมาบ้างแล้ว รับศีลแน่นหนาหนักขึ้น ให้ทั่วไปกับพระภิกษุอื่น
เมื่อลูกบวชเช่นนี้แล้วเห็นพระภิกษุอื่นสามเณรอื่นก็เหมือนอย่างกับลูกเรา รักใคร่พระภิกษุ สามเณรขึ้นทีเดียว สมเพชเวทนามีข้าว ปลา อาหารก็เอาเลี้ยงดูทีเดียว นี่เป็นต้นเป็นตัวอย่าง

เมื่อมารดาบิดาไม่เชื่อแท้แน่นอนลงไปในพุทธศาสนา ก็ให้มีธรรมกายเสียเชื่อแท้แน่นอนแล้ว ลูกน่ะแก้ไขให้มีธรรมกายแท้แน่นอนแล้ว
มารดาบิดาไม่รู้จักสูงต่ำ เมื่อรู้จักพุทธศาสนาแล้วรู้จักสูงต่ำทีเดียว นี่มันชั้นสูง
อ้อ เมื่อก่อนเราเล่นมีลูกมีเต้ามาเดิมน่ะ มันเล่นอย่างเด็กๆ นี่

นี่พระท่านไม่เล่นด้วย ท่านไปไกลอย่างนี้ มาเป็นธรรมกายพระอรหันต์เข้าแล้วไปไกลหนักขึ้นไป ก็ดีอกดีใจ ชอบอกชอบใจอย่างนี้ ได้ชื่อว่าได้แทนคุณมารดาบิดาจริงๆ ทีเดียว
ถ้าว่าจะแทนคุณมารดาบิดาน่ะ ให้เอาทองคำมาทั้งแผ่นนั่นแหละ เป็นเจ้าจักรพรรดินิมิตแผ่นปฐพีให้เป็นทองคำทั้งแผ่น มอบให้บิดามารดา มอบให้เป็นสมบัติพัตราธิราช
ให้บิดาเป็นเจ้าจักรพัตราธิราช ให้มารดาเป็นพระมเหสีของพระเจ้าจักรพัตราธิราช เป็นแต่กตัญญูต่อมารดาบิดา ไม่ใช่ว่าตอบแทนคุณ
แม้ว่าจะเอามารดาบิดาขึ้นนั่ง ให้มารดาขึ้นนั่งบ่าขวา บิดาขึ้นนั่งบ่าซ้าย ถ่ายอุจจาระปัสสาวะบนนั้นเสร็จ จนหมดอายุของลูกนั่นแหละ จะชื่อว่าแทนคุณบิดามารดาก็หาไม่ ได้ชื่อว่าเป็นกตัญญูกตเวทีต่อมารดาบิดาเท่านั้น
ชื่อว่าแทนคุณแท้ๆ ดังกล่าวแล้ว
มารดาบิดาไม่มีศรัทธา ให้มีศรัทธาขึ้น
ไม่มีศีล ให้มีศีลขึ้น
ไม่เลื่อมใส ให้เลื่อมใสขึ้น
ไม่รู้จักบาปบุญ คุณโทษ ให้รู้จักบาปบุญ คุณโทษขึ้น
๔ ประการนี่วางหลักไว้ ผู้หญิงก็แทนคุณบิดามารดาได้ ผู้ชายก็แทนคุณบิดามารดาได้
ผู้หญิงจะแทนคุณอย่างไร ? แทนคุณบิดามารดา
อ้าว มารดาบิดาอยู่บ้านอยู่ช่องตามปกติของมารดาบิดา ถึงวัน ๘ ค่ำ ๑๕ ค่ำ แล้วก็เอาหาข้าวหาของ หาเครื่องอุปการะของอุบาสกอุบาสิกาเข้าไปวัดเถอะ แม่ฉันจะไปด้วย
ท่านั้นท่านี้ แก้ไขแก้เสีย จนกระทั่งพ่อแม่เคย จึงต้องไปรักษาศีลให้มีศรัทธาขึ้นแล้ว ให้มีศีลขึ้นแล้ว แล้วก็ให้เลื่อมใสขึ้นแล้ว เมื่อไปรับศีลก็รู้จักบาปบุญคุณโทษขึ้นแล้ว อ้าว..ให้มีปัญญาขึ้นแล้ว
นี่ลูกหญิงก็ดีลูกชายก็ดี ถ้าฉลาดเช่นนี้แทนคุณได้ทุกคน
ถ้าว่าไม่ฉลาดแทนคุณไม่ได้ นี่เป็นแง่สำคัญนัก
เหตุนั้นการที่จะกล่าว อานิสงส์ผลของเจ้าตนผู้บวชของมารดาบิดาของผู้อุปถัมภ์ให้บวชน่ะมากมายนัก
ท่านกล่าวว่า มารดาลูกของตัวบวช มารดาบิดาลูกของตัวบวชในพระธรรมวินัยของพระศาสดา เป็นเจ้าภาพให้ลูกของตัวบวชเป็นเณรในพระธรรมวินัยพระศาสดาได้อานิสงส์ ๘ กัลป์
การให้บวชเป็นพระภิกษุได้อานิสงส์ ๑๖ กัลป์ ๘ กับ ๑๖ ประสมกันเข้าเป็น ๒๔ กัลป์ เหมือนพระที่บวชใหม่นี้เจ้าภาพก็ได้ ฝ่ายมารดาก็ได้อานิสงส์ ๒๔ กัลป์
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ม.ค. 2010, 17:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




Y4775273-7.jpg
Y4775273-7.jpg [ 13.72 KiB | เปิดดู 1440 ครั้ง ]
กัล์ปหนึ่งเท่าไรล่ะ ได้เสวยสุขนะ ไม่รู้จักได้นานเท่าไร เอากัลป์รวมกัน กัลป์น่ะ ภูเขากว้างโยชน์ สูงโยชน์หนึ่ง ๑๐๐ ปีเทวดาผู้วิเศษเอาผ้าทิพย์เนื้อละเอียดมาปัดลงไปที่ยอดนั้นครั้งหนึ่ง ก็หยุดไป
พอครบ ๑๐๐ ปีแล้วมาปัดอีกครั้งหนึ่ง เพียรปัดไปดังนี้แหละ ภูเขานั่นสึกด้วยผ้าเทวดาปัดนั่นแหละ สึกลงมาเรียบร้อยลงมาถึงพื้นดินตามเดิมไม่รู้ว่าภูเขาอยู่ที่ไหน เป็นพื้นดินไปแล้ว เรียบลงมาถึงขนาดนั้น นั่นเรียกว่าได้กัลป์หนึ่ง ได้กัลป์หนึ่ง โอ มันเหลือลึกอย่างนี้ นั่นภูเขา
อีกนัยหนึ่ง สระกว้างโยชน์ ลึกโยชน์หนึ่ง สี่เหลี่ยมจัตุรัส ๑๐๐ ปีมีเทพเจ้าผู้วิเศษเอาเมล็ดพันธุ์ผักกาดมาทิ้งลงเมล็ดหนึ่ง
เทวดาผู้วิเศษก็ไม่ตายเหมือนกัน ๑๐๐ ปีก็เอามาทิ้งไว้เมล็ดหนึ่ง ๑๐๐ ปีก็เอามาทิ้งไว้เมล็ดหนึ่ง เอาละ จนกระทั่งเมล็ดพันธุ์ผักกาดนั้นแหละเต็มสระที่ลึกโยชน์กว้างโยชน์นั่นน่ะ สี่เหลี่ยมจัตุรัสนั่นแหละ
นี่มันเท่าไรกันล่ะ นับกันไม่ไหว ต้องตวงกันด้วยกัลป์อย่างนี้ นี่บุญกุศลน่ะมันมากมายขนาดนี้
เพราะเหตุฉะนี้ เมื่อพระเจ้าศรีธรรมาโศกราชสร้างเจดีย์ วิหาร ๘๔,๐๐๐ เงินเท่าไรไม่รู้ ๙๖ โกฏิ สร้างเจดีย์ ๘๔,๐๐๐
วิหารที่ไหนก็เจดีย์องค์หนึ่งที่นั่น ๘๔,๐๐๐ เจดีย์ ก็ ๘๔,๐๐๐ วิหาร ก็ ๘๔,๐๐๐ นับทรัพย์สมบัติ ๙๖ โกฏิ
พอทำเสร็จแล้ว ทำการฉลอง พอฉลองเสร็จแล้วพระเจ้าศรีธรรมาโศกราชได้ทูลถามพระสงฆ์ เรียนพระสงฆ์ ถามพระสงฆ์
ในครั้งนั้น มีพระอรหันต์พระโมคคคัลลีบุตรติสสมหาเถระเป็นพระอรหันต์ทีเดียว ถามว่าพระสงฆ์เจ้าข้า โยมทำบุญในครั้งนี้น่ะ ทำเพียงอย่างนี้น่ะเมื่อพระพุทธเจ้ามีพระชนม์น่ะ มีใครทำอย่างนี้บ้างไหม? หรือเมื่อพระศาสดาเสด็จพระปรินิพพานไปแล้ว มีใครทำอย่างนี้บ้างไหม ? มีศรัทธามากอย่างนี้
พระโมคคัลลีบุตรติสสมหาเถระ ตอบ
"ถวายพระพร ไม่มี ครั้งพุทธองค์มีพระชนม์อยู่ทำบุญมากอย่างนี้ไม่มี เสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้วก็ไม่มี
มีมหาบพิตรนี่แหละทำอย่างมากกว่า คนเดียวเท่านี้"
"พระคุณเจ้าข้า กระผมทำบุญอย่างนี้น่ะจะได้เป็นญาติกับพระศาสนาได้แล้วหรือยัง?"
พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระพระอรหันต์ ตอบ "มหาบพิตรทำบุญทำกุศลอย่างนี้เป็นพุทธศาสนูปถัมภ์อุปการะพระศาสนาเท่านั้นหนา จะได้เป็นญาติกับพระศาสนาก็หาไม่"
พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชตกใจ "โอ๊ะ อย่างนั้นหรือพระคุณเจ้า นี่จะให้โยมทำอย่างไรจึงจะได้เป็นญาติของพระศาสนา"
พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระกล่าว "ถวายพระพรมหาบพิตร ถ้ามหาบพิตรจะเป็นญาติของพระศาสนาแล้วละก็ ขอให้ราชกุมาร กุมารีของพระองค์น่ะบวชเป็นภิกษุ ภิกษุณี เป็นสามเณร สามเณรี เป็นภิกษุ ภิกษุณีในพระพุทธศาสนา นั่นแหละจะได้เป็นญาติในพระศาสนาละ"
"ขอรับ"
นี่ได้ฟังเสียงพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระตอบเท่านั้น ดีอกดีใจพระทัยทีเดียว ลาพระสงฆ์กลับไปพระราชวัง เรียกมหินทกุมาร สังฆมิตตา
พอเรียกเข้ามาสู่ที่เฝ้า "บัดนี้เจ้าทั้งสอง พ่อน่ะปรารถนาเดิมนะให้ลูกทั้งสองครองสมบัติแทนพ่อ บัดนี้พ่อไม่ปรารถนาเสียแล้วสมบัติอย่างนั้น พ่อจะให้ลูกได้กุศลยิ่งใหญ่ ไพศาลยิ่งขึ้นไปกว่านั้น
พ่ออยากจะให้ลูกทั้งสองน่ะ ฝ่ายมหินทกุมาร สังฆมิตตาน่ะ ให้บวชเป็นภิกษุเป็นสามเณร สามเณรี ในพุทธศาสนา เป็นภิกษุภิกษุณีในพระพุทธศาสนา จะได้เป็นอายุพระศาสนาต่อไป พ่อหวังอย่างนี้เสียแล้ว"
ราชกุมารราชกุมารีก็ตามพระทัยปรารถนา
พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชก็นำราชกุมารราชกุมารีไปฝากพระเถระผู้ใหญ่ให้หัดในเรื่องบวช แล้วก็บวชเป็นสามเณร บวชเป็นภิกษุ ภิกษุณีในพุทธศาสนาทีเดียว
แล้วก็พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชก็สมความปรารถนา เผดียงถามพระสงฆ์อีก
พระสงฆ์บอกว่ามหาบพิตรได้เป็นญาติกับพระพุทธศาสนาแท้ๆ พร้อมด้วยญาติสาโลหิตาด้วย วิสฺสาส ปรมา ญาติ ญาติสาโลหิตา ญาติเนื่องด้วยสายโลหิต
สายโลหิตของตัวเป็นพระป้อล่ออยู่เดี๋ยวนี้ ปรากฏอยู่นี่
ฝ่ายมารดาละก็เป็นพืช ให้พืชมาเป็นลูกเป็นมนุษย์เป็นผู้ชาย ก็ได้บวชในพระพุทธศาสนาปรากฏเห็นสภาวะปานฉะนี้ ชื่อว่าเป็นญาติในพระพุทธศาสนา ชื่อว่า วิสฺสาส ปรมาญาติ
พวกเราเล่าที่พร้อมกันมาโมทนาสาธุด้วย เป็นญาติเหมือนกันไม่เรียกว่า ญาติสาโลหิตา เรียกว่า วิสฺสาสปรมาญาติ
ที่เป็นญาติเนื่องด้วยสายโลหิต เรียกว่าญาติสาโลหิตา เหมือนกัน ดุจสายโลหิตอันเดียวกัน
ถ้าว่าไม่เนื่องด้วยสายโลหิตอันเดียวกันเรียกว่า วิสฺสาสปรมา ญาติ ก็เป็นญาติในพระศาสนาด้วยความคุ้นเคยอย่างนี้ ก็ใช้ได้เหมือนกัน
เหตุนั้น ฝ่ายอานิสงส์ของเจ้าภาพน่ะ มากมายก่ายกองนับประมาณไม่ได้ ต้องตวงกันด้วยกัปป์ด้วยกัลป์ เล่าให้ฟังเพียงกัปป์เดียว กัลป์เดียวเท่านั้นอเนกอนันต์ นี่มันถึง ๒๔ กัปป์ ๒๔ กัลป์นั่นแน่อานิสงส์น่ะ
ก็ส่วนเจ้าตัวผู้บวชล่ะ จะมีอานิสงส์ผลเป็นประมาณใดล่ะ?
นี่เจ้าตัวผู้บวชน่ะพอบวชเข้าเท่านั้น นั่นเห็นไหมล่ะ แปลกประหลาด ผลอานิสงส์เกิดปัจจุบัน พวกเราเป็นหญิงเป็นชายต้องไหว้นบเคารพหมดทีเดียว ที่เคยพูดต่ำๆ สูงๆ พูดไม่ได้เสียแล้ว ไหว้นบเคารพเป็นกระถางธูปเสียแล้ว
นั่นแน่ะ วิเศษประเสริฐอย่างนี้ ชื่อเสียงเรียงราย ก็ปรากฏไปต่างๆ มีปรากฏจำเพาะปัจจุบันทีเดียวเข้าแล้ว
ที่สุดจนกระทั่งโทษประหารชีวิต



แก้ไขล่าสุดโดย หลับอยุ่ เมื่อ 14 เม.ย. 2010, 00:27, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ม.ค. 2010, 17:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




Y4775273-7.jpg
Y4775273-7.jpg [ 13.72 KiB | เปิดดู 1439 ครั้ง ]
เมื่อครั้งพุทธกาลหรือในเมื่อครั้งแผ่นดินต้นๆ นี่เขาไม่เอาโทษผิดแก่ผู้บวชแล้ว เมื่อบวชแล้วก็เป็นแล้วกัน ให้อภัยทีเดียว ให้อภัยเป็นอันขาดนี้ก็ด้วยอานิสงส์ผล เขาเรียกว่า "สามัญผล" ผลบังเกิดปัจจุบันทันตาเห็น
ไม่ใช่แต่เท่านั้น ผู้บวชน่ะ ถ้าว่ามีธรรมเช่นนี้แล้วละก็ อานิสงส์ชั้นสูงเป็นอายุพระศาสนาต่อไป ก็อานิสงส์ของผู้บวชน่ะอเนกอนันต์นับประมาณไม่ได้
ท่านกล่าวไว้ว่า มหิทฺธิโก มหานุภาโว มีเทพบุตร มีฤทธิ์ศักดานุภาพ มีเดชมาก จะเนรมิตแผ่นดิน ฯลฯ ถ้าจะจารจารึกบันทึกไป จนกระทั่งเขาพระสุเมรุเหี้ยนหดหมดไป ฯลฯ ยังไม่หมด เท่าไรก็ยังไม่หมด อานิสงส์มากมายก่ายกองนักเหลือที่จะคณนา
เหตุนี้ที่ได้ชี้พร่ำร่ำพรรณนามาในอานิสังสผลของเจ้าคนผู้บวชในวันนี้ ที่ได้บุญวันนี้ก็เป็นอัศจรรย์นัก
ในธาตุในธรรม น่ะร่ำลือกันนักว่า เขามีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ ได้บุญยิ่งใหญ่ไพศาลที่จะไปทรมานพวกประเทศญี่ปุ่น ไปพลิกประเทศญี่ปุ่นให้เป็นสัมมาทิฏฐิ ให้เป็นพุทธศาสนิกชนทั่วไปน่ะ

ต้นธาตุท่านส่งสมบัติมาให้ผู้นี้เป็นตัวประกาศศาสนา ไม่ช้าหรอกจะได้รู้เรื่องกัน ในประเทศญี่ปุ่นกับไทย
ผู้ที่จะเป็นที่พึ่งของเขาได้มาเกิดปรากฏขึ้นแล้ว เป็นภิกษุบวชใหม่นี่แล้ว ต่อไปไม่ช้าก็จะได้ไปสั่งสอนเป็นลำดับไป
เหตุนี้ขอให้มารดาและวงศาคณาญาติ เลื่อมใส อุปการะ เอื้อเฟื้อ ค้ำจุนอุดหนุนไป จะได้เป็นที่พึ่งของตัวสืบต่อไปในภพนี้และต่อไปภายหน้า


แก้ไขล่าสุดโดย หลับอยุ่ เมื่อ 14 เม.ย. 2010, 00:29, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ม.ค. 2010, 17:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว




Y4775273-7.jpg
Y4775273-7.jpg [ 13.72 KiB | เปิดดู 1450 ครั้ง ]
ที่ได้ชี้แจงแสดงมาตามวาระพระบาลี คลี่ความเป็นสยามภาษาตามมตยาธิบายพอสมควรแก่เวลา
อญฺญํ สรณํ นตฺถิ สิ่งอื่นไม่ใช่ที่พึ่งอันประเสริฐของเราท่านทั้งหลาย
สรณํ เม รตนตฺตยํ พระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งอันประเสริฐของเราท่านทั้งหลาย
เอเตน สจฺจวชฺเชน ด้วยอำนาจความสัตย์ที่อ้างธรรมปฏิบัติตั้งแต่ต้นจนอวสานนี้
สทาโสตฺถี ภวนฺตุ เต ขอความสุขสวัสดีจงบังเกิดมีแก่ท่านเจ้าภาพและสาธุชนทั้งหลายบรรดามาสโมสรในสถานที่นี้ทุกถ้วนหน้า
อาตมภาพชี้แจงแสดงมาพอสมควรแก่เวลา สมมติว่ายุติธรรมิกถาโดยอรรถนิยมความเพียงเท่านี้
เอวํ ก็มีด้วยประการฉะนี้


:b42: :b42: :b42:
:b8: :b8: :b8:
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 26 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร