วันเวลาปัจจุบัน 08 มิ.ย. 2025, 18:25  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 32 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ย. 2009, 15:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ม.ค. 2009, 20:45
โพสต์: 1094

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จะนำไปปฏิบัตินะครับผม

อนุโมทนาคร๊าบ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ย. 2009, 23:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ขันติสังวร

ขันติสังวร สำรวมด้วยขันติ คือ ความอดทน ความอดทนนั้น จำแนกออกเป็น ๓ อย่างคือ

๑. ตีติกขาขันติ ความอดทนด้วยอำนาจความอดกลั้นไว้ เช่น ถูกใครด่าว่า
เราอย่าไปด่าตอบ อย่าไปโกรธตอบ ให้มีสติอดใจไว้ให้ดี นึกถึงกรรมของเราเป็นเรือนใจไว้ก่อน
และให้นึกต่อไปว่า เวลาเราไหว้พระสวดมนต์ เราเอาปากของเราว่า เราเป็นผู้ได้บุญคนเดียว
คนอื่นไม่ได้ด้วย ถ้าเราเอาปากไปด่าคนอื่นว่าคนอื่น ใครจะเป็นคนได้บาปกันแน่
เรานั่นแหละคนได้บาปเพราะเราเป็นคนทำเอง เพราะฉะนั้น ใครด่าคนอื่น ว่าคนอื่น
คนที่ด่านั่นแหละเป็นคนได้บาป เหมือนกับรับประทานอาหารใครกินใครอิ่ม จะอิ่มแทนกันไม่ได้
ความอดทน ความอดกลั้นอย่างนี้ เรียกว่า ตีติกขาขันติ

๒. ตปขันติ ความอดทนเผาบาปทั้งขั้นหยาบ ขั้นกลางและขั้นละเอียดให้เบาบาง
หรือให้เหือดแห้งไป ได้แก่ ความอดทนของผู้เจริญสมถะและวิปัสสนา

๓. อธิวาสนขันติ ความอดทนจนสามารถยังกิเลสทั้งหลายมีโลภ โกรธ หลง เป็นต้น
ให้หยุดได้ สงบระงับได้ ได้แก่ความอดทนผู้เจริญวิปัสสนากรรมฐานได้บรรลุมรรค ผล นิพพาน

อีกบรรยายหนึ่ง ความอดทนนั้นมีอยู่ ๓ ประการเช่นกัน คือ

๑. ทนลำบาก เช่น ถึงคราวเจ็บไข้ได้ป่วยก้ให้มีความอดทนอย่าบ่น อย่าร้องไห้
อย่าใจน้อยเกินไป เพราะรูปนามมีทุกข์ประทับอยู่อย่างนี้ตามธรรมดาของเขา จะอยู่ในสภาพใด
ภูมิใดก็เป็นไปอย่างนี้ทั้งนั้น ไม่พ้นไปจากความเกิด แก่ เจ็บ ไปได้ ฉะนั้นเราต้องทนลำบากต่อไป

แล้วอย่าประมาทรีบหาทางพ้นทุกข์ คือเจริญวิปัสสนากรรมฐาน

๒. ทนตรากตรำ คือ ทนทำการงาน เพื่อความเป็นอยู่ของตน ของครอบครัว
ของประเทศชาติ และศาสนา การทำธุระหน้าที่ของตน ไม่เห็นแก่เหน็ดแก่เหนื่อย
ไม่เห็นแก่ความมักง่าย ไม่บ่นออดทอดธุระแล้วผละทิ้ง ไม่เห็นแก่ความเกียจคร้าน
ทนเพื่อสร้างความเจริญ ทนเพื่อสร้างประโยชน์ตน ประโยชน์คนอื่น ประโยชน์ภพนี้ ประโยชน์ภพหน้า

๓. ทนเจ็บใจ คือ ทนต่อการถูกด่าว่า เสียดสีจากผู้อื่น ทนต่อการได้ประสบกับอนิฏฐารมณ์ต่างๆ
ทนต่อการติฉินนินทาว่าร้ายจากผู้อื่น ให้หาอุบายมาฝึกใจตนเอง ตามหลักธรรมในพระพุทธศาสนา
จึงจะเกิดประโยชน์โสตถิผลสวัสดิมงคลแก่ตนเองต่อไป

หลักความจริงมีอยู่ว่า การยกย่องสรรเสริญ การติฉินนินทาทั้ง ๒ อย่างนี้
ถ้าติอย่างตรงไปตรงมา คือ ติเพื่อก่อมิใช่ติเพื่อทำลายก็ดีอยู่ เมื่อเรารู้ว่าเราบกพร่องจะได้แก้ไขให้ดีขึ้น
เพราะทุกคนต้องมีการทำผิดด้วยกันทั้งนั้น คนที่ไม่มีผิดอะไรเลย ก็คือคนที่ไม่ทำอะไรเลยนั่นเอง
แต่สำหรับพวกปากมือไม่อยู่เป็นสุข คอยรุกรานเบียดเบียนผู้อื่นอยู่เสมอ ชอบใส่ไฟ
ยุให้รำตำให้รั่ว ปั้นน้ำให้เป็นตัว เรื่องไม่มีก็หาใส่ ถ้ามีนิดหนึ่งก็เพิ่มเข้าอีกเป็นร้อยเท่าพันทวี
มนุษย์จำพวกนี้ร้ายนัก ทำให้คนดีหมดกำลังใจไปเสียมากต่อมากแล้วก็มี แต่เมื่อจะว่ากันตามความเป็นจริงแล้ว
การติฉินนินทา การยกย่องนั้น ไม่ทำประโยชน์อะไรให้แก่เราเลยเช่น

ก. ถ้าเราทำชั่ว แต่เขาว่าดี เราก็คงชั่วอยู่ตามเดิม

ข. ถ้าเราดี แต่เขาว่าเราชั่ว เราก็ดีอยู่ตามเดิม ไม่มีอะไรจะมาลบล้างความดีนั้นให้พินาศสูญหายไปได้
เข้าตำราที่ว่า " ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ " ชาติทองคำแล้ว จะตกไปอยู่ที่ไหนก็ตาม เช่น
ตกไปอยู่ในกองมูตรคูถ ก็ยังเป็นทองคำวันยังค่ำ
เพราะฉะนั้นข้อสำคัญเราต้องอดทน มีกำลังใจเข้มแข็งดุจภูเขาสิเนรุราช
สมดังสมเด็จพระพุทธองค์ ผู้จอมปราชญ์ ฉลาดรู้หลักธรรมได้แนะนำพร่ำสอนไว้ว่า

เสโล ยถา เอกคฺฆโน วาตเน น สมีรติ

เอวํ นินฺทาปสํสาสุ น สมิญฺชนฺติ ปณฺฑิตา


ภูเขาศิลาล้วนเป็นแท่งทึบ ไม่หวั่นไหว ไม่สะท้านสะเทือนด้วยลมที่พัดมาแต่ทิศทั้ง ๔ ฉันใด
บัณฑิตคือท่านผู้ฉลาดทั้งหลายก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมไม่หวั่นไหว ไม่สะเทือนใจ เพราะนินทาและสรรเสริญ

การที่จะทำใจให้ได้อย่างนี้ มีอยู่หนทางเดียวเท่านั้น คือ ต้องเจริญวิปัสสนากรรมฐานตามหนทางที่สมเด็จพ่อตรัสสอนไว้จนกว่าจะได้บรรลุมรรค ผล นิพพาน และการเจริญวิปัสสนากรรมฐานนั้น ก็ต้องอาศัยขันติดังกล่าวมานี้เป็นเรือนใจ จึงจะได้ผลสมความมุ่งมาตรปรารถนา

จากหนังสือวิปัสสนากรรมฐาน ภาค ๑ เล่ม ๑ ว่าด้วย วิปัสสนากรรมฐานทั่วไป พระธรรมธีรราชมหามุนี (โชดก ญาณสิทฺธิเถร ป.ธ.๙)

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ต.ค. 2009, 09:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


อรรถกถา สันธิเภทชาดก

ว่าด้วย โทษที่เชื่อถือคำส่อเสียด


พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภเปสุญญสิกขาบท
จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า เนว อิตฺถีสุ สามญฺญํ ดังนี้.

ได้ยินว่า สมัยหนึ่ง พระศาสดาได้ทรงสดับว่า ภิกษุฉัพพัคคีย์นำความส่อเสียดป้ายร้ายเข้าไปให้
จึงรับสั่งให้เรียกภิกษุฉัพพัคคีย์เหล่านั้นมาแล้ว ตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
พวกเธอนำความส่อเสียดป้ายร้ายเข้าไปให้แก่พวกภิกษุผู้บาดหมาง ทะเลาะวิวาทกันจริงหรือ?
เพราะเหตุนั้น ความบาดหมางที่ยังไม่เกิดขึ้นก็เกิดขึ้น และความบาดหมางที่เกิดขึ้นแล้ว
ก็ย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญยิ่งขึ้น

เมื่อพวกภิกษุฉัพพัคคีย์ทูลรับว่า จริงพระเจ้าข้า จึงทรงติเตียนภิกษุเหล่านั้นแล้วตรัสว่า

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่าวาจาส่อเสียดคมกล้าประดุจประหารด้วยศาตรา
ถึงความคุ้นเคยที่เหนียวแน่นมั่นคง ก็แตกสลายไปได้โดยรวดเร็ว เพราะวาจาส่อเสียดนั้น ก็แหละ
ชนผู้เชื่อถือวาจาส่อเสียดนั้นแล้วทำลายไมตรีของตนเสีย ย่อมเป็นเช่นกับราชสีห์และโคผู้ทีเดียว

แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้:-

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์เป็นโอรส
ของพระเจ้าพาราณสีนั้น เจริญวัยแล้ว เล่าเรียนศิลปะในเมืองตักกศิลาเสร็จแล้ว
เมื่อพระบิดาสวรรคตแล้ว ได้ครองราชสมบัติโดยธรรม.

ครั้งนั้น นายโคบาลคนหนึ่งเลี้ยงโคทั้งหลายในตระกูลทั้งหลาย เมื่อจะมาจากป่า ไม่ได้นึกถึงแม่โคตัวหนึ่งซึ่งมีครรภ์ จึงทิ้งไว้แล้วไปเสีย แม่โคนั้นเกิดความคุ้นเคยกับแม่ราชสีห์ตัวหนึ่ง. แม่โคและแม่ราชสีห์ทั้งสองนั้นเป็นมิตรกันอย่างมั่นคงเที่ยวไปด้วยกัน.

จำเนียรกาลนานมา แม่โคจึงตกลูกโค แม่ราชสีห์ตกลูกราชสีห์. ลูกโคและลูกราชสีห์ทั้งสองนั้น
ก็ได้เป็นมิตรกันอย่างเหนียวแน่นด้วยไมตรี ซึ่งมีมาโดยสกุล จึงเที่ยวไปด้วยกัน.

ครั้งนั้น พรานป่าคนหนึ่งเข้าป่าเห็นสัตว์ทั้งสองนั้นคุ้นเคยกัน จึงถือเอาสิ่งของที่เกิดขึ้นในป่า
แล้วไปเมืองพาราณสี ถวายแด่พระราชาอัน

พระราชาตรัสถามว่า สหาย ท่านเคยเห็นความอัศจรรย์อะไรๆ ในป่าบ้างไหม?
จึงกราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระองค์ไม่ได้เห็นอะไรๆ อย่างอื่น
แต่ได้เห็นราชสีห์ตัวหนึ่งกับโคผู้ตัวหนึ่ง สนิทสนมกันและกันเที่ยวไปด้วยกัน.

พระราชาตรัสว่า เมื่อสัตว์ตัวที่สามเกิดขึ้นแก่สัตว์ทั้งสองเหล่านั้น ภัยจักบังเกิดมี เมื่อใดท่านเห็นสัตว์
ตัวที่สามเพิ่มขึ้นแก่สัตว์ทั้งสองนั้น เมื่อนั้นท่านพึงบอกเรา.
นายพรานป่านั้นทูลรับว่า ได้พระเจ้าข้า.

ก็เมื่อพรานป่าไปเมืองพาราณสีแล้ว มีสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งเข้าไปบำรุงราชสีห์และโคผู้.
นายพรานป่าไปป่าได้เห็นสุนัขจิ้งจอกนั้น คิดว่า จักกราบทูลความ
ที่สัตว์ตัวที่สามเกิดขึ้นแล้วแก่พระราชา จึงได้ไปยังพระนครพาราณสี.

สุนัขจิ้งจอกคิดว่า เว้นเนื้อราชสีห์และเนื้อโคผู้เสีย ขึ้นชื่อว่าเนื้ออื่นที่เราไม่เคยกิน ไม่มี
เราจักยุยงทำลายสัตว์ทั้งสองนี้แล้วกินเนื้อสัตว์ทั้งสองนี้. สุนัขจิ้งจอกนั้นจึงยุยงสัตว์ทั้งสองนั้น
ให้ทำลายกันและกันโดยพูดว่า ผู้นี้พูดอย่างนี้กะท่าน ผู้นี้พูดอย่างนี้กะท่าน ไม่นานนัก ก็ได้ทำให้
ถึงแก่ความตายเพราะทำการทะเลาะกัน.

ฝ่ายพรานป่ามาถึงแล้ว กราบทูลแก่พระราชาว่า ข้าแต่สมมติเทพ
สัตว์ตัวที่สามเกิดขึ้นแล้วแก่ราชสีห์และโคผู้เหล่านั้น

พระราชาตรัสถามว่า สัตว์ตัวที่สามนั้น คืออะไร?
พรานป่ากราบทูลว่า สุนัขจิ้งจอกพระเจ้าข้า.

พระราชาตรัสว่า สุนัขจิ้งจอกจักยุยงทำลายสัตว์ทั้งสองนั้นให้ตาย พวกเราจักไปทันในเวลา
สัตว์ทั้งสองนั้นจะตาย จึงเสด็จขึ้นทรงราชรถเสด็จไปตามทางที่พรานป่าชี้แสดงให้ เสด็จไปทันในเมื่อสัตว์ทั้งสองนั้นทำการทะเลาะกันและกันแล้ว ถึงแก่สิ้นชีวิตไป.

สุนัขจิ้งจอกมีใจยินดีกินเนื้อราชสีห์ครั้งหนึ่ง กินเนื้อโคผู้ครั้งหนึ่ง

พระราชาทรงเห็นสัตว์ทั้งสองนั้นถึงความสิ้นชีวิตไปแล้ว ทรงประทับยืนอยู่บนรถนั่นแล
เมื่อจะตรัสเจรจากับนายสารถี จึงตรัสคาถาเหล่านี้ว่า :-


ดูก่อนนายสารถี สัตว์ทั้งสองนี้ไม่ได้มีความเสมอกันเพราะสตรีทั้งหลาย ไม่ได้มีความเสมอกัน
เพราะอาหาร คือต่างก็มีสัตว์ตัวเมียและอาหารคนละชนิดไม่เหมือนกัน ภายหลัง
เมื่อสุนัขจิ้งจอกยุยงทำลายความสนิทสนมจนถึงให้ตาย ท่านจงเห็นเหตุนั้นซึ่งฉันคิดไว้ถูกต้องแล้ว.


พวกสุนัขจิ้งจอกพากันกัดกินโคผู้และราชสีห์ เพราะคำส่อเสียดใด คำส่อเสียดนั้น
ย่อมเป็นไปถึงตัดมิตรภาพ เพราะเนื้อคือสุนัขจิ้งจอกเป็นเหตุ ดุจดาบคม ฉะนั้น.

ดูก่อนนายสารถี ท่านจงดูการนอนตายของสัตว์ทั้งสองนี้ ผู้ใดเชื่อถือถ้อยคำของคนส่อเสียด ผู้มุ่งทำลายความสนิทสนม ผู้นั้นจะต้องนอนตายอย่างนี้.

ดูก่อนนายสารถี นรชนเหล่าใดไม่เชื่อถือถ้อยคำของคนส่อเสียดผู้มุ่งทำลายความสนิทสนม นรชนเหล่านั้นย่อมได้ประสบสุข เหมือนคนไปสวรรค์ ฉะนั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เนว อิตฺถีสุ ความว่า ดูก่อนนายสารถีผู้สหาย สัตว์ทั้งสองนี้ไม่มีความเสมอกันในเพราะสตรี และในเพราะอาหาร เพราะราชสีห์ย่อมเสพสตรีเฉพาะอย่างหนึ่ง โคผู้ย่อมเสพสตรีอีกอย่างหนึ่ง คนละอย่าง อนึ่ง ราชสีห์ย่อมกินภักษาหารอย่างหนึ่ง และโคผู้ย่อมกินภักษาหารอีกอย่างหนึ่ง ไม่เหมือนกัน.

ในบทว่า อถสฺส นี้ มีอธิบายว่า เมื่อเหตุที่จะทำให้ทะเลาะกันแม้จะไม่มีอยู่อย่างนี้ ภายหลังสุนัขจิ้งจอกชาติชั่วตัวนี้ผู้ทำลายความสนิทสนมกันฉันมิตร คิดว่า จักกินเนื้อของสัตว์ทั้งสอง จึงฆ่าสัตว์ทั้งสองนี้ ท่านจงเห็นดังที่เราคิดไว้ดีแล้ว.

ในบทว่า ยตฺถ นี้ ท่านแสดงความว่า เมื่อความส่อเสียดใดเป็นไปอยู่ พวกสุนัขจิ้งจอกผู้ฆ่าเนื้อ ย่อมเคี้ยวกินโคผู้และราชสีห์ ความส่อเสียดนั้นย่อมตัดมิตรภาพไปในเพราะเนื้อ เหมือนดาบอันคมกริบฉะนั้น.

ด้วยบทว่า ยมิมํ ปสฺสสิ นี้ ท่านแสดงว่า ดูก่อนสารถีผู้สหาย ท่านจงดูการนอนตายของสัตว์ทั้งสองเหล่านี้ บุคคลแม้อื่นใดรู้สึก คือเชื่อถือวาจาส่อเสียดของผู้ส่อเสียดผู้ทำลายความสนิทสนม บุคคลนั้นย่อมนอนเช่นนี้ คือตายอย่างนี้ทีเดียว.

บทว่า สุขเมธนฺติ ความว่า ย่อมประสบคือได้ความสุข.

บทว่า นรา สคฺคคตาริว ความว่า ชนเหล่านั้นย่อมประสบความสุข เหมือนนรชนผู้ไปสวรรค์พรั่งพร้อมด้วยโภคะอันเป็นทิพย์ฉะนั้น.

บทว่า นาวโพเธนฺติ ความว่า ย่อมสำรวมระวังจากสิ่งที่ไม่ใช่สาระแก่นสาร
คือได้ฟังคำแม้เช่นนั้นแล้วก็ทักท้วงให้สำนึก ไม่ทำลายไมตรี คงตั้งอยู่ตามปกติดังเดิม.


พระราชา ครั้นตรัสคาถานี้แล้ว รับสั่งให้เก็บเอาหนัง เล็บและเขี้ยวของไกรสรราชสีห์
แล้วเสด็จไปยังพระนครทีเดียว.

พระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า
พระราชาในครั้งนั้น ได้เป็น เราตถาคต ฉะนี้แล.

จบ อรรถกถาสันธิเภทชาดกที่ ๙

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ต.ค. 2009, 10:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


๒. สรภังคชาดก

สรภังคดาบสเฉลยปัญหา


[๒๔๔๖] ท่านทั้งหลายผู้ประดับแล้ว สอดใส่กุณฑล นุ่งห่มผ้างดงาม เหน็บพระ
ขรรค์มีด้ามประดับด้วยแก้วไพฑูรย์ และแก้วมุกดา เป็นจอมพลรถยืนอยู่
เป็นใครกันหนอ ชนทั้งหลายในมนุษยโลกจะรู้จักท่านทั้งหลายอย่างไร?

[๒๔๔๗] ข้าพเจ้าเป็นกษัตริย์ชื่อว่าอัฏฐกะ ส่วนท่านผู้นี้ คือ พระเจ้าภีมรถะ
และท่านผู้นี้ คือพระเจ้ากาลิงคราช มีพระเดช ฟุ้งเฟื่อง ข้าพเจ้า
ทั้งหลายมาในที่นี้ เพื่อเยี่ยมท่านฤาษีทั้งหลายผู้สำรวมด้วยดี และเพื่อจะ
ขอถามปัญหา.

[๒๔๔๘] ท่านเหาะลอยอยู่ในอากาศเวหา ดังพระจันทร์ลอยเด่นอยู่ท่ามกลางท้อง
ฟ้าในวัน ๑๕ ค่ำ ฉะนั้น ดูกรเทพเจ้า อาตมภาพขอถามท่านผู้มีอานุภาพ
มาก ชนทั้งหลายในมนุษยโลกจะรู้จักท่านอย่างไร?

[๒๔๔๙] ในเทวโลกเขาเรียกข้าพเจ้าว่า สุชัมบดี ในมนุษยโลกเขาเรียกข้าพเจ้าว่า
ท้าวมฆวา ข้าพเจ้านั้น คือ ท้าวเทวราช วันนี้มาถึงที่นี่ เพื่อขอเยี่ยม
ท่านฤาษีทั้งหลายผู้สำรวมแล้วด้วยดี.

[๒๔๕๐] ฤาษีทั้งหลายของข้าพเจ้า ผู้มีฤทธิ์มาก ประกอบด้วยอิทธิคุณ มาประชุม
พร้อมกันแล้ว ปรากฏไปในที่ไกล ข้าพเจ้ามีจิตเลื่อมใส ขอไหว้พระ-
คุณเจ้าทั้งหลาย ผู้ประเสริฐกว่ามนุษย์ในชีวโลกนี้.

[๒๔๕๑] กลิ่นแห่งฤาษีทั้งหลายผู้บวชมานาน ย่อมออกจากกายฟุ้งไปตามลมได้
ดูกรท้าวสหัสสเนตร เชิญมหาบพิตรถอยไปเสียจากที่นี่ ดูกรท้าวเทวราช
กลิ่นของฤาษีทั้งหลายไม่สะอาด.

[๒๔๕๒] กลิ่นแห่งฤาษีทั้งหลายผู้บวชมานาน จงออกจากกายฟุ้งไปตามลมเถิด
ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลายย่อมมุ่งหวังกลิ่นนั้น ดังพวง
บุปผาชาติอันวิจิตรมีกลิ่นหอม เพราะว่าเทวดาทั้งหลายมิได้มีความสำคัญ
ในกลิ่นนี้ ว่าเป็นปฏิกูล.

[๒๔๕๓] ท้าวมฆวาฬสุชัมบดีเทวราช องค์ปุรินททะ ผู้เป็นใหญ่แห่งภูต มีพระ
ยศ เป็นจอมแห่งทวยเทพ ทรงย่ำยีหมู่อสูร ทรงรอคอยโอกาส เพื่อ
ตรัสถามปัญหา. บรรดาฤาษีผู้เป็นบัณฑิตเหล่านี้ ณ ที่นี้ ใครเล่าหนอ
ถูกถามแล้วจักพยากรณ์ปัญหาอันสุขุม ของพระราชา ๓ พระองค์ผู้เป็น
ใหญ่ในหมู่มนุษย์ และของท้าววาสวะผู้เป็นจอมแห่งทวยเทพได้?

[๒๔๕๔] ท่านสรภังคฤาษีผู้เรืองตบะนี้ เว้นจากเมถุนธรรมตั้งแต่เกิดมา เป็นบุตร
ของปุโรหิตาจารย์ ได้รับฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ท่านจักพยากรณ์ปัญหา
ของพระราชาเหล่านั้นได้.

[๒๔๕๕] ข้าแต่ท่านโกณฑัญญะ ขอท่านได้โปรดพยากรณ์ปัญหา ฤาษีทั้งหลายผู้ยัง
ประโยชน์ให้สำเร็จ พากันขอร้องท่าน ข้าแต่ท่านโกณฑัญญะ ภาระนี้
ย่อมมาถึงท่านผู้เจริญด้วยปัญญา นี่เป็นธรรมดาในหมู่มนุษย์.

[๒๔๕๖] มหาบพิตรผู้เจริญทั้งหลาย อาตมภาพให้โอกาสแล้ว เชิญตรัสถามปัญหา
อย่างใดอย่างหนึ่ง ตามพระหฤทัยปรารถนาเถิด ก็อาตมภาพรู้โลกนี้และ
โลกหน้าเองแล้ว จักพยากรณ์ปัญหานั้นๆ แก่มหาบพิตรทั้งหลาย.

[๒๔๕๗] ลำดับนั้น ท้าวมฆวาฬสักกเทวราชปุรินททะ ทรงเห็นประโยชน์ ได้
ตรัสตามปัญหาอันเป็นปฐม ดังที่พระทัยปรารถนาว่า บุคคลฆ่าซึ่งอะไรสิ
จึงจะไม่เศร้าโศกในกาลไหนๆ ฤาษีทั้งหลาย ย่อมสรรเสริญการละ
อะไรบุคคลพึงอดทนคำหยาบที่ใครๆ ในโลกนี้กล่าวแล้ว ข้าแต่ท่าน
โกณฑัญญะ ขอท่านได้โปรดบอกความข้อนี้แก่โยมเถิด?


[๒๔๕๘] บุคคลฆ่าความโกรธได้แล้ว จึงจะไม่เศร้าโศกในกาลไหนๆ ฤาษีทั้งหลาย
ย่อมสรรเสริญการละความลบหลู่ บุคคลควรอดทนคำหยาบที่ชนทั้งปวง
กล่าว สัตบุรุษทั้งหลายกล่าวความอดทนนี้ว่าสูงสุด.


[๒๔๕๙] บุคคลอาจจะอดทนถ้อยคำของคนทั้ง ๒ พวกได้ คือ คนที่เสมอกัน ๑
คนที่ประเสริฐกว่าตน ๑ จะอดทนถ้อยคำของคนเลวกว่าได้อย่างไรหนอ
ข้าแต่ท่านโกณฑัญญะ ขอท่านได้โปรดบอกความข้อนี้แก่โยมเถิด?


[๒๔๖๐] บุคคลพึงอดทนถ้อยคำของคนผู้ประเสริฐกว่าได้ เพราะความกลัว พึงอด
ทนถ้อยคำของคนที่เสมอกันได้ เพราะการแข่งขันเป็นเหตุ ส่วนผู้ใดใน
โลกนี้ พึงอดทนถ้อยคำของคนที่เลวกว่าได้ สัตบุรุษทั้งหลายกล่าวความ
อดทนของผู้นั้นว่าสูงสุด.


[๒๔๖๑] ไฉนจึงจะรู้จักคนประเสริฐกว่า คนที่เสมอกัน หรือคนที่เลวกว่า ซึ่งมี
สภาพอันอิริยาบถทั้ง ๔ ปกปิดไว้ เพราะว่าสัตบุรุษทั้งหลาย ย่อมเที่ยว
ไปด้วยสภาพของคนชั่วได้ เพราะเหตุนั้นแล จึงควรอดทนถ้อยคำของคน
ทั้งปวง.


[๒๔๖๒] สัตบุรุษผู้มีความอดทน พึงได้ผลคือความไม่มีการกระทบกระทั่ง เพราะ
การสงบระงับเวร เสนาแม้มากพร้อมด้วยพระราชาเมื่อรบอยู่ จะพึงได้
ผลนั้นก็หามิได้ เวรทั้งหลายย่อมระงับด้วยกำลังแห่งขันติ.


[๒๔๖๓] กระผมขออนุโมทนาคำสุภาษิตของท่าน แต่จะขอถามปัญหาอื่นๆ กะท่าน
ขอเชิญท่านกล่าวปัญหานั้น โดยมีพระราชา ๔ พระองค์ คือ พระเจ้า
ทัณฑกี ๑ พระเจ้านาลิกีระ ๑ พระเจ้าอัชชุนะ ๑ พระเจ้ากลาพุ ๑ ขอ
ท่านได้โปรดบอกคติของพระราชาเหล่านั้น ผู้มีบาปกรรมอันหนัก พระ-
ราชาทั้ง ๔ องค์นั้นเบียดเบียนฤาษีทั้งหลาย พากันบังเกิด ณ ที่ไหน?

[๒๔๖๔] พระเจ้าทัณฑกี ได้เรี่ยรายโทษลง ณ ท่านกีสวัจฉดาบสแล้ว เป็นผู้มีมูล
อันขาดแล้ว พร้อมทั้งบริษัท พร้อมทั้งชาวแว่นแคว้น หมกไหม้อยู่ใน
นรกชื่อกุกกูละ ถ่านเพลิงปราศจากเปลว ย่อมตกลงบนพระกายของ
พระราชานั้น. พระเจ้านาลิกีระได้เบียดเบียนบรรพชิตทั้งหลายผู้สำรวม
แล้ว ผู้กล่าวธรรมสงบระงับ ไม่ประทุษร้ายใคร สุนัขทั้งหลายในโลก
หน้า ย่อมรุมกันกัดกินพระเจ้านาลิกีระนั้นผู้ดิ้นรนอยู่. อนึ่ง พระเจ้า
อัชชุนะ พระเศียรปักพระบาทขึ้น ตกลงในสัตติสูลนรก เพราะเบียด
เบียน อังคีรสฤาษีผู้โคดม ผู้มีขันติ มีตบะ ประพฤติพรหมจรรย์มานาน.
พระเจ้ากลาพุได้ทรงเชือดเฉือนฤาษีชื่อขันติวาที ผู้สงบระงับ ไม่ประทุษ
ร้ายให้เป็นท่อนๆ พระเจ้ากลาพุนั้น ได้บังเกิดหมกไหม้อยู่ในอเวจีนรก
อันร้อนใหญ่ มีเวทนากล้า น่ากลัว. บัณฑิตได้ฟังนรกเหล่านี้ และนรก
เหล่าอื่นอันชั่วช้ากว่านี้ในที่นี้แล้ว ควรประพฤติธรรมในสมณพราหมณ์
ทั้งหลาย ผู้กระทำอย่างนี้ ย่อมเข้าถึงแดนสวรรค์.

[๒๔๖๕] กระผมขออนุโมทนาคำสุภาษิตของท่าน ขอถามปัญหาข้ออื่นกะท่าน ขอ
เชิญท่านกล่าวปัญหานั้น บัณฑิตเรียกคนเช่นไรว่ามีศีล เรียกคนเช่นไร
ว่ามีปัญญา เรียกคนเช่นไรว่าสัตบุรุษ ศิริย่อมไม่ละคนเช่นไรหนอ?

[๒๔๖๖] ผู้ใดในโลกนี้ เป็นผู้สำรวมด้วยกาย วาจาและใจ ไม่ทำบาปกรรมอะไรๆ
ไม่พูดพร่อยๆ เพราะเหตุแห่งตน บัณฑิตเรียกคนเช่นนั้นว่ามีศีล. ผู้ใด
คิดปัญหาอันลึกซึ้งได้ด้วยใจ ไม่ทำกรรมอันหยาบช้าอันหาประโยชน์มิได้
ไม่ละทิ้งทางแห่งประโยชน์อันมาถึงตามกาล บัณฑิตเรียกคนเช่นนั้นว่ามี
ปัญญา. ผู้ใดแล เป็นคนกตัญญูกตเวที มีปัญญา มีกัลยาณมิตร และมี
ความภักดีมั่นคง ช่วยทำกิจของมิตรผู้ตกยากโดยเต็มใจ บัณฑิตเรียก
คนเช่นนั้นว่าสัตบุรุษ. ผู้ใดประกอบด้วยคุณธรรมทั้งปวงเหล่านี้ คือ
เป็นผู้มีศรัทธา อ่อนโยน แจกทานด้วยดี รู้ความประสงค์ ศิริย่อมไม่
ละคนเช่นนั้น ผู้สงเคราะห์ มีวาจาอ่อนหวาน สละสลวย.

[๒๔๖๗] กระผมขออนุโมทนาคำสุภาษิตของท่าน ขอถามปัญหาข้ออื่นกะท่าน ขอ
เชิญท่านกล่าวปัญหานั้น นักปราชญ์ย่อมกล่าวศีล ศิริ ธรรม ของสัตบุรุษ
และปัญญา ว่าข้อไหนประเสริฐกว่ากัน?

[๒๔๖๘] ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายย่อมกล่าวว่า ปัญญานั่นแหละประเสริฐสุด ดุจ
พระจันทร์ประเสริฐกว่าดวงดาวทั้งหลาย ฉะนั้น ศีล ศิริ และธรรมของ
สัตบุรุษ ย่อมเป็นไปตามบุคคลผู้มีปัญญา.

[๒๔๖๙] กระผมขออนุโมทนาคำสุภาษิตของท่าน ขอถามปัญหาข้ออื่นกะท่าน
ขอเชิญท่านกล่าวปัญหานั้น บุคคลในโลกนี้ทำอย่างไร ทำด้วยอุบาย
อย่างไร ประพฤติอะไร เสพอะไร จึงจะได้ปัญญา ขอท่านได้โปรดบอก
ปฏิปทาแห่งปัญญา ณ บัดนี้ว่า นรชนทำอย่างไรจึงจะเป็นผู้มีปัญญา?

[๒๔๗๐] บุคคลควรคบหาท่านผู้รู้ทั้งหลาย ละเอียดละออ เป็นพหูสูต พึงเป็นทั้ง
นักเรียน และไต่ถาม พึงตั้งใจฟังคำสุภาษิตโดยเคารพ นรชนทำอย่าง
นี้จึงจะเป็นผู้มีปัญญา. ผู้มีปัญญานั้นย่อมพิจารณาเห็นกามคุณทั้งหลาย
โดยความเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์และเป็นโรค ผู้เห็นแจ้งอย่างนี้
ย่อมละความพอใจในกามทั้งหลายอันเป็นทุกข์ มีภัยอันใหญ่หลวงเสียได้.
ผู้นั้นปราศจากราคะแล้ว กำจัดโทสะได้ พึงเจริญเมตตาจิตไม่มีประมาณ
งดอาชญาในสัตว์ทุกจำพวกแล้ว ไม่ถูกติเตียน ย่อมเข้าถึงแดนพรหม.

[๒๔๗๑] การมาของมหาบพิตรผู้มีพระนามว่า อัฏฐกะ ภีมรถะ และกาลิงคราช
ผู้มีพระเดชานุภาพฟุ้งเฟื่องไป เป็นการมาที่มีฤทธิ์ใหญ่โต ทุกๆ พระ
องค์ทรงละกามราคะได้แล้ว.

[๒๔๗๒] ท่านเป็นผู้รู้จิตผู้อื่น ข้อนั้นเป็นอย่างนั้น กระผมทุกคนละกามราคะได้
แล้ว ขอท่านจงให้โอกาสเพื่อความอนุเคราะห์ตามที่กระผมทั้งหลายจะรู้
ถึงคติของท่านได้.

[๒๔๗๓] อาตมาให้โอกาสเพื่อความอนุเคราะห์ เพราะมหาบพิตรทั้งหลาย ละกาม
ราคะได้อย่างนั้นแล้ว จงยังกายให้ซาบซ่านด้วยปีติอันไพบูลย์ ตามที่
มหาบพิตรทั้งหลายจะทรงทราบถึงคติของอาตมา.

[๒๔๗๔] ข้าแต่ท่านผู้มีปัญญาดังแผ่นดิน กระผมทั้งหลายจักทำตามคำสั่งสอนที่
ท่านกล่าวทุกอย่าง กระผมทั้งหลายจะยังกายให้ซาบซ่านด้วยปีติอัน
ไพบูลย์ ตามที่กระผมทั้งหลายจะรู้ถึงคติของท่าน.

[๒๔๗๕] ดูกรท่านผู้เจริญทั้งหลาย ฤาษีทั้งหลายผู้มีคุณความดี ทำการบูชานี้แก่
กีสวัจฉดาบสแล้ว จงพากันไปยังที่อยู่ของตนๆ เถิด ท่านทั้งหลายจง
เป็นผู้ยินดีในฌาน มีจิตตั้งมั่นทุกเมื่อเถิด ความยินดีนี้ เป็นคุณชาติ
ประเสริฐสุดของบรรพชิต.

[๒๔๗๖] ชนเหล่านั้นได้ฟังคาถาอันประกอบด้วยประโยชน์อย่างยิ่ง ที่ฤาษีผู้เป็น
บัณฑิตกล่าวดีแล้ว เกิดปีติโสมนัส พากันอนุโมทนาอยู่ เทวดา
ทั้งหลายผู้มียศ ต่างก็พากันกลับไปสู่เทพบุรี. คาถาเหล่านี้มีอรรถ
พยัญชนะดี อันฤาษีผู้เป็นบัณฑิตกล่าวดีแล้ว คนใดคนหนึ่งฟังคาถา
เหล่านี้ให้มีประโยชน์ พึงได้คุณพิเศษทั้งเบื้องต้นและเบื้องปลาย ครั้น
แล้วพึงบรรลุถึงสถานที่อันมัจจุราชมองไม่เห็น.

[๒๔๗๗] สาลิสสรดาบสในกาลนั้น เป็นพระสารีบุตร เมณฑิสสรดาบสในกาลนั้น
เป็นพระกัสสปะ ปัพพตดาบสในกาลนั้นเป็นพระอนุรุทธะ เทวิลดาบส
ในกาลนั้น เป็นพระกัจจายนะ อนุสิสสดาบสในกาลนั้นเป็นพระอานนท์
กีสวัจฉดาบสในกาลนั้น เป็นโกลิตมหาโมคคัลลานะ นารทดาบสใน
กาลนั้น เป็นพระอุทายีเถระ บริษัทในกาลนั้น เป็นพุทธบริษัทในบัดนี้
สรภังคดาบสโพธิสัตว์ในกาลนั้น คือตถาคต ท่านทั้งหลายจงทรงจำชาดก
ไว้อย่างนี้แล.

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ต.ค. 2009, 11:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 เม.ย. 2009, 19:25
โพสต์: 579

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เฮ้อ...............เด็กน้อย

ช่วยถอดสภาวะมาคุยกันดีกว่า อย่ากางตำราเอามาขยายเลย

เพราะนี่เป็นเรื่องของ พวกนักอ่าน นักวิเคราะห์เขาทำกัน

ไหน..........เคยจะชวนผมคุยเรื่องอะไร ลองว่ามาซิ

:b6: :b6: :b6:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 พ.ย. 2009, 20:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


เต่าในกระ-ดอง


วิวิตฺตํ อปฺปนิคฺโฆส พาลมิคนิเสวิตํ เสเว เสนาสนํ ภิกฺขุ ปฏิสลฺลาน การณา


นักปฏิบัติธรรมพึงอยู่ในเสนาสนะอันสงัด ปราศจากเสียงกึกก้องเป็นที่อยู่อาศัย
แห่งพาล มฤค ทั้งหลาย เพราะมุ่งหมายจะหลีกเร้นอยู่ในที่อันสงัด
เพื่อรีบรัดปฏิบัติให้ได้บรรลุมรรค ผล นิพพาน โดยเร็วพลัน


กุมฺโม องฺคานิ สเกกปาเล สโมทหํ ภิกฺขุ มโน วิตกฺ เก อนิสฺสิโต
อญฺญมญฺญวิเหฐยมาโน ปรินิพฺพุโต นูปวาทเยย กญฺจิ



พระโยคี ผู้เจริญวิปัสสนากรรมฐานอยู่ พึงรักษาใจเอาไว้ให้ดี มิให้ตกไปในวิตก ไม่ติดอยู่ด้วยตัณหา
มานะ ทิฏฐิ ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ดับกิเลสรอบโดยด้าน ไม่กล่าวค้าน และค่อนขอดติเตียนใดๆ
ปานดังเต่าใหญ่รักษาตัวหดหัวและเท้าอยู่ในกระดองของตน จนรอดพ้นอันตราย


ฉะนั้นผู้ปฏิบัติ เมื่ออารมณ์มากระทบทางประตูต่างๆ เช่น รูปมากระทบทางตา เสียงมากระทบทางหู
คือกระทบอายตนะไม่ว่าจะทางไหนๆก็แล้วแต่ ไม่หนี ไม่สู้ ไม่อยู่ ไม่ไป ให้อยู่ในกระดอง
คือ สติปัฏฐาน 4 มีความเพียร มีสติ มีสัมปชัญญะ รักษาสมณธรรมเอาไว้ให้ดี

จากหนังสือ วิปัสสนากรรมฐาน ภาค 1 เล่ม 1 หลวงพ่อโชดก

หมายเหตุ - คำว่า กระ - ดอง จริงๆแล้วต้องเขียนติดกัน
แต่ในบอร์ดอาจจะมีเหตุอันใดสักอย่าง ทำให้เขียนอย่างนั้นไม่ได้ เลยต้องเขียนห่างกันค่ะ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 07 พ.ย. 2009, 20:41, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 พ.ย. 2009, 17:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


กิเลส

ผู้คนชอบมองนอกตัวมากกว่าจะมองให้เห็นในตัวเอง มองแล้วก็ปรุงแต่งตามความพอใจและ
ไม่พอใจเมื่อเกิดการกระทบ แล้วก็ปรุงต่อยืดยาวออกไปอีกถ้าสติ สัมปชัญญะไม่ทัน
ทำไมคนถึงกล่าวว่า คนนั้นดี คนนี้ไม่ดี ดีหรือไม่ดี ล้วนเกิดจากกิเลสที่มีอยู่ในใจของแต่ละคน
ที่จะปรุงแต่งตามสิ่งที่มากระทบ เลยทำให้เกิดเหตุใหม่ กลายเป็นวิบากส่งผลทันที


เราว่าเขา เขาว่าเรา เวียนวนกันอยู่แบบนี้ไม่รู้จบ ทุกคนล้วนมีข้อผิดพลาด ผิดพลาดเพราะ
ความไม่รู้ ถ้าทุกคนรู้ จะไม่มีใครอยากมีชีวิตที่แบบผิดพลาดหรือกระทำอะไรที่มันผิดพลาด
ทุกวันนี้มีแต่การกล่าวหากัน ตั้งแง่รังเกียจคนนั้นว่าเป็นอย่างนั้น คนนี้ว่าเป็นอย่างนี้
แต่ที่ลืมไปน่ะคือ ลืมมองตัวเอง เพราะติดคิดว่าตัวเองนั้นดี ก็เลยว่ากล่าวผู้อื่นตามกิเลสของตัวเอง


ชีวิตเราทุกวันนี้ เรามองมัน มันช่างเหมือนหุ่นยนต์เสียจริงๆ นับวันความมีชีวิตจิตใจที่เคยมีมันเริ่ม
จะเลือนหายไป พออะไรกระทบมา มันรับมือได้ไวขึ้น สัตว์โลกล้วนเป็นไปตามกรรมที่ได้กระทำ
ร่วมกันมา ทำมากรับผลมาก ทำน้อย รับผลน้อย หายากจริงๆที่ว่าจะไม่มีการเกิดการกระทำ
ทั้งกุศลและอกุศล สุข-ทุกข์ ล้วนไม่มีความเที่ยงแท้แน่นอน ทุกสรรพสิ่งในโลกนี้ไม่มีอะไร
ที่เที่ยงแท้แน่นอนเลยแม้แต่สักอย่างเดียว แล้วเราจะไปยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดๆได้
เลยทำให้เรารู้สึกเหมือนกับว่า เราเริ่มไร้ชีวิตจิตใจ จะสุขก็ไม่ใช่ จะทุกข์ก็ไม่ใช่ มันเริ่มแค่รู้มากขึ้น
บางครั้งแค่ดู ดูแล้วก็ มันมีของมันอยู่แล้ว มีแต่ไร้ตัวตน แต่เราน่ะโง่เอง
ที่ดันไปทำให้มันมีตัวตนขึ้นมาจริงๆ เพราะความไม่รู้ .....


ย้อนอดีตถอยหลังไป เหมือนนั่งดูหนังเก่าๆ ฉากเก่าๆ เปลี่ยนผู้คนเข้ามาเล่น
มาแสดงให้เราดู พฤติกรรมเดิมๆ ซ้ำซาก คำพูดเดิมๆซ้ำซากที่บางครั้งมีการพยายามตบแต่งให้ดูดี
แต่ฉาบไว้ด้วยกิเลสหลอกล่อ ให้ผู้คนลุ่มหลงติดกับมัน กิเลสน่ะมันฉลาดล้ำลึก มันไวมากๆ
มันดักเราได้ทุกทาง รู้ทางเราทุกอย่าง การที่จะให้เรายอมรับความเป็นตัวตนที่แท้จริงออกมานั้น
มันช่างยากเย็นยิ่งนัก เพราะเราถูกครอบงำด้วยกิเลสมาตลอดเวลากับคำว่า ดีและไม่ดี
ถูกปลูกฝังมาตามกิเลสของแต่ละคน กระทบแล้วเกิดความพอใจก็ว่าคนนั้นดี
กระทบแล้วเกิดความไม่พอใจก็ว่าคนนั้นไม่ดี


ดี-ชั่ว เอาอะไรมาวัดกันล่ะ การกระทำงั้นหรือ การแสดงออกที่เห็นงั้นหรือ
แล้วกิเลสที่ซุกๆอยู่ไว้ในซอกลึกๆในใจล่ะ เคยเข้าไปดูกันบ้างไหมว่ามันเน่าเหม็นมากมายแค่ไหน
ที่ล้วนแต่พยายามซุกซ่อน ปกปิดกิเลสในใจกันเอาไว้ ยอมรับไม่ได้เลย จิตมันปฏิเสธ
มันหลบหนีตลอดเวลา กดข่มเอาไว้ อย่าให้มันเสนอหน้าออกมา เพราะกลัวจะไม่มีใครคบ
กลัวคนอื่นๆจะยอมรับตัวตนที่แท้จริงของตัวเองไม่ได้ ...


แต่พากันลืมความจริงไปอย่างหนึ่งว่า คนไหนทำคนนั้นรับผล ไม่ใช่คนอื่นๆมารับผลแทน
ทุกข์มากๆ ทุกข์ใจสุดๆ ทรมาณสังขารมากๆ ระหว่างถูกชำแหละชิ้นส่วนของใจออกมา
กิเลสทั้งนั้น ทรมาณมากๆ การกระทำต้องถูกชดใช้ พอถูกทวงถามโอดครวญ ใจจะขาด
ทำไมมันช่างทุกข์แบบนี้หนอ แต่พอความทุกข์ผ่านไป ลืมหมดแล้ว
ความทุกข์ที่เคยลิ้มรสผ่านมา เพราะตอนนี้กำลังเจอความสุข หัวเราะเริ่งร่ากระดี๊กระด๊า
ที่ไหนได้ โดนกิเลสมันหลอกเอา หลอกให้คิดว่าจบแล้ว ไม่มีแล้ว มันยังมีอยู่
แต่เพราะเราขาดสติ เราจึงไม่เห็นมัน

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ย. 2009, 10:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2009, 15:28
โพสต์: 307

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนาครับ
:b8: :b8: :b8:

.....................................................
สิ่งทั้งหลายทั้งปวง ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ย. 2009, 21:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ปริศนาธรรม

กินเท่าไหร่ไม่หายอยาก คือ...

นอนมากไม่รู้ตื่น คือ...

รักผู้อื่นยิ่งกว่าตัว คือ...

ของควรกลัวกลับกล้า คือ...

ของสั้นสัญญาว่าของยาว คือ...

อุ้มลูกอ่อนรัดไม่วาง คือ...

หนีจระเข้ใหญ่ลงในน้ำ คือ...

สู้ไพรีไม่ต้องอาวุธ คือ...

ปอกมะพร้าวเอาปากกัด คือ...

ตาบอดหลงทางไม่ถามไถ่ คือ ...

ต้องจองจำกลับยินดี คือ...

๑. กินเท่าไรไม่หายอยาก

ได้แก่ โลภะ – ความละโมภ คือ ความอยากได้ อยากมี อยากดี อยากสุข หาที่สิ้นสุด มิได้
ถึงจะได้จะมีสักเพียงไร ก็ไม่มีเวลาเพียงพอ สมกับคำว่า “กินเท่าไรไม่หายอยาก”

๒. นอนมากไม่รู้จักตื่น

ได้แก่ โมหะ คือ ความหลง หลงรัก หลงชัง หลงดี หลงชั่ว หลงลาภ หลงยศ หลงเขา หลงเรา มัวเมา
ไปด้วย ความหลงไม่มีเวลาสร่าง ไม่มีเวลาตื่นเหมือนกับคนนอนหลับ หาเวลาจักกลับตัวจากโมหะไม่ได้

๓. รักผู้อื่นยิ่งกว่าตัว

เพราะโมหะนั้นเองเป็นเหตุ ให้รักผู้อื่นยิ่งกว่าตัว คือ รักผัว รักเมีย รักลูก รักหลาน รักมิตรสหาย
รักเจ้ารักนาย จนถึงยอมตัวของตัวลงสู่กรรมอันเป็นบาป เป็นต้นว่า ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ กล่าวมุสา
ล่อลวงเอาทรัพย์สมบัติของผู้อื่นมาบำรุงน้ำใจของชนเหล่านั้น ผลของอกุศลที่ตนทำลงนั้น
ตนก็จักก้มหน้ารับไปแต่ผู้เดียว อาศัยความรักเขาเป็นเหตุ อาจจักทำกรรมอันเป็นบาปใส่ตัวได้
ทุกประการอย่างนี้

๔. ของควรกลัวกลับกล้า

เพราะความรักผู้อื่นนั้นเองเป็นเหตุ กรรมอันเป็นบาป เป็นของควรกลัวแต่กล้าทำได้ทุกประการ
มนุษย์มีชาติเสมอกันก็อาจฆ่ากันได้ สัตว์ทุกจำพวกไม่ว่าตัวใหญ่ตัวเล็ก ตัวมีคุณและหาคุณมิได้
อาจฆ่าได้ทุกประเภท แม้ทรัพย์สมบัติของผู้อื่น อาจลักขโมยเอาได้ทุกประการอาจกล่าวคำเท็จ
ฉ้อโกงเขาได้อาจวินิจฉัยคดีกลับแพ้เป็นชนะ กลับชนะเป็นแพ้ได้ทุกประเภทขึ้นชื่อว่า
กรรมอันเป็นบาปแล้วซึ่งจะทำไม่ได้นั้นเป็นอันไม่มีเพราะโมหะนั้นเองเป็นเหตุ

๕. ของสั้นสัญญาว่าของยาว

ได้แก่ ชีวิตความเป็นอยู่ของสัตว์เพียง ๖๐ ปี ๗๐ ปี เท่านั้น ต้องนับว่าสั้นนักน้อยนัก ทั้งไม่มีนิมิต
เครื่องหมายนายประกัน ว่าจะได้ถึงเพียงนั้นหรือไม่ แต่ความมุ่งหมายนั้นดูเหมือนจะอยู่ไปตั้งร้อยปี
พันปี คือ ความหมายความบากบั่น ประกอบการงานทั้งอาการที่หึงหวงในสรรพพัสดุ ทั้งที่มีวิญญาณ
และหาวิญญาณมิได้ เป็นต้นว่าหวงลูกหวงเมียหวงเขตบ้านแดนสวนเขตไร่แดนนา อย่างประหนึ่งว่า
เราจะอยู่เป็นเจ้าเข้าเจ้าของไปตั้งหมื่นปีหารู้ไม่ว่าชีวิตเป็นของมีประมาณน้อยเป็นของสั้น

๖. ปอกมะพร้าวเอาปากกัด

ได้ความว่า ธรรมดาปอกมะพร้าวต้องใช้พร้า-ใช้ขวาน เพราะเป็นของแก่นของแข็งไพล่เอาปากไปกัด
ผิดธรรมดาของโลก ตกลงก็คงไม่ได้กินกันเท่านั้น เปรียบเหมือนมรรคผล นิพพาน ธรรมดาของท่าน
ผู้จะสำเร็จ ท่านต้องศีล สมาธิ ปัญญา เป็นมรรคเครื่องประหารไม่ ไพล่ไปเอาโวหารเป็นเครื่อง
ประหารกิเลส อวดฝีปากกันว่า ข้าจำได้มาก ข้าฉลาดกว่าเจ้า จะถือเอามรรคผล นิพพาน
ด้วยปากเท่านั้น ตกลงก็คงจะอยู่เท่านั้นเอง เพราะผิดธรรมดา

๗. อุ้มลูกอ่อนกอดรัดไว้ไม่วาง

ร่างกายนั้นเปรียบด้วยลูกอ่อน เพราะลูกอ่อนย่อมเป็นของอันมารดาและพี่เลี้ยงจะต้องประคอง
ถนอมเป็นอย่างเอื้อเฟื้อ ไม่มีความประมาท คอยพิทักษ์รักษาอยู่ทั้งกลางวันและกลางคืน
คอยป้อนข้าวน้ำ คอยระวังซักผ้าขี้ผ้าเยี่ยวอยู่เสมอฉันใด แม้อัตตภาพร่างกายอันนี้ผู้เป็นเจ้าของ
ก็จะต้องระวังรักษาอย่างถนอม ถ้าหิวต้องหาอาหารให้รับประทาน ร้อนอาบน้ำ หนาวห่มผ้า จะไปทางใด
ก็ต้องระวัง เตรียมร่มกันแดด กันฝน และรองเท้าไปด้วย ชั้นผู้ดีมีสมบัติจะไปทางใดต้องไปด้วยยานต่างๆ
ถนอมร่างกายจนถึงไม่ต้องเดินจนเสียกำลังขาเดินไปไหนไม่ได้ ยังไม่แก่ไม่เฒ่าสักปานใด
กลายเป็นคนเปลี้ยคนง่อยไปก็นับไม่ถ้วนชั้นแต่จะทำประโยชน์อย่างสำคัญแก่ตน คือ หาที่พึ่งแก่ตน
รักษาอุโบสถศีลไม่ได้ กลัวหิวข้าว กลัวเป็นลม กลัวตาย คนพวกถนอมร่างกายอย่างกอดรัดเช่นนี้
กับพวกที่ถือว่าร่างกายเกิดมาสำหรับใช้เท้าสำหรับเดิน อุโบสถศีล ถ้ามนุษย์รักษาไม่ได้
พระพุทธเจ้าคงไม่ทรงอนุญาต พวกที่รักษามาก่อนก็ไม่ได้ยินข่าวว่าผู้ใดตายเพราะอดข้าว
ในวันรักษาอุโบสถ คิดเห็นอย่างนี้ ก็ตั้งหน้าประพฤติไปโดยธรรมดาตามหน้าที่อายุของบุคคล
๒ จำพวกนี้ ก็ไม่เห็นว่าจะได้เปรียบกันกี่มากน้อย เหตุนั้นอย่าหลงกอดรัดเขานักเลย

๘. หลงทางไม่ไต่ถาม

ได้ใจความว่า ธรรมดาคนหลงทาง ถ้าพบ ต้องถาม ถ้าไม่พบ ก็คงไปที่ตนประสงค์ไม่ถูก อาจจักได้รับความลำบาก มีอดข้าวอดน้ำ เป็นต้น อยู่ตามที่หลงนั้นเอง เปรียบเหมือนบุคคลผู้ไม่รู้จักทางนรก ทางสวรรค์ ทางนิพพาน ทางสุข ทางทุกข์ แต่ทำหัวดื้ออวดตัวไม่ถามท่านผู้รู้ ก็คงงุ่มง่ามทรามเซอะ อาจจักตรงไปสู่ทางนรกก็ได้ ที่จะเดาให้ถูกทางสวรรค์ ทางนิพพาน นั้นแสนยาก น่ากลัวจะเสียตลอดชีวิต ถ้าหลงตลอดชาติก็น่าเสียดายอยู่ เพราะเพื่อนมนุษย์ผู้ฉลาดเขาตรงไปสุคติได้ ส่วนเรายังหลงงุ่มง่ามหันหน้าไปทางทุคติ น่าสลดใจอยู่

๙. หนีจระเข้ใหญ่ไพล่ลงน้ำ

จระเข้ใหญ่เปรียบเหมือนความทุกข์ คนเกลียดทุกข์ กลัวทุกข์ คิดหนีทุกข์ การหนีทุกข์ไพล่ไปมีเรือน
คือ ไปมีสามีภรรยากันขึ้น การครองเรือน คือ มีสามีภรรยานั้นเองท่านเปรียบด้วยน้ำ
ตัวเรือนที่อยู่จระเข้ต่อนั้นไปก็จะมีแต่ทุกข์น้อยทุกข์ใหญ่ คือ จระเข้กัดร่ำไป
จะเอาสุขสะอาดมาแต่ไหน ก็เพราะไม่รู้จักทางสุขนั้นเองเป็นเหตุ

๑๐. ต้องจองจำกลับยินดี

เครื่องจองจำนักโทษทุกวันนี้ ที่เป็นของสำคัญแล้วไปด้วยเหล็ก คือ สายโซ่คอ ๑ กุญแจมือ ๑
ตรวนใส่ขา ๑ ท่านแสดงในที่มาบางแห่งว่า ตัณหา ความรักลูก เหมือนโซ่เหล็กมาผูกคอ
ตัณหาความรักผัวรักเมีย เหมือนกุญแจเหล็กมามัดศอกตัณหาความรักสมบัติเข้าของ
เหมือนดังตรวนเหล็กมาเป็นปลอกสวมตีน ตัณหา ๓ ประการนี้ เป็นเครื่องผูกสัตว์ให้เวียนวนอยู่ใน
วัฎฎสงสารจะต้องอาศัยอริยมรรค ญาณ จึงจะตัดให้ขาดได้ อาศัยนัยนี้เห็นจะตรงกับปัญหาที่ว่า
ต้องจองจำกลับยินดี เพราะบุคคลทั่วไปถ้ามีบุตร มีสามี มีภรรยา
มีสมบัติเข้าของยอมยินดีด้วยกันโดยส่วนมาก

๑๑. สู่ไพรีไม่หาอาวุธ

ไพรี แปลว่า ข้าศึก ธรรมดาข้าศึกเขาต้องเตรียมอาวุธ ยุทธภัณฑ์พร้อมจึงเรียกว่า ข้าศึก
เราจะต่อยุทธสงครามกับด้วยข้าศึก เราก็จะต้องเตรียมอาวุธ ยุทธภัณฑ์ไว้ให้พร้อม
จึงจะต่อสู้กันได้ หมายยุทธสงครามภายนอก ในปัญญหานี้ดูเหมือนท่านประสงค์ข้าศึกภายใน
ข้าศึกภายในไม่มีมาก มีสามนายเท่านั้น คือ นายชรา ๑ นายพยาธิ ๑ นายมรณะ ๑
แต่เป็นชาติเหี้ยมโหด ดุร้ายมาก สังหารผลาญชีวิตของมนุษย์และสัตว์ทั่วโลก
ไม่ละเว้นไว้ให้หลงเหลือเลย เราควรเตรียมอาวุธภายนอกไว้รับมือกับอ้าย ๒ นาย คือ
นายชรา กับ นายพยาธิ อ้ายนายชรานั้นให้เตรียมอาวุธ คือ ยาอายุวัฒนะสู้กับมัน
อ้ายนายพยาธินั้นต้องใช้สรรพยาต่าง ๆ เพราะเขามีอิทธิฤทธิ์แผลงฤทธิ์ได้ถึง ๙๖ ประการ

ถ้าเห็นจะสู้ด้วยอาวุธยาเหล่านั้นไม่ไหว ต้องเข้าใจว่าข้าศึกรวมกำลังกันได้แล้ว คือ นายมรณะ
ได้ นายชรา นายพยาธิ มาเป็นกำลังเต็มที่แล้ว อาวุธข้างนอกสู้ไม่ไหวแล้วต้องเอาอาวุธข้างใน
ออกต่อสู้ อาวุธข้างใน คือ ปัญญาวุธ ความนี้เราต้องเอาชัยชนะให้จงได้

ให้ตรวจกองเสบียงดู คือ ทานที่เราบริจาคปัจจัยทั้ง ๔ เกื้อกูลแก่ท่านผู้มีศีลของเรา
พรักพร้อมบริบูรณ์อยู่แล้วหรือยัง กำลังทรัพย์ของเราเป็นอย่างไร สัทธาธนัง ทรัพย์ คือ

ศรัทธา เชื่อต่อปัญญา เครื่องตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีในตนของเราอยู่ หรือ สีลธนัง

ทรัพย์ คือ ศีล มีที่ตัวของเราอยู่ หรือ สังฆปสาทะ ความเลื่อมใสในพระสงฆ์ มีที่ตัวของเราอยู่หรือ
อุชุภูตัญจทัสสนัง ความเห็นตรงในธรรมเช่นนั้น เป็นตัวปัญญาธนัง เกิดขึ้นแก่เราแล้วหรือ

เมื่อตรวจอริยทรัพย์ เห็นมีพร้อมที่ตนเช่นนี้ เราก็ได้รู้ว่า กำลังทรัพย์กำลังพาหนะของเราพรักพร้อม
อยู่แล้ว กำลังอาวุธ คือ ปัญญา เป็นของสำคัญเราก็มีพร้อมอยู่แล้ว เมื่อตรวจเห็นเสบียง
กำลังทรัพย์ กำลังพาหนะ กำลังปัญญา มีพรักพร้อมเช่นนี้แล้ว จะต้องกลัวอะไรแก่อ้ายข้าศึก
ออกประจัญบานกับเขาดู ชี้หน้ามันทีเดียวว่า เฮ้ย-อ้ายชรา อ้ายพยาธิ อ้ายมรณะ ข้ารู้จักหน้าตา
เจ้าดีแล้ว เจ้าไปแผลงฤทธิ์แก่คนโฉดเขลาโน้นเถิด อย่ามาอวดดีแก่เราเลย
ตัวของเจ้าเป็นอ้ายสมมติ อ้ายสังขารไม่ใช่หรือ เจ้ารู้จักข้าไหม ถ้าไม่รู้ ข้าจะบอกให้
ตัวของข้านี้ คือ เจ้าอมตะ คือ ชาติกายสิทธิ์ไม่มีชรา ไม่มีพยาธิ ไม่มีมรณะ
พวกเองตามข้าไม่ทันดอก เอาเปลือกเมืองไปเถอะ นี้แหละอาวุธภายใน
สำหรับทำยุทธสงครามต่อข้าศึก พวกนักปราชญ์ท่านเตรียมพร้อมทุกคน
เมื่อตัวของเราไม่หาอาวุธเช่นนั้นไว้สำหรับตัว ถึงคราวข้าศึกมาถึงเข้า จะมิเสียทีแก่ข้าศึกหรือ

๑๒. ใครไม่หยุดไม่ถึงพระ

คำที่ว่าหยุดนี้ไม่ได้หมายหยุดกายกรรม หยุดวจีกรรม หยุดมโนกรรม
หมายเอาหยุดคิด หยุดนึก หยุดการส่ายหาพระภายนอกเท่านั้น

ส่วนกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ฝ่ายทุจริตก็ชักสะพานเสียไม่ให้เดิน ให้อยู่กับสุจริตธรรมทุกเมื่อ
ถึงแม้เราไม่ไปไหว้พระบาท พระฉาย หรือพระธาตุเจดีย์เมืองไหน ๆ ก็ตาม แต่ให้เข้าใจว่า
ไม่ใช่ไปหาพระภายนอกไป แต่ไปบำรุงพระภายในนี้เองคือไปบำรุงทัสสนานุตริยะของตนนี้เอง
เมื่อไปอย่างนี้เมื่อรู้อย่างนี้ถึงไปก็ได้ชื่อว่าหยุด และอยู่กับพระทุกเมื่อ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2009, 00:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมของสัตบุรุษ

พระพุทธเจ้าได้ตรัสถึงธรรมของสัตบุรุษไว้ว่า

วรมสฺสตรา ทนฺตา อาชา นียา จ สินฺธวา กุญฺชรา จ มหานาคา อตฺตทนฺโต ตโต วรํ

ม้าอัสดรและช้างกุญชรที่ได้รับการฝึกดีแล้ว เป็นสัตว์ประเสริฐสุดยอด

ส่วนสัตบุรุษมนุย์ผู้ฝึกฝนตนเองได้แล้ว จะประเสริฐกว่านั้น

เมื่อมนุย์ได้ชื่อว่า สัตบุรุษชาติอาชาไนย แล้ว จะเป็นผู้ประเสริฐด้วยคุณสมบัติ

๑.มีความอดทนสุง อดทนได้ในเรื่องที่คนอื่นเขาถอดใจ หมดความอดทน
๒.มีความแกล้วกล้า กล้าทำ กล้าพูด กล้าคิด ในสิ่งอันควร ในขณะที่คนอื่นเขาไม่กล้า
๓.มีความพยายามสูง ยังพากเพียรพยายามในขณะที่คนอื่นหมดความพยายาม
๔.หมั่นฝึกอบรมจิตใจ จนกว่าจะถึงความหลุดพ้นจากกิเลสตัณหาได้
๕.มีสติสัมปชัญญะ ระลึกได้ว่าถูกผิด ในขณะที่คนอื่นเขาหลงระเริง
๖.มีความอาจหาญ ร่าเริง ยังอาจหาญอยู่ ในระหว่างที่คนอื่นหดหู่ท้อถอย
๗.เมื่อพิจรณาเห็นว่าเป็นสิ่งที่ดีแล้ว ก็มุ่งมั่นไม่ย่อท้อจนกว่าจะประสบความสำเร็จ

ควรทำให้มีเกิดในตนเอง เรียนรู้ฝึกฝนตนเองอยุ่ตลอดเวลา จนกว่าจะสามารถถึงจุดที่ดีได้
เพราะคนเรานั้น

" การได้เกิดมาเป็นมนุษย์นับว่ายาก การดำรงชีวิตอยู่ของเหล่าสัตว์นั้นก็ยาก การที่จะได้ฟัง
พระสัทธรรม ก็ยิ่งยาก การที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายจะเสด็จอุบัติขึ้นยากอย่างยิ่ง "

การเกิดเป็นมนุษย์นับว่ายาก เพราะจะต้องได้มาด้วยความพยายามมากและด้วยกุศลที่มากพอ
การดำรงชีวิตอยู่ก็ยาก เพราะต้องดำรงชีวิตอยู่ด้วยระยะเวลาเพียงน้อยนิด การได้ฟังพระสัทธรรม
จึงยากยิ่ง เพราะหาผู้แสดงได้ยาก

และการที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายจะเสด็จอุบัติยิ่งยากยิ่งนัก เพราะจะต้องบำเพ็ญพระบารมีด้วย
ความพยายามอันยิ่งใหญ่จึงจะสำเร็จได้ และจะต้องใช้เวลาในการบำเพ็ญบารมีหลายพันโกฏิกัป
จึงจะเสด็จอุบัติขึ้นมาในโลกมนุษย์ได้ และการเกิดมาเป็นมนุย์ก็ใช่ว่าจะเกิดตรงกับสมัย
ที่โลกมีพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้น ณ เวลานั้น

จากหนังสือ อ่านก่อนตาย ก่อนจะเสียดายที่ไม่ได้อ่าน เล่ม ๔ หน้าที่ ๘๔

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 พ.ย. 2009, 21:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


มานะ

มานะ ได้แก่ ความถือตัว เห็นว่าตัวสำคัญยิ่งกว่าผู้อื่น ย่อมเป็นขันธ์ ๕ ว่าเป็นเรา
เป็นเขา มานะนั้นตามที่ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๙ หน้าที่ ๙๔ จำแนกออกเป็นหลายอย่างดังนี้

มานะ ๑ คือ ความฟูของจิต ได้แก่ ความถือตัว

มานะ ๒ คือ การยกตน ๑ การข่มผู้อื่น ๑

มานะ ๓ คือ ถือว่าตัวประเสริฐกว่าเขา ๑ ตัวเสมอเขา ๑ ตัวเลวกว่าเขา ๑

มานะ ๔ คือ ลาเภน มาน ชเนติ ยังมานะให้เกิดขึ้นเพราะ ลาภ เพราะยศ เพราะความสรรเสริญ เพราะสุข

มานะ ๕ คือ ลาภิมฺหิ มนาปิกานํ รูปานนฺติ มานํ ชเนติ ยังมานะให้เกิดขึ้นว่า เราได้รูปทั้งหลาย
อันเป็นที่พอใจ เราได้เสียง ได้กลิ่น ได้รส ได้โผฏฐัพพะทั้งหลายอันเป็นที่พอใจ

มานะ ๖ คือ จกฺขุสมฺปทาย มานํ ชเนติ ยังมานะให้เกิดขึ้นเพราะ ความถึงพร้อมแห่งจักขุ ฆานะ
ชิวหา กายะ มนะ

มานะ ๗ คือ

๗.๑ มโน ถือตัว

๗.๒ อติมา ดูหมิ่นท่าน

๗.๓ มานาติมาโน ได้แก่ มานะที่เกิดขึ้นว่า " เมื่อก่อนคนนี้เสมอเรา เดี๋ยวนี้ประเสริฐกว่าเรา
ส่วนคนนี้เลวกว่าเรา "

๗.๔ โอนาโม ได้แก่ มานะต่ำ เช่น มานะว่า ตนเป็นคนต่ำ เป็นคนเลว

๗.๕ อธิมาโน ได้แก่ มานะยิ่ง เช่น ตนไม่ถึงสัจจะ ๔ แต่เข้าใจว่า ตนถึง ตนไม่ได้กระทำ
กิจที่ควรทำด้วยมรรค ๔ แต่เข้าใจว่าตนได้ทำแล้ว ตนไม่ได้บรรลุสัจธรรม ๔
แต่เข้าใจว่าตนได้บรรลุแล้ว ตนไม่ได้ทำให้แจ้งอรหันต์ แต่เข้าใจว่า ตนทำให้แจ้งแล้ว เป็นตัวอย่าง

๗.๖ อสฺมิมาโน ได้แก่ มานะที่เกิดในขันธ์ ๕

๗.๗ มิจฺฉามาโน มานะผิด ได้แก่ มานะที่เกิดขึ้นพร้อมกับการงานอันลามก เช่น พรานปลา
พรานเนื้อ

ศิลปะ อันลามก เช่น ฉลาดในการสร้างเครื่องมือทำบาป มี แห อวน บ่วง แหลน หลาว ฟ้าทับเหว เป็นต้น

วิชชาอันลามก เช่น ภาตยุทธ์ การรบของพระเจ้าภารตะ และสีหหรณะ การแย่งนางสีดา เป็นต้น

ปฏิภาณอันลามก เช่น คำทุพภาษิต เป็นต้น

ศิลอันลามก เช่น รักษาศิลอย่างแพะ ปฏิบัติอย่างโค เป็นต้น และมานะ ได้แก่ มานะที่เกิดขึ้น
พร้อมกับทิฏฐิอันลามก คือ ทิฏฐื ๖๒

http://www.navy.mi.th/newwww/code/speci ... dham2.htm#ท๑๙

มานะ ๘ ได้แก่ มานะที่เกิดขึ้นเพราะโลกธรรม ๘ คือ เกิดขึ้นเพราะลาภ ๑ เสื่อมลาภ ๑
เพราะยศ ๑ เสื่อมยศ ๑ เพราะสรรเสริญ ๑ นินทา ๑ เพราะสุข ๑ ทุกข์ ๑

มานะ ๙ คือ

๙.๑ เป็นผู้เลิศกว่าเขา สำคัญตัวว่าเลิศกว่าเขา

๙.๒ เป็นเลิศกว่าเขา สำคัญตัวว่าเสมอเขา

๙.๓ เป็นผู้เลิศกว่าเขา สำคัญตัวว่าเลวกว่าเขา

๙.๔ เป็นผู้เสมอกว่าเขา สำคัญตัวว่าเสมอเขา

๙.๕ เป็นผู้เสมอเขา สำคัญตัวว่าเสมอเขา

๙.๖ เป็นผู้เสมอเขา สำคัญตัวว่าเลวกว่าเขา

๙.๗ เป็นผู้เลวกว่าเขา สำคัญตัวว่าเสมอเขา

๙.๙ เป็นผู้เลวกว่าเขา สำคัญว่าตัวเลวกว่าเขา

มานะ ๑๒ คือ บุคคลบางคนในโลกนี้ ยังมานะให้เกิดขึ้นเพราะชาติ โคตร ตระกูล รูปสวย ทรัพย์ อัธยาศัย การงาน ศิลปะ วิชา สุตะ ปฏิภาณ และเพราะวัตถุอื่นๆอีก

จากหนังสือ วิปัสสนากรรมฐาน ภาค ๒ ว่าด้วยมหาสติปัฏฐานสูตร หลวงพ่อโชดก


โลภะ มานะ ทิฐิ กิเลส ๓ ประการนี้ คือ ตัณหา และแบ่งออกได้เป็น ๒ คู่ คือ

๑. อัตตทิฐิกับโลภะคู่หนึ่ง
๒. มานะกับโลภะคู่หนึ่ง


การทำงานของตัณหาคู่แรกเป็นดังนี้

โลภะ คือความอยากได้
อัตตทิฐิ คือเห็นว่ามีกู

เมื่อรวมกันแล้ว จึงหมายถึง ความอยากได้โลกิยสมบัติทั้งหมดเป็นของกู เช่น ความเห็นว่ามีตัวกู
มีของกู มีแขนกู มีขากู เป็นต้น สิ่งดังกล่าวนี้ เป็นของภายใน ส่วนของถายนอก เช่น มีลูกกู
มีสามีกู ภรรยากู

นี่แหละความเห็นว่ามีกูที่เป็นการทำงานร่วมกันของโลภะกับทิฐิ

อีกคู่หนึ่ง คือ โลภะกับมานะ

โลภะ คือความอยากได้ในโลกิยะทั้งหมด
มานะ คือ กูมี เป็นความยึดถือ เช่น กูมีทรัพย์สมบัติ กูมีฐานะ กูมีตำแหน่ง กูมีการศึกษา เป็นต้น

ตัณหาสองคู่ คือมีกูกับกูมี สับเปลี่ยนกันทำงาน สร้างโลกขึ้นมา การหลุดพ้นไปจากตัณหา ๒ คู่
ดังกล่าวนี้ เรียกว่า "นิพพาน"

การที่ตัณหา ๒ คู่นี้ สับเปลี่ยนกันทำงานอยู่นั้น หากถามว่า การสับเปลี่ยนกับทำงานเกิดขึ้นที่ใด
คำตอบก็คือ

๑. อัตตทิฐิกับโลภะ สับเปลี่ยนกันทำงาน โดยทำให้ ตายเกิด หมุนเวียนอยู่ในอบายภูมิ ๔
และภูมิมนุษย์ ๑ รวม ๕ ภพภูมิ

๒. มานะกับโลภะ สับเปลี่ยนกันทำงาน โดยทำให้ ตายเกิดหมุนเวียนอยู่ในเทวดา ๖ ชั้น
รูปพรหม ๑๑ ชั้น และอรูปพรหม ๔ ชั้น รวม ๒๑ ภพภูมิ

หากว่าออกจากตัณหา ๒ คู่นี้ได้ ก็หมายความว่า สามารถหลุดพ้นจากโลกแห่งการตายเกิด ทั้ง ๒๖ ภพภูมิ แล้วบรรลุถึงนิพพานได้

คำว่า นิพพานนี้ เป็นอนัตตา สัมมาทิฐิหรือวิปัสสนา เห็นอนัตตา ณ เวลาใด นิพพาน
ก็เกิดขึ้นมา ณ เวลานั้น

http://www.bloggang.com/viewdiary.php?i ... 5&gblog=78

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 30 พ.ย. 2009, 21:11, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ธ.ค. 2009, 21:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ปัญญาที่อบรมแล้ว ย่อมประเสริฐกว่าทรัพย์ไหนๆ

ปญฺญาสหิโต นโร อิธ ทุกฺเข สุขานิ วินฺทติ
คนมีปัญญาอยู่แล้ว ยอมหาสุขได้แม้ในยามทุกข์

ปัญญานี้ แม้เราจะอยู่โดดเดี่ยวก็ตาม หรืออยู่ในหมู่คณะก็ตาม เมื่อประกอบปัญญาโดยชอบแล้ว
ย่อมนำตนและหมู่คณะพ้นจากความเสื่อมหายนะได้อย่างแน่นอน ผู้ใช้ปัญญาในทางที่ชอบ
เขาจะไม่พบทางหายนะในทุกสถาน ดังมีพระพุทธภาษิตบรรหารตรัสรับรองไว้ในสัตตกนิบาตชาดกว่า

คณํ วา ปริหาเร ธีโร เอเก วาปี ปริพฺพเช
ผู้มีปัญญา จะบริหารหมู่คณะก็ตาม จะอยู่โดดเดี่ยวก็ตาม คงเว้นหายนะได้แน่นอนดังนี้

ปัญญานั้นมีคุณอันประเสริฐ และประเสริฐกว่าทรัพย์ไหนๆ ที่นอกเหนือจากนี้คือ ปัญญานี้
เมื่อได้อบรมให้มีในตัวของเราแล้ว ย่อมติดตามช่วยตัวเราได้ทุกที่ทุกสถาน และไม่รู้จักหมดสิ้น
ทั้งโจรโขมยก็ลักไปไม่ได้ ส่วนทรัพย์นั้น เราไม่ได้ประมาทว่าไม่มีประโยชน์เสียเลยทีเดียว
ต่างแต่ว่าทรัพย์นั้นนั้นแหละอาจนำภัยมาสู่ตัวเราได้ด้วย


ดังนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้เตือนถึงภัยของผู้มีทรัพย์แผ้ยังมัวเมาในทรัพย์ว่า
" ปัญญาเทียวประเสริฐกว่าทรัพย์ "


ปัญญาเป็นยอดปรารถนาของมนุษย์แต่ละประการ และยิ่งได้นำไปใช้โดยถูกต้องแล้ว
จะเกิดผลไพศาล เป็นวิทยาการให้เกิดความรุ่งเรืองแก่ชีวิตเป็นเอนกประการ ไม่มีความมหาไพศาล
อันใดที่เกิดแก่มนุษย์ยิ่งไปกว่าปัญญานี้เลย


" ข้อว่าประเสริฐกว่าทรัพย์ " นั้น ทรัพย์ในที่นี้ได้แก่สังหาริมทรัพย์ มี แก้ว แหวน เงิน ทอง
เครื่องนุ่งห่ม ยานพาหนะ เป็นต้น อสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ เรือกสวน ไร่นา เป็นต้น อันเป็นเครื่อง
ให้ความสุขความสบายแก่เจ้าของได้ตามความต้องการ แต่ทั้งนี้ก็ให้ความสุขสบาย
แก่ผู้ที่รู้จักใช้เท่านั้น อาจหมดสิ้นไปในเมื่อมอบให้แก่ผู้อื่น อาจถูกเขาโกงไป ถูกโจรผู้ร้ายแย่งชิงเอาไป

หรือถูกไฟเผาผลาญ รวมความว่าเป็นของสิ้นไปเสื่อมไปได้ ถ้ายิ่งผู้ใช้ขาดปัญญา ความเฉลียวฉลาด
ในการปกครองดูแลทรัพย์เหล่านั้น อาจเป็นภัยต่อเจ้าของ ถึงสิ้นเนื้อประดาตัว ได้รับความคับแค้นใจ
ก็มี พึงเห็นดังเรื่องเศรษฐีบุตรเป็นตัวอย่าง


มีเรื่องเล่าว่า บุตรเศษฐี เกิดในกรุงพาราณสี มั่งมีทรัพย์นับได้ ๘๐ โกฏิ มารดาบิดามิได้ให้ศึกษา
ศิลปวิทยาการเครื่องเลี้ยงตัวอย่างไร นอกจากให้เรียนแต่เพียงวิชาฟ้อนรำ ขับร้อง และดนตรีเท่านั้น
เพราะหวังว่าไม่ให้ลูกลำบาก ด้วยเห็นว่า ทรัพย์ ๘๐ โกฏิที่มีอยู่ ก็ให้ความสุขแก่ลูกได้อย่างสบาย
เมื่อเขาเจริญวัย ได้ทำการแต่งงานกับธิดาของตระกูลผู้มีทรัพย์ ๘๐ โกฏิเช่นเดียวกัน
มารดาบิดาของเธอก็ให้บุตรสาวของตนเรียนแต่เพียงวิชาฟ้อนรำ ขับร้อง และดนตรีเท่านั้น
เมื่อมารดาบิดาของเขาทั้งสองได้ถึงแก่กรรมแล้ว ทรัพย์ ๑๖๐ โกฏิรวมอยู่ในเรือนเดียวกัน
ต่อมาถูกพวกนักเลงสุราชักชวนพาให้หลงไปในทางอบายมุข จ่ายทรัพย์เลี้ยงพวกนักเลงสุรา
จนทรัพย์ ๑๖๐ โกฏิหมดไป ผลสุดท้ายต้องขายพัสดุที่มีอยู่ และขายเรือนของตนเป็นที่สุด
เมื่อตนสิ้นทรัพย์ พวกนักเลงก็ตีตนออกห่าง ไร้ญาติขาดมิตรที่พึ่งพิง เป็นคนกำพร้า อนาถา
หาที่อยู่ไม่ได้ ต้องอาศัยฝาเรือนของผู้อื่น ถือแผ่นกระเบื้องเที่ยวขอทานเลี้ยงชีพ
นี่เป็นทัศนะให้เห็นว่า คนขาดปัญญา ถึงจะมีทรัพย์อยู่มากมายก้ยังปกครองรักษาทรัพย์ไว้ไม่ได้
ดังเศษฐีบุตรนี้ ฯ


ส่วนปัญญานั้น เป็นสมบัติที่ยื่นโดยให้กันไม่ได้ ทั้งโจรผู้ร้ายก็แย่งชิงเอาไปไม่ได้ ถึงแม้จะใช้
ก็ไม่หมดสิ้นไป กลับจะทำให้เกิดเฉลียวฉลาดยิ่งขึ้น ยิ่งใช้บ่อยๆยิ่งเจริญชำนิชำนาญมากขึ้น
ถึงคราวเข้าที่คับขันก็สามารถป้องกันได้แม้ชีวิต ที่สุดสามารถจะปกครองตัวของตัวเองไว้ได้
สมด้วยพุทธภาษิตบรรหารที่ตรัสไว้ในสคาวรรคสังยุตตนิกายว่า

ปญฺญา เจนํ ปสาติ
ปัญญาย่อมปกครองบุรุษนั้นไว้ได้ ดังนี้

ยิ่งกว่านั้น ปัญญานี้ยังเป็นแสงสว่างนำบุคคลผู้ได้อบรมให้มีในตนแล้วได้รับแสงสว่างไสวแก่ชีวิต
อย่างแท้จริง จะไม่มีอับจนมืดมิดใดๆอันจะเป็นเหตุให้ติดใจและข้องใจอยู่ได้เลย ผู้มีปัญญาแล้ว
ย่อมเป็นผู้เด็ดขาดในการตัดสินใจได้ฉับพลันทันต่อเหตุการณ์ทุกสถาน และทั้งสามารถปราบ
ความโง่เขลาอันเป็นตัวอวิชชาให้สูญสิ้นโดยสิ้นเชิง กลับกลายสภาพให้เป็นความสว่างไสวแก่ชีวิต
อย่างไพศาล คังต้องพุทธบรรหารในสคาถวรรคสังยุตินิกายว่า

ปญฺญา โลกสฺมิ ปชฺโชโต
ปัญญาเป็นแสงสว่างในโลก

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2009, 08:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ถูกนินทาว่าร้าย คิดอย่างไรจึงจะหายทุกข์

1. เป็นธรรมดาของโลก ให้คิดว่านี่เป็นธรรมดาของโลก ไม่เคยมีใครสักคนบนโลกนี้
ที่รอดพ้นจากคำนินทา เพราะแม้แต่พระพุทธเจ้าของเรา ขนาดท่านเป็นผู้ที่ประเสริฐบริสุทธิ์สูงสุด
แต่ท่านก็ยังไม่พ้นถูกคนพาลกล่าวโจมตีว่าร้ายจนได้ แล้วนับประสาอะไรกับเราที่เป็นแค่คนธรรมดา
สามัญที่ยังมีทั้งดีและชั่วจะรอดพ้นปากคนนินทาไปได้ คิดอย่างนี้แล้วจะได้สบายใจว่า การถูกนินทา
นี่เป็นแค่เรื่องธรรมดา เกิดขึ้นมาพร้อมกับโลก (โลกธรรม) และ ยังคงมีอยู่ต่อไปตราบชั่วฟ้าดินสลาย

2. ให้มีจิตใจมั่นคงดุจภูผา ถ้าเรามีความบริสุทธิ์ใจ ทำการงานด้วยความตั้งใจปรารถนาดี แต่แล้ว
ก็ยังไม่พ้นถูกคนนินทา กล่าวร้ายว่าอย่างนั้นอย่างนี้ ก็ขอให้เรามีความมั่นใจในความดีของเรา
อุปมาภูผาหินแท่งตันไม่หวั่นไหวในลมพายุฉันใด บัณฑิตผู้มีจิตใจหนักแน่นในความดี ย่อมไม่หวั่นไหว
ในคำสรรเสริญ และ คำนินทาแม้ฉันนั้น

3. ให้มีจิตเมตตาสงสารผู้นินทา ให้คิดด้วยความเมตตากรุณาว่า คนที่นินทาเรานั้น ย่อมกระทำไปด้วย
ความอิจฉาริษยา เขาจะต้องเผาลนจิตใจของเขาให้ร้อนรุ่มเสียก่อน จึงจะสามารถพูดนินทาว่าร้ายคนอื่น
ออกมาได้ ให้คิดเมตตาสงสาร แทนที่จะไปโกรธเคืองเขา

อนึ่ง คนที่ชอบกล่าววาจาส่อเสียด หรือ ชอบนินทาว่าร้ายผู้อื่น โดยปรกติเขาย่อมเป็นผู้หามิตร
สหายที่ใกล้ชิดไม่ค่อยได้ เพราะไม่เคยมีใครไว้วางใจคนที่ชอบนินทาว่าร้ายผู้อื่น ให้คิดเห็นใจเขา
ในฐานะที่เขาต้องเป็นผู้อยู่ในโลกนี้ด้วยความรู้สึกโดดเดี่ยว เพราะเขาย่อมหาเพื่อนแท้ไม่ได้

4. คิดหาประโยชน์จากคำนินทา คนที่คิดกล่าวร้ายเรา บางทีเขาต้องไปนั่งคิดนอนคิดหาจุดอ่อน
ในตัวของเรา เพื่อเอามาพูดโจมตี บางทีจุดอ่อนเหล่านี้ตัวเราเองก็มีอยู่จริงแต่ทว่าเราไม่รู้ตัวมาก่อน
นี้เป็นประโยชน์มาก เพราะเราสามารถนำข้อมูลเหล่านี้มาพัฒนาปรับปรุงตนเองได้ ดังนั้นเราจึงควร
ที่จะขอบคุณคนนินทาเรา เพราะเขาอุตส่าห์ไปนั่งคิดนอนคิดช่วยค้นหาข้อมูลมาช่วยให้เราปรับปรุงตนเอง

5. คิดวิเคราะห์ให้เห็นปัญหาสังคม สังคมไทยเป็นสังคมที่มีความสัมพันธ์ในแนวดิ่ง คือเน้นเรื่องการใช้
อำนาจครอบงำกันและกัน จึงมีการปลูกฝังสอนให้คิดแข่งดีแข่งเด่น คิดเหนือผู้อื่น สอนให้อยากเป็นใหญ่
เป็นโต (มานะ) มาตั้งแต่โบราณ (คาดว่าไม่ต่ำกว่าห้าร้อยปี คือตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนต้น)
ทำให้คนไทยเรา เวลาเห็นใครทำดี ก็มักจะเกิดความริษยาโดยไม่รู้ตัว คือทนไม่ได้ที่จะเห็นคนอื่น
ดีกว่าตน สังคมที่มีความสัมพันธ์ในแนวดิ่งเช่นนี้ ผู้คนจึงมักจะชอบนินทาว่าร้ายกันและกัน
เป็นเรื่องธรรมดา ถ้าคิดวิเคราะห์ได้เช่นนี้แล้วก็สบายใจ ไม่ต้องไปเดือดเนื้อร้อนใจอะไรมาก
ให้ถือว่าการที่เราถูกนินทานี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของปรากฏการณ์ทางสังคมก็แล้วกัน มันเป็นเช่นนั้นเอง

ในอนาคตไม่แน่ หากมีการศึกษาเรื่องพุทธธรรมกับสังคมไทยกันอย่างจริงจัง บางทีเราอาจจะสามารถ
เปลี่ยงแปลงความสัมพันธ์ทางสังคมจาก "แนวดิ่ง" ให้เป็น "แนวราบ" คือ คนไทยมีความเสมอภาคกัน
ไม่ถืออำนาจเป็นใหญ่ แต่ถือความถูกต้องดีงามเป็นใหญ่ เมื่อถึงเวลานั้นสังคมที่เต็มไปด้วยการนินทา
ว่าร้ายก็จะลดน้อยลงไปเองตามธรรมชาติ แล้วภาษิตยอดฮิตที่ว่า "สังคมเสื่อมถอยเพราะคนดีท้อแท้" หรือ "ทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย" จะได้เลิกใช้กันเสียที

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2009, 19:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


นันทิ - ราคะ

นันทิ แปลว่า ยินดี คือ ยินดีอยู่ในภพที่ตนเกิดนั้น จนลืมเกิด ลืมแก่ ลืมเจ็บ ลืมตาย
ไม่ขวนขวายหาทางพ้นทุกข์เสียเลย คล้ายๆกับตนจะไม่ตาย และยินดีอยู่กับรูป เสียง กลิ่น รส
โผฏฐัพพะ ไม่รู้จักเบื่อ ไม่เห็นโทษ ไม่เห็นภัย ไม่อยากหลุดพ้น

ราคะ แปลว่า กำหนัดยินดี คือ ย้อมใจให้จับ ให้เกาะ ให้หลง ให้จม ให้ติดอยู่กับรูป
เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะนั้นๆ ดุจน้ำย้อมสีผ้าฉะนั้น และมีความกำหนัดรัดไว้
ให้ติดอยู่ในภพที่ตนเกิดนั่นเอง คือ มีความห่วง มีความอาลัย มีความเสียดายภพนั้นๆอยู่

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ธ.ค. 2009, 08:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5976

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


สัจจานุโลมิกญาณ - กัมมัสสกตาสัมมาทิฏฐิ

สัจจานุโลมิกญาณ แปลว่า ปัญญาที่เป็นไปตามลำดับแห่งอริยสัจธรรมทั้ง ๔ คือ
ปัญญาที่เป็นอนุโลมตามญาณต่ำและญาณสูง
อนุโลมตามโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ จัดเป็นสัมมาทิฏฐิ แปลว่า ความเห็นถูก เห็นตรง
เห็นไม่ผิด สัมมาทิฏฐินั้น ได้จำแนกออก ๓ อย่าง ดังนี้

๑. กัมมัสสกตาสัมมาทิฏฐิ เห็นว่าสัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของๆตน

๒. ทสวัตถุกสัมมาทิฏฐิ สัมมาทิฏฐิ วัตถุ ๑๐

๓. จตุสัจจสัมมาทิฏฐิ สัมมาทิฏฐิ ที่เห็น อริยสัจ ๔


๑. กัมมัสสกตาสัมมาทิฏฐิ แยกออกเป็น ๔ อย่างคือ


๑. กมฺมสฺสกตาสมฺมาทิฏฐิ แปลว่า ความเห็นถูก คือ เห็นว่า กรรมดีและกรรมชั่ว
ที่ตนได้ทำไว้ จะเป็นสมบัติตามสนองตนต่อไปดุจเงาตามตน ฉะนั้น

คำว่า สมบัติ นั้นมีอยู่ ๔ อย่าง คือ

๑. ชังฆสมบัติ ได้แก่ สมบัติที่เคลื่อนที่ได้ เช่น เงิน ทอง เป็นต้น

๒. ถาวรสมบัติ ได้แก่ สมบัติถาวรเคลื่อนที่ไม่ได้ เช่น นา สวน เป็นต้น

๓. อังคสมบัติ ได้แก่ สมบัติที่ทำให้ชีวิตดำเนินไปโดยสะดวกและราบรื่นดี คือ ปัญญา

๔. อนุคามิกสมบัติ ได้แก่ สมบัติที่ติดตามตนไปได้ทุกฝีก้าว คือ ทาน ศิล ภาวนา


๒. กมฺมโยนิสมฺมาทิฏฐิ แปลว่า ความเห็นถูก คือ เห็นว่าสัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นผู้ให้เกิด
เป็นมูลฐาน อุปมาเหมือนกันกับเรา จะปลูกพืชก็ต้องมีเมล็ดมาเพาะและต้องปลูกในที่มีดิน น้ำ ฤดู
ที่เหมาะสมจึงจะงอกงามขึ้นมาได้ฉันใด คนเราก็ฉันนั้น หากเราทำกรรมชั่ว ก็ต้องได้รับผลชั่วตลอดไป
หากทำกรรมดี มีทาน ศิล เป็นต้น ก็ต้องได้รับผลดีแน่นอน เช่น ได้เกิดเป็นมนุษย์เป็นต้น

๓. กมฺมพนฺธุสมฺมาทิฏฐิ แปลว่า ความเห็นถูก คือ เห็นว่า กรรมดีและกรรมชั่วที่สัตว์ทั้งหลายได้ทำไว้
จะเป็นมิตรซื่อสัตย์ จงรักภักดี ตามสนองแก่ตนเองในชาตินี้ ชาติหน้า สมด้วยพุทธภาษิตว่า

สยํ กตานิ ปุญญานิ ตํ มิตตํ สมฺปรายิกํ

บุญทั้งหลายที่เรากระทำไว้นั่นแหละ จะเป็นมิตรติดตามไปในภพหน้า ดุจเพื่อนผู้ซื่อสัตย์
หรือ ดุจเงาติดตามตนไปทุกหนทุกแห่ง ฉะนั้น

๔. กมฺมปฏิสรณสมฺมาทิฏฐิ แปลว่า ความเห็นถูก คือ เห็นว่ากรรมดี และกรรมชั่ว
ที่สัตว์ทั้งหลายได้ประกอบไว้ จะเป็นที่พึ่งแก่สัตว์เหล่านั้นทั้งในชาตินี้และชาติหน้า
ถ้าใครทำกรรมดีก็ได้ที่พึ่งดี ถ้าใครทำกรรมชั่วก็ได้ที่พึ่งชั่วได้ที่พึ่งเลว ได้ที่พึ่งต่ำ ได้ที่พึ่งที่ไม่ดี
เรียกว่า ได้มรดกตกทอดต่อๆไปตามที่ตนเพาะไว้ ดุจพืชของต้นไม้ เช่น พืชที่อยู่ในเมล็ด
มะม่วงกะล่อน เวลาออกมาก็ต้องเป็นมะม่วงกะล่อน จะเป็นมะม่วงอกร่องไปไม่ได้เป็นอันขาด
เพราะเหตุไร เพราะเหตุว่า พันธ์เดิมเป็นมาอย่างนั้น

คำว่า มรดก นั้น มีอยู่ ๒ อย่าง คือ อามิสมรดก ๑ ธัมมมรดก ๑

๑. อามิสมรดก ได้แก่ ปัจจัย ๔ คือ ผ้า อาหาร ที่อยู่อาศัย และยาแก้ไข้ เป็นตัวอย่าง

๒. ธัมมมรดก ได้แก่ พระธรรม เช่น สิกขา ๓ คือ ศิล สมาธิ ปัญญา
โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ และ อริยทรัพย์ ๗ เป็นต้น


ความเห็นดังบรรยายมานี้ จัดเป็นสัมมาทิฏฐิ ถ้าเห็นตรงกันข้ามก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ
คนเราจะดำเนินชีวิตไปถูกทาง เพราะ มีความเห็นถูก จะดำเนินชีวิตไปผิดทางเพราะมีความเห็นผิด
ผู้ที่จะรู้แจ้งเห็นจริงในเรื่องสัมมาทิฏฐินี้ ได้แก่ ผู้ที่เจริญวิปัสสนากรรมฐาน ผ่านวิปัสสนาญาณ
มาโดยลำดับๆ นับตั้งแต่ต่ำจนถึงสูง คือ จนได้สำเร็จ มรรค ผล นิพพาน สิ้นอาสวกิเลส
ดังพระโปสาลเถระ เป็นตัวอย่าง ซึ่งมีประวัติของท่านดังต่อไปนี้


ท่านพระโปสาล เป็นบุตรพราหมณ์ ได้ฝากตัวเป็นศิษย์ของพราหมณ์พาวรี ผู้เป็นปุโรหิต
ของพระเจ้าปเสนทิโกศล เพื่อศึกษาศิลปวิทยาตามลัทธิของพราหมณ์ ครั้นพราหมณ์พาวรี
มีความเบื่อหน่ายในฆราวาส ทูลลาพระเจ้าปัสเสนทิโกศลออกจากตำแหน่งปุโรหิต ออกบวช
เป็นชฎิล ประพฤติตนตามลัทธิของพราหมณ์ ตั้งอาศรมอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำโคธาวารี ระหว่าง
พรหมแดนแห่งเมืองอัสสกะ และอาฬกะต่อกัน เป็นอาจารย์ใหญ่บอกไตรเพทแก่หมู่ศิษย์

โปสาลมาณพ พร้อมด้วยมาณพอื่น ผู้เป็นศิษย์ ได้ออกบวชติดตามไปด้วย ครั้นต่อมา
พราหมณ์พาวรีได้ทราบข่าวว่า พระราชโอรสของสักยราชเสด็จออกบรรพชา
ปฏิญญาณพระองค์ว่า เป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ แสดงธรรมสั่งสอนแก่ประชาชน
มีคนเชื่อและเลื่อมใส ยอมตนเป็นสาวกประพฤติปฏิบัติตามคำสั่งสอนแก่ประชาชน
มีคนเชื่อและเลื่อมใส ยอมตนเป็นสาวกประพฤติปฏิบัติตนตามคำสั่งสอนเป็นอันมาก

พราหมณ์พาวรีคิดหลากหลายใจ ใคร่จะสืบสวนให้ได้ความจริง
จึงเรียกมาณพผู้เป็นศิษย์ ๑๖ คนมา มีอชิตมาณพเป็นหัวหน้า
ผูกปัญหาไว้ให้คนละหมวดๆ ให้ไปทูลถามลองดู โปสาลมาณพคนหนึ่งซึ่งอยู่ในจำนวนนั้น
ได้พร้อมกันลาพราหมณ์พาวรีผู้เป็นอาจารย์พาบริวารไปเฝ้าสมเด็จพระบรมศาสดา
ที่ปาสาณเจดีย์ แว่นแคว้นมคธทูลขอโอกาสถามปัญหา ครั้นได้รับพุทธนุญาติแล้ว
จึงได้ทูลถามปัญหาทีละคน โปสาลมาณพได้ทูลถามปัญหา เป็นคนที่ ๑๔ ว่า

" โย อตีตํ อาทิยติ " เป็นต้น ใจความว่า

ข้าพระพุทธเจ้ามีความประสงคืจะทูลถามปัญหา จึงได้มาเฝ้าพระองค์ผู้ทรงสำแดง
พระปรีชาญาณในกาลอดีต ไม่ทรงหวั่นไหวเพราะโลกธรรมทั้ง ๘ ทรงตัดความสงสัยได้แล้ว
บรรลุถึงฝั่งแห่งธรรมทั้งปวง ข้าพระพุทธเจ้าขอทูลถามถึงญาณของบุคคลผู้มีกำหนดหมาย
ในรูปแจ้งชัดคือ ได้บรรลุรูปฌานแล้ว และรูปารมณ์ทั้งหมดได้แล้ว คือ ล่วงรูปฌานไปได้แล้ว
เห็นอยู่ทั้งภายในและภายนอกว่า ไม่มีอะไรสักหน่อยหนึ่ง คือ
ได้บรรลุอากิญจัญญายตนะอรูปฌาน บุคคลเช่นนั้น จะควรแนะนำสั่งสอนให้ทำอย่างไรต่อไป

พระบรมศาสดา ทรงตรัสว่า " วิญฺญาณฐิติโย สพฺพา " พระตถาคตรู้จักภูมิเป็นที่ตั้งแห่งวิญญาณ
ทั้งหมด ทราบบุคคลนั้นผู้ยังตั้งอยู่ในโลกนี้ แต่มีอัธยาศัยน้อมไปแล้วในอากิญจัญญายตนภพ
มีภพนั้นเป็นไปในเบื้องหน้า บุคคลนั้นมารู้ธรรมอันเป็นเหตุให้เกิดในอากิญจัญญายตนภพว่า
ล้วนมีนันทิ คือ ความเพลิดเพลินเป็นเครื่องผูกพันไว้ ครั้นรู้ธรรมนั้น อย่างนี้แล้ว
ลำดับนั้นย่อมเจริญวิปัสสนาต่อ สามารถเห็นสหชาตธรรม คือ ธรรมที่เกิดพร้อมกับฌาน
ในอากิญจัญญายตนฌานนั้นอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง ด้วยวิปัสสนาโดยลักษณะ ๓ คือ
ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา จนกระทั่งได้เป็นพระขีณาสพ ความเห็นแจ่มแจ้งนั้น
เป็นญาณอันถ่องแท้ของบุคคลนั้น เป็นพราหมณ์ขีณาสพ มีพรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว " ดังนี้

โปสาลมาณพได้ฟังธรรมไป เจริญวิปัสสนากรรมฐาน ตามนัยที่พระพุทธองค์ทรงประทานให้
ผลที่สุดก็ได้บรรลุอรหัตตผล จึงพร้อมด้วยมาณพ ๑๕ คน กับทั้งบริวารทูลขออุปสมบท
ในพระธรรมวินัย พระองค์ทรงอนุญาตให้เป็นภิกษุ ด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา

เมื่อท่านไดอุปสมบทแล้ว ได้ช่วยกิจพระศาสนาทั้งด้านคันถธุระและวิปัสสนาธุระต่อไป
จนกระทั่งถึงอายุขัย แล้วดับขันธปรินิพพาน

ตามประวัตินี้ชี้ให้เห็นว่า ท่านโปสาลเถระ ได้ลงมือปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน สำเร็จเป็นพระอรหันต์
แต่ยังไม่ได้บวช พระอริยสาวกในพระพุทธศาสนาย่อมผ่านการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน
ผ่านวิปัสสนาญานต่างๆ มาด้วยกันทุกๆรูป ดังที่ชี้มายกให้เห็นเป็นตัวอย่างประกอบ
การอธิบายดังบรรยายมาแล้วนั้น


จากหนังสือ วิปัสสนากรรมฐาน ภาค ๑ เล่ม ๒ โดยหลวงพ่อโชดก

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 32 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร