วันเวลาปัจจุบัน 25 ส.ค. 2025, 21:11  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 85, 86, 87, 88, 89, 90, 91 ... 102  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 19 มิ.ย. 2010, 04:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เราจะปฏิบัติกรรมฐานโดยที่ไม่ได้รับกรรมฐานได้หรือไม่คะ
เราปฏิบัติอย่างเดียวไม่สวดมนต์ได้หรือไม่คะ

กราบขอบพระคุณค่ะ

คำตอบ
ทำได้ ถ้ารักษาศีลและสัจจะให้คงอยู่กับใจได้ก็ปฏิบัติกรรมฐานได้
การสวดมนต์เป็นการปฏิบัติกรรมฐานขั้นต้น บทสวดมนต์แต่ละบทมีจุดประสงค์ไม่เหมือนกัน ขณะกำลังปฏิบัติธรรม หากถูกรบกวนด้วยสัตว์มีพิษ หรืออมนุษย์ จะทำให้การปฏิบัติธรรมมีอุปสรรค ดังนั้นสวดมนต์เพื่อป้องกัน สวดมนต์เพื่อแผ่เมตตาจึงดีกว่าไม่สวดมนต์

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 19 มิ.ย. 2010, 04:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หลังจากที่อาจารย์เมตตาตอบคำถามของข้าพเจ้า ทำให้ข้าพเจ้าปล่อยวางและใจเป็นอิสระมากขึ้นต้องขอขอบพระคุณอาจารย์เป็น อย่างสูงค่ะ ตอนนี้ข้าพเจ้าฝึกปฏิบัติอยู่ที่บ้านโดยฝึกตามแนวสติปัฏฐาน4 และเจริญเมตตาเท่าที่สติจะระลึกได้ แต่ก็กำลังพยายามทำให้ต่อเนื่องอยู่ค่ะ ตามที่อาจารย์เคยกล่าวไว้ว่าถึงแม้จะเป็นน้ำที่หยดลงตุ่มแต่ถ้าทำเป็นประจำ ทุกวันสักวันก็คงจะเต็มได้ค่ะ ตอนนี้ข้าพเจ้าพยายามที่จะเดินจงกรมวันละครึ่งชั่วโมงและนั่งอีกครึ่ง ชั่วโมง มีข้อสงสัยจะถามอาจารย์ดังนี้ค่ะ
1) ตั้งใจว่าจะนั่งสักครึ่งชั่วโมงแต่เวลาลืมตามาดูนาฬิกา บางครั้งก็จะขาด 3 นาที 5 นาทีบ้าง ควรจะทำเช่นไรจึงจะนั่งให้ครบโดยไม่เสียสัจจะดีคะ (โดยที่ไม่ต้องตั้งนาฬิกาปลุกค่ะ)

คำตอบ
เพื่อไม่ให้เสียสัจจะ ให้ลาอธิษฐานเดิมแล้วตั้งอธิษฐานใหม่ว่า จะนั่งภาวนาประมาณครึ่งชั่วโมง
2) ขณะที่นั่งบางทีสติก็เผลอไปคิดโน่นคิดนี่แต่ถ้าระลึกได้ก็กลับมายังองค์ บริกรรม แต่บางครั้งก็มีรู้สึกเหมือนวูบเป็นพักๆแต่ยังรู้ตัวอยู่ และผงะไปด้านหลังเล็กน้อย ควรจะกำหนดเช่นไรดีคะ และควรจะทำอย่างไรต่อคะ

คำตอบ
อาการวูบ อาการผงะไปด้านหลัง เป็นผลที่เกิดจากจิตที่เริ่มตั้งมั่นเป็นสมาธิ และเพื่อจะให้จิตมีกำลังตั้งมั่นมากยิ่งขึ้นเมื่อมีอาการวูบเกิดขึ้น ต้องกำหนดในใจว่า “ วูบหนอๆๆ ” จนอาการวูบหายไปแล้วดึงจิตกลับมาสู่องค์บริกรรมเดิม และเมื่อมีอาการผงะไปด้านหลังให้กำหนดว่า “ ผงะหนอๆๆ ” จนอาการผงะไปด้านหลังหาของผนังหน้าท้องหายไป
3) การดูพองยุบบางครั้งพองยุบก็สั้นลงจนหายไป ข้าพเจ้าก็กำหนดรู้ว่าพองยุบหายแต่ก็ไม่ทราบว่าจะทำเช่นไรต่อไปจึงกำหนดดูไป เรื่อยๆ

ขออณุญาตขอคำแนะจากอาจารย์ด้วยค่ะ
สุดท้ายนี้ขอขอบพระคุณอาจารย์ที่ให้ความกระจ่างนะคะ
คำตอบ
ให้สูดลมหายใจเข้าให้มาก เพื่อสร้างอิริยาบถพองของผนังหน้าท้อง ให้พองใหญ่ขึ้น แล้วเอาจิตไปจดจ่ออยู่กับอาการพองหนอยุบหนอไปเรื่อย ๆ วิธีนี้เป็นการพัฒนาจิตให้สติมีความละเอียดมากยิ่งขึ้น หากอาการพองยุบหายไปอีก ต้องทำซ้ำวิธีเดิม จนกระทั่งอาการพองยุบของผนังหน้าท้องจะเบาลงเท่าใด สติยังตามระลึกได้ทุกครั้งปัญหานี้จะหมดไป

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 19 มิ.ย. 2010, 04:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1) ปัจจุบันมีหลายสำนักปฏิบัติธรรมที่สอนแนวสติปัฏฐาน4 บางที่ให้พิจารณากายเป็นหลัก บางที่ดูจิต บางที่พิจารณาเวทนาเป็นหลัก เราควรจะพิจารณาอย่างไรดีคะ ควรจะตามรู้เป็นอย่างๆจนชำนาญ เช่น ตามพิจารณากายจนชำนาญแล้วค่อยขยับเพิ่มการพิจรณาสภาวะอื่นด้วย หรือดูรวมๆทั้งหมดแล้วแต่จะมีสภาวะหรืออารมณ์ใดที่เด่นขึ้นมา และถ้าเรารับกรรมฐานจากที่ใดมาแล้วควรจะใช้วิธีนั้นปฏิบัติสืบเนื่องต่อไป หรือไม่คะ

คำตอบ
การพิจารณาสติปัฏฐาน 4 สำหรับผู้ฝึกที่ยังไม่ชำนาญควรเจริญสติจนจิตตั้งมั่นจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) แล้วใช้กำลังสมาธิระดับนี้ไปพิจารณา กาย เวทนา จิต ธรรม อย่างใดอย่างหนึ่งที่กำลังเกิดขึ้น เช่น ความเจ็บปวดแข้งขา (ทุกขเวทนา) จนกระทั่งเห็นว่าทุกขเวทนาดับไปตามกฎไตรลักษณ์ ปัญญาเห็นแจ้งจะเกิดขึ้น ปัญญาเห็นแจ้งเห็นว่าความเจ็บปวดมิได้อยู่ที่แข้งขา แต่อยู่ที่จิตรับกระทบไม่ดีมาปรุงเป็นอารมณ์ปวด จิตรู้แจ้งอย่างนี้จะปล่อยวางสิ่งกระทบ แล้วจิตจะว่างเป็นอุเบกขา จากนั้นหากมีอารมณ์กรรมฐานใดปรากฏอีกจะดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์เดียวกันนี้ อย่างนี้จึงจะเรียกได้ว่ามีดวงตาเห็นธรรม
รับกรรมฐานจากที่ใดไม่สำคัญ หากการปฏิบัติดำเนินไปในวิถีทางที่ถูกต้องแล้ว ต้องจบลงที่จิตเป็นอิสระและว่างเป็นอุเบกขา
2) ในการพิจารณา กาย จิต เวทนา และธรรม คนประเภทไหนถึงจะเหมาะกับการพิจารณาแบบใดคะ ขอความกรุณาจากอาจารย์ช่วยอธิบายหน่อยนะคะ

คำตอบ
เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับบุญบารมของแต่ละบุคคล เช่นพระมหาโมคคัลลานะ พระสุนทรีนันทา พระนางเขมา ฯลฯ พิจารณากายานุปัสสนากรรมฐานเท่านั้นก็บรรลุอรหัตผลได้ พระสารีบุตร พิจารณากายานุปัสสนากรรมฐานแล้วต่อด้วยการพิจารณาเวทนานุปัสสนากรรมฐานจึง สำเร็จอรหัตผล
3) ในชีวิตประจำวัน ดิฉันก็พยายามเจริญสติอยู่เนืองๆ แต่บางครั้งมีอารมณ์โกรธ หรือหงุดหงิดเกิดขึ้นก็ตามดูโดยไม่ปรุงแต่งจนดับไป แต่บางครั้งอารมณ์เกิดขึ้นตอนเวลาทำงานซึ่งต้องใช้สติทำงานต่อเนื่องตลอดทำ ให้ไม่ได้ตามรู้อารมณ์ในขณะนั้น ถ้าเกิดในสถานการณ์เช่นนี้ควรจะทำอย่างไรดีคะ
สุดท้ายนี้ขอขอบพระคุณอาจารย์ที่กรุณาให้ความกระจ่างค่ะ

คำตอบ
ต้องปรับปรุงแก้ไขใจตัวเอง ด้วยการให้อภัยเป็นทานอยู่เสมอจนกระทั่งจิตมีเมตตาบารมีเกิดขึ้นจนถึงระดับ ให้ผลได้แล้วอารมณ์โกรธจะหมดไป

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 19 มิ.ย. 2010, 04:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1.อยากทราบว่า ทำไมอาจารย์จึงแนะนำการฝึกสติโดยใช้วิธีตามระลึกรู้คะมี ข้อดีกว่าแบบอื่นอย่างไรคะ

คำตอบ
โดยทั่วไปวิธีการฝึกจิตให้มีสติ สามารถเลือกวิธีการฝึกอย่างใดอย่างหนึ่งในกรรมฐาน ๔๐ ก็ได้ แต่เมื่อฝึกได้มรรคผลแล้ว จิตต้องมีความจดจ่ออยู่กับสิ่งที่นำมาใช้ฝึก จิตต้องระลึกได้ทันสิ่งที่เข้ากระทบจิต จิตต้องไม่เผลอ ไม่ลืมสิ่งที่ผ่านไปแม้ยาวนานได้ ฯลฯ
ดังนั้นเหตุที่ผู้ตอบปัญหาแนะนำให้ตามระลึกรู้ ก็เพื่อให้จิตจดจ่ออยู่กับสิ่งที่เข้ากระทบจิต ที่เกิดขึ้นในขณะปัจจุบัน คุณจะเลือกใช้วิธีการฝึกอย่างใดก็ได้ แต่ผลที่เกิดขึ้นต้องเป็นไปตามที่กล่าวไว้ข้างต้น จึงจะเรียกว่า จิตมีสติเพิ่มมากขึ้น

2. ก่อนหน้านี้เคยฝึกสติโดยการภาวนาแบบไตรสรณคมน์ โดยนำสติไปแตะที่ ระหว่างคิ้ว และไม่สนใจลมหายใจอะไรทั้งสิ้น(ตามคำสอนของหลวงปู่ดู่ค่ะ) ดีมากเลย ค่ะ แต่ถ้าเพ่งมากไปก็จะปวดศีรษะ หลักจากนั้นได้ลองทำแบบ ยุบหนอพองหนอดู ก็ดี เหมือนกันค่ะ แต่บางทีรู้สึกว่าต้องคอยบังคับที่ท้อง เนื่องจากปกติไม่ได้หายใจ โดยใช้ท้อง ข้าพเจ้าควรเลือกปฏิบัติวิธีไหนดีคะ

คำตอบ
หลวงปู่ท่านสอนถูก ท่านสอนวิธีปฏิบัติให้จิตมีกำลังของสติเพิ่มมากขึ้น คำสอนของท่านดีมาก แต่เป็นดีของผู้สอน ผู้ถูกสอนจึงไปรับสิ่งกระทบอื่นที่ไม่ดีมาปรุงเป็นอารมณ์ติดลบ หลวงปู่สอนให้มีสติเพิ่ม แต่ผู้นำไปปฏิบัติแล้วกลับมีสติลด จึงต้องปรับปรุงแก้ไขที่ตัวผู้ถูกสอน
เช่นเดียวกับ การฝึกจิตให้มีสติเพิ่ม ด้วยวิธีกำหนดพองหนอ-ยุบหนอ เป็นคำสอนที่ดี แต่ผู้นำคำสอนไปปฏิบัติ โดยใช้จิตไปบังคับอาการพองยุบที่ผนังหน้าท้องนั้น เป็นวิธีการที่ผิดไปจากคำสอน สติจึงไม่เพิ่ม สมาธิจึงไม่เกิด
ทั้งสองวิธีที่ถามไปนั้นดีอยู่แล้ว ผู้ถูกสอนควรปรับปรุงแก้ไข วิธีการปฏิบัติให้ถูกตรงแนวทาง หรือไปเลือกใช้วิธีการอื่นที่ระบุไว้ในกรรมฐาน ๔๐ ให้ถูกตรงกับจริตของผู้ปฏิบัติ

3. แล้วหากข้าพเจ้าไม่ได้ใช้แบบ "หนอ" แล้ว ถ้าหากมีเวทนาเกิดขึ้น ข้าพเจ้าควรทำอย่างไรคะ

กราบขอบพระคุณมากค่ะที่สละเวลาของท่าน

คำตอบ
เมื่อปฏิบัติไปแล้วมีเวทนาเกิดขึ้น แต่มิได้บอกไปว่าเป็นเวทนาแบบใด (สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา) ถ้าเป็นทุกขเวทนา เช่น เกิดอาการปวด ต้องกำหนดว่า “ ปวดหนอๆๆ ” ไปเรื่อย ๆ จนกว่าอาการปวดหายไป แล้วดึงจิตกลับมาสู่องค์บริกรรมเดิมที่ใช้ในการเจริญสติ แต่ถ้าจิตมีกำลังของสติกล้าแข็งมากจนจิตเกิดความตั้งมั่นจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ)แล้ว ให้ใช้จิตตามดู อาการปวดที่เกิดขึ้น จะเห็นว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) เมื่อใดที่ความปวดเข้าสู่อนัตตา อาการปวดจะหายไป แล้วจึงดึงจิตกลับมาสู่องค์บริกรรมเดิมที่ใช้ในการเจริญสติ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 19 มิ.ย. 2010, 04:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันได้เริ่มปฏิบัติธรรมเป็นประจำ คือวันละหนึ่งชั่วโมง อาทิตย์ละ ๓ ถึง ๔ ครั้งด้วยการเดินจงกรม ๓๐ จากนั้นนั่งสมาธิอีก ๓๐ นาที ระหว่างวันดิฉันก็จะพยายามกำหนดอิริยาบทย่อย เช่น เดินขวา ซ้าย นั่ง กิน แต่ก็กำหนดไม่ได้ทั้งวัน ดิฉันปฏิบัติมาได้ประมาณ ๒ เดือน เมื่อก่อนเคยไปปฏิบัติธรรมถามสถานปฏิบัติธรรมหลายแห่ง แต่หลังจากกลับมาแล้วก็ไม่ได้ปฏิบัติต่อ แต่ครั้งหลังสุดนี้ดิฉันได้ตั้งใจว่าจะเริ่มปฏิบัติให้เป็นประจำ การปฏิบัติบางวันก็จะได้ผลดี คือมีสมาธิในการเดินและนั่ง และหลังจากออกจากสมาธิแล้วก็จะรู้สึกสบายใจ แต่บางวันก็จะไม่มีสมาธิเลย เวลาเดินก็คอยจะคิดเรื่องอื่นอยู่เรื่อยๆ เลยทำให้นั่งสมาธิได้ไม่ดี แต่ถ้าวันไหนดิฉันเดินจงกรมได้ดี จะนั่งสมาธิได้นานขึ้น บาทครั้งถ้าสมาธิดีมากๆ ก็จะเห็นเป็นดวงไฟสว่างตรงหน้า หรือไม่ก็น้ำตามไหลเป็นทาง บางครั้งรู้สึกเหมือนตัวเองตัวใหญ่ขึ้นๆ แต่ก็จะพยายามกำหนดว่ารู้หนอๆ และก็กลับมากำหนดรู้ที่ลมหายใจเหมือนเดิม
อยากเรียนถามอาจารย์ว่าที่ดิฉันปฏิบัติมานั้นถูกทางหรือยัง และจะต้องปฏิบัติอย่างไรต่อเพื่อความก้าวหน้า

อีกข้อเป็นปัญหาเรื่องศีล
สวนที่บ้านดิฉันช่วงหน้าฝนมักจะมีหนอนจำนวนมากเข้ามาดินดอกไม้ที่ดิฉัน ปลูกไว้ ดิฉันแก้โดยวิธีซื้อยาเมล็ดมาโรยตามดิน แล้วพอหนอนพวกนี้กินเข้าไป เมล็ดยากนี้ก็จะทำให้หนอนแห้งตายไปเอง ดิฉันไม่ทราบว่าวิธีนี้จะเป็นบาปหรือเปล่า และถ้าวิธีนี้เป็นบาป อาจารย์ช่วยแนะนำวิธีที่ถูกต้องให้ดิฉันหน่อยที่จะไม่ให้หนอนพวกนี้เข้ามาใน สวน เพราะว่าหนอนพวกนี้สามารถกินดอกไม้และผักที่ดิฉันปลูกไว้ได้หมดภายในเวลาวัน เดียว ส่วนหนอนตัวเล็กๆ ดิฉันก็จะเด็ดทั้งใบทิ้ง และก็เอาหนอนพวกนี้ไปทิ้งไว้ทุ่งหน้าหน้าบ้าน

กราบขอบพระคุณในความกรุณาของอาจารย์อย่างสูง

คำตอบ
ปฏิบัติธรรมได้ถูกทางแล้ว แต่ยังมีสิ่งที่ต้องปรับปรุงแก้ไขคือ ต้องทำตัวเองให้มีศีล 5 คุมใจอยู่ทุกขณะตื่น รักษาสัจจะให้มีอยู่กับใจ เร่งความเพียรในการปฏิบัติให้มากและแก้ไขนิมิตที่เกิดขึ้นให้หมดไป แล้วมรรคผลในการปฏิบัติจะก้าวหน้ายิ่งขึ้น
ส่วนเรื่องการปลูกผักชีและพืชที่ให้ดอก คนโบราณเขาใช้เศษใบยาสูบ หรือเศษยาตั้ง (ในยาสูบที่หั่นเป็นฝอยแล้วอัดเป็นก้อน) คลุกผสมกับดินก่อนปลูกพืช แล้วจะไม่มีแมลงศัตรูพืชมาทำลายพืชผล ผู้ตอบปัญหาปลูกพืชที่ให้ดอกโดยไม่ใช้สารเคมีใด ๆ แม้จะมีหนอนมีแมลงมากัดกินบ้าง ก็ให้เป็นเรื่องของธรรมชาติ แต่ก็ยังมีดอกไม้เหลือไว้ให้ดูให้ดมได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 19 มิ.ย. 2010, 04:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉัน เพิ่งกลับมาจากปฏิบัติธรรม 7 วันที่วัดในจังหวัดชลบุรี ดิฉันได้อธิษฐานยกเลิกอธิฐานเก่าทั้งหมดแล้ว ตามที่ท่านอาจารย์สนองแนะนำ และดิฉันขอให้มีดวงตาเห็นธรรม (1) ผลการปฏิบัติคือความทุกข์โศกจางคลายไปบ้างแม้ไม่เกลี้ยงแต่มันก็น้อยลง (2) ด้านสมาธิ สมาธิไม่ได้มั่นคงเหมือนการปฏิบัติคราวก่อนๆ กล่าวคือหลังจากนั่งสมาธิไม่รู้สึกสดใสเบิกบานตัวเบาเหมือนก่อนจึงเห็นสิ่ง ที่เกิดกับจิตไม่ชัด รวมทั้งเกิดเวทนาทางคือน้ำลายไหลเต็มปากต้องบ้วนออก แต่ดิฉันไม่รู้สึกยึดติดกับสมาธิต่อไป และกำลังพากเพียรต่อการฝึกมีสติค่ะ หากแต่ยังมีข้อสงสัยเรื่องความสำคัญของระดับสมาธิที่เหมาะสมต่อการเจริญสติ
1. วิปัสสนาจารย์ท่านบอกว่า วิปัสสนาไม่ยากหรอก เอ็งดูเวลาโกรธ โลภ โมหะ ว่ากายกับใจเอ็งเป็นยังไงแล้วจดไว้ สังเกตเฉยๆให้รู้ไว้ รู้แล้วจะวางเอง จากอดีตที่ดิฉันเคยปฏิบัติสมาธิจนสามารถเห็นการกระทบของอารมณ์ชัดเจน คือเห็นว่าสุขกับทุกข์ก็แค่นั้น...ให้ผลกับจิตเหมือนกัน และไม่ต้องการอารมณ์ใดๆนอกจากอยู่นิ่งๆตรงกลางเท่านั้น ลักษณะจิตรวมเช่นนี้หายไปแล้ว เมื่อไปปฏิบัติคราวนี้และขณะนี้จึง มองเห็นอารมณ์ไม่ชัดเลย ทุกวันนี้เห็นการเคลือนไหวกายชัด แต่สิ่งที่เกิดกับจิต มีเพียงรู้ว่า วูบวาบ พุ่ง โหยแห้ง และทื่อๆ เท่านั้นเอง เช่นนี้แล้วควรทำอย่างไร จึงจะดูสิ่งที่เกิดกับใจได้ชัด

คำตอบ
อารมณ์วู่วาม โหยแห้งและทื่อ ๆ เกิดจากเหตุที่จิตมีสติอ่อน อารมณ์ดังกล่าวจึงเกิดขึ้นแทรกอารมณ์กรรมฐานที่คุณกำลังปฏิบัติอยู่ วิธีแก้ปัญหา ต้องทำให้สติกำลังกล้าแข็ง คือขณะมีอารมณ์ดังกล่าวข้างต้นเกิดขึ้น ต้องบริกรรมคำว่า “ รู้หนอๆๆ ” ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งอารมณ์นั้นหายไป แล้วดึงจิตกลับมาสู่องค์บริกรรมเดิม
2. ขณิกสมาธิขณะเพียรรู้ เพียรสติ เพียงพอหรือไม่สำหรับการเห็นการรู้สิ่งที่เกิดกับจิต ควรทำเพิ่มเติมอย่างไร

คำตอบ
การรู้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับจิต และเห็นว่าตัวเองเป็นเพียงผู้ดูเท่านั้น สิ่งที่เกิดขึ้นไม่มามีอิทธิพลเหนือใจ การรูเห็นอย่างนี้ผู้ที่ปฏิบัติกรรมฐานจนได้วิปัสสนาญาณเกิดขึ้นแล้ว สามารถใช้ขณิกสมาธิเป็นฐานของการเกิดปัญญาเห็นแจ้งได้ สำหรับผู้ปฏิบัติธรรมใหม่และยังเข้าไม่ถึงวิปัสสนาญาณของสิ่งที่เกิดขึ้นกับ จิต ว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์แล้ววิปัสสนาญาณจึงจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้
3. บางครั้งมีอาการทื่อๆ เฉย เมื่อทำอิริยาบทใดบทหนึ่งนานๆ เช่น ทื่อเฉยปนอยู่กับการรู้ว่านั่งพิมพ์คอมพิวเตอร์ ทื่อเฉยปนอยู่กับการ ยินหนอ เห็นหนอ นั่งหนอ เมื่อนั่งรถประจำทาง กำหนดว่าทื่อหนอ เฉยหนอก็ไม่หายเพียงแต่รู้ว่าทื่อเป็นคราวๆไป เมื่อเปลี่ยนอิริยาบทจึงหาย ทำเช่นนี้กับอาการทื่อๆเฉยๆ ถูกต้องหรือไม่


คำตอบ

วิธีแก้ปัญหาสำหรับอาการที่เกิดขึ้น ที่บอกเล่าไปนั้นถูกต้องแล้ว คือเปลี่ยนไปใช้อิริยาบถอื่น อิริยาบถใดที่ทำให้เกิดปัญหา ไม่ควรให้อยู่ในอิริยาบถนั้นนานเกินไป เช่น เมื่อนั่งบริกรรมแล้วเริ่มมีอาการทื่อ ๆ เฉย ๆ เกิดขึ้น ต้องรีบเปลี่ยนอิริยาบถจากนั่งไปเป็นอิริยาบถ ยืน เดิน นอน ฯลฯ ทันที และต่อด้วยการทำจิตตภาวนา ตามองค์บริกรรมที่ใช้อยู่

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 19 มิ.ย. 2010, 04:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันจะทราบได้อย่างไรว่าการปฏิบัติของตัวเองก้าวหน้าขึ้น อาการนั่งสมาธิคือดิฉันจะสามารถกำหนดลมหายใจเข้าออกได้เป็นระยะ คือบางช่วงก็จะเผลอไปคิดเรื่องต่างๆ แต่พอรู้ตัวก็มากำหนดรู้ที่ลมหายใจได้อีก นอกจากนั้นเวลาปฏิบัติจะมีนิมิตบ่อยมากก็คือมีน้ำตาไหล บางครั้งก็ทั้งสองข้าง บางครั้งก็ข้างเดียว ก็กำหนดว่ารู้ และมาตามดูลมหายใจอีก น้ำตาก็จะหายใจ สักพักก็จะไหลอีก บางครั้งก็จะเห็นเป็นดวงไฟสีเหลือง หรือไม่ก็สีแดง อาการแบบนี้เป็นมาได้ประมาณ ๒ อาทิตย์ และก็เป็นอย่างนี้ทุกครั้งที่นั่งสมาธิ หลังจากออกสมาธิแล้วจะรู้สึกสบายใจ ความจำของดิฉันก็ดีขึ้น

การเดินจงกรม จำเป็นต้องเดินให้นานหรือเปล่า หรือว่าแค่ให้จิตเป็นสมาธิแล้วก็นั่งสมาธิได้เลย ปัจจะบันดิฉันจะสวดมนต์ประมาณ ๑๕ นาที จากนั้นก็เดินจรงกรม ๓๐ นาท และก็นั่งสมาธิ ๔๐ ถึง ๔๕ นาที

ดิฉันจะต้องปฏิบัติอย่างไรต่อไปเพื่อให้การปฏิบัติธรรมก้าวหน้าต่อไป ตอนนี้ที่ทำอยู่คือพยายามนั่งสมาธิให้นานขึ้น

คำตอบ
อาการที่เกิดขึ้นหลังปฏิบัติจิตตภาวนาถือได้ว่าเป็นผลก้าวหน้าของการพัฒนา จิตได้ระดับหนึ่ง วิธีที่จะทำให้จิตมีกำลังมากขึ้นต้องกำจัดอาการดังกล่าวให้หมดไป เช่นหากมีน้ำตาไหลเกิดขึ้นต้องกำหนดว่า “ ไหลหนอ ๆๆ ” จนอาการน้ำตาไหลหยุดไปเมื่อหยุดแล้วกลับมาเกิดอีก ต้องกำหนดอีกจนกว่าไม่มีอาการน้ำตาไหลเกิดขึ้นอีก เช่นเดียวกัน การเห็นนิมิตเป็นดวงไฟสีเหลือง ดวงไฟสีแดงต้องกำจัดให้หมดไปด้วยการกำหนดว่า “ เห็นหนอๆๆๆ ” จนกว่านิมิตนั้นหายไปแล้วดึงจิตกลับมาสู่องค์ภาวนาเดิมที่ใช้ในการเจริญสติ
ส่วนอาการรู้สึก “ สบายใจ ” เป็นเพราะจิตมีกำลังของสติเพิ่มขึ้นจึงปล่อยวางสิ่งกระทบภายนอกได้มากขึ้น และความจำดีขึ้นเป็นเพราะจิตมีความตั้งมั่นเป็นสมาธิมากขึ้น ส่งผลถึงคลื่นสมองมีระเบียบมากขึ้นความจำจึงดีขึ้นนั่นเอง
การเดินจงกรมจะใช้เวลามาน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับทุนเดิมของแต่ละบุคคลที่สั่งสมมาไม่เท่ากัน หากเดินจงกรมแล้วจิตตั้งมั่นดีให้เดินจงกรมต่อไปจนกว่าความตั้งมั่นของจิต เริ่มเสื่อมถอยต้องเปลี่ยนอิริยาบถมาเป็นนั่งภาวนาแทน หากนั่งภาวนาแล้วจิตตั้งมั่นดีให้นั่งภาวนาต่อไปจนความตั้งมั่นของจิตเริ่ม เสื่อมถอยให้เปลี่ยนอิริยาบถไปเป็นเดินจงกรมแทน ปฏิบัติอย่างนี้สลับกันไปเรื่อย ๆ แล้วจิตจะมีความตั้งมั่น (สมาธิ) มากขึ้น

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 19 มิ.ย. 2010, 04:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ในการปฎิบัติภาวนาของผม บางครั้งก็จับภาพพระ บางครั้งสวดมนต์ แต่ส่วนใหญ่ผมมักจะจับลมหายใจ อานาปานสติ เมื่อระลึกได้หรือเวลาว่างเว้นจากงานติดพันทั้งหลาย ก็จะจับลมหายใจ บางครั้งจับที่ท้องเป็นยุบหนอ พองหนอ แบบที่ท่านอาจารย์ได้สอนไว้ บางครั้งจับที่จมูกและลำคอเช่นเวลามีการเคลื่อนไหวร่างกายเช่นเดินไปมาหรือ วิ่งออกกำลังกาย บางครั้งติดตามดูลมหายใจเข้าออกตลอดสายตั้งแต่จมูกไปที่ท้อง
เมื่อไม่นานมานี้กระผมได้เดินทางโดยรถทัวร์ ระหว่างทาง ช่วงเวลาตอนดึกผมหลับอยู่ในรถ การหลับในรถเป็นการหลับที่ไม่สบายตัวเอามากๆเกิดอาการปวดเมื่อยตัวทั้งแข้ง ขา หัวเข่า ก้น ขยับพลิกตัว ก็เกิดความคิดว่าขยับยังไงมันก็ไม่หายปวดเมื่อยหรอก นึกถึงเรื่องที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวสอนเอาไว้ในทางสายเอก ขณะที่นอนอยู่บนเบาะรถนั้น ผมจึงกำหนดจิตว่า ความเจ็บปวดนี้มันเกิดที่ร่างกาย ไม่ใช่ที่จิต เอาจิตแยกออกมารวมจิตเอาไว้ที่ลมหายใจตรงจมูกและลำคอ ระลึกว่าจิตนี้อยู่ที่ลมหายใจเท่านั้น ร่างกายจะเป็นไงก็ช่างมัน เวลาไม่นานจิตผมรวมตัวเร็วมากอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จึงกำหนดให้นิ่งขึ้นลึกลงไปที่ลมหายใจ รู้สึกว่าจิตรวมเป็นมวลหนาแน่นอยู่ที่จมูก ไม่รู้สึกเจ็บปวดที่ร่างกายแล้ว จิตรวมหนาแน่นมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็มีแรงดูดมหาศาลอยู่ตรงจมูก มีความรู้สึกว่าจิตกำลังจะออกจากร่างตามแรงดูดนี้ รู้สึกว่าจิตจะหลุดออกไปพร้อมกับลมหายใจออกแน่ๆแล้ว ณ เวลานั้น ผมเกิดกลัวตายขึ้นมาเฉยๆ เลยรั้งสภาวะจิตกลับคืน ลืมตาขึ้น ก็รู้สึกสบายตัวอย่างบอกไม่ถูก อารมณ์แช่มชื่นจนถึงเช้า หลังจากนั้นมาผมก็ยังไม่สามารถเข้าถึงสภาวะแบบนั้นได้ อาจเพราะความ อยาก ที่จะได้สภาวะนั้นอีก
ขอกราบเรียนถามท่านอาจารย์สนองว่า

1.การภาวนาของผมมาถูกทางแล้วหรือยัง ผมควรแก้ไขอะไรบ้างครับ

คำตอบ
ควรเลือกบทกรรมฐานอย่างใดอย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียวที่เหมาะกับจริตของตน มาใช้เป็นองค์ภาวนา แล้วมีผลทำให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิได้นั่นพอแล้ว จะได้ไม่เสียเวลาในการปรับจิตให้เข้ากับบทกรรมฐานที่ไม่เหมือนกัน
2.หากปล่อยให้จิตหลุดออกไปจริงๆ จะดีไหมครับ และยังจะควบคุมจิตได้หรือไม่ครับ
สุดท้ายนี้ผมขอขอบพระคุณในความเมตตาของท่านอาจารย์ และขอโมทนาในบุญกุศลบารมีทั้งหมดของท่านอาจารย์ที่ได้กระทำไว้ดีแล้วตั้งแต่ อดีตจนถึงปัจจุบันครับ

คำตอบ

ควรปล่อยจิตให้เป็นไปตามธรรมชาติของจิตที่มีพลัง ที่สำคัญต้องตามดูอาการของจิตให้ถึงที่สุดจิตจะหลุดไปไหนก็ต้องดำเนินไปตาม กฎไตรลักษณ์ คือตามดูให้เห็นความจริงแท้ของจิตนั่นเอง

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 19 มิ.ย. 2010, 20:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. ผมปฏิบัติมาต่อเนื่องอาทิตย์ละวันถึงสองวันมาได้เกือบปี โดยใช้ยุบหนอ พองหนอเป็นหลักๆ สตินั้นมีบ้าง บางทีก็ไม่มี
แต่เมื่อไม่กี่วันนี้ ได้มาปฏิบัติจริงๆจัง เต็มหนึ่งวัน อยู่ดีๆ เกิดอยากเปลี่ยนวิธีกำหนดมาเป็น
นับตัวเลข ปรากฏว่า มีสมาธินิ่งละเอียดขึ้นมากๆจนสัมผัสได้โดยที่จิตไม่สนใจอย่างอื่นสนแต่นับ ตัวเลขแล้วพอรู้สึกว่าจิตนิ่งแล้วจึงค่อยหันมาพิจารณาสติปัฏฐานแต่ก็ยังทำ ไม่ได้ไม่ไกล
อย่างนี้ ผมควรปฏิบัติแบบนี้ หรือเป็นแบบยุบหนอพองหนอดีครับ? ผมมาถูกทางมั้ยครับอาจารย์?

คำตอบ
วิธีภาวนาใด เมื่อนำมาใช้แล้ว ทำให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิได้เร็ว วิธีนั้นเหมาะสมกับคุณ เมื่อจิตตั้งมั่นจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ)ได้แล้ว จึงใช้จิตไปพิจารณาสติปัฏฐาน 4 เพื่อให้เกิดปัญญาเห็นแจ้งจึงจะนับว่าปฏิบัติได้ถูกตรงแนวทางของพระพุทธะ

2.ขณะที่นั่งสมาธิ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าขณะนี้คือ อุปจารสมาธิ หรือขณิกสมาธิ ผมมั่นใจว่ายังไม่ถึงอัปปนาสมาธิ แต่ไม่รู้ว่าเราก้าวหน้าไปถึงอุปจารหรือยัง?
เพือผมจะเตรียมตัวเป็นวิปัสสนาครับ

คำตอบ
จิตตั้งมั่นประเดี๋ยวประด๋าว เรียกว่าตั้งมั่นระดับขณิกสมาธิ จิตตั้งมั่นจวนแน่วแน่ เรียกว่าตั้งมั่นระดับอุปจารสมาธิและจิตตั้งมั่นแน่วแน่มีอารมณ์ฌานปรากฏ ขึ้นในดวงจิตเรียกว่า ตั้งมั่นระดับอัปปนาสมาธิ
อารมณ์ของฌานที่เกิดขึ้นในดวงจิตที่มีความตั้งมั่นสูง สุดมีดังนี้
อารมณ์ของรูปฌานที่ 1 มี วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา
อารมณ์ของรูปฌานที่ 2 มี ปีติ สุข เอกัคคตา
อารมณ์ของรูปฌานที่ 3 มี สุข เอกัคคตา
อารมณ์ของรูปฌานที่ 4 มี อุเบกขา เอกัคคตา
ฯลฯ


3. ผมมักจะมีแผลที่ปาก แผลที่ลิ้นเป็นประจำผมอยากรู้เหตุที่ผมถึงประสบปัญหาเรื่องนี้ เพื่อที่จะไม่ทำอีก
จริงหรือไม่ที่ การมีแผลทีปาก กินอาหารลำบาก พูดไม่ค่อยชัด เป็นผลมาจาก มิจฉาวาจา เพราะก่อนที่จะมาสนใจธรรมะจริงๆจังๆ เป็นคนมีมิจฉาวาจามากๆ
ตอนนี้ก็ยังแก้ไขไม่ได้ดีเท่าที่ควรครับ ขออาจารย์แนะนำด้วยครับ

ผมขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย ขอให้อาจารย์แข็งแรง สุขภาพดีครับ
ขอขอบพระคุณอาจารย์อย่างสูงครับ

คำตอบ
หนึ่งในเหตุสี่อย่างที่ทำให้เจ็บป่วย คือ กรรม (การกระทำ) วิธีแก้ปัญหาที่บอกเล่าไปทำ 2 เรื่อง คือ
1. ปรับสมดุลของธาตุในร่างกาย โดยลดการดื่ม รับประทานอาหารรสหวาน ที่มีน้ำตาลเป็นองค์ประกอบ และในเวลาเดียวกันให้เพิ่มการบริโภคอาหารที่มีรสขม เช่น มะระขี้นก
2. รักษาคำพูดให้เป็นสัมมาวาจา คือไม่พูดคำเท็จ ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดคำส่อเสียด และไม่พูดคำเพ้อเจ้อที่ไม่เกิดสาระแก่ชีวิตที่ดีงาม

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 19 มิ.ย. 2010, 20:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ได้ไปปฏิบัติธรรมที่วัดแดนสงบอาสภารามเป็นเวลา 10วัน คิดว่ามีความก้าวหน้าดีค่ะ เห็นสภาวะธรรมหลายอย่างโดยเฉพาะในวันหลังๆ แต่เมื่อกลับมาปฏิบัติต่อที่บ้าน สภาวะธรรมที่เคยเกิดกลับน้อยหายไป มีเพียงแค่อาการโยกตัว หรือหมุนไปมาซึ่งเคยฟังพระท่านบอกว่าอาการโยกตัวนั้นไม่ใช่สภาวะที่ดี แม้จะกำหนดอย่าโยกหนอ อย่าโยกหนอ อาการก็จะหยุดไปสักพัก ก็โยกอีกแม้จะเปลี่ยนรูปแบบการโยกไปบ้าง เช่นหมุนคนละทาง
อยากสอบถามอาจารย์ดังนี้ค่ะ
ดิฉันอยากมีความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมมากขึ้นอีก ไม่ทราบว่าถือเป็นกิเลสหรือเปล่าคะ แล้วคิดว่าที่ปฏิบัติที่บ้านไม่ค่อยก้าวหน้าเพราะมีกิเลสเยอะ ตอนอยู่วัดไม่ค่อยได้คิดถึงเรื่องอื่น เลยปฏิบัติได้เต็มที่ เลยอยากถามอาจารย์ว่าจะทำอย่างไรให้ปฏิบัติได้ก้าวหน้าคะ คิดว่าคงจะไปปฏิบัติได้ปีละ 2 คร้ง แต่กลัวว่าพอจะได้ญาณสูงขึ้นอีกก็ต้องกลับบ้านแล้ว แล้วญาณที่ได้ก็หายไป ต้องมาเริ่มต้นใหม่อีกทุกครั้งไปหรือเปล่าคะ

คำตอบ
ปฏิบัติจิตตภาวนาที่วัด แล้วมีสภาวธรรมหลายอย่างเกิดขึ้น เป็นเพราะวัดมีปัจจัยหลายอย่างเหมาะสม (สัปปายะ) กับความก้าวหน้าในการเจริญจิตตภาวนา แต่เมื่อกลับถึงบ้านแล้ว นำวิธีการฝึกจิตที่ได้จากวัดไปทำต่อที่บ้าน ด้วยความอยากได้ (ตัณหา) สภาวธรรมเช่นนั้นกลับคืนมาอีกย่อมไม่ได้ เหตุเป็นเพราะความอยากได้ เป็นกิเลสปิดกั้น ไม่ให้จิตเข้าสู่สภาวธรรมที่เคยเข้าถึง นอกจากตัณหาเป็นเหตุแล้วยังมีความไม่เหมาะสม (อสัปปายะ) ที่บ้านเป็นเหตุปิดกั้นความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม และรักษาสมาธิให้คงอยู่อีกด้วยบ้านเป็นสถานที่อสัปปายะการพูดการคุยของคนที่ อยู่ในบ้านอสัปปยาอาหารที่ใช้บริโภคที่บ้านอสัปปายะ ฯลฯ
ประสงค์ที่จะรักษาสภาวธรรมที่เคยได้เคยเข้าถึง ให้คงอยู่กับใจตลอดไป ต้องน้อมนำให้เกิดอินทรีย์พละ 5 ในใจได้แก่ เจริญสัทธา วิริยา สติ สมาธิ ปัญญา อยู่เสมอ ๆ ทุกขณะตื่น แล้วความประสงค์ที่ตั้งไว้จะสัมฤทธิ์ผล

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 19 มิ.ย. 2010, 20:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กระผมได้ปฏิบัติธรรมจนจิตเกิดวิปลาศไป ตอนนี้ได้รักษาหายแล้ว กระผมควรทำอย่างไรต่อไป (เพราะตอนนี้กลัวการปฏิบัติธรรมมาก)

คำตอบ
ปฏิบัติธรรมแล้วจิตเกิดวิปลาส แสดงว่า ได้เคยปฏิบัติธรรมผิดไปจากแนวทางของพระพุทธะ อนึ่งความกลัวเป็นเรื่องที่เกิดมาจากเหตุแห่งความรู้ไม่จริงในสิ่งที่กลัว หากเมื่อใดปฏิบัติจิตตภาวนา จนเกิดปัญญาเห็นแจ้งในสิ่งที่กลัวได้แล้ว ความกลัวจากการปฏิบัติธรรมจะหายไปอย่างจริงแท้แน่นอน ดังนั้นสิ่งที่ควรทำ (ทำก็ได้ไม่ทำก็ไม่ได้) คือแสวงหากัลยาณมิตรในทางธรรมมาเป็นครูชี้นำและแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่าง การปฏิบัติธรรม กัลยาณมิตรในทางธรรมหมายถึง ผู้ที่เคยผ่านประสบการณ์ปฏิบัติธรรม และสามารถนำจิตวิญญาณเข้าถึงความเห็นแจ้งในธรรม และมีธรรมของพระพุทธะสถิตอยู่ในใจได้แล้ว นั่นคือลักษณะของครูผู้ที่คุณควรแสวงหาและฝากตัวเป็นศิษย์ปฏิบัติธรรมแล้ว ความวิปลาสของจิตจะไม่เกิดขึ้นอีก

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 19 มิ.ย. 2010, 20:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เพิ่งเริ่มปฏิบัติธรรมคิดว่าในแนววิปัสสนาคือดูท้องยุบหนอพองหนอ แต่หากมีอารมณ์อื่นแทรกก็ให้รู้และบริกรรมตามอารมณ์นั้นนั้น เช่น ยินหนอ ปวดหนอ โยกหนอ ซึ่งการปฏิบัติได้ผลดีช่วงที่ไปปฏิบัติที่วัดถือศีล 8 แต่กลับมาบ้านจิตฟุ้งกว่ามาก สมาธิก็น้อย คิดว่าตัวเองมีพื้นฐานสมาธิน้อยเพราะไม่ได้ฝึกสมถมาก่อน ( เพราะฟังธรรมบรรยายของอาจารย์ อาจารย์ได้ฝึกสมถก่อนซึ่งจะเป็นพลังสมาธิเป็นฐานในการฝึกวิปัสสนาต่อไป ) เลยอยากจะขอคำแนะนำจากอาจารย์ว่า ควรจะไปลองฝึกแบบสมถก่อนหรือไม่ หรือปฏิบัติตามแบบที่เรียนมาต่อไป หรือทำทั้ง 2 แบบ เพื่อให้เกิดความก้าวหน้าที่เร็วขึ้น หากให้ฝึกแบบสมถ ฝึกอย่างไรคะ

คำตอบ
การมีจิตฟุ้งด้วยอารมณ์ปรุงแต่ง เหตุเป็นเพราะจิตมีกำลังของสติอ่อน ส่งผลให้จิตมีความตั้งมั่นเป็นสมาธิได้น้อย การฝึกกรรมฐานทำได้ 2 เรื่อง คือฝึกจิตให้สงบตั้งมั่นเป็นสมาธิ (สมถกรรมฐาน) เมื่อจิตสงบตั้งมั่นได้แล้ว จึงนำจิตมาฝึกให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง (วิปัสสนากรรมฐาน)
ประสงค์ความก้าวหน้าในการฝึกจิต ต้องทำจิตให้สงบตั้งมั่นเป็นสมาธิให้ได้ก่อน ด้วยการเลือกกรรมฐานเรื่องใดเรื่องหนึ่ง (ดูกรรมฐาน 40 ) ที่เหมาะกับจริตของตน เมื่อจิตเกิดความตั้งมั่นเป็นสมาธิได้แล้ว นำกำลังสมาธิระดับจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) มาใช้เป็นฐานการฝึกให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง (วิปัสสนาญาณ) ด้วยการพิจารณา สติปัฏฐาน 4 (กาย เวทนา จิต ธรรม) ว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ เมื่อใดที่จิตเข้าถึงความจริงของความเป็นไตรลักษณ์ได้แล้ว ปัญญาเห็นแจ้งจึงจะเกิดขึ้นได้
ที่กล่าวข้างต้น เป็นแนวทางที่เหมาะต่อการพัฒนาจิตวิญญาณของคนที่เกิดในยุคนี้ แต่มีหลายคนในครั้งพุทธกาล มีพื้นฐานของจิตตั้งมั่นมาแล้วแต่ชาติปางก่อน เขาเพียงแค่โยนิโสมนสิการ ก็ได้เข้าถึงดวงตาเห็นธรรมได้ ดังเช่นท่านอัญญาโกณฑัญญะ อุปติสสะ โกลิตะ พาหิยะฯลฯ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 20 มิ.ย. 2010, 02:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1)หนูเริ่มปฏิบัติธรรมมาได้สักระยะหนึ่งแล้วโดยใช้วิธีดูลมหายใจ เข้า+ออกของตัวเอง มีอยู่วันหนึ่งได้กำหนดลมหายใจเพื่อให้จิตนิ่งเป็นสมาธิโดยอิริยาบถนอนจู่ๆ ก็มีความรู้สึกว่าตัวสั่นแลัวก็มีความรู้สึกว่าตัวเราหมุนไปรอบทิศเป็นวง กลมอย่างช้าๆทั้งที่เรายังนอนอยู่เฉยไม่ทราบว่ามันเป็นอาการที่ดีหรือไม่ดี คะ อยากให้อาจารย์ช่วยอธิบายปรากฏการณ์นี้ทีค่ะและถ้ามันไม่ดีแสดงว่าเรา ปฏิบัติผิด ทางรึเปล่าคะแก้ไขอย่างไรคะ

คำตอบ
ความรู้สึกว่า “ ตัวหมุน ” อย่างที่บอกเล่าไปนั้นเป็นอาหารที่เกิดขึ้นจากการมีจิตขาดสติ เหตุเพราะจิตเคลื่อนออกไปจากลมหายใจเข้าออก แล้วไปจับหรือระลึกรู้อยู่กับอาการตัวหมุน ซึ่งเป็นการปฏิบัติธรรมที่ผิดทาง วิธีแก้ไข เมื่อเริ่มรู้สึกว่าตัวหมุนให้กำหนดว่า “ หมุนหนอๆๆๆ ” ไปเรื่อย ๆ จนกว่าความรู้สึกตัวหมุนดับไปแล้วต้องดึงจิตกลับมาสู่องค์ภาวนเดิม

2)ได้ฟังบรรยายของอาจารย์สนองแล้วอาจารย์บอกว่าเวลาทำงานให้ใช้จิตทำงาน แทนสมอง แล้วจะไม่ล้าไม่เหนื่อยอยากทราบว่าใช้จิตทำงานนั้นเป็นอย่างไรแล้วมันจะ ประสาน งานกับสติอย่างไรคะกรุณาช่วยยกตัวอย่างให้ห็นด้วยคะเพื่อที่จะได้นำไป ปฏิบัติใน ชีวิตประจำวัน

คำตอบ
จะทำงานด้วยจิตได้ จิตต้องมีกำลังของสติสัมปชัญญะกล้าแข็งในระดับหนึ่ง สติเกิดขึ้นกับจิตที่พัฒนาดีแล้วจิตที่มีสติกำกับจะจดจ่ออยู่กับงานที่ทำ สัมปชัญญะเกิดขึ้นกับจิตที่พัฒนาจนเกิดปัญญาเห็นแจ้งได้แล้ว ปัญญาเห็นแจ้งสามารถรู้เห็นเข้าใจวิธีทำงานให้เกิดผลสำเร็จได้อย่างทะลุปรุ โปร่ง ฉะนั้นการทำงานด้วยใจที่มีศักยภาพเช่นนี้ จึงทำงานได้อย่างรวดเร็ว ไม่หนัก ไม่ล้า ไม่เครียด และทำงานได้มาก
ผู้ถามปัญหาประสงค์จะทำงานด้วยใจ ต้องพัฒนาจิตให้มีสติกล้าแข็ง พัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้งได้แล้ว การทำงานด้วยใจจึงจะเกิดเป็นจริงขึ้นได้

3)การให้อภัยคนเป็นการเจริญเมตตาอย่างหนึ่งรึเปล่าคะแล้ว เจริญเมตตาบ่อยมีอานิสงฆ์ส่งผลดีกับเราอย่างไรและถ้าเราคิดจะให้อภัยกับ เพื่อน ร่วมงานที่บาดหมางกันกันแต่เขาก็ยังไม่คิดดีทำดีกับเราเราควรทำอย่างไรคะควร จะหา งานใหม่ทำรึเปล่าคะ

คำตอบ
ที่ถามไปนั้นถูกต้องแล้วให้อภัยบ่อย ๆ ให้อภัยได้ในทุกเรื่องที่เป็นเหตุขัดใจได้แล้ว เมตตาจึงจะเกิดขึ้นและสั่งสมเป็นบารมีอยู่ในจิตใจ ทำให้เป็นคนสงบและเย็น
อนึ่งแค่เพียงคิดจะให้อภัย แสดงว่ายังไม่ได้ให้อภัยเมตตายังไม่เกิด การให้สิ่งใดๆ รวมถึงการให้อภัย เมื่อให้แล้วต้องไม่หวังผลตอบกลับมา จึงจะเป็นการให้ (ทาน) ที่มีอานิสงส์เป็นบุญล้วน ๆ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 20 มิ.ย. 2010, 02:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูได้ปฎิบัติในแนวสติประฐานสี่ที่วัดพระธาตุจอมทอง ช่วงเข้าอธิษฐานนับเป็นบุญอย่างสูงสุด หนูได้สัมผัสธรรมมะวิเศษค่ะ มีเสียงเรียกเป็นเสียงผู้ชายค่ะ เสียงไพเราะและมีอำนาจมากโดยท่านเรียกชื่อหนู 3-4 ครั้ง ว่าถึงไหนแล้ว เหมือนกับดูทีวีค่ะ ซึ่งจิตหนูก็ถามท่านว่าใคร เป็นรูปของพระพุทธเจ้าค่ะลอยมา สวยมากและมีสีรุ้งล้อมรอบเศียรท่าน (ญาติธรรมบอกว่า ฉับพรรณรังษี) หลังจากนั้นก็เห็นเป็นเทพธิดา สวยมากค่ะ ไม่มีใครหรือนางงามเวทีไหนจะสู้ได้ ท่านถือถาดทองคำ และพวงมาลัยสวยมาก มีสร้อยสังวาลย์ แต่งตัวเหมือนภาพวาดในวัด เค้ามาชวยหนูไปทำบุญกับหลวงปู่ทอง หนูตอบว่าไปไม่ได้หรอกกำลังปฎิบัติธรรมอยู่ ซึ่งต้องทำตามที่พระอาจารย์กำหนดให้ เค้าก็ชวนหนูไปไหว้พระธาตุด้วยกัน หนูกับตอบว่า ไปไม่ได้หรอกเพราะต้องปฎิบัติ สุดท้ายก็ร่วอนุโมทนากับท่าน หลังจากนั้น ก็เป็นภาพอีกเมืองหนึ่งขึ้นมา มีแสงสว่างเป็นบ้านเมืองที่น่าอยู่ จิตหนูก็ถามอีกว่าที่ไหน อีกจิตหนึ่งก็บอกว่า "เมืองลับแล" มีเด็ก ๆ กำลังวิ่งเล่นกันสนุกสนาน แต่แปลกค่ะมีแสงสว่างแต่ไม่ร้อนเหมือนโลกที่เราอยู่ ด้วยความโลภของหนู อยากเห็นมากกว่านี้ไม่ได้กำหนดตาม ลืมตาขึ้นทันทีปรากฎว่าไม่มีอะไรเลย

ช่วงสอบอารมณ์ หนูได้เล่าให้พระอาจารย์ฟัง ท่านก็บอกว่าทำดีแล้วลูก ซึ่งก่อนหน้านี้หนูไม่รู้ว่าที่เห็นที่สัมผัสคืออะไร แต่บอกได้เลยว่าไม่ได้นั่งหลับหรือฝันหรือคิดไปเอง เป็นช่วงที่มีความสุขมากค่ะอาจารย์ แต่พระอาจารย์บอกว่าไม่ให้ยึดติด ให้กำหนดรู้เท่านั้นพอ
ก่อนหนูจะลากลับบ้าน หนูเห็นนิมิตรอย่างหนึ่ง จิตหนูตกมากค่ะ ว่าทำไมถึงเห็นอย่างนั้น แล้วก็ได้รับคำตอบเองโดยอัตโนมัติค่ะ ว่าการปฎิบัติของหนูนั้น เรื่องกามเป็นเรื่องที่ตัดยากที่สุด

อาจารย์คะ เนื่องจากหนูปฎิบัติไม่ต่อเนื่อง โดยเฉพาะ 1 ปีที่ผ่านมา หนูเจอปัญหาในครอบครัว เหมือนปัญหาทั่วๆ ไปค่ะ สามีหนูมีเมียน้อย จิตตามไม่ทันบางครั้งต้องใช้เวลาเกือบ 5-6 ชั่วโมง กว่าจะตามจิต กิเลสได้ หนูต้องอาศัย ซีดีธรรมมะของหลวงพ่อจรัญ และอ่านธรรมมะจากเวปนี้ หนูมีปัญหาเรียนถามอาจารย์ดังนี้ค่ะ

1. เมื่อเกิดลางสังหรณ์ หลังจากนั้นเหตุการณ์นั้นก็เกิดขึ้นจริง จะแก้จากหนักให้เป็นเบาทำอย่างไงค่ะ หนูเคยฝันว่ารถโดนชนหลังจากนั้น 1 อาทิตย์ ก็ชนจริงๆ โดยจอดทิ้งไว้มีรถบรรทุก 10 ล้อชน พังทั้งแทบค่ะ

คำตอบ
หลังจากปฏิบัติธรรมทุกครั้ง ต้องอุทิศบุญกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวร ท่านเจ้าคุณโชดกบอกให้ทำ อย่างนั้น ผู้ตอบปัญหาเชื่อแล้วได้ปฏิบัติตาม เหตุการณ์ที่ไม่พึงประสบพบเห็นจึงได้ผ่านพ้นเป็นเรื่อง ๆ ไป

2. เมื่อรู้ว่าเจ้ากรรมนายเวรคือใคร จะขออโหสิกรรมทำอย่างไงค่ะ

คำตอบ
ถ้าจะให้หนี้เวรกรรมหมดสิ้นไปได้ง่าย ต้องขอความเมตตาจากผู้เข้าร่วมปฏิบัติธรรมร่วมกันอุทิศบุญกุศลที่แต่ละคนมี อยู่ใช้หนี้กรรมแทนคุณ แล้วเวรกรรมที่ผูกกันไว้จึงจะหมดไปได้เร็ว

3. จะตัดกิเลศ ความเกลียด ความไม่ชอบ และสร้างให้ตัวเองมีจิตเมตตาต่อคนที่เบียดเบียน (สามี และผู้หญิง) กำหนดอย่างไรค่ะ
กราบขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะ สิ่งไหนที่หนูล่วงเกินอาจารย์โดยเจตนาไม่เจตนา ขอ
กราบขอขมาและอโหสิกรรมด้วยค่ะ
ด้วยความเคารพอย่างสูง

คำตอบ
ความเมตตาจะเกิดขึ้นและสั่งสมให้จิตวิญญาณเป็นเมตตาบารมีได้ ต้องให้อภัยอยู่เสมอ ให้อภัยได้ในทุกเรื่องที่มีสิ่งขัดใจเข้ากระทบจิต และประสงค์จะให้ความเกลียดและความไม่ชอบหากไปจากใจ ต้องพัฒนาจิตจนเกิดปัญญาเห็นแจ้ง แล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้งพิจารณาขันธ์ 5 (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) จนเห็นว่าแต่ละขันธ์ดับไปตามกฎไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) ได้แล้ว ขันธ์ 5 จะไม่มีอัตตา ตัวตน หรือความเห็นแก้ตัวจะหมดไปจากใจ แล้วความเกลียดความไม่ชอบ ก็จะไม่เกิดขึ้นกับใจของผู้ไม่มีอัตตา

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 20 มิ.ย. 2010, 02:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมปฏิบัติดูลมหายใจ โดยใช้พองหนอ ยุบหนอไปเรื่อยๆ มีสติระลึกรู้บ้าง บางทีก็เผลอคิดบ้าง แต่ก็พยายามมีสติกำกับอยู่

คำถาม
1. พอผมเจริญสติไปได้พักหนึ่ง ขาปวด แต่อดทน จนผ่านความปวดนั้นไปได้ หลังจากออกสมาธิ ก็เห็นพระพุทธองค์แล้วน้ำตาไหล ขนลุกซู่ อยากจะกราบพระพุทธรูปซักร้อยครั้งพันครั้ง ผมไม่รู้ว่า อย่างนั้นเป็นปิติ ที่อยู่ในอารมณ์ฌานหรือเปล่าครับ?

คำตอบ
นั่นคือปีติที่เกิดขึ้นกับผู้มีจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิในฌาน ครั้งใดที่เห็นพระพุทธรูป ต้องพิจารณาสิ่งที่ถูกเห็นให้ดับไปด้วยการกำหนดว่า “ เห็นหนอๆๆๆ ” จนพระพุทธรูปหายไป แล้วดึงจิตกลับมาสู่องค์ภาวนาเดิม

2. บางครั้งเมื่อเจริญสติ และจิตเริ่มนิ่งมากขึ้น จิตก็จะน้อมไประลึกคุณของพระรัตนตรัยโดยอัตโนมัติ แล้ว จิตก็อิ่มเอม ขนลุก เป็นอย่างนี้บ่อยครั้งประจำ ผมไม่รู้วาอย่างนี้เรียกว่าปิติหรือไม่ครับ? เพราะเคยคิดว่าปิตินั้น น่าจะเกิดจากจิตที่จดจ่อ ไม่ได้น่าจะเกิดจากการนึกคิด

ขอบพระคุณอาจารย์มากครับ

คำตอบ
สติมีความหมายว่า ระลึกได้ นึกได้ ไม่ลืม เอาใจจดจ่อ ฯลฯ ดังนั้น การระลึกได้ถึงคุณของพระรัตนตรัย นั่นคือสติได้เกิดขึ้นแล้วกับจิต ระลึกแล้วเกิดอาการอิ่มเอบ ขนลุก นั้นเรียกว่า เกิดปีติ
ส่วนคำว่า “ นึก ” เป็นเรื่องของสติ “ คิด ” เป็นเรื่องของปัญญานึกคิดจึงเป็นเรื่องของสติและปัญญาทำงานร่วมกัน

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 85, 86, 87, 88, 89, 90, 91 ... 102  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร