วันเวลาปัจจุบัน 26 ส.ค. 2025, 09:27  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 79, 80, 81, 82, 83, 84, 85 ... 102  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 22:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. ผมสังเกตุว่าวัตถุมงคลสมัยนี้มีการนำมวลสารอย่าง เช่นกระดูกหรือชิ้นส่วนมนุษย์มาทำพิธีทางไสยศาสตร์เพื่อเรียกวิญญาณ เจตภูติ พราย สัมภเวสีหรือเทวดามาสถิตย์อยู่เพื่อให้มีอานุภาพมากขึ้น โดยอาจมีการแลกเปลี่ยนเลี้ยงดูโดยการเซ่น หรืออุทิศบุญกุศลไปให้แทนการตอบแทนที่ช่วยเหลือผู้บูชา เช่นเรียกวิญญาณเด็กมาไว้ในกุมาร เรียกวิญญาณพรายมาไว้ในนางกวักเพื่อเพิ่มอานุภาพ
ไม่ทราบว่าวิญญาณที่คนสร้างเรียกเข้ามาสถิตไว้ในเครื่องรางนั้น สามารถช่วยเหลือมนุษย์ได้หรือครับ คล้ายๆกับที่อ.เคยพูดไว้เรื่องการเซ่นไหว้เทวดารึเปล่าครับ

2. ผมเป็นคนชอบศึกษาเรื่องเครื่องราง และพระเครื่อง มีข้อสงสัยว่า บางวัดทำไมถึงมีการสร้างชูชกไว้ให้บูชาละครับ
ทั้งทีชูชกตอนนี้ก็คือพระเทวทัตที่อยู่ในอเวจี หากเราบูชาจะเป็นโทษหรือไม่ ถ้าเป็นโทษจริงๆทำไมพระสงฆ์ที่มีชื่อเสียงมีผู้นับถือ ถึงได้สร้างกันหรอครับ

ขอขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูงที่ให้ความรู้และปัญญาแก่ผมครับ.........
ขอให้อาจารย์สุขภาพแข็งแรง และเป็นที่พึ่งของชาวกัลยาณธรรมนานๆนะครับ สาธุ+++

คำตอบ
(๑). ช่วยเหลือได้ แต่เป็นการช่วยเหลือของคนหลง อันเป็นเหตุก่อหนี้เวรกรรม ระหว่างผู้นำมาใช้กับจิตวิญญาณที่สิงอยู่ในวัตถุนั้น มิใช่วิถีแห่งความพ้นทุกข์ พระพุทธะจึงห้ามมิให้ภิกษุประพฤติติรัจฉานวิชา

(๒). ต้องไปถามผู้สร้างรูปเคารพของชูชกดูว่า เขามีเจตนาเป็นเช่นไร คำว่า “ บูชา ” หมายถึง แสดงความเคารพและเทิดทูน ในครั้งพุทธกาล เจ้าชายอชาตศัตรูบูชาพระเทวทัต ถึงขั้นคบคิดกันฆ่าพระราชบิดาแล้วตั้งตนเป็นกษัตริย์ ในที่สุดพระเทวทัตถูกธรณีสูบลงสู่อเวจีนรก ส่วนพระเจ้าอชาตศัตรูสวรรคตแล้วลงไปเกิดอยู่ในโลหกุมภีนรก ดังนั้นหากผู้ถามปัญหาประสงค์ความเป็นสหายกับสองสัตว์นรกนั้น ต้องแสวงหาชูชกมาไว้บูชา เมื่อใดที่เหตุปัจจัยลงตัว ความสมปรารถนาย่อมเกิดได้

อนึ่ง พระเทวทัตเป็นพระสงฆ์ที่มีชื่อเสียงในหมู่พระทุศีลไร้ธรรมอยู่ในครั้ง พุทธกาล ฉะนั้นควรดูให้ออกว่า คนที่นับถือพระสงฆ์ที่มีชื่อเสียงในทางทุศีลไร้ธรรมอยู่ในปัจจุบัน คือผู้มีความเห็นผิดไปจากธรรมของพระพุทธโคดมนั่นเอง

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 22:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมจึงขอรบกวนท่านอาจารย์ช่วนแนะนำสถานที่ปฏิบัติแนวยุบหนอ-พอง หนอ หน่อยครับ เพราะที่ผมปฏิบัติอยู่ก็เป็นแนวนี้

ป.ล.
- ได้ศึกษาเองตามแนวของท่านอาจารย์เจ้าคุณโชดก (ขออนุญาติเรียกท่านอาจารย์ครับ) และอัครมหาบัณฑิตมหาสีสยาดอ.
- ที่สิงห์บุรีเคยไป แต่ยังไม่มีโอกาสได้ปฏิบัติ เพราะคนเยอะมาก ( จากการสอบถามปัจจุบันจะมีแม่ชีเป็นผู้สอน)

กราบขอโทษด้วยครับหากมีข้อความบางข้อความหรืออื่นๆที่ทำให้ผู้ อื่นอ่านแล้วเกิดความขัดข้องใจหรือไม่พอใจ.

ขอบคุณท่านอาจารย์มากครับ

คำตอบ

นอกจากวัดอัมพวัน จ.สิงหบุรีแล้ว การสอนกรรมฐานแบบยุบหนอ-พองหนอ ยังมีที่คณะ ๕ วัดมหาธาตุฯ ท่าพระจันทร์ ,วัดพระธาตุจอมทอง อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ และสถานที่อื่นคงมีอีก ต้องขออภัยมิได้แสวงหา จึงไม่สามารถแนะนำได้มากกว่านี้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 16 มิ.ย. 2010, 18:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูมีสองคำถาม รบกวนอ.ตอบเป็นแนวทางเพื่อการปฎิบัติต่อไปนะคะ

1 อาจารย์คิดว่าจะมีกลยุทธ์ใดที่จะช่วยทำให้คนไทยที่นับถือศาสนาพุทธ ทั้งระดับนักเรียน นักศึกษา และวัยทำงานรวมถึงเกษียญอายุ ได้มีโอกาสในการสัมผัสแก่นคำสอนของพระพุทธเจ้าที่กระชับ สั้น เข้าใจง่าย และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริงบ้างค่ะ

2 เวลาฟังเทศน์ หนูมักจะมีอาการขนลุกค่ะ อาการแบบนี้เกิดขึ้นเพราะอะไรค่ะ อากาศก็ไม่ได้หนาวค่ะ

ขอบพระคุณในความเมตตาล่วงหน้าค่ะ



คำตอบ
(๑). ต้องพิสูจน์คำสอนในพุทธศาสนา ด้วยนำตัวเองไปปฏิบัติธรรม โดยมีศีล สัจจะและความเพียรเป็นเครื่องสนับสนุน นี่แหละเป็นกลยุทธที่ดีที่สุด ในการเข้าให้ถึงแก่นของพุทธศาสนา

(๒). อาการขนลุกเกิดขึ้น เพราะจิตเริ่มตั้งมั่นเป็นสมาธิ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 16 มิ.ย. 2010, 18:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมขอถาม คำถามพื้นๆ แต่คำตอบไม่ชัดสักที คือ
กินเนื้อสัตว์ ไม่บาปจริงหรือ ??? ตามเหตุที่อ้างอิงจากพระไตรปิฎก ทั้งๆที่เรารู้ว่า จะมีเนื้อกิน ก็ต้องมีการฆ่า
ดังนั้น หากเราส่งเสริมการกินเนื้อ ชอบการกินเนื้อ ก็เท่ากับ ส่งเสริมการฆ่า ส่งเสริมให้ผู้อื่นฆ่า ทำบาปยิ่งขึ้น
( เพราะ เรารู้อยู่แล้วว่า ทำอย่างไร จึงได้เนื้อมาทำอาหาร) เปรียบไปแล้ว ก็เท่ากับ รับซื้อของโจร ซึ่งผิดกฏหมายแน่นอน มีกรณีเดียว ที่จะไม่บาป คือ ได้เนื้อมาจากการตายโดยธรรมชาติของสัตว์นั้นๆ
นี่คือ ข้อสงสัยในชีวิตมากๆ แต่ทุกคนล้วนตอบตามพระไตรปิฏกจนผม ตั้งข้อสงสัย ว่า พระไตรปิฏก นั่นเป็นการแต่งเอาเองภายหลัง ตามจริตผู้แต่งสมัยนั้นๆ ปัจจุบัน มีหลักฐานทางการแพทย์มากมาย ระบุว่ามังสวิรัตินั้น มีผลดีต่อร่างกาย ยิ่งกว่า เช่น เป็นมะเร็ง ไม่ควรกินเนื้อ ไขมันจากสัตว์ นั้นอันตรายกว่าพืช ฯลฯ ช้าง ม้า วัว ควาย กินพืช ตัวโตจัง โตเร็วด้วย หรือว่า นี่คือ อวิชชา เรื่องหนึ่งของมนุษย์


คำตอบ
พระพุทธะตรัสสอนชาวกาลามะ มิให้ปลงใจเชื่อในเรื่องสิบอย่าง หนึ่งในนั้นคือ มิให้ปลงใจเชื่อด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์ ฉะนั้นหากผู้ถามปัญหาประสงค์จะเข้าให้ถึงแก่นแท้ของความจริง เรื่องการกิน
เนื้อสัตว์ว่าเป็นบาปหรือไม่ ขออภัยต้องวางพระไตรปิฎกลงชั่วคราว แล้วนำตัวเองเข้าปฏิบัติธรรม จนเกิดปัญญาเห็นแจ้งได้เมื่อใดแล้ว ความสงสัยเรื่องการกินเนื้อสัตว์ย่อมหมดไป

พระอริยสงฆ์หลายรูป (ขอไม่เอ่ยนาม) ยังบริโภคเนื้อสัตว์ก็สามารถพัฒนาจิตจนเข้าถึงธรรมที่ทำให้เป็นอริยบุคคลได้ อริยบุคคลไม่สงสัยในเรื่องที่ถามครับ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 16 มิ.ย. 2010, 18:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


มีปัญหาอยากเรียนถามอาจารย์ว่าหากเคยผิดคำอธิษฐานต่อพระพุทธรูปและ พระที่เราเคารพด้วยการระลึกถึง จะมีวิธีการใดเป็นการแก้ไขเพื่อขอขมากรรมและแสดงถึงความสำนึกผิดได้บ้างค่ะ ( ความจริงแล้ว วิบากกรรมที่ผิดต่อคำอธิษฐานได้เกิดขึ้นแล้ว ) สิ่งที่ได้ทำไปแล้วคือ ทำสมาธิ ระลึกจิตขอขมาต่อท่าน ที่ได้ผิดคำอธิษฐาน แล้วยังมีสิ่งใดที่ควรทำเพิ่มเติมหรือไม่คะ เพราะเกรงว่า จะมีวิบากกรรมที่ยาวนาน กว่าการผิดคำพูดทั่วไป

ขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างยิ่งค่ะ

คำตอบ
การขอขมากรรมที่เคยประพฤติผิดคำอธิษฐานเป็นเรื่องที่ทำได้ ด้วยการสวดมนต์ต่อหน้าพระพุทธรูป หรือต่อองค์พระธาตุเจดีย์ เสร็จแล้วกล่าวขอขมาโทษที่ได้ประพฤติผิดคำอธิษฐาน และให้สัจจะว่าจะไม่ประพฤติผิดคำอธิษฐานอีก ผู้ใดประพฤติเช่นนี้แล้วรักษาสัจจะไว้ได้ โทษย่อมไม่มีกับผู้นั้น

หลวงพ่อธีร์ แห่งถ้ำวัวอนัตตา ต.เมืองนะ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ บอกกับผู้ตอบปัญหาว่า
“ ผู้ใดเห็นสรรพสิ่งเป็นอนัตตา โทษย่อมถูกยกเลิกโดยปริยาย ”

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 16 มิ.ย. 2010, 18:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมอยากเรียนถาม อาจารย์ว่า

1. กรรมอันใดที่ทำให้เราต้องไปเกิดติดเอาเชื้อโรคร้ายแรงมา คือเชื้อ HIV
2. เราจะมีวิธีรักษาโรคร้ายแรงนี้ โดยการใช้ธรรมมะช่วยได้ไหมครับ ถ้ามีขออาจารย์โปรดชี้แนะหนทางด้วยนะครับ

ด้วยความเคารพครับ

คำตอบ

(๑). ประพฤติผิดศีลข้อสามหรือเคยประพฤติเบียดเบียน ด้วยการนำเชื้อโรคเข้าตัวผู้อื่นมาก่อน

(๒). ช่วยได้ แต่ผู้ถามปัญหาจะทำได้หรือไม่ คือพัฒนาจิตให้เข้าถึงภาวะนิโรธสมาบัติอย่างน้อยสามวัน

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 16 มิ.ย. 2010, 18:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. หนูนั่งสมาธิมา ปีกว่าแล้วค่ะ บางครั้งนั่งได้นานเป็น 1-2 ชม.แต่หนูยังไม่ก้าวหน้าเลยค่ะ ยังไม่สามารถเห็นกายดับได้โดยใช้จิต ไม่ใช้สมอง แต่หนูสามารถดับเวทนาได้คือ เมื่อปวดก็กำหนด ปวดหนอ ตามดูตำแหน่งที่ปวด อาการปวดก็ชาแล้วหายไป 2-3 รอบค่ะ หนูควรทำอย่างไรต่อไปคะ

2. หนูไม่ได้เดินจงกรมค่ะ เพราะจิตไม่นิ่งค่ะ ได้ไม้คะ

3. หนูอยู่ชลบุรี วันที่ 17 มค.นี้เป็นวันเกิด ขอพรจากอาจารย์ด้วยค่ะ และตั้งใจจะไปปฏิบัติธรรมอยากให้อาจารย์แนะนำสถานที่ด้วยค่ะ

คำตอบ
(๑). การแก้ปัญหาเรื่องเวทนา (ปวดขา) ทำได้ถูกวิธีแล้ว ให้ดำเนินต่อไป เมื่อใดจิตเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิจวนแน่วแน่(อุปจารสมาธิ) ได้แล้ว ให้นำจิตไปตามดูกาย เวทนา จิต ธรรม ว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ เมื่อใดจิตเห็นผัสสะที่เกิดขึ้น เข้าสู่ความเป็นอนัตตา ปัญญาเห็นแจ้งในผัสสะย่อมเกิดขึ้นเมื่อนั้น

(๒). การเดินจงกรมเป็นอิริยาบถใหญ่ เมื่อใช้จิตระลึกอยู่กับเท้าที่ก้าวเดิน สมาธิย่อมเกิดขึ้นได้ง่ายกว่านั่งบริกรรม ฉะนั้นผู้ปฏิบัติธรรมที่หวังความก้าวหน้าในสมาธิ ต้องนั่งบริกรรมสลับกับการเดินจงกรม ผู้ตอบปัญหาใช้อิริยาบถใหญ่ (ยืน เดิน นั่ง นอน) และอิริยาบถย่อย (กิน ดื่ม พูด ดู ฟัง ฯลฯ) มาเป็นเครื่องมือใช้ในการพัฒนาจิตด้วยในครั้งที่ไปปฏิบัติธรรมอยู่กับเจ้า คุณโชดก

(๓). ประพฤติตนให้มีศีล มีสัจจะ มีความเพียรได้แล้ว คุณธรรมทั้งสามอย่างนี้คือพรที่ให้กับผู้ถามปัญหา ส่วนสถานที่ปฏิบัติธรรมแนะนำให้ไปปฏิบัติที่วัดอโศการาม

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 16 มิ.ย. 2010, 18:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูต้องการตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ด้วยการแนะนำท่านให้ปฏิบัติวิปัสสนา กรรมฐาน ด้วยเวลาที่มีจำกัด และสุขภาพที่ไม่สมบูรณ์ ซึ่งต้องผ่าตัดในเร็วๆนี้ จึงขอความกรุณาท่านอาจารย์แนะนำ อาจารย์หรือกัลยาณมิตรผู้ที่มีเมตตาสอนวิปัสสนาที่ถูกต้อง ตรงแนวของพระพุทธองค์ที่สุด ในเวลาอันจำกัด เพื่อให้เป็นอริยทรัพย์ติดตัวไปทุกชาติ ทุกภพ

ขออนุโมนาบุญอีกครั้งค่ะ



คำตอบ
ผู้ใดมีสุขภาพกายไม่ดี จำเป็นต้องเข้ารับการผ่าตัด หรือผู้ใดมีสุขภาพกายดี ไม่ต้องเข้ารับการบำบัดจากหมอ

ลมหายใจเข้าออกเป็นกัลยาณมิตรที่ดี เพราะอยู่กับเราตั้งแต่แรกเกิด จนบัดนี้ยังทำหน้าที่ได้อย่างซื่อตรง ฉะนั้นควรประพฤติดีต่อกัลยาณมิตร ด้วยการหายใจเข้ากำหนด “ พุท ” หายใจออกกำหนดว่า “ โธ ” กำหนด “ พุท-โธ ” ทุกครั้งที่มีจิตระลึกได้ถึงเพื่อนดีคนนี้ และกำหนดทุกครั้งที่ว่างจากการทำงานภายนอก คือหมดภาระที่ต้องทำให้กับสังคมแล้ว ต้องทำงานให้กับเพื่อนดีคนนี้

อนึ่ง พระสารีบุตรกล่าวว่า การมีสติระลึกได้ในกาย (กายคตาสติ) เป็นกัลยาณมิตรที่ดีที่สุด

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 16 มิ.ย. 2010, 18:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมเปิดร้านขายแว่นตา และคอนแทคเลนส์มาได้สามปีกว่า ปีแรกยอดขายไม่ดีนัก จึงมีลูกค้าแนะนำให้นำคอนแทคเลนส์จากเกาหลี ที่มีคุณภาพสูงกว่าเลนส์ทั่วๆไปมาขาย และประกอบกับการบริการ และแนะนำสินค้าอย่างตรงไปตรงมา และคิดถึงความปลอดภัย และประโยชน์ของลูกค้าเป็นหลัก จึงมียอดขายดีขึ้นเป็นลำดับ จึงอยากเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายโดยการเปิดเว๊ปไซด์ แต่เนื่องจากในช่วงนั้นรายได้ยังไม่มากพอ จึงนำเงินที่ได้จากคุณยายมาลงทุน ซึ่งเดิมผมตั้งใจว่าจะนำเงินจำนวนนี้ไปทำบุญ แต่กะว่าขอเอามาลงทุนทำเว๊ปก่อน พอมีกำไรจะเอาไปทำบุญตามที่ตั้งใจ ซึ่งเปิดเว๊ปผ่านไป 1 ปี ก็ไม่ประสบความสำเร็จ แต่ยอดขายที่หน้าร้านกลับดีขึ้นเรื่อยๆ จากการบอกต่อของลูกค้าประจำจึงเก็บเงินแต่งานได้สำเร็จเมื่อต้นปี 52 และขายดีขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งปลายปีคุณยายป่วยหนัก เราจึงนำเงินไปช่วยค่ารักษาพยาบาล คุณยายเป็นจำนวนเท่ากับที่คุณยายได้ให้มาในความก่อน ต่อมาเราก็ตั้งใจจะทำเว๊ปไซด์กันอีกครั้ง แต่ก็มีความติดขัน และอุปสรรค์เกิดขึ้นหลายอย่างที่ยังไม่สามารถเปิดเว๊ปไซด์ได้ จึงขอความกรุณา ดร . สนอง โปรดชี้แนะและให้ปัญญากับผมและภรรยาด้วยครับ

ผมได้ทำสมาธิด้วยตัวเองมาเป็นเวลา 5-6 ปี เมื่อมีข้อสงสัยก็อ่านหนังสือคุณดังตฤณเพื่อชี้ทางบ้าง ต่อมาได้รู้จักกับภรรยา ก่อนที่จะได้แต่งงานกัน ก็ได้รู้จักกับน้าหมอหล ซึ่งเป็นที่เคารพของครอบครัวภรรยา จึงได้อ่านหนังสือของ ท่านอาจารย์ ดร. สนองและได้ยึดเป็นแนวทางมาตลอด กระทั่งปลายปี 51 ได้ฝันว่า ผมไปนั่งรวมกับคนหลายคน กลางบ้านเรือนไทยหลังใหญ่ ไม่นานจากนั้นทุกคนก็หมอบกราบ พอเงยหน้าขึ้น ก็เห็นปลายเท้า และจีวรสีส้ม แล้วท่านก็นั่งลงบนเก้าอี้แล้วเรียกให้ผมเข้าไปหา ผมจึงคลานเข้าไป ท่านจึงพูดขึ้นว่า “ อย่างมึง ต้องได้กูเป็นครูบาอาจารย์ก่อน จึงจะก้าวหน้า “ ผมได้ยินแล้วดีใจมาก ก้มลงกราบเท้าแล้วน้ำตาก็ไหลไม่หยุด พอรู้สึกตัวตื่นก็ทำให้สงสัยว่าท่านที่รูปร่างท้วมมาก แต่ไม่ท้วมเท่ากับท่านพุทธทาส เป็นใคร เดือนมกราคมปี 52 ผมบวชได้ 2 วัน ได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่ง หนังสือเล่นนี้ได้ตอบคำถามที่ผมสงสัยในขณะทำสมาธิได้อย่างหายสงสัย ซึ่งก่อนนี้ถามใครก็ไม่ได้คำตอบที่กระจ่างใจ เมื่อพลิกดูภาพท่านที่หน้าปก จีงมั่นใจได้ทันที ว่าเป็นองค์เดียวกับที่ได้เจอในฝันคือ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เคยปรึกษากับน้าหมอหลว่าทำอย่างไรจะได้เจอกับครูบาอาจารย์ ท่านแนะนำให้ไปอธิฐานจิตในสถานที่ศักดิ์สิทธิ ผมก็ไปที่เขาคิชฌกูฏ เมื่อปลายเดือนมีนาคม ปี 52 แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ จึงขอความกรุณาจาก ท่านอาจารย์ ดร . สนอง มีสิ่งใดที่ผมควรทำต่อไปได้บ้างครับ

ต้นเดือน กุมภาพันธ์ ปี 53 นี้ ผมและภรรยาจะเดินทางไปทำบุญ ที่วัดของครูบาน้อย พร้อมกับน้าหมอหล หากไม่เป็นการเกินวิสัยที่ผมจะพึงได้ ขอให้ผมและครอบครัวได้มีโอกาสสนทนาธรรมกับ ท่านอาจารย์ ดร . สนองด้วยครับ

ขอขอบพระคุณท่านอาจารย์ ดร.สนองอย่างสูง ที่กรุณาชี้แนะแนวทางการดำเนินชีวิตแก่กระผมและครอบครัว


คำตอบ
การทำธุรกิจให้เจริญ เจ้าของธุรกิจต้องปฏิบัติตนให้มีคุณธรรม อย่างน้อยดังนี้
๑. มีศีล ๕ คุมใจ
๒. บำเพ็ญทานอยู่เสมอ
๓. มีความกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีอุปการะ (ลูกค้า พ่อแม่ ยาย ฯลฯ)
๔. มีความซื่อสัตย์ต่อผู้มาใช้บริการ (ลูกค้า)
๕. ทำธุรกิจโดยมีอิทธิบาท ๔ เป็นเครื่องสนับสนุน
๖. ต้องเว้นอบายมุข
ฯลฯ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 16 มิ.ย. 2010, 18:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การที่คนที่มากู้เงินแล้วโกงไปอย่างนี้เป็นกรรมที่มาจากดอกเบี้ย ที่เราคิดเขาหรือปล่าวครับ
การที่ปล่อยเงินกู้เป็นบาปหรือปล่าวครับ แล้วต้องปล่อยดอกเบี้ยเท่าไรจึงจะไม่บาปครับ

แล้วถ้าคนโกงไปทรัพย์นั้นจะกลับมาหาเรารึปล่าวครับ ขอความเมตตาท่านโปรดให้ขอคิดทางธรรมด้วยครับ

คำตอบ
การออกเงินกู้แล้วทำให้ผู้กู้เงินเกิดความไม่สบายใจ ถือว่าเป็นบาป ผู้ปล่อยเงินกู้ต้องรับบาปนั้นด้วย การออกเงินกู้ที่ไม่คิดดอกเบี้ย ไม่ถือเป็นบาป

คนที่โกงทรัพย์ไปแล้ววกกลับเอาทรัพย์มาคืนให้กับผู้เป็นเจ้า ของ ไม่เรียกว่าโกงทรัพย์ แต่เรียกว่าเป็นผู้สำนึกผิดในกฎแห่งกรรม

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 16 มิ.ย. 2010, 18:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. เรื่องของฮวงจุ้ยและโหราศาสตร์นั้นมีผลต่อชีวิตเราประมาณกี่เปอร์เซนต์ครับ และส่วนในเรื่องของกรรมนั้น มีผลต่อชีวิตของเรากี่เปอร์เซนต์ครับ

2. ผมอยากทราบวิธีที่จะรุ่งเรืองแบบรวดเร็ว และมั่งคั่งในอนาคต ผมรู้ว่าการให้ทานนั้นเป็นเหตุทำให้เรามีทรัพย์มาก แล้วทานแบบไหนที่ให้ผลได้ทันตาเห็นครับ พอผมได้ไปอ่านข้อมูลในเว็บไซด์ ก็ได้เห็นข้อความอันหนึ่งที่ว่า การถวายสังฆทานนั้นอานิสงค์มาก แม้แต่พุทธญาณยังหาที่สิ้นสุดมิได้อันนี้เป็นจริงแน่แท้แล้ว เพราะผมและคุณแม่ได้พิสูจน์แล้วเป็นจริงครับ แต่ตอนนั้นผมและคุณแม่ได้ถวายไปตอนเมื่อต้นปีที่แล้ว แค่หนึ่งครั้งเองโดยที่ผมไม่ซื้อของสำเร็จมาถวาย แต่ซื้อของที่มีคุณภาพมาจัดถวายเอง และเมื่อผมพึ่งได้ไปอ่านหลังสือ ชื่อเรื่อง ความสำเร็จที่มาจากพระพุทธเจ้า นั้นเขาบอกให้ทำทุกเดือน ซึ่งผมเสียดายมากถ้ารู้ก่อนคงจะดีกว่านี้แน่นอน เพราะในหนังสือบอกให้ทำทุกเดือน ขอให้ผู้ที่อ่านไปลองพิสูจน์ดูนะครับ ซื้อของที่มีคุณภาพมาถวายแล้วสิ่งที่ดีจะกลับมาหาท่านเอง และกระผมอยากทราบวิธีที่จะเจริญอยากมั่งคั่ง ยั่งยืนเท่าที่ผมรู้มาว่ามีการกตัญญู รักษาศีล เจริญภาวนา กระผมอยากท่านแจกแจงรายละเอียดเพิ่มครับ ว่าจะต้องทำทุกวัน หรือทำให้ยิ่งขึ้น หรือทำมากขึ้น และอยากให้ท่านช่วยขี้แนว่าในการทำบุญควรทำอย่างไรบ้างอย่างไร และมีวิธีอย่างอื่นอีกหรือปล่าวครับขอความเมตตาท่านโปรดช่วยชี้แนะโดย ละเอียดเพื่อให้ทำเหตุให้ตรงอย่างให้ดีที่สุดครับ และกระผมยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะน้อมนำมาปฏิบัติให้เพื่อพิสูจน์ความเป็น จริงต่อไปครับ

ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงครับ ที่เมตตาแสดงพระธรรมให้แก่กระผมได้ทราบครับ ขออนุโมทนาบุญที่ท่านได้ตอบข้อนี้ครับ สาธุ สาธุ สาธุ

คำตอบ
ฮวงจุ้ยและโหราศาสตร์มีผลต่อชีวิตของบุคคลกี่เปอร์เซ็นต์ ไม่มีใครตอบได้ถูกตรง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับคุณธรรมที่เก็บบันทึกไว้ในดวงจิตของแต่ละบุคคลมีไม่เท่า กัน และความรู้เกี่ยวกับฮวงจุ้ยหรือความรู้ที่เกี่ยวกับโหราศาสตร์ มิอาจเข้าถึงความจริงในชีวิตของผู้มีสภาวะจิตเป็นอริยบุคคลได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 16 มิ.ย. 2010, 18:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เป็นบุญของผมที่อาจารย์ช่วยชี้แนะทางออกให้ ผมต้องการจะปฏิบัติตามที่อาจารย์บอกครับ แต่ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร ขอรบกวนอาจารย์ช่วยชี้แนะแนวทางได้ไหมครับ ถ้าเป็นไปได้ผมอยากจะขอเรียนพบอาจารย์ได้ไหมครับ หรือจะให้ผมทำอย่างไรก็ได้ครับ

ด้วยความเคารพ

คำตอบ
ผู้ถามปัญหาต้องพัฒนาจิตด้วยการปฏิบัติสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน จนจิตเข้าถึงอริยธรรมเป็นอย่างน้อยพระอนาคามีให้ได้ก่อน แล้วจึงนำตัวเข้าฝึกสมถกรรมฐานอย่างยิ่งยวด กับพระอริยบุคคลผู้มีประสบการณ์ในการเข้านิโรธสมาบัติ แล้วโอกาสหายจากโรคดังกล่าว จึงจะเป็นไปได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 16 มิ.ย. 2010, 18:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันขอเรียนถามปัญหาที่ดิฉันติดอยู่ในใจมานาน ดิฉันมีลุงคนหนึ่งเป็นพี่ชายของแม่ ปัจจุบันแกกำลังลำบาก อยู่ห้องเช่าเพียงคนเดียว มีหลานชายไปมาหาสู่บ้างนานๆ ครั้ง อายุแกก็มากแล้ว ร่างกายก็ไม่ค่อยแข็งแรง ดิฉันสำนึกว่าแกมีบุญคุณเคยดูแลดิฉันเมื่อพ่อแม่ไม่ว่างเมื่อยามเด็กๆ เคยสั่งสอนอบรมดิฉัน ปัจจุบันส่งเงินให้แกทุกเดือน ป่วยไข้ก็ส่งเงินไปให้เพิ่มเติม แต่ไม่เคยไปเยี่ยมเยียนเลย เนื่องจากดิฉันไม่สามารถทำใจได้

เมื่อก่อนแกอาศัยอยู่กับครอบครัวลูกเลี้ยงของแก ต่อมามีปัญหากับครอบครัวนั้น ซึ่งสาเหตุไม่ชัดเจน แต่ประมาณว่า แกไปทำมิดีมิร้าย กับหลานสาวคนหนึ่ง จะร้ายแรงแค่ไหน เป็นเรื่องที่ปิดบังกัน หลานสาวคนนี้ ปัจจุบันสติก็ไม่ค่อยดี ไม่ทราบว่าเกิดจากเรื่องที่แกกระทำ หรือ เป็นของแกเอง

เมื่อดิฉันได้ยิน เรื่องนั้นมา ตอนแรกก็ไม่เชื่อ แต่มีบางอย่างในจิตใต้สำนึก บอกว่าเชื่อว่าแกทำแน่ บางครั้งเคยหวนคิดไปถึงตอนเด็ก แกอาบน้ำให้ครั้งนึง ตอนนั้นแม้เป็นเด็ก รุู้สึกไม่ชอบ และ ก็ไม่อยากให้แกอาบน้ำให้อีกเลย ส่วนแม่ของดิฉัน ตัดขาดกับแกอย่างสิ้นเชิง ไม่รับรู้เรื่องของแกอีก แกขอมาอาศัยอยู่ที่บ้าน แม่ก็ไม่ให้ พ่อดิฉันก็รังเกียจแก การส่งเงินให้แกทุกเดือนนั้น แม่ดิฉันก็ไม่รู้

ตอนนี้ ดิฉันรังเกียจแก รังเกียจพฤติกรรมของแก แต่พยายามข่มไว้ไม่ให้ใครรู้ แม้แต่แกเอง ก็ไม่เคยแสดงให้รับรู้ ยังส่งเงินให้ทุกเดือน และสอบถามความเป็นอยู่แกบ้างตามสมควร

ดิฉันอยากถามว่า การตอบแทนบุญคุณนั้น ทำแค่นี้พอหรือไม่ เราตอบแทนไปตามหน้าที่ โดยจิตใจเราไม่สามารถกำจัด หรือแยกส่วนดี เลวของแกออกจากกันได้ ถือว่าเราตอบแทนบุญคุณพอแล้วหรือไม่

การไม่ไปดูแล เยี่ยมเยียน จะถือว่าเนรคุณหรือไม่

ขอแนวทางในการทำใจในกรณีนี้ และหากมีคำแนะนำอย่างไร ดิฉันขอน้อมรับไว้เพื่อพยายามปฏิบัติต่อไป

ขอให้อาจารย์ เจริญในธรรมยิ่งๆ ขึ้นไป บุญกุศลที่อาจารย์ชี้แนะแนวทางให้แก่ผู้คน ขอเป็นแสงสว่างในทางธรรมให้แก่อาจารย์และครอบครัวตลอดไป

ขอบคุณค่ะ

คำตอบ
ผู้ใดมีความไม่ชอบใจ (รังเกียจ) เกิดขึ้นกับจิตของตัวเอง ผู้นั้นมีบาปอยู่ในใจ แต่หากผู้ใดเห็นคนอื่นประพฤติไม่ดี แล้วเอาเขามาเป็นครูสอนใจตัวเองว่า เราจะไม่ประพฤติเช่นเขา ผู้นั้นมีบุญเกิดขึ้นกับใจ เจ้าคุณโชดกเคยสอนผู้ตอบปัญหาว่า “ หนี หมาให้ห่างศอก หนีวอก (ลิง) ให้ห่างวา หนีพาลา (คนพาล) ให้หนีห่างไกลลับตา ”

ฉะนั้น ผู้ถามปัญหาไม่เคยไปเยี่ยมเยียนผู้ถูกสมมุติว่าเป็นลุง มิได้ประพฤติผิดธรรมแต่อย่างใด

การส่งเงินไปให้ลุง การสอบถามความเป็นอยู่ของลุง เป็นสิ่งที่ประพฤติถูกแล้ว แต่ถ้าจะให้ดียิ่งขึ้น ควรนำหมู่ (หลายคน) ไปเยี่ยมเยือนตามโอกาสอันควร และการไม่ไปเยี่ยมเยือน ไม่ถือว่าเป็นการให้ร้ายผู้มีคุณ (เนรคุณ)

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 16 มิ.ย. 2010, 18:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอเรียนสอบถามเรื่อง ผีสิงหรือผีเข้า

ขออนุญาติเล่าที่ไปที่มาก่อน คือน้องสาวมีอาการผิดปกติ เหมือนคนป่วย จะรู้สึกกระวนกระวาย ใจไม่ดี ประมาณดึกๆเที่ยงคืนบ่อยไปหาหมอวินิจฉัยโรคจิต มีวันหนึ่ง แสดงอาการเป็นคนอื่น บอกเป็นผีผู้ชาย อยากมาอยู่ด้วย ได้ไปหาคนทรงทำพิธี ทุกอย่าง แล้วอาการดีขึ้น จากนั้นไปปฏิบัติธรรม เพื่ออุทิศส่วนกุศล ให้ผี หลังจากนั้น มีอาการปวดท้อง หมอวินิจฉัย ไส้ติ่ง และผ่าไส้ติ่ง ไปตรวปวดหลัง ขาขวาอ่อนแรง หมอวินิจฉัยกระดูกทับเส้น แต่เอกเรย์ไม่มีอะไร ไปตรวจซ้ำ มีอาการสั่น หมอสงสัยโรคไทรอยด์ เจาะเลือดก็ปกติ ต่อมาน้องสาวจะรู้สึกว่า อึดอัด หายใจไม่ออก ถ้ามีคนที่ทำบุญเยอะๆ เดินเข้าหา และยังหลุดแสดงตัวเป็นผี มีเสียงเปลี่ยน อึดอัด บอกเป็นผีตนเดิมที่ยังอยู่เกาะอยู่ในร่างกาย มาขออยู่ด้วย ได้ไปหาพระอาจารย์หลายวัด ท่านแนะนำทำบุญแผ่ส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร

ถึงตอนนี้ น้องสาวดีขึ้น แต่ยังรู้สึกว่ายังมีอยู่ในร่างกาย แต่สามารถกำหนดรู้ และบังคับ เวลามีอาการไหลท้องขึ้นมาถึงหน้าอก ยังมีอาการเดินกระเผลก บ้าง แต่จิตใจดีขึ้น แต่ยังอยากให้หายขาด ตั่้งแต่ผีเข้า จน ปัจจุบัน เกือบ 3 เดือนแล้ว ที่ทำอยู่ตอนนี้ ตักบาตร ไปวัด ทำบุญ สวดมนต์ เดินจงกรม นั่งสมาธิ แผ่ส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร ทุกวัน ทุกวันก็ให้น้องสาวมองบวก ว่าเขามาสอนให้เราปฏิบัติ ในการกำหนดรู้ แต่น้องสาวอยากหายเป็นปกติ

เรียนขออาจารย์ช่วยเหลือ น้องสาว ให้หายป่วย ด้วยครับ ว่าจะต้องทำวิธีใด
ขอบพระคุณมากครับ

คำตอบ
พฤติกรรมที่น้องสาวประพฤติอยู่ขณะนี้ ทำได้ถูกตรงแล้ว แต่จะให้ดียิ่งขึ้น ควรนำตัวเข้าปฏิบัติธรรมที่เป็นหมู่คณะ ยิ่งมีจำนวนนักปฏิบัติธรรมมากยิ่งดี แล้วขอความเมตตาทุกคนที่ร่วมปฏิบัติธรรม อุทิศบุญกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรของน้องสาว และจะยิ่งดีที่สุด หากน้องสาวปฏิบัติธรรมจนสามารถเข้าถึงดวงตาเห็นธรรมได้แล้ว ปัญหาดังกล่าวย่อมหมดไป

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 16 มิ.ย. 2010, 18:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ก่อนที่ผมต้องส่งคำถามมาถามท่านอาจารย์ ผมต้องตรองอยู่นานเกรงว่า สิ่งที่ผมถามจะเป็นเรื่องไร้สาระรึเปล่าสำหรับท่านอาจารย์ แต่ผมคงต้องถามไม่งั้นผมคงจะคาใจ แล้วจะปฎิบัติต่อไปไม่ได้ ดังนั้นจึงขอความอนุเคราะห์จากทางท่านอาจารย์ด้วยนะครับ คือกระผมได้เจริญสติตามแต่เวลาเอื้ออำนวย สืบเนื่องมาจากกระผมต้องทำงาน และต้องอ่านหนังสือไปด้วย ทำให้บางทีอาจจะปฎิบัติได้ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยนัก และเป็นการปฎิบัติตามแนวท่านที่เคยได้ไปปฎิบัติกับทางวัดกรรมฐานแห่งหนึ่ง เมื่อนานมาแล้ว ทำให้กระผมเองไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น ผมคิดไปเองรึเปล่า ดังนั้นจึงขออนุญาตถามท่านอาจารย์เป็นข้อๆดังต่อไปนี้

1. คือที่ผ่านมาผมก็ฝึกเจริญสติอยู่ที่บ้านไม่ได้ไปที่วัด แต่ก็ได้ปฎิบัติโดยอาศัยจากคำสอน ที่ท่านพระอาจารย์ท่านหนึ่งเคยให้ไว้ นำมาปฎิบัติประกอบหาจากหนังสือ ของท่านพระอาจารย์ที่มีเผยแพร่ไว้ ซึ่งเมื่อนานมาแล้ว ผมได้ไปปฎิบัติกรรมฐานกับพระอาจารย์ท่านนี้โดยทางวิทยาลัยจัดไปซึ่งเป็นวัด ที่เน้นทางด้านกรรมฐานแห่งหนึ่ง ย่านสิงห์บุรี ซึ่งก็มีการรับกรรมฐานจากท่านพระอาจารย์ อย่างกรณีนี้ถือว่าผมมีอาจารย์กรรมฐานแล้วหรือไม่ครับ หลังจากนั้นก็ไม่ค่อยได้ปฎิบัติเลยครับ บอกตรงๆนะครับรู้สึกหลายอย่างมันไม่เอื้อเลยครับช่วงนั้น

2. หลังจากกลับมาจากวัด ผมเองก็ไม่ได้สนใจปฎิบัติมากนัก แต่หลังจากที่ผมได้มีโอกาสบวชทดแทนคุณบุพการี ที่วัดแถวบ้านซึ่งท่านก็สอนการเจริญสติแบบสมถภาวนา ซึ่งผมเองก็ไม่ค่อยสนใจมากนัก และเมื่อได้ลาสิกขาออกมาและได้ฟังเสียงธรรมและเรื่องราวของท่านเจ้าคุณโชดก และพระอาจารย์ท่านนั้น ซึ่งท่านก็เป็นศิษย์ท่านเจ้าคุณอาจารย์เช่นกัน ทำให้ผมเกิดศรัทธาและเสียดาย ที่ไม่ได้ปฎิบัติในสิ่งที่ควรปฎิบัติขณะอยู่ในเพศบรรพชิต เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงเริ่มปฎิบัติ

ผมจึงได้ปฎิบัติเรื่อยมาตามแต่เวลาเอื้ออำนวย ซึ่งขณะเจริญสติผม ณ.ขณะนั้นก็ไม่ค่อยรุ้สึกอะไรมากนัก กล่าวคือไม่รุ้สึกถึงสิ่งต่างๆแบบคน อื่นๆเขา ไม่ว่าจะนิมิตหรืออะไร นอกจากอาการเวทนาต่างๆ พวกปวดโน่น ปวดนี้ หรืออาการคันหรือปิติ ซึ่งอาการดังกล่าวผมเอง ก็ได้กำหนดตามที่เคยได้รับการสอนมา หรือค้นคว้าเพิ่มเติมตามแนวของท่านทั้งสอง ซึ่งผมเคยได้มีโอกาสไปที่คณะห้า ซึ่งทางคณะห้าได้บอกว่าเป็นแนวเดียวกัน ซึ่งผมเองก็ไม่แปลกใจครับ ก็ท่านเป็นศิษย์อาจารย์กันนี่นา นอกจากขณะเจริญสติจะไม่มีอาการใดเด่นชัด ดังเช่นคนอื่นแต่มีอาการวูบซึ่งเกิดทั้งขณะเดินหรือนั่ง ซึ่งอาการแบบนี้เกิดจากอะไรคับ เคยได้ยินมาบ้างว่าอาจเกิดจากอาการง่วง ถ้าอย่างงั้นเราจะรุ้ได้ยังไงว่า อาการดังกล่าวเกิดจากการง่วงจริงหรือเกิดจากอย่างอื่น

และบางครั้งในขณะที่ไม่ได้เจริญสติ เวลาผมมองร่างกายแล้วมันเหมือนไม่ใช่ของเรา ซึ่งอาการเหล่านี้จะเกิดขึ้นขณะเรามองส่วนนั้นสักระยะ เช่น ขณะล้างมือ เมื่อมองดูมือ เหมือนไม่ใช่มือ ขณะขับถ่าย มองขาเหมือนไม่ใช่ ขา ตัวเอง เป็นต้น ส่วนเวลามองคนอื่นนั้นหากเป็นคนอื่น บางครั้งก็รุ้สึกเช่นเดียวกันแต่ก็ไม่ทุกคน ซึ่งอาการดังกล่าวเพิ่งมาเกิดในช่วงนี้ สืบ เนื่อง จากช่วงนี้จะปฎิบัติมากกว่าช่วงก่อนหน้านี้ครับ และบางครั้งหากไม่ได้เจริญสติอาการนั้นก็ยังมีอยู่ และมีความรุ้สึกอยากจะกลับไปเจริญสติ อาการดังกล่าวผมผิดปกติหรือคิดไปเองรึเปล่าคับ ถ้าผิดปกติมีทางแก้ไหมคับ และจำเป็นไหมที่เราต้องไปสอบอารมณ์ และฟังเทศน์ลำดับญาณ (ซึ่งกรณีหลังผมไม่อยากฟังเนื่องจากกลัวว่าพอฟังไปแล้วจิตจะเกิดสัญญา แล้วจะมีปัญหาในการปฎิบัติ)

3. ผมอยากให้อาจารย์ช่วยอธิบายเกี่ยวกับพละ 5 ด้วยครับหรือจะชี้ช่องว่าไปหาดูเพิ่มเติมที่ไหนก็ได้ครับ รวมถึงอยากทราบด้วยว่า ขณะที่เราเรียนหนังสือ (คือผมต้องเตรียมตัวสอบเข้ารับราชการ และทำงานไปด้วย ซึ่งก็ไม่เกี่ยวกับที่จะไปสอบเลย ซึ่งผมเรียนมามาสองสาขาครับ)

เราควรจะปฎิบัติเน้นทางสมถภาวนาดี หรือวิปัสสนาดีครับ และควรใช้เวลาประมาณเท่าใดต่อวัน หรือจะเอาตามที่เวลาเอื้ออำนวย และหาเวลาเพิ่มเติมจากเลิกทำกิจกรรมที่ไม่มีสาระ เช่นดูทีวี และหันมาปฎิบัติแทนครับ และท่านอาจารย์ครับช่วงนี้ผมอยากบอกท่านอาจารย์ว่า ผมเองก็สับสนไปหมดแล้วว่าจะเอายังไงจะเน้นทางโลก หรือทางธรรมดี เพราะทางโลกผมเองก็ยังมีภาระอยู่ครับ ซึ่งก็ต้องรอให้อะไรมันคลี่คลาย แต่ก็กลัวว่าจะหมดอายุเสียก่อนได้ปฎิบัติธรรมอย่างจริงจัง หวังว่าท่านอาจารย์จะอนุเคราะห์ผมด้วย

ขอบคุณสำหรับความอนุเคราะห์ และความเสียสละของท่านอาจารย์ ที่กรุณามาช่วยไขปัญหาให้ครับ
และสุดท้ายนี้ต้องขออภัยด้วยถ้าเขียนข้อความวกวน หรือเขียนผิดไปบ้าง ขอขอบคุณอีกครั้งครับ

คำตอบ
(๑). ที่บอกเล่าไปถือได้ว่ามีอาจารย์ให้กรรมฐานแล้ว

(๒). ผู้ใดปฏิบัติธรรมอย่างไม่จริงจัง ย่อมเข้าไม่ถึงมรรคผลของธรรมที่ปฏิบัติ ที่บอกเล่าไปเป็นอาการปกติของคนที่มีกำลังสติ กำลังความเพียร กำลังขันติ กำลังปัญญา ฯลฯ อ่อน

(๓). ผู้ถามปัญหาประสงค์รู้เรื่อง พละ ๕ สามารถหาอ่านได้จากพจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม ของ พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต) และหากประสงค์ให้มีพละ ๕ เกิดขึ้นกับจิตของตัวเอง ต้องนำตัวเข้าปฏิบัติธรรม

ผู้ใดปรารถนาให้ตัวเองมีจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ มีความจำดี มีความขยัน ต้องปฏิบัติสมถกรรมฐาน และผู้ใดปรารถนามีปัญญาเห็นถูกตามธรรม ต้องนำตัวเองเข้าปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน โดยมีศีล มีสัจจะ มีความเพียร มีขันติ ฯลฯ เป็นเครื่องสนับสนุนแล้ว ย่อมบรรลุความปรารถนาได้ แต่จะได้มากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับกำลังของคุณธรรมที่พัฒนาได้ รวมถึงบุญบารมีเก่าที่ทำสั่งสมไว้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 79, 80, 81, 82, 83, 84, 85 ... 102  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร