วันเวลาปัจจุบัน 26 ส.ค. 2025, 14:33  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 74, 75, 76, 77, 78, 79, 80 ... 102  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 16:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คือตัวหนูทำงานมูลนิธิด้วยกันกับสามี ที่ต่างประเทศค่ะ ได้รับเงินเดือนจากเงินที่บริจาคเข้ามาค่ะ ทีนี้หนูเคยสงสัยหลาย ๆ อย่างเพราะมีความรู้สึกไม่ดี กลัวว่าจะเป็นบาปกรรมติดตัวไปโดยที่เราไม่รู้ตัวอ่ะค่ะ ข้อสงสัยของหนูคือ

1. หนูมีปัญหากับลูกสาวของสามีที่ทำงานด้วยกัน บางครั้งถูกกดดันอยากออกไปทำงานอื่นแทน ทีนี้เพื่อนพูดว่างานที่ทำอยู่เป็นงานที่ได้บุญ หนูเลยสงสัยว่าเราทำงานเพื่อเงินเดือนอยู่แล้ว เราจะได้บุญตรงไหนคะ

2. ลูกสาวของสามีเคยไปทำงานแล้วทำเงินของมูลนิธิหายไปประมาณเกือบ 4000 เหรียญ หนูแนะนำสามีว่าควรจะให้ลูกสาวคุณรับผิดชอบ เพราะถือว่าเงินจำนวนนี้ ไม่ว่าใครทำหาย สามี หนู หรือลูกสาวคุณ ก้อต้องรับผิดชอบเงินจำนวนนี้ เพราะเป็นเงินที่เค้าบริจาคเข้ามา ควรจะดูแลหรือใช้จ่ายให้รัดกุม

ไม่ทราบว่าหนูคิดถูกหรือผิดอย่างไรคะ

3. บางเรื่องหนูเห็นลูกสาวของสามีทำไม่ค่อยถูกต้องหรือเหมาะสมหลาย ๆ อย่าง เช่นบางครั้งเปลี่ยนมือถือบ่อย ๆ โดยใช้เงินของมูลนิธิ บางครั้งออกไปทานข้าวกับแฟน ก้อใช้เงินของมูลนิธิ โดยเขียนอ้างในบิลว่าคุยเรื่องงาน หนูทำบัญชี หนูเลยเห็นในส่วนต่าง ๆ เหล่านี้ค่ะ หนูก้ออยู่ในลักษณะพูดไม่เข้า คายไม่ออก เพราะรู้สึกว่าสิ่งที่เธอทำไม่สมควร ไม่ทราบว่าหนูคิดผิดถูกอย่างไรบ้างคะ

4. ที่หนูกังวลใจ เพราะเคยมีคนพูดให้ฟังอ่ะค่ะว่า ถ้าใช้เงินของมูลนิธิไม่สมควรและถูกต้องจะกลายไปเป็นเปรตอ่ะค่ะ

ถ้าทราบคำตอบแน่นอนแล้ว หนูจะได้บอกให้สามีเข้าใจสิ่งที่ถูกที่ควรด้วยค่ะ

กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ดร.สนอง ไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยนะคะ
ผู้สงสัย

คำตอบ
(๑)การทำงานให้กับมูลนิธิ เป็นการช่วยเหลือผู้อื่น ผู้ทำได้บุญ ส่วนภาวะของจิตที่ถูกกดดัน อันเนื่องมาจากการทำงานร่วมกับผู้อื่น ถือว่าเป็นบาป ฉะนั้นงานที่ทำจึงได้ทั้งบุญและบาป ซึ่งผู้ถามปัญหาต้องประเมินดูด้วยตนเองว่า บุญและบาปที่เป็นผลมาจากการทำงานให้มูลนิธิ อย่างไหนมีมากกว่ากัน หากประเมินแล้ว ได้บุญมากกว่าบาป ถือว่าได้กำไร จงทำงานนี้ต่อไป หากเป็นไปในทางตรงข้าม ประเมินแล้วได้บาปมากกว่าบุญ ถือว่าขาดทุน จงยุติงานนี้แล้วไปหางานอื่นที่ได้บุญทำ

(๒) จะคิดถูกได้ต่อเมื่อ ต้องระบุหน้าที่และความรับผิดชอบของบุคคลที่ทำงานให้ชัดเจน และบันทึกเป็นหลักฐานด้วยเอกสารที่มีผู้ลงนามกำกับ

(๓) ผู้ถามปัญหาควรทำบัญชีให้ถูกตรงตามหน้าที่ มีหลักฐานตามข้อ (๒) กำกับ เมื่อใดที่ผลงานของมูลนิธิได้แสดงออกเป็นรายงาน ผู้อ่านเอกสารย่อมรู้เห็นเข้าใจด้วยตนเองว่า ผู้ใดประพฤติถูกตรงตามเจตนารมณ์ของผู้บริจาค ผู้ใดประพฤติผิดไปจากเจตนารมณ์

(๔) การใช้เงินไม่ถูกตรงตามความประสงค์ของผู้บริจาค ผู้ใดประพฤติแล้ว เป็นการสร้างเหตุให้บาปเกิดขึ้น เมื่อถึงเวลาที่จำเป็นต้องทิ้งขันธ์ลาโลก จิตวิญญาณจะถูกพลังของบาปผลักดันให้โคจร เข้าไปอยู่อาศัยในร่างที่เป็นเปรตในภพถัดไปได้

อนึ่ง หากประสงค์จะรู้ว่าเปรตมีจริงไหม ต้องพัฒนาจิตจนตั้งมั่นเป็นสมาธิระดับฌาน แล้วถอยจิตออกมาจากความทรงฌาน อธิษฐานพบเห็นเปรต เมื่อเหตุปัจจัยลงตัว ตาทิพย์ (ทิพพจักขุ) ย่อมสัมผัสกับสัตว์เปรตนั้นได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 16:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อก่อนผมเป็นคนที่ไม่เชื่อในเรื่องบุญบาป เชื่อว่าตายและสูญ และสงสัยว่าสัตว์ต่างที่เราบริโภค เช่น ปลา ไก่ หมูฯลฯ ในปัจุบันมีเป็นจำนวนมาก ประกอบกับประชากรของมนุษย์ก็เพิ่มขึ้นทุกวัน หากทุกชีวิตที่เกิดมาต้องมีดวงจิตทุกชีวิต แล้วดวงจิตมากมายขนาดนี้ มาจากไหนและมันจะเป็นไปได้หรือ ?

จนกระทั่งวันหนึ่งผมได้มีโอกาสพบกับพระสงฆ์องค์หนึ่ง ในการพบกับท่านครั้งแรกตัวผมเองก็ยังไม่มีความเลื่อมใส ซึ่งในใจก็คิดว่าท่านจะดีจริงหรือเปล่า หรือเป็นพระทุศีล ใบ้ห้วย ดูดวง ตามประสบการณ์ส่วนใหญ่ที่ผมได้ประสบและทราบมา และผมเองก็เริ่มไม่แน่ใจในความคิดและความเชื่อของผมดังที่กล่าวในข้างต้น เมื่อผมถามคำถามท่านเพียงแค่ 1 คำถาม ว่า" หากผมจะบวช แต่ผมไม่มีเงินแม้แต่บาทเดียวผมจะบวชได้หรือไม่ " ท่านไม่ได้ตอบสิ่งที่ผมถามในทันทีทันใดแต่ท่านกลับสอน และตอบในสิ่งผมเป็นทุกข์อยู่ในใจชึ่งได้ทำผิดมา

หลังจากนั้นท่านจึงตอบคำถามในสิ่งที่ผมถาม..... ผมเองเก็บความสงสัยว่า ท่านรู้ความคิดและสิ่งที่เราทำผิดมาได้อย่างไรเป็นเวลา 7 ปี จนวันหนึ่งก็ได้มีโอกาสฟัง ผลงานของท่าน ดร. อาจอง และ ดร.สนอง ผมก็พอจะเข้าใจอะไรบ้างแต่ไม่ทุกอย่างหลังจากนั้น ก็ดาวน์โหลดคำสอนของพระอาจารย์ต่างๆ ทั้งมีชิวิตและมรณะมาลองศึกษาดู แต่ก็ยังไม่เข้าใจเพียงลองทำตามที่ท่านแนะนำให้ปฏิบัติ

กระผมขอความเมตาจากอาจารย์ตอบขอสงสัยของกระผมดังนี้

1. การสวดมนต์เป็นภาษาบาลีแต่ไม่รู้ความหมาย กับการสวดเป็นภาษาไทย ซึ่งแปลความหมายแล้วและเข้าใจความหมาย เหมือนหรือต่างกันอย่างไรและอย่างไหนดีกว่ากันเพราะอะไร?

2. การถวายปัจจัย(เงิน) แก่พระบาปหรือไม่ทำอย่างไรจะไม่บาป

3. การทำสังฆทานที่ถูกต้องเป็นอย่างไร เพราะผมเห็นที่บ้านปฏิบัติไม่ตรงกับที่ได้รับทราบมา

4. การกรวดน้ำหากไม่ต้องเทน้ำ ใช้วิธีการคิดอุทิศส่วนกุศลได้หรือไม่อย่างไหนถูกต้อง

5. ผมได้ฟังจาก ดร.อาจอง และท่าน ว.วชิระเมธี ว่ากรรมอยู่ที่เจตนา หากมีบุคคลใช้อำนาจหน้าที่ที่สูงกว่า บีบบังคับให้ผู้น้อยต้องคอรับชั่นให้ผู้บังคับบัญชา โดยที่ผู้น้อยไม่มีเจตนาและไม่มีส่วนได้จากทรัพย์นั้น และไม่รู้สึกเศร้าหมองจะบาปและมีผลแห่งบาปหรือไม่อย่างไร

6. ทำอย่างไรจึงจะได้พบกับอาจารย์และเป็นลูกศิษย์ทางธรรม(ใกล้ชิด)

7. การฝึกสติ (สมาธิ) จำเป็นต้องมีศีล 5 คุมใจก่อนฝึกใช่หรือไม่ การอาราธนาศีล 5 เราคิดในใจได้หรือไม่โดยไม่ต้องเปล่งวาจา และไม่ต้องขอจากพระสงฆ์ได้หรือไม่

ด้วยความเคารพอย่างสูง

คำตอบ
( ๑ ) สวดมนต์ภาษาบาลีแต่ไม่รู้ความหมาย ไม่ต่างไปจากค้างคาว ๕๐๐ ที่ฟังพระสวดมนต์อยู่ในถ้ำ แต่จิตของค้างคาวจับอยู่กับเสียงที่ฟังแล้วมีความสบายใจ ค้างคาวทั้ง ๕๐๐ ตัว ตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดาอยู่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ผู้ใดสวดมนต์เป็นภาษาบาลีและรู้ความหมายของบทมนต์ที่สวด ความดีงามจากบทมนต์ที่สวด จะถูกเก็บบันทึกไว้ในใจได้มากกว่าการสวดมนต์ที่แปลเป็นภาษาไทยเพียงอย่างเดียว

( ๒ ) การถวายเงินแก่พระผู้ทรงศีล ผู้ถวายได้บุญ แต่หากถวายแด่ภิกษุผู้ทุศีล ผู้ถวายได้บาป ผู้ถามปัญหาประสงค์ถวายเงินแก่พระ ควรเอาเงินใส่ซองแล้วถวาย หากเป็นพระสายธรรมยุต ควรเขียนคำปวารณาแยกออกจากซองบรรจุเงิน แล้วนำใบปวารณาถวาย ส่วนซองบรรจุเงินก็วางไว้ในที่อันควร

( ๓ ) การถวายไทยธรรมให้กับหมู่สงฆ์ เรียกว่าถวายเป็นสังฆทาน ฉะนั้นจะอุปโลกน์สงฆ์หลายองค์มาร่วมกันรับของที่มีผู้ถวาย หรือมีสงฆ์เพียงหนึ่งองค์มารับถวาย เมื่อรับแล้วนำเครื่องไทยธรรมไปรวมเป็นส่วนกลางของหมู่สงฆ์ ที่สงฆ์ทุกองค์มีสิทธิ์นำไปบริโภคใช้สอยได้ จึงจะเรียกได้ว่าเป็นสังฆทาน

( ๔ ) ถูกทั้งสองอย่าง

( ๕ ) ผู้ใดมีจิตระลึกได้ในสิ่งที่ไม่ถูกต้องชอบธรรม ที่ตนมีส่วนร่วมกระทำ ทำให้ความเศร้าหมองของจิตเกิดขึ้น เรียกว่า บาป เมื่อใดที่กรรมให้ผล ความวิบัติของทรัพย์ย่อมเกิดขึ้นกับผู้มีส่วนร่วมในการประพฤติทุจริตนั้น

( ๖ ) เมื่อใดมีผู้ถามปัญหาพัฒนาจิต ให้มีธรรมวินัยสถิตอยู่กับใจ จนมีคุณธรรมสูงเท่ากัน การได้พบและเป็นศิษย์ในทางธรรม ย่อมมีโอกาสเป็นไปได้

( ๗ ) ข้อปฏิบัติที่ต้องศึกษาเรียกว่า ไตรสิกขา ( ศีล สมาธิ ปัญญา ) ศีลเป็นฐานรองรับใจให้ตั้งมั่นเป็นสมาธิ สมาธิเป็นฐานรองรับใจให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง ฉะนั้นผู้ใดประสงค์ฝึกจิตให้มีสติ เพื่อนำจิตเข้าสู่ความตั้งมั่นเป็นสมาธิ จำเป็นต้องมีศีลห้าที่ครบและบริสุทธิ์คุมใจให้ได้ก่อน

การอาราธนาศีลห้า เป็นการเชื้อเชิญหรือนิมนต์ให้พระบอกศีลให้ หากผู้ถามปัญหาอาราธนาศีลด้วยการคิดในใจ แล้วสงฆ์ผู้ถูกนิมนต์ให้บอกศีลรับทราบด้วยใจ แล้วบอกศีลให้ การไม่กล่าววาจาอาราธนาศีลย่อมทำได้

อนึ่ง ผู้ใดมีศีลห้าอยู่กับใจเป็นปรกติได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องอาราธนาศีลกับใครผู้ใด

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 16:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เวลาเราปฎิบัติธรรมเช่นนั่งสมาธิ สวดมนต์ ก็ทำให้จิตใจเราสงบ แต่ในโลกของความเป็นจริง ที่เราจะต้องแข่งขันทำงานเผชิญกับกิเลสมากมาย ที่เข้ามาทาง อายตนะ 6
ผมอยากจะเรียนถามว่าอะไรเป็นตัวยับยังให้จิตของเรานั้นมั่นคงไม่หวั่นไหวหรือหลงกับกิเลสพวกนี้ ครับ

คำตอบ
สติและสัมปชัญญะระดับโลกุตตระที่มีกำลังกล้าแข็ง จะเป็นตัวยับยั้งไม่ให้จิตตกเป็นทาสของกิเลสครับ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 16:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กระผมเป็นคนหนึ่งที่ยังอยู่ในกองทุกข์ และพอจะมองเห็นกองทุกข์อยู่เนืองๆในความสุขทางโลก กระผมจึงอยากยกจิตใจของตนเองให้เข้าถึงธรรม ให้เบาบางด้วยกิเลศ และปรารถณาให้เข้าถึงธรรมได้ในที่สุด จึงขอกราบเรียนท่าน อ.ดร.สนอง วรอุไร ดังต่อไปนี้คือ

1.ถ้าในช่วงเดือนตุลา-ปลายเดือนพฤศจิกายน ผมว่างจากการเรียนหนังสือ ผมพอจะหาเวลาให้ได้สัก 7 วันเป็นอย่างน้อย หรือ1 เดือนเป็นอย่างมาก
กระผมจึงอยากขอให้ อาจารย์ดร.สนอง ช่วยกรุณาชี้แนะว่าตัวกระผม ควรจะไปฝึกสมาธิ ฝึกวิปัสสนากรรมฐาน ที่ใด ที่ๆ ดร.สนองเห็นว่าเป็นที่ๆ ดี มีอาจารย์ที่ดีจริง ,กระผมพักอยู่ประจำที่กรุงเทพ แต่ก็สะดวกไปทุกที่ๆท่านอาจารย์ดร.สนองชี้แนะ ขอบคุณครับ.

2.ผมเคยไปฝึกนั่งสมาธิวิปัสสนา ที่วัด 2 ครั้ง นั่งไป 1 ชั่วไมง กับ 2 ชั่วโมง พอเวทนาจากความปวดเมื่อยมันเกิด ก็ไม่เปลี่ยนท่า ก็ใข้สติไปจับที่เวทนาที่เกิดจากกายแทน พอใช้สติจับไปเรื่อยๆ ก็เห็นว่าความเมื่อยนั้นมันก็ยังมีอยู่ แต่จิตเรามันเริ่มเบื่อหน่ายจากความเกิด-ดับของความเมื่อย เริ่มเห็นถึงความไม่เที่ยง และสุดท้ายก็ปล่อยวางลงได้ อันนี้ผมมาถูกทางแล้วใช่ไหมครับ ?

3.ถ้าพิจารณากายอยู่ ลมหายใจอยู่ ถ้าความเมื่อยมันเกิด เราก็ใช้สติไปจับที่เวทนา ใช่ไหมครับ ?

4.พอนั่งไปนานๆ ไม่ตรงเท้าซ้ายที่ถูกเท้าขวาทับมันร้อนมากๆ เหมือนถูกเอาไฟมาลนยังไงยังงั้น ผมลองทนดูใช้สติจับดูแต่มันก็ไม่หายไม่คิดเปลี่ยนท่า คือผมไม่รูว่ามันมาจากกรรมที่ผมเคยทำหรือ มันมาจากการทับเส้นครับ ส่วนมากนั่งไปนานๆ แล้วถึงจะเกิดครับ ...พอทนไปนานๆ เท้าที่ถูกทับกระตุกเลยครับ แต่ก็ไม่หายสักที แบบนี้ถ้าผมฝึกใหม่ผมจะต้องตั้งใจยอมตายไม่เปลี่ยนท่าเพื่อให้เข้าถึงธรรม หรือต้องเปลี่ยนท่าครับ ขอความกรุณาท่านอาจารย์สนอง ช่วยชี้แนะ .


* กราบขอขอบพระคุณดร.สนอง วรอุไร และทีมงานที่สละเวลามากๆ ครับขอให้มีบารมียิ่งๆ ขึ้นไป ขอให้สมปรารถณาในธรรม

คำตอบ
( ๑ ) แนะนำให้ไปฝึกกรรมฐานกับหลวงปู่พุทธอิสระ วัดอ้อน้อย อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม

( ๒ ) ใช่ครับ

( ๓ ) ความเมื่อยเป็นอารมณ์ของจิตที่ถูกสมมติเรียกว่า ทุกขเวทนา เกิดขึ้นเพราะจิตมีสติเคลื่อนออกไปจากการพิจารณากาย หรือสติเคลื่อนออกไปจากการพิจารณาลมหายใจ วิธีแก้ปัญหา ต้องกำหนดคำว่า “เมื่อยหนอๆๆๆ” ไปเรื่อยๆ จนความเมื่อยหายไป แล้วนำจิตกลับมาสู่องค์บริกรรมเดิม นี่เป็นวิธีเรียกสติกลับคืนมา ระลึกอยู่กับกายหรือระลึกอยู่กับลมหายใจ อย่างใดอย่างหนึ่งที่ใช้ฝึกจิตให้มีกำลังสติเพิ่มขึ้น

( ๔ ) ต้องเปลี่ยนจากนั่งบริกรรมไปเป็นการเดินจงกรม แล้วจะทำให้จิตมีกำลังสติเพิ่มขึ้น

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 16:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูมีข้อสงสัย
1.การรักษาศีล 5 ในชีวิตประจำวันนั้น ศีล 5 เป็นการควบคุมทางด้านกายและวาจาใช่หรือไม่ ดังนั้นถ้ามีการคิดที่ไม่ดีแต่ยังไม่มีการแสดงออกทางกายหรือวาจา ก็แสดงว่ายังไม่ผิดศีล 5 ใช่หรือไม่คะ(ทั้ง ๆที่สิ่งที่สำคัญที่สุด ก็คือเรื่องจิตหรือมโน และเป็นสิ่งที่ควบคุมอยากมากในปุถุชนว่าให้คิดแต่สิ่งที่ดี ๆอย่างเดียว)

2. การปฏิบัติกรรมฐาน-วิปัสสนา จะช่วยทำให้จิตบริสุทธิ์ขึ้น ดังนั้นผู้ที่บรรลุธรรมขั้นต้นแล้ว อย่างเช่นโสดาบัน จะไม่มีการคิดในทางที่ไม่ดีแล้วใช่หรือไม่

3. การถือศีลโดยเฉพาะในข้อที่ 4 ไม่กล่าวเท็จ ไม่พูดเพ้อเจ้อ ไม่พูดหยาบ ไม่พูดส่อเสียด โดยเฉพาะพูดเพ้อเจ้อทำยากมากคะ เพราะสอนหนังสือบางครั้งต้องสอนให้ตลก ๆ เพื่อให้นักเรียนสนใจในเนื้อหาที่เรียน อย่างนี้ถือว่าผิดศีลไหมคะ

ขอบคุณท่านอาจารย์คะ

คำตอบ
( ๑ ) ตอบว่า ใช่ สำหรับคนที่ศึกษามาทางด้านปริยัติ แต่ไม่ใช่สำหรับนักปฏิบัติธรรม ต้องเอาศีลห้าลงคุมให้ถึงใจ แล้วโอกาสที่ใจจะเข้าสู่ความตั้งมั่นเป็นสมาธิ จึงจะเกิดขึ้น ฉะนั้น การคิดไม่ดี ถือว่ามีศีลไม่บริสุทธิ์ ( ด่างพร้อย ) ปฏิบัติสมถกรรมฐานแล้วจิตไม่สามารถตั้งมั่นเป็นสมาธิได้

( ๒ ) ใช่ครับ

( ๓ ) การกล่าววาจาที่ทำให้ผู้ฟังรู้สึกขบขัน เรียกว่า พูดตลก นับได้ว่าพูดเพ้อเจ้อ และบางครั้งการพูดที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง พูดแล้วทำให้ผู้ฟังขบขันได้ ฉะนั้น การพูดเพ้อเจ้อไม่ถือว่าผิดศีล แต่ทำให้ศีลไม่บริสุทธิ์ ผู้มีศีลไม่บริสุทธิ์ สามารถปฏิบัติธรรมได้ แต่จิตเข้าไม่ถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิ ในระดับที่จะนำไปใช้เป็นฐานพัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้งได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 16:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ได้ติดตามอ่านหนังสือสนธนาธรรมของท่านหลายเล่ม จึงขอถามปัญหาเรื่องอุบัติเหตุ เนื่องจากเพื่อนได้ทักไว้ว่า ในช่วงชีวิตของตัวเองนั้นจะเกิดอุบัติเหตุทางรถปีเว้นปี และที่ผ่านมาได้เกิดเหตุการณ์ที่เพือนว่ามาตลอด และในปีนี้ก็เช่นกันก็ได้เกิดอุบัติเหตุทางรถอีกครั้ง แต่โชคดีที่ไม่ได้โดนกับตัวเองเป็นผู้อื่นโดนแทน แต่เพื่อนก็ได้บอกไว้ว่าอีกไม่นานก็ต้องโดนด้วยตัวเอง จึงอยากถามมีวิธีแก้จากหนักเป็นเบา หรือไม่โดนเลย ได้หรือเปล่า และอยากรู้ด้วยว่าชาติที่ผ่านๆ มาได้ทำกรรมอะไรไว้ ถึงต้องมีเหตุการณ์เช่นนี้ แต่ตัวเองก็ได้ปฏิบัติดูจิตตามสายของพระอาจารย์ปราโมทย์อยู่ พยายามพิจารณากาย แต่ก็กลัวว่าถ้าหากเกิดเหตุการณ์เข้าสักวันจะแยกกายกับใจไม่ได้ คือจะไม่มีสติในเวลาใกล้จะตาย

จึงขอให้ท่านช่วยชี้ทางให้ด้วยค่ะ

คำตอบ
ผู้ใดไม่ตั้งโปรแกรมจิตไว้กับตนเองว่า “จะประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์” ผู้นั้นย่อมปลอดภัยจากอุบัติภัยอันเนื่องมาจากรถยนต์ ฉะนั้น การมีสติระลึกได้ทุกครั้งก่อนเดินทางด้วยรถยนต์ว่า “การเดินทางครั้งนี้สะดวก ราบรื่น ปลอดภัย” จึงเป็นการตั้งโปรแกรมจิตที่ปลอดจากอุบัติภัยทุกด้าน

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 16:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. หากอธิษฐานจะรักษาศีล 5 ให้ครบทั้ง 5 ข้อ แต่หากวันใดทำได้ไม่ครบจะต้องทำอย่างไรเพื่อต่อศีลให้กลับมาสมบูรณ์ดังเดิม เช่น บางครั้งต้องพูดไม่จริงกับลูกค้าบ้าง มีบางท่านบอกว่าให้อธิษฐานขอขมาว่าจะไม่ทำอีก แล้วศีลก็จะกลับมาครบดังเดิม เป็นไปได้หรือ (เพราะหากเป็นไปได้ อย่างนี้ก็พูดปดกันได้ตลอดเวลา ตกเย็นก็มาขอขมา)

2. หากนั่งสมาธิ (ยังเป็นมือใหม่อยู่) จิตยังไม่นิ่งเท่าไรนัก สามารถแผ่กุศล/แผ่เมตตาให้แก่คนที่ต้องการได้ไหม แล้วจะไปถึงไหม

3. ครอบครัวชอบรับประทานอาหารทะเลเผา เช่น กุ้งเผา ปูนึ่ง นั้น หากข้าพเจ้าไม่ได้เป็นคนเลือกหรือสั่งเอง แต่ร่วมรับประทานด้วย จะบาปไหม ประมาณใด

คำตอบ

( ๑ ) อธิษฐานประพฤติสิ่งดีงามใดไว้ แล้วทำไม่ได้ ถือว่าเป็นการอธิษฐานที่ไร้สัจจะ ผู้หวังความสมปรารถนาในอธิษฐานจะไม่ประพฤติกัน การขอขมาที่ตนอธิษฐานแล้วประพฤติละเมิด สามารถทำได้ แต่ต้องไม่ให้การประพฤติละเมิดเกิดซ้ำขึ้นอีก ผลแห่งการขอขมาจึงจะเกิดการสัมฤทธิ์

( ๒ ) การนั่งสมาธิแล้วทำให้จิตตั้งมั่นแม้เพียงหนึ่งนาที บุญย่อมเกิดขึ้นแล้ว ผู้มีบุญสามารถอุทิศบุญที่ตนมีให้กับผู้อื่น ( คน ) ที่ตนปรารถนาได้ หากคนที่อยู่ปลายทางรับทราบการอุทิศ บุญนั้นย่อมส่งไปถึง

อนึ่ง หากผู้ส่งมีเมตตา แล้วแผ่เมตตาให้คนอื่นที่ตนปรารถนาจะแผ่ให้ ถ้าเขารับทราบ เมตตาย่อมส่งไปถึงเช่นกัน

( ๓ ) จะไม่เป็นบาปได้ต่อเมื่อ จิตไม่ได้ระลึกถึงว่า เขาได้นำสัตว์ทะเลเป็นๆมาเผาให้เรารับประทาน แต่จะเป็นบาปหากขณะรับประทานแล้วเกิดความสงสัย เขาเอาสัตว์เป็นๆไปเผาเพื่อเรา ส่วนจะบาปมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับการจองเวรของสัตว์ และขึ้นอยู่กับจำนวนของสัตว์ที่ถูกเผา

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 16:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ในการอธิษฐานจิต คือทราบมาจาการตอบคำถามของ ดร สนอง ว่าต้องมีสัจจะด้วย ไม่เข้าใจค่ะ ว่าต้องมีสัจจะยังงัยคะตอนอธิษฐาน ชอทราบหลัก และคำอธิบายหน่อยค่ะ

ขอโทษ และขอบคุณ ความเมตตาจิตของท่านค่ะ

คำตอบ
มีสัจจะหมายถึง มีความซื่อตรง ไม่กลับเป็นอย่างอื่น เช่น ตั้งใจว่าจะสวดมนต์ก่อนนอนทุกคืน ต้องประพฤติให้ได้ทุกคืนก่อนนอน หรือตั้งใจว่าจะรักษาศีลข้อสองให้ได้ ่ต้องไม่ประพฤติคอรัปชั่น หรือไม่เอาสิ่งของที่เจ้าของยังมิได้อนุญาตยกให้มาเป็นของตน อย่างนี้เรียกว่ามีสัจจะ

ฉะนั้น ก่อนอธิษฐานจิต ผู้ใดมีสัจจะแล้วกล่าววาจาอธิษฐาน คำอธิษฐานจึงจะมีความศักดิ์สิทธิ์

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 16:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การสาบานถ้าเราไม่เต็มใจที่จะสาบานถูกบังคับแต่เราก็สาบานไปต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะมีผลหรือไม่
ถ้าเราผิดคำสาบานและวิธีแก้ไขหรือไม่ช่วยตอบหน่อยนะค่ะหนูไม่สบายใจมากเลยค่ะ

กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ดร.สนอง ไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยนะคะ

คำตอบ ศาสนาพุทธมิได้สอนให้พุทธบริษัทประพฤติสาบาน แต่สอนว่า กรรมอยู่ที่เจตนา ฉะนั้น การถูกผู้อื่นบังคับให้ประพฤติสาบาน โดยที่ผู้ถูกกระทำไม่เต็มใจหรือไม่มีเจตนา ผลของกรรมย่อมไม่มี แต่หากจิตของผู้ถูกบังคับให้สาบาน ยังระลึกถึงการผิดคำสาบานแล้วทำให้ไม่สบายใจ นั่นคือ บาปที่เกิดขึ้นแล้วกับใจ ผู้ใดประสงค์ปลอดจากความไม่สบายใจ ต้องไปขอขมาโทษต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เช่น พระพุทธรูป แล้วต้องไม่ประพฤติสาบานให้เกิดขึ้นซ้ำอีก

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 16:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


..ลูกไม่อยากให้คุณพ่อทำบาป และไม่ต้องการเป็นลูกที่เนรคุณพ่อแม่ คุณพ่อเป็นข้าราชการและโกงของหลวงเป็นอาชีพมานาน นับล้านบาท....ปัจจุบันก็ทำไม่หยุดถ้าลูก ๆ แจ้งความกับตำรวจจะได้หรือไม่ และถ้าแจ้งความจะบาปมากแค่ไหน ( กลัวเนรคุณพ่อ )

แต่ไม่ต้องการให้พ่อทำผิดไปมากกว่านี้...

คำตอบ
“ กัมมุนา วัตตตี โลโก ” สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม พ่อประพฤติทุศีลข้อสอง คือโกงของหลวงเป็นเรื่องของพ่อ หากพ่อยังไม่ศรัทธาในความดีและยังไม่ขอร้องให้ลูกสอน ในทางธรรมลูกไม่มีสิทธิ์ไปสั่งสอนพ่อ และเช่นเดียวกัน หากลูกหวังดีไม่ให้พ่อประพฤติผิดไปมากกว่านี้ ด้วยการไปแจ้งความกับตำรวจให้ดำเนินการ ถือว่าประพฤติเนรคุณต่อบุพการี เมื่อใดที่กรรมให้ผล ความวิบัติของชีวิตและงานย่อมเกิดขึ้นกับผู้ประพฤติเนรคุณ ผู้รู้เอาพฤติกรรมโกงของหลวงของผู้อื่น มาเป็นครูสอนใจตัวเองว่า เราจะไม่ประพฤติเช่นนั้น แล้วจะไม่วิบัติเมื่อกรรมให้ผล

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 16:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. คุณพ่อป่วยเป็นมะเร็งค่ะ และกำลังได้รับการรักษา สภาพโดยทั่วไปยังค่อนข้างแข็งแรงดี แต่ที่เป็นห่วงคือปกติแล้วทั้งคุณพ่อ และคุณ แม่ ไม่สนใจในการทำทาน รักษาศีล และภาวนา มีบ้างคือการช่วยเหลือคนที่เดือดร้อน และได้ทำกิจการงานที่เป็นกุศล คือสร้างถนน หนทางสาธารณะ

ดิฉันควรกับจะทำอย่างไรให้ท่านทั้งสอง ได้มีโอกาสสร้างอริยทรัพย์ และ มี สัมมาทิฏฐิ ก่อนจะหมดเวลาในชิวิตนี้ ท่านทั้งสองอยู่กับความโกรธ ความไม่พอใจ ความไม่ให้อภัย แม้กระทั่งพี่น้องของตนและคู่ครอง มาตลอดเวลา และเนื่องจากการไม่มีกุศลมาคุ้มครอง ทำให้เห็นผิดเป็นถูก เสียหายจากคนที่เข้ามาเพื่อหาผลประโยชน์คนแล้วคนเล่า

2. ด้วยเหตุที่คุณแม่เป็นผู้ควบคุมการเงินของกิจการ 3 บริษัท มีอยู่หนึ่งธุรกิจ ที่ไม่ประสบความสำเร็จ และต้องการการปรับปรุงแก้ไข แต่คุณแม่ไม่ยอมรับฟัง และ ยังเอาเงินของอีก 2 บริษัท และของน้องสาวไปสนับสนุนค่าใช้จ่ายของธุรกิจนั้นตลอดเวลาสิบกว่าปี ที่ผ่านมา ซึ่งเหมือนเอาเงินไปถมทะเล และเมื่อไม่พอก็ยืมคนรู้จักตลอด นอกจากนี้ไม่ยอมสำรองเงินของกิจการสำหรับเรื่องฉุกเฉิน ทุกคนในครอบครัวก็อดทน เพราะไม่อยากทำร้ายน้ำใจคุณแม่ แต่ความเสียหายก็มีแต่จะเพิ่มขึ้น จะทำอย่างไรดีคะให้คุณแม่เข้าใจ และลดทิฏฐิลงได้ คุณแม่อายุ 64 ปีแล้ว แต่เพราะท่านทำงานมาตลอดชีวิต คิดว่าความกลัวที่จะสูญเสียอำนาจมีอยู่ด้วยค่ะ

ขอความกรุณาจากอาจารย์ด้วยค่ะ

ขอขอบพระคุณป็นอย่างสูง

คำตอบ
(๑) การประพฤติทุศีลข้อปาณาติบาต เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผู้ประพฤติวิบัติจากการเจ็บป่วยเป็นมะเร็ง ส่วนการช่วยเหลือคนอื่นและสร้างถนนให้คนอื่นสัญจรได้สะดวก ถือว่าเป็นบุญ แต่พลังบุญมีน้อยกว่าพลังบาป การเจ็บป่วยจึงได้เกิดขึ้น

การที่จะทำให้ท่านทั้งสองเปลี่ยนความเห็นผิด ให้กลับมาเป็นความเห็นถูก ผู้เป็นลูกต้องพัฒนาตนเองให้เป็นผู้มีคุณธรรม เมื่อท่านทั้งสองเกิดความศรัทธาในตัวลูก แล้วเอ่ยปากให้ลูกสอนได้ เมื่อนั้นโอกาสที่ท่านทั้งสองมีความเห็นถูกและสร้างอริยทรัพย์ให้กับตนเอง ย่อมเกิดขึ้นได้

(๒) ผู้ใดพัฒนาจิต จนเข้าถึงสัจจธรรมของชีวิตได้แล้ว เรื่องขาดทุนหรือกำไรในธุรกิจ จะเป็นบทเรียนให้กับชีวิตว่า สมบัติทางโลกนำความคับแค้นใจมาให้ผู้เป็นเจ้าของ ตายแล้วไม่มีใครสักคนสามารถนำติดตัวไปสู่ปรโลกได้ ผู้นั้นจะอยู่กับสมบัติทางโลกอย่างรู้เท่าทัน และพร้อมจะจากไปอย่างไม่เสียดายเมื่อวันสุดท้ายของชีวิตเวียนมาถึง ยิ่งไปกว่านั้น ผู้รู้จริงเกี่ยวกับชีวิต นิยมสร้างและสั่งสมทรัพย์ภายใน คือบุญ ให้มากเท่าที่สามารถทำได้ เพราะทั้งหมดที่เป็นบุญ สามารถนำสู่ปรโลกได้

ดังนั้นเรื่องของแม่จึงเป็นบทเรียนที่ดี ที่ผู้เป็นลูกจะเอามาเป็นครูสอนใจว่า ผู้ใดมีจิตเป็นทาสของมนุษย์สมบัติ ย่อมไม่ต่างไปจากบุคคลผู้ถูกงูพิษกัด ซ้ำเมื่อตายไปแล้วความหลงยังนำสู่การเกิดเป็นสัตว์ในอบายภูมิอีกด้วย

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 16:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันมีโอกาสไปปฏิบัติธรรมกลับมาครั้งนี้ ( เป็นครั้งที่ 3 ค่ะ ) แต่ครั้งแรกไป 2 วันเมื่อตอนสิ้นปีและวันขึ้นปีใหม่ตอนปีนี้ ครั้งที่สองไป 5 วัน ส่วนครั้งนี้ไป 6 วัน ครั้งนี้มีโอกาสได้อ่านหนังสือทางสายเอกของท่าน เลยทำให้สนใจในการปฏิบัติวิปัสนากรรมฐานมากขึ้น เพราะแต่เดิมเวลาไปปฏิบัติสำนักปฏิบัติจะเน้นการปฏิบัติ มากกว่าการที่จะได้ศึกษาในเรื่องของเหตุและผลของการปฏิบัติ นอกจากว่าเวลาเรามีปัญหาก็ให้ถาม ตอนที่ไปปฏิบัตินี้มีความประสงค์อยากให้จิตใจนิ่งและมีสติมากขึ้น และต้องการสร้างบุญน่ะค่ะแต่ไม่ได้มีการศึกษาไปก่อน แต่พอได้อ่านก็รู้สึกว่าธรรมะมีอะไรที่น่าศึกษาหลายอย่าง มีคำถามจะเรียนถามท่านดังนี้ค่ะ

1. เวลาปฏิบัติแล้ว เราจะรู้ไ้ด้อย่างไรคะว่าจิตเราเข้าถึงสมาธิหรือยัง เพราะบางทีกำหนดยุบหนอพองหนอแล้ว จิตเราไม่ได้คิดเรื่องอื่นเลยแต่ก็ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้น ( เพราะเคยได้ยินคนอื่นพูดกันว่าบางทีจิตก็จะได้ยินเสียง หรือรู้สึกอะไรบางอย่าง )

2. ครั้งล่าสุดที่ไปปฏิบัตินี้ ก่อนที่จะลาศึลตอนก่อนจะเช้าเกิดความฝันว่ามีพระยืนชี้นิ้วมาที่เรา แล้วบอกว่า " ที่ผ่านมายังไม่ใช่ของจริงแต่ 10 วันหลังจากนี้ต่างหากคือของจริง " แล้วก็ตกใจตื่น แต่ไม่เข้าใจว่าเราฝันเพราะอุปาทานไปเอง หรือมีความหมายอะไรหรือไม่ แล้วถ้ามีความหมายก็ไม่เข้าใจเหมือนกันค่ะ แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ยังตั้งใจว่าจะพยายามปฏิบัติอยู่ ถึงแม้ว่าจะลาศีลมาแล้วก็ตามค่ะ

3. แม่ของดิฉันมีอาชีพค้าขายอาหารที่ทำจากปลา ต้องฆ่าปลาเป็นประจำ แต่แม่ของดิฉันก็เป็นคนดีนะคะ ถึงแม้ว่าไม่ค่อยได้มีโอกาสได้ไปทำบุญบ่อย ๆ แต่ถ้ามีโอกาสแม่ก็จะทำบุญอยู่ อยากเรียนถามว่าอย่างนี้จะมีบาปมากไหมคะ แล้วเวลาที่เรานั่งวิปัสนากรรมฐานอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรของแม่จะมีผลบ้างไหมคะ

ขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์อย่างสูงนะคะที่จะช่วยไขข้อข้องใจ
( จริง ๆ แล้วดิฉันมีคำถามอีกมากที่อยากทราบแต่ขอ รบกวนอาจารย์ไว้แค่นี้ก่อนค่ะ ขอขอบพระคุณค่ะ )

คำตอบ
(๑) ผู้ใดมีจิตจดจ่ออยู่กับสิ่งกระทบในอิริยาบถปัจจุบันขณะ ผู้นั้นย่อมมีจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ ซึ่งมีตัวบ่งชี้ดังนี้

• จิตทั้งตั้งมั่นเป็นขณิกสมาธิ เป็นผู้มีจิตสงบจากอารมณ์ชั่วประเดี๋ยวประด๋าว ขณะใดที่จิตขาดสติจะรับเอาสิ่งกระทบ (อุปกิเลส) เข้าปรุงอารมณ์ แล้วทำให้ใจเศร้าหมองขุ่นมัวได้

• จิตที่ตั้งมั่นเป็นอุปจารสมาธิ เป็นผู้มีจิตสงบจวนแน่วแน่ สมาธิระดับนี้สามารถใช้จิตตามดูผัสสะ จะเห็นว่าทุกผัสสะดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ แล้วปัญญาเห็นแจ้งในผัสสะย่อมเกิดขึ้น

• จิตที่ตั้งมั่นเป็นอัปปนาสมาธิ เป็นผู้มีจิตสงบแน่วแน่ เรียกว่าเป็นสมาธิระดับฌาน จิตไม่รับสิ่งกระทบภายนอกใดๆเข้าปรุงอารมณ์ มีเพียงอารมณ์ของฌานเท่านั้นที่เกิดขึ้น จิตปลอดจากนิวรณธรรม (ความพอใจในกามคุณ ความคิดร้ายผู้อื่น ความหดหู่ซึมเซา ความฟุ้งซ่านรำคาญ ความลังเลสงสัย) ตราบนานเท่าที่จิตทรงอยู่ในสภาวะความเป็นฌาน

ฉะนั้นผู้ถามปัญหา ต้องไม่ใช้สมองคิด แต่ต้องใช้จิตที่ตั้งมั่นจวนแน่วแน่ ตามดูอารมณ์ที่เกิดขึ้นกับใจของตัวเอง แล้วจะเข้าใจสภาวะของจิตตนเองได้

(๒) ผู้ใดสามารถพัฒนาจิต จนเห็นอารมณ์ปรุงแต่งของใจ (จิตสังขาร) ดับไปตามกฎไตรลักษณ์ ผู้นั้นจะไม่สงสัยในนิมิต (ความฝัน) ที่เกิดขึ้น ฉะนั้นจงพิสูจน์ด้วยตนเอง ฝึกพัฒนาจิตต่อไปด้วยมีศีล ๕ ที่บริสุทธิ์คุมใจ มีสัจจะ และมีความเพียรเป็นเครื่องสนับสนุน โอกาสเข้าถึงความจริงตามที่กล่าว จึงจะเกิดขึ้นได้

(๓) คนดีที่ประพฤติทุศีล เป็นคนที่มีทั้งบุญและบาปสั่งสมอยู่ในจิตตนเอง จะบาปมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับ จำนวนปลาที่ถูกฆ่า และความรุนแรงจากการผูกเวรของปลา ผู้ใดไม่หยุดประพฤติปาณาติบาต แม้เพียงปฏิบัติสมถกรรมฐาน จิตไม่สามารถเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิได้ จิตยังฟุ้งซ่านด้วยอารมณ์หลากหลาย บุญที่เกิดจากการปฏิบัติกรรมฐานจึงเกิดขึ้นน้อย การอุทิศบุญปริมาณน้อยให้เจ้ากรรมนายเวรย่อมมีผลบ้าง แต่เป็นผลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 16:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูมีคำถามดังนี้ค่ะ
1, หนูเชื่อในกรรม การเวียนว่ายตายเกิด เชื่อในสิ่งที่พระพุทธองค์ตรัส เชื่อว่าพระพุทธเจ้ามีจริง ธรรมของพระองค์จริงแน่นอน ตอนนี้หนูปฏิบัติทุกวันค่ะ สวดมนต์ นั่งสมาธิ ฟังธรรม อ่านหนังสือธรรม เวลาระหว่างวันก็พยายามไม่ให้จิตเผลอด้วยการกำหนดลมหายใจหรือภาพพระบ้าง สวดมนต์สั้นในใจบ้าง สิ่งที่หนูได้ศึกษาและปฏิบัตินั้นทำให้หนูอยากตัดภพชาติให้สั้นลงไม่อยากเกิดนาน หนูเห็นในโลกมีแต่ทุกข์เต็มไปหมด หนูมีความศรัทธาศาสนาพุทธมากขึ้น ปัญหาหนูคือ หนูมีความรู้สึกว่าไม่อยากทำงานที่ต้องติดต่อลูกค้า พูดคุยเจรจา คิดแผนงานสินค้าตัวใหม่ มันมองเรื่องนี้ว่าไม่เป็นของจริงเพราะวุ่นวายเกี่ยวกับคนในโลกธุรกิจซึ่งมันมีเหลี่ยมการค้า พูดไม่หมดบ้าง ต่างๆนาๆ ไม่อยากเสียเวลากับเรื่องพวกนี้ค่ะ ทำให้ตอนนี้หนูไม่ active กับงานเลย เมื่อเกิดความคิดอย่างนี้แล้วจะทำยังไงคะ หนูจะบริหารอย่างไรระหว่างทางโลกกับทางธรรมคะ หนูไม่อยากเครียดเรื่องธุรกิจการค้าไม่อยากแก้ปัญหาในงาน ซึ่งมันไม่ใช่ของจริง ไม่อยากลงไปเสียเวลา และก็มองว่ามันเป็นทุกข์ในงาน แต่ถ้าไม่ทำก็ไม่เงินเลี้ยงชีพ ขอความเมตตาจากอาจารย์แนะนำด้วยค่ะ

2, เวลานั่งสมาธิในห้องพระ จะมีเสียงดังออกมาจากตู้ไม้ 3 ชั้นที่เก็บพระเครื่องต่างๆตู้จะมีประตูปิดทั้ง 3 ชั้น ตู้เล็กค่ะไม่ใหญ่ แต่ ช่วงหลังนี้เสียงจากตู้ไม้ชักจะดังชัดเจนมากขึ้น มีอยุ่วันหนึ่งหนูนั่งสมาธินิ่งในระดับหนึ่งตัวเริ่มเบากำลังจะนิ่งลงไปอีก ก็มีเสียงดังมาอีกจากตู้ไม้ ทำให้ตกใจต้องลืมตา และมีอีกครั้งหนึ่งเสียงดังจากกล่องพระที่วางไว้บนโต๊ะหมู่บูชาพระ เสียงดังแก่กๆ อยู่สักครู่ และอีกสภาวะคือ มีกลิ่นหอมโชยๆเข้ามาเป็นช่วงๆ เวลานั่งสมาธิแต่ไม่ตลอดเวลาที่นั่งเรื่องกลิ่นนี้แทบทุกวันค่ะ หนู เคยสอบถามพระที่ท่านปฏิบัติ ท่านบอกว่ากลิ่นหอมนั้นเป็นเทวดา หนูแผ่เมตตาแทบทุกครั้งหลังนั่งสมาธิ ก่อนนั่งก็มีสวดมนต์หรืออาราธนาพระนะคะ เคยกำหนดจิตบอกต้นเหตุแห่งเสียงว่าให้หยุดทำเสียงเถอะเดี๊ยวจะอุทิศบุญไปให้หลังนั่งสมาธิเสร็จ แต่ก็ยังดังอยู่แต่รู้สึกว่าห่างลง หากเป็นเทวดาจริงทำไมเขาจึงต้องทำให้เราตกใจในขณะที่เราทำความดีอยู่ค่ะ ตอนนี้หนูก็ค่อนข้างขยาดๆเวลานั่งสมาธิค่ะ เพราะเป็นคนกลัวเรื่องวิญญาณ แต่ยังไม่เคยเจอค่ะ หนูเช็คในตู้จะหาว่ามีสัตว์อะไรอยูในตู้ไหมก็ไม่มีค่ะ ขอความเมตตาอาจารย์ชี้แนะด้วยค่ะ

3, ในอิริยาบทต่างๆ ที่ไม่ได้นั่งสมาธิ คือ ทำธุรต่างๆ ยืน เดิน นั่ง เอนตัวนอน บางทีจะเห็นเป็นแสงสว่าง เป็นกลมๆบ้าง เป็นจุดบ้างมีทั้งสว่างใสและไม่สว่าง ด้วยตาเปล่านี่ค่ะ หนูไม่อยากถามคำถามนี้เลยเขาจะหาว่าบ้า หรือจะมาพูดทำไม หนูเคยคิดว่าหนูเป็นโรคร้ายทางสมองหรือเปล่า เรื่องเห็นอะไรแว้บๆนี่ค่ะ ขอคำแนะนำอาจารย์ด้วยค่ะ ด้วยความเคารพค่ะ

คำตอบ
(๑) ผู้ใดปรารถนาตัดภพชาติให้หดสั้นลง ผู้นั้นต้องปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน จนเข้าถึงปัญญาเห็นแจ้งได้ แล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้งกำจัดสังโยชน์อย่างน้อยสามตัวแรกได้ (สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส) ให้หมดไปจากใจได้แล้ว เมื่อตายลงจะไม่ไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในอบายภูมิ (เดรัจฉาน เปรต อสูรกาย นรก) อีกต่อไป และมีชีวิตหดสั้นลง อย่างมากเกิดอีกไม่เกินเจ็ดชาติ ก็สามารถนำพาชีวิตพ้นไปจากวัฏสงสารได้

อนึ่ง มนุษย์มีงานใหญ่ต้องทำอยู่สองงาน คืองานภายนอก ทำเพื่อให้ได้ปัจจัยทรัพย์มาเลี้ยงชีวิต หากยังมีความจำเป็นต้องพึ่งทรัพย์ภายนอก ผู้รู้ไม่ปฏิเสธที่จะทำ ตรงกันข้ามหากหมดความจำเป็น ผู้รู้นิยมทำงานภายใน ด้วยการสร้างและสั่งสมบุญ เพื่อใช้เป็นปัจจัยเดินทางสู่ปรโลก

ในครั้งพุทธกาล ปิปผลิมาณพ เศรษฐีพราหมณ์แห่งแคว้นมคธ ได้ยกสมบัติทั้งปวงให้ภัททกาปิลานี (ภรรยา) แล้วภัททกาปิลานีได้ยกสมบัติต่อให้บริวาร ทั้งสองได้นำตัวไปบวชในพุทธศาสนา และปฏิบัติธรรมจนบรรลุอรหัตตผลในที่สุด เช่นเดียวกัน ยสะเจ้าของปราสาททสามฤดูแห่งกรุงพาราณสี กัจจายนะปุโรหิตของพระเจ้าจัณฑมัชโชตแห่งกรุงอุชเชนี อุทายีมหาอำมาตย์ของพระเจ้าสุทโธทนแห่งกรุงกบิลพัสดุ์ ฯลฯ บุคคลเหล่านี้ฟังธรรมจากพระโอษฐแล้วบรรลุอรหัตตตผล ทิ้งสมบัติภายนอกทั้งปวง แล้วไปบวชเป็นสงฆ์อรหันต์อยู่ในพุทธศาสนา

(๒) อารมณ์ตกใจ เกิดขึ้นเพราะจิตขาดสติ ไปรับเอาสิ่งกระทบที่มิได้คาดหวังมาปรุงเป็นอารมณ์ ผู้ใดพัฒนาจิตจนรู้แจ้งในสิ่งกระทบได้แล้ว ความกลัวในสิ่งนั้นจะหมดไป

(๓) สิ่งที่ผู้ถามปัญหาสัมผัสได้ด้วยประสาททางตา เป็นเรื่องจริง แต่สิ่งที่ถูกเห็น เป็นจุดเป็นดวง สว่างไม่สว่าง เป็นของไม่มีอยู่จริง ความคิดว่าตนเองเป็นโรคทางสมอง เป็นความคิดที่ผิด ผู้รู้นิยมคิดตรงข้าม ผู้ใดประสงค์กำจัดสิ่งที่ถูกเห็นให้หมดไป ต้องกำหนดทุกครั้งที่เห็นจุดหรือดวงว่า “ เห็นหนอๆๆๆๆ ” ไปเรื่อยๆจนกว่าสิ่งที่ถูกเห็นดับไป

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 16:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมได้รู้จัก วิปัสนากรรมฐาน ตอน พรรษาปี 49 เนื่องจากผมได้ไป บวชพระแล้ว หลวงพ่อท่านส่งไปปฏิบัติธรรม อยู่สำนักปฏิบัติธรรม ธรรมะโมลี ที่ปากช่องครับ เป็นยุบหนอ พองหนอ สติปฏิฐานสี่
ตอนบวช ได้ปฏิบัติ นั้งกรรมฐาน เดินจงกรม ทุกวัน ครับ จิตนิ่ง กำหนดตลอด
หลังจากหมดพรรษา ผมก็ลาสิขาออกมา ทำงาน และ แต่งงานไปตอนต้นปี 52 ครับ

หลังจาก ลาสิขาออกมาแล้ว ช่วงแรก ก็ปฏิบัติได้อยู่ เป็นประจำ แต่ต่อมา การปฏิบัติน้อยลง อารมณ์กรรมฐานเริ่มลดน้อยลงเช่นกัน

อยากขอคำชี้แนะจากอาจารย์ครับ
- ในการดำรงชีวิต ที่เป็นอยู่ปัจจุบันของคนทำงาน ควรจะปฏิบัติอย่างไร (เวลานั้งสมาธิ จะมีเรื่องงานเข้ามาตลอด ตามจิตไม่ทันครับ) เพราะสภาพ การทำงาน แตกต่างจาก ตอนบวชมากๆ ครับ ไม่เงียบ ไม่สงบ ซึ่งตอนแรกหลังจากลาสิกขามา ผมยัง เข้าใจว่าจะทำได้ แต่พอดำเนินชีวิตไปเรื่อยๆ
แล้ว สภาพแวดล้อม การทำงาน สังคม การเข้าสังคม งานสังสรรค์ ทำให้ผมหลงไปกับมัน พอจะพยายาม ปฏิบัติ อีก มันก็รู้สึก ไม่สงบ กำหนดจิตยาก มากๆครับ
บางครั้งเจอเรื่องทุกข์ตามจิตไม่ทัน ก็ทุกข์ตามเลย บางครั้งก็คิดยังอยากกลับไปบวชอีก อยู่เรื่อยๆ
รบกวนขอคำชี้แนะจากอาจารย์ ครับ

ด้วยความเคารพอย่างสูง

คำตอบ
ผู้ใดประสงค์ความสำเร็จในกิจการงาน ผู้นั้นต้องทำงานด้วยใจรัก (ฉันทะ) ทำงานด้วยความพากเพียร (วิริยะ) ทำงานด้วยใจจดจ่อ (จิตตะ) และใช้ปัญญาไต่สวนงานที่ทำ (วิมังสา) และต้องรักษาความดีให้คงอยู่ ด้วยปฏิบัติธรรมต่อเนื่อง นำมาทำที่บ้านอย่างสม่ำเสมอ แล้วงานที่ทำให้กับสังคมจะไม่เสีย สิ่งดีงามที่ทำให้ตัวเอง (งานภายใน) จะยังคงอยู่ หากประพฤติได้เช่นนี้แล้ว งานทั้งสองอย่างจะไม่เสียหาย จึงไม่มีความจำเป็นต้องกลับไปบวชอีก

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 06 มิ.ย. 2010, 16:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันมีอายุ 40 ปี มีพี่น้อง 3 คน คุณพ่อคุณแม่เลิกกันตั้งแต่มีดิฉัน คุณพ่อมีอาชีพเล่นการพนัน และเสียชีวิตอนดิฉันอายุ 7 ขวบ ดิฉันสามคนพี่น้องจึงมาอยู่กับคุณอา เมื่ออายุได้ 9-12 ปี ดิฉันมีโอกาสกลับไปอยู่กับคุณแม่ ท่านขายเครื่องสำอาง ชอบทานเหล้า และชอบทานยานอนหลับ ความสัมพันธ์กับญาติพี่น้องไม่สู้ดี เพราะท่านชอบพูดจากลับไปกลับมา ท่านมีลูกใหม่กับสามีใหม่ พอดิฉันอายุได้ 12 ปี คุณแม่ทิ้งดิฉันและพี่สาวไป อย่างไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ ไม่มีเยื่อใย ส่วนดิฉันกับพี่สาวด้วยความที่เป็นเด็ก ก็ไม่ได้เสียใจหรือร้องไห้เลย ท่านให้เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งมารับไปอยู่ด้วย จากนั้นเราสองคนจึงหาทางกลับไปอยู่กับคุณอา และไม่ได้ติดต่อกับคุณแม่เลย จะทราบข่าวท่านก็สอบถามจากญาติเท่านั้น เมื่อเรียนจบมีรายได้จึงฝากเงินผ่านญาติให้แม่ได้ใช้จนกระทั่งเปลี่ยนเป็นการโอนเข้าบัญชีโดยตรง ดิฉันส่งเสียท่านตามอัตภาพมาโดยตลอด ไม่เคยนึกโกรธ หรือเคียดแค้นเลย จนกระทั่งเมื่อปีที่แล้ว ท่านติดต่อผ่านมาทางพี่ชาย (เราไม่ได้เจอกันเกือบ 30 ปี ได้) ดิฉันไปเยี่ยมท่านแต่ไม่ได้แสดงตน เพราะยังกลัวอะไรบางอย่าง จึงให้น้องชายต่างมารดาเข้าเป็นตัวกลางแทน เมื่อท่านออกจากโรงพยาบาลดิฉันแอบไปหา เห็นสภาพสังขารแล้วตกใจ ขาท่านเดินไม่ได้ลีบเล็ก สาวๆ ท่านสวยมาก และรับทราบจากโรงพยาบาลคือ ท่านมีอาการเบลอ สมองฝ่อ คงเป็นเพราะยานอนหลับและเหล้า แต่ปัจจุบันทราบว่าเลิกทานเหล้าแล้ว ส่วนสภาพความเป็นอยู่แย่มาก ดิฉันกับพี่สาวเห็นสภาพแล้วร้องไห้โฮ ทุรนทุรายในความรู้สึกอย่างบอกไม่ถูก อนาถใจจริงๆ เมื่อตั้งสติได้จึงติดต่อหาบ้านให้อยู่ จัดหาข้าวของที่จำเป็นและโอนเงินให้ใช้ในแต่ละเดือน โดยนำค่าใช้จ่ายมาหาร 3 คน พี่ชายดิฉันไม่เคยมาดูหรืออะไรกับแม่เลย แต่ก็ยังโชคดีที่ยอมโอนเงินให้ใช้ในแต่ละเดือน ส่วนญาติพี่น้องทางแม่ไม่มีใครมาดูกลับสาปส่งเสียด้วยซ้ำ ลูกและสามีก็หนีไปหมด ทราบความว่า แม่ชอบด่าว่า ใช้คำพูดหยาบคาย และพูดเท็จจนไม่มีใครเชื่อ

ทุกวันนี้ดิฉันทำได้เพียงส่งเงินให้ใช้ในแต่ละเดือน เมื่อนึกถึงจะขับรถไปวนดู เคยเข้าไปดูแลแต่ไม่บอกว่าเป็นลูก ความรู้สึกบอกไม่ถูกจริงๆ ท่านก็ไม่ Sense ว่าดิฉันเป็นลูก เยื่อใยหรือสายสัมพันธ์มันหายไปไหนไม่ทราบ

ดิฉันมีครอบครัว มีการงานดีมั่นคงได้พบเจอแต่คนดีๆ ดิฉันไม่ได้รังเกียจท่านแต่มีเหตุหลายประการ ที่ไม่สามารถนำท่านมาเลี้ยงดูได้ เพราะรู้ว่าปัญหาต้องตามมาอย่างรับไม่ไหว จะเป็นบุญหรือเป็นค่ะและควรจัดวางชีวิตอย่างไร

อาจารย์ค่ะ ดิฉันคิดเองอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่เป็นเด็กว่า ดิฉันคงทำกรรมไว้ เมื่อเหตุการณ์ที่เลวร้ายผ่านพ้นไป ดิฉันมักมาสรุปบทเรียนให้ตัวเองเสมอ สิ่งเหล่านี้เป็นบาทฐานให้กับชีวิตตัวเองมาตลอด ชีวิตปัจจุบันมีความสุขดี แต่เมื่อคิดเรื่องแม่ขึ้นมาก็อึดอัดใจอย่างบอกไม่ถูก พูดกับตัวเองว่าเราควรจะทำอะไรที่ดีกว่านี้ได้ไหม แต่ก็ตอบตัวเองไม่ได้ทุกครั้ง

ส่วนคุณอาที่เลี้ยงมา ตลอดเวลาที่อยู่ดิฉันสรุปเองว่าดิฉันทำหน้าที่ตัวเองดีที่สุดแล้ว ดูแลท่านทุกอย่าง

ทุกวันนี้ ดิฉันสวดมนต์ไหว้พระ ขออุทิศส่วนบุญและนึกรู้คุณกตัญญูตลอดแต่อยากขออยู่ห่างๆ คิดอย่างนี้ผิดไหมค่ะ

ดิฉันรู้ว่าคงต้องเวียนว่ายตายเกิด แต่หากเลือกเกิดได้อยากได้ครอบครัวดี มีพ่อแม่ดีจะทำอย่างไรค่ะ ดิฉันเคยแปลกใจว่า ดิฉันกับคุณแม่มีอะไรที่ต่างกันมากมาย แต่ทำไม่ถึงได้มาเกิดเป็นแม่ลูกกันกรรมจัดสรรอย่างไร

อาจารย์ค่ะ ดิฉันเพิ่งหัดนั่งสมาธิ เคยนั่งสมาธิอยู่แล้วสงบมาก มีความสุขมากๆ แต่ลูกชายมาเรียกกระทันหัน ดิฉันตกใจถอนออกจากสมาธิทันที รู้สึกเจ็บสะท้านผิวที่แขน อาการนี้เกิดจากอะไรค่ะ

เคยเข้านอนพร้อมทำสมาธิกำหนดลมหายใจ เมื่อใกล้หลับ รู้สึกเหมือนถูกกระชากหรือตกจากที่สูงวูบอย่างแรงเป็นเพราะอะไรค่ะ

รบกวนอาจารย์ฯ ช่วยชี้ทางให้ด้วยนะค่ะ และขอกราบขอบพระคุณอย่างสูง ค่ะ

คำตอบ
ชีวิตเป็นสิทธิส่วนบุคคล ผู้เป็นเจ้าของต้องบริหารจัดการชีวิตด้วยตัวเอง ในฐานะลูกที่ถูกแม่ทอดทิ้งมาแต่ในวัยเด็ก ความกตัญญูกตเวทีของลูกที่มีต่อแม่ต้องรักษาไว้ ดังที่ผู้ถามปัญหาปฏิบัติอยู่นั้นเป็นสิ่งที่ผู้เจริญนิยมปฏิบัติกัน เช่นเดียวกับ ยามใดที่แม่เจ็บป่วย ลูกต้องนำท่านไปให้หมอรักษา ส่วนจะช่วยได้มากน้อยแค่ไหนเป็นเรื่องของเวรกรรมที่ท่านต้องรับด้วยตัวเอง

พระพุทธะสอนให้บุคคลแก้ปัญหาที่ตัวเอง มิได้สอนให้แก้ปัญหาที่ผู้อื่น เนื่องด้วยเหตุที่ทำแล้วในอดีตแก้ไขไม่ได้ แต่ทำเหตุดีอยู่ทุกขณะที่เป็นปัจจุบัน เมื่อกรรมให้ผล จะเกิดเป็นผลดีในวันข้างหน้าแน่นอน ฉะนั้นพึงมีสติระลึกอยู่กับปัจจุบันขณะ แล้วความทุกข์ใจจะไม่เกิดขึ้น บทสรุปที่หันกลับมาดูตัวเอง เป็นสิ่งที่ทำถูกต้องแล้ว อนึ่งผู้ใดปฏิบัติวิปัสสนาภาวนาจนเกิดปัญญาเห็นแจ้งได้แล้ว ผู้นั้นสามารถเข้าถึงความจริงแท้ได้ทุกเรื่อง และแก้ปัญหาได้ทุกเรื่อง

การสวดมนต์ไหว้พระและอุทิศบุญกุศลให้ผู้มีอุปการะ (คุณอา) ตลอดจนความดีงามอื่นที่สามารถทำให้ท่านได้ และไม่เบียดเบียนตัวเอง ผู้เจริญนิยมประพฤติเช่นนี้

ผู้รู้เลือกเกิดได้ ผู้ใดประพฤติศีล ๕ อยู่เสมอ ตายแล้วมีโอกาสกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ หากประสงค์กลับมาเกิดในครอบครัวที่บุคคลมีศีล มีธรรม ต้องอธิษฐานแล้วทำเหตุให้ถูกตรง คือ ทำตัวเองให้มีศีล มีธรรมด้วย ความสมปรารถนาจึงจะเกิดขึ้นได้ ผู้ใดบำเพ็ญทานและรักษาศีล ๕ หรือประพฤติกุศลกรรมบถ ๑๐ อยู่เสมอ ตายแล้วมีโอกาสไปเกิดในสวรรค์ ผู้ใดพัฒนาจิตจนเข้าถึงความทรงฌาน แล้วตายในขณะจิตทรงอยู่ในฌาน ตายแล้วมีโอกาสไปเกิดเป็นพรหม และผู้ใดปฏิบัติวิปัสสนาภาวนา จนเกิดปัญญาเห็นแจ้ง แล้วใช้ปัญญาเห็นแจ้งกำจัดสังโยชน์ อย่างน้อยสามตัวแรกได้ ตายแล้วจะไม่ลงไปเกิดเป็นสัตว์อยู่อบายภูมิ และเกิดอย่างมากไม่เกินเจ็ดชาติ จะสามารถนำพาชีวิตพ้นไปจากวัฏสงสารได้

นั่งสมาธิแล้วมีจิตสงบจากอารมณ์อื่นใด เมื่อสิ่งกระทบใหม่ที่มีกำลังแรง (เสียงเรียกลูกชาย) เข้ากระทบ แล้วจิตขาดสติรับกระทบเข้าปรุงอารมณ์ทันที ความรุนแรงของการปรุงอารมณ์จึงมีมาก ส่งผลให้เกิดอาการสะท้านผิวที่แขนจึงมีได้ ส่วนอาการวูบเหมือนตกจากที่สูง เป็นเรื่องปรกติของจิตที่ตั้งมั่นเป็นประเดี๋ยวประด๋าว (ขณิกสมาธิ) เมื่อใดที่มีอาการวูบเกิดขึ้น ต้องกำหนดว่า “ วูบหนอๆๆๆๆ ” ไปเรื่อยๆ จนอาการดังกล่าวหายไป แล้วจิตจะมีกำลังของสมาธิเพิ่มมากขึ้น

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 74, 75, 76, 77, 78, 79, 80 ... 102  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ธรรมโฆษ และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร