วันเวลาปัจจุบัน 27 ส.ค. 2025, 02:08  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 67, 68, 69, 70, 71, 72, 73 ... 102  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 04:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รียนถามอาจารย์ว่า ในอดีตถ้าเราเคยอาฆาต /เคยโกรธ / เคยเกียด สามีเรา ทอดทิ้งเราไปอยู่กับผู้หญิงอื่น เพราะเรารักแบบเป็นเจ้าของ ปัจจุบันเมื่อนำตัวเองมาปฏิบัติธรรม เข้าถึงธรรมความรู้สึกนั้นเปลี่ยนแปลงเป็น การให้อภัย ความรักอย่างเมตตาต่อกัน ความเสียสละ ไม่ถือโทษโกรธอีก คำถาม เราจำเป็นต้องกล่าวคำอโหสิกรรม ต่อกันหรือไม่ จะได้ไม่จองเวรต่อกัน ทั้งสองฝ่าย เพราะเราดับแล้วซึ่งความโกรธ แต่อาจคงเหลือซึ่งความรักความปรารถรถนาดี ต่อเขา แต่ความรู้สึกของเขา เราไม่อาจรู้ได้ จำเป็นต้องกล่าวอโหสิกรรมต่อกันหรือไม่ค่ะ ทั้งที่มีชีวิตอยู่ ดีกว่าจะมากล่าวกันตอนจากกันแล้วค่ะ แม่น้องดาว

คำตอบ
พระพุทธเจ้าไม่เคยขออโหสิกรรมต่อพระเทวทัต พระมหาโมคคัลลานะ (อัครสาวกเบื้องซ้าย) ไม่เคยขออโหสิกรรมต่อเจ้ากรรมนายเวร (พ่อแม่ที่ถูกตนเองฆ่า) พระมหากัสสปะ (ประธานปฐมสังคายนาพุทธศาสนา) ไม่เคยขออโหสิกรรมต่อเจ้ากรรมนายเวร

พระมหาปชาบดี (พระแม่นม) มิได้ขออโหสิกรรมต่อพระพุทธเจ้า ฯลฯ แต่พระสารีบุตร (อัครสาวกเบื้องขวา) ได้กล่าวขออโหสิกรรมต่อผู้เป็นบริวารในคืนที่จะเข้านิพพานว่า “ หากมีกายกรรมใด มีวจีกรรมใด ที่ทำให้ไม่สบายใจ อภัยให้ผมด้วย ” พระฉันนะ ผู้ถูกพระพุทธะลงพรหมทัณฑ์ หลังจากสำนึกผิดและเปลี่ยนกลับมาเป็นผู้มีความเห็นถูกได้แล้ว ได้ประพฤติธรรมจนบรรลุอรหัตตผล แล้วกลับไปหาพระอานนท์ ขอให้ระงับการลงพรหมทัณฑ์ พระอานนท์ได้กล่าวแก่พระฉันนะว่า “ เมื่อใดท่านทำให้แจ้งเรื่องซึ่งพระอรหัตแล้ว พรหมทัณฑ์เป็นอันถูกระงับไปโดยปริยาย ” หลวงพ่อรี พระอริยบุคคลชาวไทยใหญ่ ได้กล่าวกับผู้ตอบปัญหาว่า “ ผู้ใดเห็นสรรพสิ่งเป็นอนัตตาได้ การขออโหสิกรรมเป็นอันถูกยกเลิกโดยปริยาย ”

ฉะนั้นผู้ถามต้องพิจารณาดูตัวเองว่า ยังจำเป็นหรือไม่จำเป็นต้องขออโหสิกรรม

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 04:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สวัดดีครับ ตอนนี้ผมเริ่มจะมาสนใจใน ศาสนาของเราอย่างจริงจังแล้วในตอนนี้
และเพิ่งจะกลับมาจาก การปฎบัติจากวัดอัมพวันที่สิงห์บุรีมาครับ

หลังจากกลับมาแล้วก็นำกลับมาปฎิบัติต่อ แต่ว่าเกิดข้อสงสัยขึ้นมาว่าที่ปฎบัติทั่งหมดนั้น เป็นการฝึก สมาธิทั่งหมดใช่ใหม่ครับ ?
ตอนแรกเลยไม่เข้าใจ แล้วจึงหาหลังสือมาอ่านครับ เลยเกิดความเข้าใจมาเล็กน้อยทางด้านนนี้
แต่อยากทราบว่า จริงๆๆแล้ว การปฎิบัติ เดินจงกรม นั่งสมาธิ นั้นได้อะไรบ่างครับจะเกิดอะไรบ้างกับเรา
แล้วจริงๆๆ แล้วเราจะพัฒนาอะไรได้จากการฝึกบ้างครับ ทั้งหมดนี้เป็นข้อสงสัยในตอนนี้ครับ

ในตอนฝึก เดินจงกรม นั่งสมาธินั้น ผมรูตัวไม่มีสมาธิ นั่งได้ไม่นานเลยปวดตามร่างกายก็เอาจิตไปดู
ตอนนี้เกิดปัญหาว่า เราจะดูไปทำไมทั้งที่เราทราบอยู๋แล้วว่า มันเจ็บปวด รู้ว่าเจ็บปวดบริเวณไหน อย่างไร
แล้ว ทั้งๆที่นั่งอยู๋ นั่น ปวดก็ปวด ทำให้ไม่เกิดสมาธิครับ แล้วไม่ทราบว่าที่เรานั่งๆๆอยู๋นั่น เอาจิตไปตั้งอยู่กับความเจ็บ
แล้วมันจะมีสมาธิอย่างไร

บางที่ผมยังไม่เกิดความเข้าใจในเบื่องต้นครับ ด้วยเหตุ บุญเก่าคงน้อย และปัญญาคงน้อยด้วยจึงไม่เข้าใจมันจริงๆ
ของอาจารย์ ช่วยให้ผมเช้าใจในเรื่อง นี้ด้วยนะครับ และขอข้อแนะนำเพื่อสู่ความก้าวหน้าต่อไปด้วยครับ


คำตอบ
การปฏิบัติธรรมมีอยู่สองอย่าง คือฝึกจิตให้ตั้งมั่นเป็นสมาธิ (สมถภาวนา) และการฝึกจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง (วิปัสสนาภาวนา) การนั่งสมาธิ การเดินจงกรมเป็นสมถภาวนา หากเมื่อใดนำจิตที่ตั้งมั่นเป็นสมาธิจวนแน่วแน่ (อุปจารสมาธิ) มาตามดูกาย ดูเวทนา ดูจิต ดูธรรม ที่เข้ามาปรากฏให้สัมผัสได้ด้วยจิต ว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ได้แล้ว จึงจะเรียกว่าเป็นวิปัสสนาภาวนา ความเจ็บเป็นทุกขเวทนา เมื่อความเจ็บเกิดขึ้น หากจิตเข้าถึงอุปจารสมาธิได้แล้ว ให้ใช้จิตตามดูความเจ็บว่าดำเนินไปตามกฎไตรลักษณ์ เมื่อความเจ็บเข้าสู่อนัตตา ความเจ็บย่อมไม่ใช่ตัวตน (ความเจ็บหายไป) ปัญญาเห็นแจ้งในทุกขเวทนา (ความเจ็บ) ย่อมเกิดขึ้น

ฉะนั้นหากผู้ถามปัญหาประสงค์พัฒนาจิตให้ก้าวหน้า จงหยุดอ่าน หยุดสงสัยด้วยทำตัวเองให้เหมือนคนโง่ แล้วเดินหน้าเร่งความเพียรฝึกจิตต่อไป โดยต้องมีศีลและมีสัจจะคุมใจให้ได้ก่อน แล้วโอกาสเข้าถึงธรรมย่อมเกิดขึ้นได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 04:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อยากถามว่าผู้ที่สำเร็จธรรมแล้วแต่ยังไม่ถึงกับเป็นพระ อรหันต์ ตัวอย่างเช่นพระโสดาบัน เมื่อมนุษย์ที่สำเร็จโสดาบันแล้วเมื่อตายไปเป็นเทวดาก็จะเป็นเทวดาโสดาบัน แต่ถ้าเมื่อไปเกิดเป็นมนุษย์อีกหรือเทวดาที่สำเร็จโสดาบันแล้วและไปเกิดเป็น มนุษย์ เขาจะเป็นพระโสดาบันตั้งแต่แรกเกิดเป็นทารกเลยหรือเปล่า หรือว่าอย่างไร ขอบคุณครับ

คำตอบ
พระสิวลีมีอายุได้เจ็ดวัน หลังคลอดออกจากครรภ์มารดา (อยู่ในท้องแม่นาน ๗ปี ๗เดือน ๗วัน) ได้รับอนุญาตให้บวชเป็นสามเณร ขณะโกนจุกที่หนึ่งแล้วเสร็จ ได้บรรลุโสดาบัน ทัพพะมัลลบุตร เด็กชายอายุเจ็ดขวบได้รับอนุญาตให้บวชเป็นสามเณร ขณะโกนจุกที่หนึ่งแล้วเสร็จ ได้บรรลุโสดาบัน โสปากะ ได้บรรลุโสดาบันเมื่อมีอายุได้เจ็ดขวบ ขณะถูกมัดตัวให้อยู่แต่ในป่าช้าแต่เพียงผู้เดียว อนึ่ง เด็กชายอายุเจ็ดขวบ ก่อนบวชเป็นสามเณร สามารถบรรลุอรหัตตผลได้ก็มี หรือเป็นเด็กหญิงมีอายุได้เจ็ดขวบแล้ว มาบวชเป็นสามเณรีไม่นานก็สามารถบรรลุอรหัตตผลได้ก็มี

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 04:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูขอเรียนถามปัญหาในการปฎิบัติ ดังนี้ค่ะ 1. หนูใช้องค์บริกรรมว่า พองหนอ ยุบหนอ ค่ะ บางครั้งก็จับพองยุบได้ แต่ส่วนมากไม่ได้ จึงใช้นั่งหนอถูกหนอแทน หนูสงสัยว่า ที่ท่านอาจารย์บอกว่า จิตต้องนิ่ง ถึงจะเห็นความจริงได้ แต่การปฎิบัติวิปัสสนาจิตไม่ได้หยุดนิ่งนี่คะ ต้องกำหนดทุกอารมณ์หรือสัมผัสที่กระทบกายและใจ ถ้านิ่งก็จะเป็นสมถะไม่ใช่หรือคะ โปรดให้ความกระจ่างด้วยค่ะ จิตนิ่งที่ท่านหมายถึงนั้นนิ่งอย่างไร 2. ตอนที่หนูเข้าคอร์สปฏิบัติ 8 วัน 7 คืน นั้น มีบางครั้งนั่งกำหนดแล้ว รู้สึกว่าอารมณ์ที่เข้ากระทบกายใจน้อยลง ทำให้เกิดความนิ่ง แต่เมื่อเรารู้สึกเช่นนี้แล้ว เราก็ต้องกำหนดว่า เฉยหนอ หรือ นิ่งหนอ หนูก็ยิ่งไม่เข้าใจเลยว่า แล้วหนูจะมีจิตนิ่งได้ตอนไหน สุดท้ายนี้ หนูขออนุโมทนาบุญกับท่านอาจารย์ด้วยนะคะ และขอขอบพระคุณท่านอาจารย์ล่วงหน้า ที่ได้เมตตาตอบปัญหาให้ความกระจ่างด้วยค่ะ ขอผลบุญที่ท่านได้เพียรสร้างมาอย่างไม่หยุดยั้ง ส่งผลให้ท่านสำเร็จความปราถนาทุกประการและมีสุขภาพแข็งแรง อยู่เป็นกระจกส่องกรรมฐานให้เพื่อนร่วมสังสารวัฏได้รู้แจ้งเห็นจริง ไปตราบนานเท่าที่จะนานได้เถิด บุศรินทร์

คำตอบ
(๑) คำว่า “ จิตนิ่ง ” หมายถึงจิตที่ตั้งมั่นเป็นสมาธิ เป็นจิตที่มีการปรุงแต่งอารมณ์อยู่กับอิริยาบถปัจจุบัน ที่นำมาใช้เป็นองค์บริกรรม ฉะนั้นจะเรียกว่าจิตนิ่งได้ จิตต้องตั้งมั่นเป็นสมาธิ ซึ่งสามารถเกิดได้ด้วยการเจริญสมถภาวนาตามรูปแบบที่ครูบาอาจารย์ชี้แนะให้ทำ

(๒) ความสงสัยย่อมเกิดขึ้นกับผู้ที่พัฒนาปัญญาทางโลกมามาก เรียกผู้มีมากไปด้วยความสงสัยว่า “ น้ำชาล้นถ้วย ” เมื่อมาปฏิบัติธรรมแล้วจิตจะไม่สามารถเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิได้ ด้วยเหตุนี้ในครั้งที่ผู้ตอบปัญหาไปปฏิบัติธรรมอยู่กับท่านเจ้าคุณโชดก เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๘ จึงต้องทำเป็นคนโง่แล้วปฏิบัติตามที่ท่านชี้แนะ ผลจึงเข้าถึงธรรมของพระพุทธะได้ไม่ยากนัก ภายในสามสิบวันก็สามารถเข้าถึงความมีดวงตาเห็นธรรม ลองพิจารณา แล้วพิสูจน์สิครับ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 04:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1.จากที่ได้ฟังอาจารย์บรรยายเกี่ยวกับพรหมประเภทหนึ่งที่ ภาวนาคำว่า อสัญญีปิ แล้วไปเกิดเป็นพรหมไม่มีรูปนั้น อยากทราบว่านั่นเป็นผลจากคำภาวนาหรือไม่ครับ จากที่ผมได้ศึกษาคำสอนของพระอภิญญาหลายๆรูป บางรูปจะมีการสอนให้ภาวนาคาถาหรือบทสวดต่างๆ เช่นสัมปจิตฉามิ หรือบทคาถาบางบทที่ได้จากอภิญญา ซึ่งการภาวนาโดยใช้คาถาเหล่านี้จะมีผลกับเราจริงหรือไม่ครับ เพราะมักมีการอ้างถึงว่าคำภาวนาแบบนี้หรือบทนี้ ทำให้เราได้ผลจากคำภาวนาเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เช่นกันผีหรือมีโชคลาภ เป็นต้นครับ หรือว่านี่เป็นแค่อุบายที่ทำให้จิตสงบเหมือน พุทโธ สัมมา อรหังครับ

2.ผมชอบภาวนาโดยใช้บทสวดมนต์มากกว่าการจับลมหายใจเข้าออกในบางครั้ง อยากทราบว่าหากใช้บทสวดมนต์เป็นคำภาวนาจับลมหายใจเข้า-ออก สามารถทำให้จิตสงบจนเข้าอัปปนาสมาธิได้เหมือนกันมั้ยครับ

3.การที่จะปฏิบัติธรรมหรือพัฒนาจิตให้มีความก้าวหน้าต้องมีศีล5คุมใจใช่มั้ย ครับ ผมมีข้อข้องใจเกี่ยวกับศีลข้อ3ครับ เนื่องจากผมเป็นชายหนุ่มก็ต้องมีอารมย์ทางเพศเป็นปรกติ ซึ่งบางครั้งก็เผลอคิดเกินเลยกับผู้หญิงคนอื่น บางครั้งต้องช่วยตัวเองกำจัดให้ความหมกมุ่นเหล่านี้ให้หายไปตลอดวัน โดยพยายามอดกลั้นแล้วระดับหนึ่ง อยากถามท่านอาจารย์ว่าหากเผลอคิดเกินเลยกับผู้หญิงคนอื่นหรือต้องช่วยตัวเอง เพื่อกำจัดความใคร่ ศีลข้อ3ของผมถือว่าขาดหรือด่างพร้อยครับ ถ้าต้องการให้ศีลข้อ3คุมที่ใจให้ถูกตรงตามธรรม ต้องพยายามไม่เผลอใจไปคิดเกินเลยกับผู้หญิง(ที่ไม่ใช่ลูกเขาเมียเรา)ให้ได้ ตลอดทั้งวันเลยรึเปล่าครับ

ขอบพระคุณอาจารย์สนองที่เมตตาตอบคำถามและให้สติปัญญาความรู้กับผมและทุกๆ ท่านนะครับ

คำตอบ
(๑) ผู้ใดภาวนาคำว่า “ อสัญญีปิ ๆๆๆๆ ” จนกระทั่งจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิแน่วแน่ในระดับรูปฌานที่ไม่มีสัญญา แล้วตายลงจะไปเกิดเป็นรูปพรหมที่ไม่มีนาม (อสัญญีสัตตาพรหม) นี่คือผลที่เกิดจากการภาวนาคำว่า “ อสัญญีปิ ๆๆๆๆ ”

อนึ่งคำภาวนาอื่นใด เมื่อนำมาบริกรรมแล้ว ทำให้จิตเข้าถึงความตั้งมั่นเป็นสมาธิได้ คำบริกรรมนั้นสามารถนำมาใช้ได้ และหากทำให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิแน่วแน่ (ฌาน) เมื่อถอนจิตออกจากความทรงฌานแล้ว อภิญญาสามารถเกิดขึ้นได้

(๒) การสวดมนต์เป็นการเจริญสติเบื้องต้น ทำให้เกิดสมาธิขึ้นได้ แต่ไม่สามารถตั้งมั่นเป็นอัปปนาสมาธิได้ เพราะจิตยังต้องรับกระทบจากเสียงที่สวดมนต์อยู่ จึงเข้าถึงสมาธิแน่วแน่ไม่ได้

(๓) ศีล ๕ ต้องมีครบและบริสุทธิ์ลงคุมถึงใจ ศีลในลักษณะนี้เป็นศีลที่นำสู่ความตั้งมั่นเป็นสมาธิของจิต พฤติกรรมที่บอกเล่าไปเป็นศีลที่ยังไม่บริสุทธิ์ จึงสามารถปฏิบัติธรรมได้ แต่เข้าไม่ถึงธรรมที่ปฏิบัติ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 04:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


หนูได้ฟังธรรมบรรยายของอาจารย์ที่ว่า ความรู้ทางโลกจะหมดลงเมื่อเราละจากโลกนี้ไปแล้ว แต่ผลการฝึกเจริญวิปัสสนาจะอยู่ในจิตติดเราไปทุกภพทุกชาติได้

1. หากเราฟังธรรมตามกาล อ่านหนังสือธรรมะ ละชั่วกลัวบาป เมื่อมีโอกาสเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง เราจะได้เกิดใต้ร่มเงาพระพุทธศาสนาเพื่อศึกษาธรรมต่อไม้คะ

2. หากเราได้ศึกษาธรรมศึกษา จนจบนักธรรม ตรี โท เอก ความรู้ทางธรรมนี้ จะสามารถติดตัวเราเป็นเสบียงเลี้ยงตัวเพื่อต่อยอดทางธรรมในภพชาติต่อไปได้รึ ไม่คะ และผลบุญที่จะได้รับในภพชาตินี้คืออะไรคะ ขอขอบพระคุณอาจารย์ค่ะ

คำตอบ
(๑) ธรรมของใคร อ่านหนังสือธรรมของศาสนาใด เมื่อใดที่สัญญาที่ฝังอยู่ในจิตให้ผล ขณะที่จิตจะหลุดออกจากร่าง ย่อมมีโอกาสผลักดันจิตวิญญาณไปได้ร่างใหม่ที่เป็นศาสนิกของศาสนานั้น แต่การมีหิริโอตตัปปะ เป็นคุณธรรมของเทวดา ฉะนั้นหากกำลังของหิริโอตตัปปะให้ผลขณะจิตออกจากร่าง ย่อมมีพลังผลักดันให้จิตวิญญาณไปโอปปาติกะเป็นเทวดา

(๒) คนที่ศึกษาธรรมและรู้ธรรมในพุทธศาสนามาก อย่างเช่น มหาวาจกอุบาสก ตายจากมนุษย์แล้ว จิตวิญญาณโคจรไปได้ร่างใหม่อยู่ในภพเดรัจฉาน ทั้งนี้เป็นเพราะพลังแห่งความหลงติดในความรู้ เป็นเหตุผลักดันให้เป็นเช่นนั้น พระมหาสิวะ เป็นอาจารย์สั่งสอนธรรม มีลูกศิษย์จำนวนมากนำไปปฏิบัติจนบรรลุธรรมขั้นสูงสุดได้ แต่พระมหาสิวะยังมีสภาวะของจิตเป็นปุถุชน ยังหลงติดอยู่กับธรรมที่ตัวเองรู้ กว่าจะแก้ปัญหาเรื่องความหลงของตัวเองได้ ต้องใช้เวลาปฏิบัติธรรมอยู่กลางป่าองค์เดียว นานถึงสามสิบปี พอรุ่งขึ้นปีที่สามสิบเอ็ดจึงได้บรรลุอรหัตตผล เลิกหลงอีกต่อไป

ฉะนั้นที่ถามว่า ความรู้ในทางธรรมนี้สามารถติดตัวเป็นเสบียงเลี้ยงตัวเองไปในภพถัดไปได้หรือ ไม่ ตอบว่า ติดตัวไม่ได้แต่ฝังติดอยู่กับใจได้ ความรู้ยังถูกเก็บฝังเป็นสัญญาอยู่ในดวงจิต หากจิตโคจรไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในภพที่เหมาะสมและมีเหตุปัจจัยลงตัว ก็สามารถศึกษาธรรมต่อยอดได้ แต่ต่อยอดให้มีความหลงในความรู้นั้นเพิ่มมากขึ้น บุญที่จะได้รับในภพนี้ คือเป็นผู้รู้ธรรม มีสัญญาในธรรมที่สามารถนำไปบอกกล่าวให้ผู้อื่นรู้ตามได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 04:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


1. ถ้าเรานั่งสมาธิแล้วยังจิตไม่นิ่งพอ (ยังไม่ใช่แม้แต่ขณิกสมาธิมั้งคะ เพราะไม่มีอาการใดใดปรากฏเลย เช่น เกิดปิติ) แล้วจะเกิดกุศลพอที่จะอุทิศให้ผู้อื่นหรือเจ้ากรรมนายเวรได้หรือคะ

2. แล้วการปฏิบัติธรรมระดับนี้ (ตอนนี้ยังไม่ก้าวหน้าค่ะ) เปรียบเทียบกับบุญที่สร้างกุฏิสงฆ์ กุศลใดจะมากกว่ากันคะ(เพราะอาจารย์เคยตอบว่ากุศลที่เกิดจากกรรมฐานมากที่สุด แต่เรายังไม่สามารถปฏิบัติได้ก้าวหน้าน่ะค่ะ)

3. จากที่อาจารย์ตอบว่าเราสามารถ จัดระเบียบ คลื่นสมอง สวดมนต์แล้วตามด้วยการเจริญสติภาวนา ประมาณ 15-30 นาที ก่อนนอนทุกวัน ทั้งนี้เพื่อเปลี่ยนคลื่นความถี่ของสมองให้เป็นระเบียบ แต่ถ้าเรายังปฏิบัติไม่ก้าวหน้า (นั่งสมาธิแต่จิตยังไม่นิ่ง) ความถี่ของสมองจะเปลี่ยนเป็นระเบียบหรือคะ

ขอบคุณค่ะ

คำตอบ
(๑) คำว่า “ กุศล ” หมายถึง บุญ , ความดี , ความฉลาด ฯลฯ บุญเกิดจากการประพฤติบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ (ทาน ศีล ภาวนา ขวนขวายรับใช้ ประพฤติอ่อนน้อม อุทิศความดี อนุโมทนาความดี ฟังธรรม เทศน์ธรรม ทำความเห็นให้ถูกตรง) การนั่งสมาธิเป็นบุญที่เกิดจากการภาวนา แม้บุญจากการนั่งสมาธิยังมีไม่มาก แต่เมื่อรวมกับบุญที่ประพฤติอย่างอื่นเข้าด้วยกันแล้ว ย่อมมีบุญมากพอที่จะอุทิศให้ผู้อื่น หรือให้เจ้ากรรมนายเวรได้

(๒) บุญที่เกิดจากการภาวนา (นั่งสมาธิ) เป็นบุญใหญ่สุด เพราะสามารถผลักดันจิตวิญญาณไปสู่ความพ้นทุกข์ (นิพพาน) ได้ บุญที่เกิดจากการสร้างกุฏิสงฆ์ มีผลผลักดันจิตวิญญาณไปได้ไกลแค่สวรรค์ การปฏิบัติตนให้มีศีล ๕ มีกุศลกรรมบถ ๑๐ , ไหว้พระ , สวดมนต์ , ฟังธรรม , เรียนธรรม ฯลฯ เป็นการภาวนาเบื้องต้น การนั่งสมาธิเป็นการภาวนาขั้นกลาง แม้ จะเข้าถึงสมาธิเพียงเล็กน้อย ก็ถือว่าได้ประพฤติบุญใหญ่ให้เกิดขึ้นแล้ว เปรียบได้กับเดินอยู่บนเส้นทางที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์ แม้จะยังเดินได้ไม่ไกล ก็ยังดีกว่าเดินอยู่บนเส้นทางที่มุ่งสู่สวรรค์

(๓) เมื่อคลื่นสมองเริ่มมีความเป็นระเบียบ ความจำเริ่มเกิดเพิ่มขึ้น ทำไมไม่พัฒนาให้ถึงที่สุด มนุษย์มีศักยภาพในการพัฒนาจิตได้มากกว่าสัตว์ใดๆในสังสารวัฏ ผู้ไม่ประมาทไม่ปล่อยเวลาให้สูญเปล่า ผู้ไม่ประมาทพัฒนาจิตให้เป็นสมาธิ พัฒนาจิตให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง เมื่อรู้ดั่งนี้แล้วพึงเลือกทางชีวิตด้วยตนเองเถิด

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 04:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พี่ที่ทำงานที่เดียวกับดิฉัน แม่เค้านั่งสมาธิอยู่ตอนกลางคืน ปรากฏว่า ตอนเช้าขึ้นมา ปรากฏว่าแม่เสียชีวิตค่ะ ขายังอยู่ในท่าขัดสมาธิอยู่เลย แต่หงายหลังลงไปกับพื้น พี่เค้าเลยให้ดิฉันรบกวนสอบถามอาจารย์ให้ ว่าการที่คนเรานั่งสมาธิแล้ว เสียชีวิตนี่เกิดจากสาเหตุอะไร แล้วเค้าจะไปอยู่ที่ไหน แม่พี่เค้าก็ปฏิบัติธรรมมาหลายปีแล้วค่ะ รบกวนอาจารย์ด้วยนะคะ

ขอแสดงความนับถือ

คำตอบ
เหตุที่ทำให้เสียชีวิต เกิดจากจิตปฏิเสธที่จะอาศัยอยู่กับร่างกาย จึงได้ทิ้งร่างเดิม จิตวิญญาณที่ยังไม่หมดกิเลสจะโคจรไปหาร่างใหม่อยู่อาศัย ตามแรงผลักดันของกรรมที่ผู้นั้นกระทำไว้ก่อนตาย ถามว่า แม่จะไปอยู่ที่ไหน? ตอบว่า แม่ไปอยู่ในที่ที่เหมาะสมกับแรงกรรมผลักดันให้ไป การนั่งสมาธิ (สมถภาวนา) เพื่อให้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ หากจิตทิ้งร่างในขณะมีสติกำกับและยังไม่หมดกิเลส ที่ไปของจิตคือไปได้ร่างอยู่อาศัยในสุคติภพ เป็นเทวดาหรือพรหมนั่นเอง

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 04:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันโชคดีที่ได้นำคำสอนของท่านมานำทางชีวิต ซึ้งใจกับคำว่า “ สัมมาทิฏฐิ ” ที่จะนำชีวิตให้รอด ชาตินี้ก็พยายามบำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา อย่างต่อเนื่อง โดยยึดแบบอย่างท่านอาจารย์ค่ะ

ปัจจุบันนี้ คุณพ่อดิฉันอายุ 86 ปี สุขภาพไม่ค่อยดี เป็นทั้งโรคหัวใจ โรคเลือด เข้าโรงพยาบาลบ่อยมาก ดิฉันได้เตรียมใจไว้พอควรกับคำว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ได้ตั้งจิตอธิษฐานไว้ว่า ถ้าคุณพ่อยังมีบุญอยู่ ก็ขอให้ใช้ชีวิตได้ตามสมควร เดินเหินได้ หากหมดบุญก็ขอให้เป็นไปด้วยความสงบ ไม่ทรมาน ขณะเดียวกัน ก็พยายามทำเหตุให้ตรง โดยการแผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวรของคุณพ่อ ปล่อยปลา ปล่อยวัวควาย บ่อยๆ ไปปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเป็นประจำ พิมพ์หนังสือธรรมแจก อย่างน้อยที่สุดหวังให้คุณพ่อเดินได้ ไม่อยากให้ต้องนอนทนทุกข์ทรมาน ซึ่งน่าเวทนามาก ประกอบกับอยากให้คุณพ่อได้มีเวลาเตรียมตัว “ ตายก่อนตาย ” จะได้ไม่หลงตายค่ะ ดิฉันเข้าใจค่ะว่าในที่สุดก็ไม่สามารถยื้อชีวิตคุณพ่อได้ แต่ก็ยังพยายามทำทุกอย่างเพื่อ ต่อรอง โดยพยายามสร้างเหตุให้ตรงกับคำอธิษฐาน

ขอความเมตตาจากท่านอาจารย์ชี้แนะด้วยค่ะ ว่าดิฉันทำแบบนี้ จะได้ผลหรือไม่คะ

กราบขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ

คำตอบ
การกระทำที่บอกเล่าไป จะได้ผลต่อเมื่อคุณพ่อต้องประพฤติตนมีศีลคุมใจอยู่ทุกขณะตื่น เจ้ากรรมนายเวรของคุณพ่อยอมรับบุญที่ลูกอุทิศให้แล้วเลิกจองเวรกับคุณพ่อ สุดท้ายต้องบอกให้คุณพ่อรับรู้และอนุโมทนาบุญที่ลูกได้ทำให้ท่าน พระพุทธะได้ตรัสกับแม่ของโสปากะ (อรหัตต์เจ็ดขวบ) ว่า “ เมื่อความตายมาถึง บุตร พ่อ เผ่าพันธุ์ ญาติ ย่อมไม่มีใครต้านทานได้ ” ฉะนั้นสิ่งที่ผู้เป็นลูกได้ทำให้กับพ่อนั้นดีแล้ว ... สาธุ และจะดีที่สุดให้คุณพ่อได้เตรียมตัวก่อนตายด้วยการสวดมนต์และเจริญอานาปาน สติอยู่เสมอ

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 04:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อาจารย์คะ หนูเคยอ่านหนังสือทางสายเอกของอาจารย์ เมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา แล้วประทับใจมาก (ก่อนหน้านี้หนูสนใจปฏิบัติตามแนวหลวงปู่ชา หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ฯลฯ และไปร่วมกิจกรรมการปฏิบัติธรรม ตั้งแต่สมัยเรียน ม.ต้น มาแล้ว แต่ไม่ได้มีความมุ่งมั่นในชีวิตว่า จะไม่อยากเกิดอีก) หนังสือของอาจารย์เป็นแรงบันดาลใจให้มุ่งมั่นคิดว่า ไม่อยากเกิดอีก จึงหยุดกรรมดำ ยึดศีลห้าอย่างเคร่งครัดเป็นสรณะกับชีวิต รวมไปถึงกรรมบทสิบด้วย หาซื้อหนังสือธรรมะ และทางสายเอกจากทางชมรมแจกบุคคลที่ต้องการที่พึ่งทางใจ และตัวหนูเองหันมามุ่งมั่นปฏิบัติ อย่างเต็มกำลัง เพื่อที่จะให้หลุดพ้นจากวัฏสงสาร แต่ด้วยมีภาระครอบครัว ก็ไม่สามารถที่จะปลีกวิเวกไปนั่งหาที่สงบปฏิบัติได้ แต่หนูก็ใช้ทุกขณะจิต(ที่ไม่ต้องคิดเรื่องงาน)ทำกรรมฐาน มาโดยตลอด

หนูไม่เคยเจอตัวจริงท่านอาจารย์นะคะ แต่หนูฟังท่านอาจารย์สอนธรรมะ ผ่านเวปไซค์ กัลยาณธรรม รวมทั้งเปิดฟังในรถยนต์ และเผยแพร่ให้กับเพื่อน ๆที่สนใจปฏิบัติ หนูถื่อว่าท่านอาจารย์เป็นครูบาอาจารย์ทางธรรมอีกท่านหนึ่งของหนู เหมือนดังที่หนูเคารพในหลวงปู่ชา หลวงพ่อฤาษีลิงดำ หรือกระทั่งพระพุทธเจ้า โดยที่ไม่เคยได้พบเห็นหรือพูดคุยกันเลยค่ะ

ขณะนี้หนูลาออกจากงานที่ทำในกรุงเทพ มาอยู่ต่างจังหวัด แล้วหางานทำได้เรื่อย ๆ แต่หางานตามที่ตนเองถนัดและอยากทำที่สุดได้ยาก จึงตัดสินใจเรียนต่อปริญญาเอก เรียนได้แล้ว 1 ปี ลงทุนจ่ายเงินไปไม่ต่ำกว่า 2 แสนค่ะ และ

ขณะนี้หนูรู้สึกเบื่อหน่ายมาก ๆ กับการที่ต้องมานั่งเรียนและต้องทำวิทยานิพนธ์ในเชิงการสร้าง ทฤษฎีใหม่เพื่อแก้ปัญหาจุดบกพร่องของทฤษฎีเดิม ๆ ซึ่งหนูวิเคราะห์แล้วว่านำไปใช้ประโยชน์กับคนกลุ่มมากได้น้อย ผนวกกับพบกับผู้คนแวดล้อมที่มีแต่ความต้องการเก่งและเป็นที่หนึ่งในทางโลก และเชื่อมั่นในตนเองสูงมาก ๆ จนลืมใส่ใจในความรู้สึกของคนรอบข้าง ทำให้หนูรู้สึกเบื่อมาก ๆ ไม่อยากเรียนต่อเลยค่ะ แต่ทางครอบครัวอยากให้เรียนให้จบ เพราะลงทุนไปมากแล้ว หนูก็พยายามที่จะเรียนให้จบ แต่ใจหนูไม่ได้อยากเรียนเลย จึงเกิดความรู้สึกว่าไม่มีความสุขเลยค่ะ หนูขอคำชี้แนะจากท่านอาจารย์ด้วยค่ะ ว่าหนูควรจะปฏิบัติหรือคิดอย่างไรคะ

คำตอบ
มนุษย์เป็นสัตว์สังคม การจะอยู่กับสังคมอย่างมีคุณค่า ต้องประพฤติตนเป็นผู้ให้โดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน ให้ความรู้กับมนุษย์ ให้ปัญญาช่วยแก้ปัญหาให้กับมนุษย์ นี่คืองานภายนอกที่ชีวิตต้องทำ ด้วยเหตุนี้ยังมีความจำเป็นต้องพัฒนาความรู้ให้สูงที่สุด และต้องพัฒนาต่อเนื่องจนวันตาย ส่วนงานภายในต้องพัฒนาตัวเองให้เข้าถึงปัญญาสูงสุดคือ ภาวนามยปัญญา แล้วใช้ปัญญาที่พัฒนาได้ สร้างบุญบารมีให้กับตัวเอง เพื่อใช้เป็นทรัพย์เดินทางสู่ปรโลกอย่างปลอดภัย และหากสามารถปิดอบายภูมิได้ จึงจะเรียกได้ว่าเกิดมาไม่สูญเปล่า

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 04:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตอนนี้หนูพยายามฝึกกำหนดอิริยาบถย่อยอยู่ค่ะ แต่มีปัญหาคือไม่รู้จะใช้คำกำหนดอย่างไร อย่างเช่นบางทีกวาดบ้าน หนูก็จะใช้คำกำหนดเป็น กวาดหนอๆๆ คือจะใช้คำแบบที่เรากำลังทำสิ่งนั้นๆ ไม่ว่าจะล้างจาน อาบน้ำ แปรงฟัน ฯลฯ เพราะไม่รู้จะกำหนดอย่างไร ไม่ทราบว่าใช้คำเหล่านี้กำหนดได้หรือเปล่าคะ หรือต้องใช้คำกำหนดตามอาการเคลื่อนไหวคะ รบกวนอาจารย์ช่วยชี้แนะให้ด้วยค่ะ จะได้ปฎิบัติได้ถูกต้องตรงทางค่ะ

กราบขอบพระคุณอาจารย์อย่างยิ่งค่ะ

คำตอบ
ยืน เดิน นั่ง นอน เป็นอิริยาบถใหญ่ ส่วนการเคลื่อนไหวอื่นใดนอกจากที่กล่าวถือว่าเป็นอิริยาบถย่อย ทุกอิริยาบถที่เกิดในปัจจุบัน สามารถนำมาใช้เป็นตัวกำหนดองค์บริกรรมได้ทั้งนั้น ฉะนั้นการมีจิตจดจ่อ (กำหนด) อยู่กับการกวาดบ้าน ล้างจาน อาบน้ำ แปรงฟัน ฯลฯ ตามที่บอกเล่าไป ถือได้ว่าปฏิบัติสมถภาวนามาถูกทางแล้ว จงดำเนินต่อไป

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 04:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมได้มีโอกาสไปกราบสักการะ พระเขี้ยวแก้ว ที่เชียงแสน สำนักครูบาบุญชุ่ม ในช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา และได้กราบนมัสการครูบาบุญชุ่ม ในวันเดียวกัน ที่ท่านออกจากถ้ำ ทึ่ลำปาง กอปรกับที่ได้ดู วีชีดี ที่อาจารย์บรรยายธรรม เมื่อวันที่ ๒๙ มีค. ๕๒ ที่อาจารย์ได้พูดถึง พระครูบารูปหนึ่ง ที่บำเพ็ญบารมีพระโพธิสัตว์ และท่านได้พยายามที่จะละพุทธภูมิถึง ๓ ครั้ง แต่ไม่สามารถละได้เนื่องจากได้ถูกรับรอง ว่าจะต้องไปตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล เป็นครูบาฯองค์เดียวกันหรือเปล่าครับ และได้รับข้อธรรมจากอาจารย์ ผ่านทางโทรศัพท์ของพระอาจารย์เอกชัย วัดใหม่ศรีร่มเย็น เรื่องสรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนี้ ล้วนเป็นสมมติ เช่น ศาสนา ที่มนุษย์บัญญัติขึ้น โดยเราควรยึดหลักธรรม และความดี ผมมีคำถามที่จะรบกวนอาจารย์ดังนี้ครับ

๑.สำหรับผู้ปฏิบัติธรรม เราจะรู้ได้อย่างไรว่าได้อธิษฐานพุทธภูมิมาหรือไม่ และการปฏิบัติธรรมจะทราบได้อย่างไรว่าเมื่อไรจะต้องละพุทธภูมิ การปฎิบัติธรรมของ พระสงฆ์ที่ดำเนินแนวทางพระโพธิสัตว์ จะแตกต่าง หรือเหมือนกับโลกุตรธรรม ที่มุ่งเพื่อเข้าสู่อริยบุคคลในชาติปัจจุบันอย่างไร สามารถที่จะได้เป็นอริยบุคคล ๔ ประเภทได้หรือเปล่าครับ เราสามารถนำแนวทางการปฎิบัติธรรม วิธีการทำสมาธิ ของท่านมาปรับใช้ได้อย่างไร

๒.ขณะการนั่งสมาธิในสมัยที่ผมบวชเป็นพระ มีการสวดบทธัมมมจักฯ ได้เกิดการหมุนของร่างกายตั้งแต่ใต้คอลงไปเหมือนล้อหมุน ผมได้กำหนดดูเห็นร่างกายตัวเองเป็นกงล้อธรรมจักรสีขาวนวล ขนาดเท่ากับตัวเราเองหมุนรอบอยู่ จนกระทั่งบทสวดจบลง จึงได้หายไป อยากทราบว่าเกิดจากอะไร เพราะไม่ได้กำหนดหรือระลึกให้เกิดขึ้นเลยในระหว่างการนั่งสมาธิ อาจารย์มีคำแนะนำอย่างไรครับ โดยก่อนที่จะเกิดอาการดังกล่าว จิตทีทำสมาธิในขณะนั้นเหมือนดิ่งเข้าสู่ความไม่รู้สึกว่ามีร่างกายและความ คิดอยู่เลย ก่อนที่สมาธิจะถอยเข้าสู่ระดับที่รู้สึกในสังขารเอง และมีอาการของกงล้อธรรมจักรดังกล่าว ระดับสมาธิที่ไม่รู้สึกว่ามีสังขารและความคิดที่เกิดขึ้น เป็นอัปปนาสมาธิใช่ไหมครับ และถอยเข้าสู่อุปปจารสมาธิที่มีความรู้สึกในสังขารถูกต้องไหมครับ ขออาจารย์ได้โปรดชี้แนะด้วยครับ

๓.แนวทางการปฏิบัติสำหรับบุคคลผู้มีบารมีมาทาง เจโตวิมุตติ และปัญญาวิมุตติ ควรดำเนินจิตทำสมาธิ เหมือนและแตกต่างกันอย่างไรครับ ขอกราบขอบพระคุณอาจาย์ในคำแนะนำครับ

ด้วยความเคารพในธรรมครับ
ภานุรุจ บุญญพัฒน์

คำตอบ
ที่บอกเล่าไปเป็นครูบาองค์เดียวกับที่บรรยายไว้เมื่อวันที่ ๒๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๒

(๑) ผู้ใดอธิษฐานนำพาชีวิตให้ดำเนินไปตามแนวทางของพุทธภูมิ ต้องมีปฏิปทาตามแบบอย่างที่ครูบาศรีวิชัย หรือครูบาบุญชุ่มได้ทำให้ดู และจะล้มเลิกเป็นโพธิสัตว์ได้ก็ต่อเมื่อ เกิดความทุกข์อย่างสาหัส มองไม่เห็นทางว่าจะบรรลุโพธิญาณได้เมื่อไร และยังไม่ได้รับการพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ จึงเบื่อหน่ายและล้มเลิกการเป็นโพธิสัตว์ ดังที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำ หรือครูบาเทืองแห่งวัดบ้านเด่นได้ลาให้ดู

อนึ่ง พระภิกษุที่ดำเนินชีวิตตามแนวทางของพระโพธิสัตว์จะไม่ประพฤติธรรมไปสู่การ พ้นทุกข์ ดังที่อริยบุคคลได้กระทำ ซึ่งจะเป็นเช่นนี้ได้ต้องมีสติกล้าแข็ง ยุติความก้าวหน้าในวิปัสสนาญาณไว้แค่สังขารุเปกขาญาณ ซึ่งจะทำได้ก็ต่อเมื่ออธิษฐานบารมีให้ผลแรงกล้า

(๒) อาการตัวหมุนเป็นกิเลสที่เกิดขึ้นกับผู้ปฏิบัติธรรมที่ยังมีกำลังของสติไม่ กล้าแข็ง การสวดมนต์เป็นการฝึกจิตเบื้องต้น ฝึกจิตให้จดจ่อกับบทมนต์ที่สวด และผู้ใดจะรู้ว่าเป็นสมาธิระดับฌาน (อัปปนาสมาธิ)ได้ ต้องเกิดอารมณ์ฌานขึ้นกับจิตของตัวเอง สิ่งกระทบภายนอกใดๆไม่สามารทำให้จิตรับเข้าปรุงอารมณ์ได้ มีแต่อารมณ์ฌาน (วิตก วิจารณ์ ปีติ สุข อุเบกขา และเอกัคคตา) เท่านั้นที่เกิดขึ้นกับจิต

ฉะนั้นขณะกำลังสวดมนต์บทธัมมจักรกัปปวัตตนสูตร แล้วจิตไปเห็นร่างกายหมุนได้ จึงมิใช่สมาธิระดับฌาน

(๓) ระหว่างผู้บรรลุธรรมแบบเจโตวิมุตติ และบรรลุธรรมแบบปัญญาวิมุตติ มีความเหมือนกันตรงที่ว่า จิตเข้าถึงอาสวักขยญาณได้ และต่างกันตรงที่ว่า ผู้บรรลุอรหัตตผลแบบเจโตวิมุตติ เป็นผู้มีความชำนาญในสมถกรรมฐาน เช่นมีฤทธิ์ทางใจ (มโนมยิทธิ) เป็นต้น ส่วนผู้บรรลุอรหัตตผลแบบปัญญาวิมุตติ เป็นผู้มีความชำนาญในวิปัสสนากรรมฐาน เช่นเห็นสรรพสิ่งเป็นอนัตตาหมด

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 04:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันอ่าน “ ยิ่งกว่าสุขเมื่อจิตเป็นอิสระ ” จบ ก็ตัดสินใจยุติการสร้างอกุศลกรรมใหม่ เพราะเห็นอันตรายของการยึดมั่นถือมั่นอย่างเหนียวแน่น กลัวว่าถ้าจิตดวงสุดท้ายไปตรงกับเฟรมที่ทำอกุศล จะต้องไปอบายภูมิแน่นอน

ดิฉันจมอยู่ในความทุกข์ทรมานใจมา 2 เดือนค่ะ กับการต้องคบผู้ชายคนนึงอย่างหลบๆซ่อนๆ (เพราะคบเขามา 6 เดือน โดยที่เขาปิดบังเรื่องที่มีแฟนแล้ว) เมื่อดิฉันรู้ความจริงจากแฟนของเขาจึงถอยออกมา แต่เขาขอคืนดีโดยที่ปิดบังแฟนเขาว่าคบกับดิฉันด้วย ดิฉันก็ยอมเพราะรัก(แต่จริงๆคือหลงค่ะ) แต่ก็อยู่อย่างทุกข์เหลือเกิน เพราะเราสามคนอยู่บริษัทเดียวกัน ดิฉันต้องเจอเขาทั้งคู่แทบทุกวัน ภายหลังดิฉันทราบว่าเขาอยู่ด้วยกันมา 4 ปีแล้ว ใจก็ยิ่งดิ้นรนหนัก (ดิฉันยังไม่ทะลุศีลข้อ 3 กับเขา) เพราะสังเกตว่าเขาเริ่มเข้าร.พ.บ่อยๆตั้งแต่เริ่มคบกับดิฉัน (เป็นทั้งโรคเกี่ยวกับสมอง กระดูก และอาจจะรวมไต หัวใจด้วย) คิดเองว่าเขาอาจมีการผิดศีลข้อ1ติดตัวมา แล้วไม่ได้ทำบุญเพิ่มขึ้น แ ละต้องมาผิดศีลข้อ 4 บ่อยๆ (กับแฟนเขาเรื่องดิฉัน) และอาจจะมีการผิดศีลข้อ 3 ในเดือนหน้า (เดือนหน้าเขานัดดิฉันไปต่างจังหวัดกัน 2 คน)

ดิฉันอธิษฐานทุกครั้งที่สวดมนต์ไหว้พระว่าขอให้ตา สว่าง เลิกยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ยังหลงผิดอยู่ได้เร็วๆ แต่ก็ยังตัดใจไม่ได้เสียที คิดว่าคงตัดไม่ได้จนกว่าเขาจะแต่งงานไป 17-19 เมษา ดิฉันไปปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวัน แต่วันที่ออกจากวัด ดิฉันก็ตัดใจจากเขาไม่ได้ จนคืนวันที่ 19 ดิฉันอ่าน ยิ่งกว่าสุขฯจบ ก็ตัดสินใจบอกเลิกกับเขา จึงโทรไปบอกแฟนเขาว่าดิฉันจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเขาอีก (สาเหตุที่โทรไปเพราะช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา แฟนเขาโทรมาถามดิฉันหลายครั้งว่าเขายังติดต่อดิฉันหรือเปล่า แต่ดิฉันปฏิเสธไปทุกครั้ง ดิฉันไม่อยากติดค้างและไม่อยากให้แฟนเขาระแวงดิฉันอีก) และส่งจดหมายขอจบกับเขา (บอกว่าเปลี่ยนเบอร์โทรแล้วไม่ต้องติดต่อมาอีก) เขาก็ส่ง mail กลับเหมือนจะจบด้วยดี แต่พอเขารู้ว่าดิฉันบอกแฟนเขาเรื่องนี้ เขาก็ไม่พอใจจนถึงขนาดส่ง mail บอกว่า บุญต่างๆที่ดิฉันเคยให้เขา อนุโมทนา เขาคงรับไว้ไม่ได้ (ทั้งที่เขาก็อนุโมทนาไปแล้ว) มันทำ ให้ดิฉันปวดใจมาก รู้ซึ้งถึงความไม่เที่ยงจริงๆ

ดิฉันจึงขอเรียนถามอาจารย์ว่า

1. มีวิธีใดบ้างคะที่จะลดโอกาสการผูกเวรทางวิญญาณกันทั้งสามคน เพราะเขาคงโกรธดิฉันมากที่ทำเหมือนหักหลังเขา แฟนเขาก็รู้สึกไม่ดีกับดิฉัน(จะได้ไม่ต้องเป็นเจ้ากรรมนายเวรกันต่อไปน่ะ ค่ะ) ทุกวันนี้ดิฉันได้แต่แผ่เมตตาให้เขาทั้งคู่ทุกครั้งที่นั่งสมาธิเสร็จ (แต่เพิ่งเริ่มปฏิบัติได้ไม่กี่วัน ยังไม่ตั้งมั่นค่ะ) ทำแบบนี้ต่อไปจะดีไหมคะ

2. ตอนนี้ดิฉันอายุย่าง 33 ปีแล้ว พ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่ (อายุ 66 ค่ะ) มีน้องสาว 1 คน (แต่ไม่สนิทกันมาก) มีเพื่อนสนิทที่คุยได้ทุกเรื่อง 2-3 คน อาจารย์ช่วยแนะนำการที่จะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปคนเดียว จนกว่าจะทิ้งร่างนี้ไป (เพราะวันนึงพ่อแม่ก็ต้องจากไป) อย่างไรดีคะ (ที่ผ่านมาดิฉันเคยมีแฟนอยู่ข้างๆตลอดตั้งแต่มหา ' ลัยน่ะค่ะ ไม่เคยอยู่คนเดียวเลย) เพราะดิฉันไม่อยากสร้างกรรมผูกพันกับใครให้เป็นทุกข์ หรือมีห่วงอีกแล้ว

3. ตอนนี้ใจดิฉันนึกถึงแต่เขาตลอดเวลา ดิฉันพยายามจะตามดูความรู้สึก (ที่เขาเรียกว่าดูจิต) แต่พอนึกถึงเขาทีไร ใจก็ไหลไปรวมกับความรู้สึกจนหลงไปทุกครั้ง กว่าจะมารู้อีกทีก็นาน ไม่ใช่เป็นแค่ผู้ดูน่ะค่ะ จะแก้ไขอย่างไรดีคะ หรือวิธีเดียวคือต้องให้ถึงขั้นอุปจารสมาธิ แล้วใช้พิจารณาความไม่เที่ยงเอา (ตอนนี้ได้แต่คิดว่ามันไม่เที่ยง) ดิฉันกลัวว่าถ้าตายตอนนี้ดิฉันอาจต้องไปทุกข์คติน่ะค่ะ เรื่องนี้อาจเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับคนอื่น แต่มันทำให้ดิฉันทรมานใจมากๆค่ะ จนต้องเขียนมารบกวนอาจารย์อีกครั้ง

ขอขอบคุณอาจารย์มากนะคะที่สละเวลาอ่านและตอบค่ะ จันทร์นภัส

คำตอบ
(๑) เวรหมายถึงความพยาบาท การผูกเวรหมายถึงการผูกพยาบาท เช่นพระเทวฑัตผูกพยาบาทพระพุทธเจ้า มาหลายภพชาติ ตั้งแต่ครั้งที่ยังเสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์ แต่ทุกภพชาติที่คู่เวรได้โคจรมาพบกัน พระพุทธะได้ใช้ขันติและพรหมวิหารธรรม เป็นเครื่องคุ้มกันภัยให้กับตัว ในที่สุดผู้ไม่ผูกพยาบาทบรรลุอริยธรรมสูงสุดเป็นพระพุทธเจ้า ผู้ผูกพยาบาทนำพาชีวิตไปเกิดเป็นสัตว์อยู่ในภพนรก เมื่อรู้ดั่งนี้แล้ว ผู้ถามปัญหาหาจะนำพาชีวิตเป็นแบบใด เลือกได้ตามใจปรารถนา

(๒) ผู้รู้กล่าวว่า “ มนุษย์สมบัติเป็นห่วงผูกเท้า สามี/ภรรยาเป็นห่วงผูกมือ บุตร/ธิดาเป็นห่วงผูกคอ ” ดังนั้นจะผูกตนเองหรือไม่ผูกต้องเลือกเอาเอง และผู้รู้ยังได้กล่าวอีกว่า “ ไม่มีที่พึ่งอื่นใด เทียบได้กับการพึ่งธรรมที่มีอยู่ในใจของตน ”

(๓) ในบรรดากิเลสใหญ่สามตัว คือ ความโกรธ ความโลภ ความหลง กิเลสตัวแรกแก้ได้ง่ายที่สุด และกิเลสตัวสุดท้ายแก้ได้ยากที่สุด แม้จะยากเพียงใด อรหันตบุคคลก็แก้ได้แล้ว ด้วยการพัฒนาปัญญาเห็นแจ้งให้เกิดขึ้น แล้วนำไปกำจัดความหลง คืออวิชชา ให้หมดไปจากใจให้ได้

ในกรณีของผู้ถามปัญหา การพิจารณาอสุภะบ่อยๆ จนเห็นความเป็นอนัตตาได้แล้ว ความทุกข์ที่มีอยู่ในใจย่อมหมดไป และยิ่งได้เห็นสรรพสิ่งเป็นอนัตตาได้ ความทุกข์ทั้งปวงย่อมไม่มีกับผู้ที่เห็นแจ้งเช่นนั้น

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 04:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมมีเรื่องไม่สบายใจครับ อยากให้อาจารย์ ช่วยให้คำแนะนำหน่อยครับ
ผม อายุ 15 ปี เป็นเด็กต่างจังหวัด ขึ้นมาเรียนที่กรุงเทพครับ ผมเกิดอาการบังคับความคิดตนเองไม่ได้ครับ เช่น ไม่อยากจะคิดแต่กลับคิดขึ้นมา ประมาณนี้อะครับโดยมีอาการแบบนี้มาช่วงนึงแล้วครับ ผมก็ปรึกษาเพื่อน เพื่อนก็บอกผมว่า เกิดจากความเครียดรึเปล่า ผมก็ว่าน่าจะเป็นไปได้เพราะตอนนี้ผมเรียนอย่างเดียวเลย โดยผมมีอาการแปลกๆแบบนี้ครับ คือว่า ทุกๆวันผมจะต้องเดินผ่าน คล้ายๆกับเป็นศาลพระภูมิอะครับ ทุกๆวันผมก็จะเดินผ่าน แล้วยกมือไหว้อธิษฐานเป็นประจำครับ

แต่มีวันนึงผมไม่ทราบว่าเป็นอะไร อยู่ดีๆความคิดที่ผมไม่อยากคิดก็ขึ้นมากจากสมอง คือ มีอันเป็นไป ตอนนั้นผมตกใจมาก ว่าทำไมตนเองถึงนึกไปแบบนี้ ผมเดินเลยมาแล้ว จึงตัดสินใจเดินย้อนกลับไปที่นั่นใหม่ พร้อมอธิษฐานว่า ผมขอโทษผมไม่ได้ตั้งแต่ที่จะคิด ขอให้ความคิดที่ลูกไม่ได้ตั้งใจจะนึกไม่เป็นความจริง ตอนนี้ผมสั่นมาก เลยเดินต่อมาถึงที่หอ รีบอาบน้ำแล้วก็ไหว้พระตามปกติที่ผมไหว้ทุกวัน โดยผมก็ไหว้ บทบูชาพระรัตนตรัย สวดอิติปิโส แผ่เมตตา แผ่ส่วนกุศล แล้วก็อธิฐาน แล้วท่องคาถาชินบัญชรต่อ โดยเวลาที่ผมอธิษฐาน ผมก็จะนึกไปว่า ถ้าลูกคิดอะไรที่ไม่ได้ไป หรือพูดอะไรที่ไม่ไดีไป ลูกก็ขออภัยไว้ด้วยขอให้ท่านจงอโหสิกรรมให้ผมด้วยผม ผมอยากทราบว่า ผมทำถูกแล้วใช่ไหมครับ โดยผมทำแบบนี้มาเป็นเวลาช่วงนึงแล้ว ตั้งแต่ยังไม่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นแต่คำอธิษฐานประโยคนี้ก็เพิ่มขึ้นมา ตั้งแต่เกิดอาการแบบนี้ขึ้น ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เวลาผมเดินผ่านที่ตรงนั้นผมก็ไม่ค่อยที่จะกล้าอธิษฐานสักเท่าไหร่ ได้แต่รีบเดินไปอย่างเดียว เพราะกลัวว่าจะนึกอะไรที่ไม่ดีไปอีก ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ผมก็บังคับจิตใจของตนเองไม่ค่อยได้ โดยคิดไปต่างๆนาๆ ผมกลัวบาปมาก

มีวันนึงผมได้เข้าไปในร้านหนังสือ ก็เลยไปที่มุมธรรมมะ ผมก็เจอหนังสือของอาจารย์ เรื่อง ทางสายเอก ผมยืนอ่าน แล้วจึงตัดสินใจซื้อมาอ่าน ผมก็ได้ความรู้มากมายจากการอ่านหนังสือเล่มนี้ ผมสังเกตตัวเอง ความคิดฟุ้งซ่านมันก็เริ่มที่จะจางๆไปบ้าง แต่ก็ยังมีอยู่ จนอ่านจบเล่มนี้ เลยไปซื้อเล่มที่สองมา คือ ยิ่งกว่าสุข เมื่อจิตเป็นอิสระ ผมว่าหนังสือพวกนี้ดีมาก ทำให้คนเรากลัวบาป แล้วตั้งใจที่จะสร้างบารมีต่อไป

แต่ผมอยากจะให้อาจารย์แนะนำว่า ผมควรที่จะทำอย่างไรดี ให้กลับมาเหมือนเดิม ผมอยากมีชีวิตที่เหมือนเดิม คือไม่คิดอะไรมาก แต่แค่จุดๆนี้ทำให้ผมคิดมาก เลยไม่สบายใจสักเท่าไรจนมาถึงตอนนี้ ผมอยากจะถามอาจารย์อีกอย่างนึงครับ คือว่า เวลาเราอธิษฐานเวลาไหว้พระเสร็จอะครับ บางทีความคิดที่เราไม่อยากให้คิดก็เกิดขึ้น ผมไม่อยากให้เป็นแบบนี้เลย ถ้าคำอธิษฐานที่เราไม่ได้ตั้งใจที่อธิษฐานเกิดขึ้นมันจะเป็นอะไรไหมครับ ผมว่าอยากรู้ว่าสาเหตุตรงนี้ เป็นเพราะความเครียด หรือว่า ผมไปล่วงเกิดใครไว้รึเปล่าครับ ผมก็ไม่รู้ว่ามันเป็นเพราะอะไรกันแน่ครับ

อยากให้อาจารย์ช่วย อธิบายให้ฟังหน่อยครับ พร้อมกับแนะแนวทางแก้ไขด้วยครับขอบคุณมากครับ

ขอแสดงความเคารพอย่างสูง

คำตอบ
อายุ ๑๕ ปี ไม่สำคัญยิ่งไปกว่าบุญบารมีที่เคยทำไว้ให้ผล เริ่มนำพาชีวิตไปสู่ความดีงามในวันข้างหน้า จากคำถามพอที่จะประมวลได้เป็นสี่ข้อ

๑. เมื่อเดินผ่านสถานที่ ที่คนทั่วไปคิดว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เช่นศาลพระภูมิเจ้าที่ ผู้รู้นิยมอุทิศบุญให้กับเจ้าของศาลนั้น ด้วยการกล่าววาจาว่า “ ขอท่านจงเป็นสุข ” แทนการอธิษฐาน

๒. การขออภัย เป็นคุณธรรมที่มีอยู่ในใจของผู้เจริญ และจงประพฤติขออภัยทุกครั้งที่คิดพูด ทำไม่ดีไว้กับผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรืออมนุษย์ก็ตาม

๓. ผู้ถามปัญหาประสงค์ให้ตัวเองมีความคิดดีเหมือนเดิม สามารถทำได้ด้วยการสวดมนต์ก่อนนอน แล้วตามด้วยการเจริญอานาปานสติ และสุดท้ายอุทิศบุญกุศล ให้เจ้ากรรมนายเวรทุกครั้งที่การปฏิบัติธรรมแล้วเสร็จ ปัญหาที่เกิดขึ้นจึงจะหมดไป และยังทำให้เรียนหนังสือเก่งอีกด้วย

๔. เมื่อใดที่กรรมให้ผลเป็นอกุศลวิบาก ผู้ทำกรรมต้องเป็นผู้รับและต้องชดใช้หนี้เวรกรรมจนกว่าจะหมดสิ้น ฉะนั้นพึงปฏิบัติตามคำแนะนำไปเรื่อยๆ แล้วปัญหาจะหมดไปได้แน่นอน

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสต์ เมื่อ: 02 มิ.ย. 2010, 04:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมมีเรื่องอยู่ว่า ผมอยากจะบวช และได้คุยกับญาติพี่น้องทุกคนแล้ว ซึงทุกคนก็ยินดี แต่ติดปัญหาที่พ่อผม ท่านคนเดียว ที่ยังไม่อยากให้ผมบวช ท่านอยากให้ผมทำงานไปก่อนปีนี้ แล้วปีหน้า ค่อยบวช แต่ตัวผมอยากบวชปีนี้ เพราะเหตุผลที่ว่าช่วงนี้ผมสะดวกที่สุด และใจก็อยากบวชด้วย

ไม่ทราบว่าถ้าผมฝืนบวช จะมีปัญหาอะไรไหมครับ

ช่วงนี้ก็ตึงๆ กับพ่อมาก ผมไม่สบายใจด้วย ไม่รู้ว่าถ้าบวชไปท่านจะคิดและรู้สึกยังไง ผมอยากบวชให้พ่อกับแม่มากๆ ครับ

ด้วยความนับถือครับ

คำตอบ
กาลเวลาหมุนผ่านจากวันเป็นเดือน จากเดือนเป็นปี เป็นหลายปี ทำไมไม่รอให้ถึงปีหน้าค่อยบวชตามที่พ่อต้องการ หากผู้ถามปัญหาฝืนบวช โดยไม่ฟังคำทักท้วงจากบุพการี (พ่อ) ผู้มีอุปการะแก่ตนมาก่อน จะให้ผลเป็นความอกตัญญู มีพลังเป็นบาป ให้ผลบั่นทอนพลังบุญที่เกิดขึ้นจากการบวชได้

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1521 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 67, 68, 69, 70, 71, 72, 73 ... 102  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร