วันเวลาปัจจุบัน 05 พ.ค. 2025, 05:56  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 20 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ธ.ค. 2009, 16:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อจากลิงค์นี้

viewtopic.php?f=7&t=27939



สำหรับคนสามัญทั่วไป ศรัทธาเป็นธรรมขั้นต้นที่สำคัญยิ่ง เป็นอุปกรณ์ชักนำ

ให้เดินหน้าต่อไป เมื่อใช้ถูกต้องจึงเป็นการเริ่มต้นที่ดี ทำให้การก้าวหน้าไปสู่จุดหมายได้ผลรวดเร็วขึ้น

ด้วยเหตุนี้ จึงปรากฏว่าบางคราวผู้มีปัญญามากกว่าแต่ขาดความเชื่อมั่น กลับประสบความสำเร็จช้ากว่าผู้มี

ปัญญาด้อยกว่าแต่มีศรัทธาแรงกล้า *

ในกรณีที่ศรัทธานั้นไปตรงกับสิ่งที่ถูกต้องแล้ว จึงเป็นการทุ่นแรงทุ่นเวลาไปในตัว

ตรงกันข้าม ถ้าศรัทธาเกิดในสิ่งที่ผิด ก็เป็นการทำให้เขว ยิ่งหลงชักช้าหนักขึ้นไปอีก


(* เช่น กรณีของพระสารีบุตร ซึ่งบรรลุธรรมช้ากว่าพระสาวกอื่นหลายท่าน ทั้งที่เป็นผู้มีปัญญามาก)


การขาดศรัทธาเป็นอุปสรรคอย่างหนึ่ง ซึ่งทำให้ชะงัก ไม่ก้าวหน้าต่อไป

ในทิศทางที่ต้องการ

ดังพุทธพจน์ว่า


“ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุรูปหนึ่งยังสลัดทิ้งตอในใจ ๕ อย่างไม่ได้

ยังถอนสิ่งผูกรัดใจ ๕ อย่างไม่ได้

ข้อที่ว่าภิกษุนั้น จักถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ ในธรรมวินัยนี้ ย่อมเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้”

“ตอในใจที่ภิกษุนั้น ยังสลัดทิ้งไม่ได้ คือ

๑. ภิกษุสงสัย เคลือบแคลง ไม่ปลงใจ ไม่เลื่อมใสแนบสนิทในพระศาสดา...

๒. ภิกษุสงสัย เคลือบแคลง ไม่ปลงใจ ไม่เลื่อมใสแนบสนิทในธรรม...

๓.ภิกษุสงสัย เคลือบแคลง ไม่ปลงใจ ไม่เลื่อมใสแนบสนิทในสงฆ์…

๔.ภิกษุสงสัย เคลือบแคลง ไม่ปลงใจ ไม่เลื่อมใสแนบสนิทในสิกขา...

๕. ภิกษุโกรธเคือง น้อยใจ มีจิตกระทบกระทั่ง เกิดความกระด้างเหมือนเป็นตอเกิดขึ้น

ในเพื่อนพรหมจรรย์...

จิตของภิกษุผู้ยังสงสัย เคลือบแคลง ไม่ปลงใจ ไม่เลื่อมใสแนบสนิทในพระศาสดา...ในธรรม…

ในสงฆ์...ในสิกขา...โกรธเคือง ฯลฯ ในเพื่อนพรหมจรรย์ ย่อมไม่น้อมไปเพื่อความเพียร

เพื่อความหมั่นฝึกฝนอบรม เพื่อความพยายามอย่างต่อเนื่อง เพื่อการลงมือทำความพยายาม

ภิกษุมีจิตที่ยังไม่น้อมไปเพื่อความเพียร...ชื่อว่ามีตอในใจซึ่งยังสลัดทิ้งไม่ได้...”



(ที.ปา.11/296/250 ฯลฯ)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 25 ธ.ค. 2009, 16:35, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ธ.ค. 2009, 16:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โดยนัยนี้ การขาดศรัทธา มีความสงสัย แคลงใจ ไม่เชื่อมั่น จึงเป็นอุปสรรค

สำคัญในการพัฒนาปัญญาและการก้าวหน้าไปสู่จุดหมาย สิ่งที่ต้องทำในกรณีนี้ก็คือ ต้องปลูกศรัทธา

และกำจัดความสงสัยแคลงใจ

แต่การปลูกศรัทธาในที่นี้มิได้หมายถึงการยอมรับและมอบความไว้วางใจให้โดยไม่เคารพในคุณค่าแห่งปัญญา

ของตน

แต่หมายถึงการคิดพิสูจน์ทดสอบด้วยปัญญาของตนให้เห็นเหตุผลชัดเจน จนมั่นใจ หมดความลังเลสงสัย

วิธีทดสอบนั้น

มีพุทธพจน์แสดงตัวอย่างการคิดสอบสวนก่อนที่จะเกิดศรัทธา เช่น ในข้อความต่อไปนี้ ซึ่งเป็นคำสอนให้คิด

สอบสวนแม้แต่องค์พระเจ้าเอง ดังต่อไปนี้




“ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ตรวจสอบ เมื่อไม่รู้วิธีกำหนดวาระจิตของผู้อื่น พึงกระทำการพิจารณาตรวจสอบ

ในตถาคต เพื่อความรู้ พระองค์เป็นสัมมาสัมพุทธะ หรือไม่”


“ภิกษุผู้ตรวจสอบ เมื่อไม่รู้วิธีกำหนดวาระจิตของผู้อื่น พึงกระทำการพิจารณาตรวจสอบตถาคตในธรรม ๒

อย่าง คือ ในสิ่งที่พึงรู้ได้ด้วยตา และ หู ว่า

-เท่าที่พึงรู้ได้ด้วยตาและหู ธรรมที่เศร้าหมอง มีแก่ตถาคต หรือหาไม่ เมื่อเธอพิจารณาตรวจสอบ

ตถาคตนั้น ก็ทราบได้ว่า ธรรมที่พึงรู้ได้ด้วยตาและหูที่เศร้าหมองของตถาคตไม่มี

-จากนั้น เธอก็พิจารณาตรวจสอบตถาคตให้ยิ่งขึ้นไปอีกว่า เท่าที่พึงรู้ได้ด้วยตาและหูธรรม

ที่ (ชั่วบ้าง ดีบ้าง) ปนๆกันไป มีแก่ตถาคตหรือไม่

เมื่อเธอพิจารณาตรวจสอบตถาคตนั้น ก็ทราบได้ว่า เท่าที่พึงรู้ได้ด้วยตาและหู ธรรมที่ (ชั่วบ้าง ดีบ้าง)

ปนๆกันไปของตถาคตไม่มี


-จากนั้น เธอก็พิจารณาตรวจสอบตถาคตให้ยิ่งขึ้นไปอีกว่า เท่าที่พึงรู้ได้ด้วยตาและหู

ธรรมที่สะอาดหมดจด มีแก่ตถาคตหรือไม่ ….

เธอก็ทราบได้ว่า เท่าที่รู้ได้ด้วยตาและหู ธรรมที่สะอาดหมดจดของตถาคตมีอยู่

-จากนั้น เธอก็พิจารณาตรวจสอบตถาคตให้ยิ่งขึ้นไปอีกว่า ท่านผู้นี้ประกอบพร้อมบูรณ์ ซึ่งกุศลธรรมนี้

ตลอดกาลยาวนาน หรือประกอบชั่วเวลานิดหน่อย...

เธอก็ทราบได้ว่า ท่านผู้นี้ ประกอบพร้อมบูรณ์ ซึ่งกุศลธรรมนี้ ตลอดกาลยาวนาน

มิใช่ประกอบชั่วเวลานิดหน่อย...

-จากนั้น เธอก็พิจารณาตรวจสอบตถาคตให้ยิ่งขึ้นไปอีกว่า ท่านภิกษุผู้นี้มีชื่อเสียง มีเกียรติยศแล้ว

ปรากฏข้อเสียหายบางอย่างบ้างหรือไม่ เพราะว่า ภิกษุ (บางท่าน) ยังไม่ปรากฏมีข้อเสียหายบางอย่าง

จนกว่าจะเป็นผู้มีชื่อเสียง มีเกียรติยศ

เมื่อนั้น จึงปรากฏมีข้อเสียหายบางอยาง....เธอก็ทราบได้ว่า ท่านภิกษุผู้นี้ เป็นผู้มีชื่อเสียง

มีเกียรติยศแล้ว ก็ไม่ปรากฏมีข้อเสียหายบางอย่าง (เช่นนั้น)


:b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43:


-จากนั้น เธอก็พิจารณาตรวจสอบตถาคตให้ยิ่งขึ้นไปอีกว่า ท่านผู้นี้ เป็นผู้งดเว้น (อกุศล) โดยไม่มี

ความกลัว มิใช่ผู้งดเว้นเพราะกลัว ไม่เสวนากามทั้งหลาย ก็เพราะปราศจากราคะ เพราะหมดสิ้นราคะ

หรือหาไม่....

เธอก็ทราบได้ว่า ท่านผู้นี้ เป็นผู้งดเว้นโดยไม่มีความกลัว มิใช่ผู้งดเว้นเพราะกลัว

ไม่เสวนากามทั้งหลาย ก็เพราะปราศจากราคะ เพราะหมดราคะ...


หากมีผู้อื่นถามภิกษุนั้นว่า ท่านมีเหตุผล (อาการ) หยั่งทราบ (อันวยา)ได้อย่างไร

จึงทำให้กล่าวได้ว่า ท่านผู้นี้เป็นผู้งดเว้นโดยไม่มีความกลัว มิใช่งดเว้นเพราะกลัว

ไม่เสวนากามทั้งหลาย ก็เพราะปราศจากราคะ หมดราคะ

ภิกษุเมื่อจะตอบแก้ให้ถูกต้อง พึงตอบแก้ว่า จริงอย่างนั้น ท่านผู้นี้ เมื่ออยู่ในหมู่ก็ตาม อยู่ลำพัง

ผู้เดียวก็ตาม ในที่นั้นๆ ผู้ใดจะปฏิบัติได้ดีก็ตาม จะปฏิบัติตนไม่ดีก็ตาม

จะเป็นผู้ปกครองหมู่คณะก็ตาม จะเป็นบางคนที่ติดวุ่นอยู่ในอามิสก็ตาม จะเป็นบางคนที่ไม่ติดด้วยอามิส

ก็ตาม ท่านผู้นี้ไม่ดูหมิ่นคนนั้นๆ เพราะเหตุนั้นๆ เลย

ข้าพเจ้าได้สดับ ได้รับฟังถ้อยคำมาจำเพาะพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาคทีเดียวว่า “เราเป็นผู้งดเว้นโดยไม่มี

ความกลัว เราไม่ใช่ผู้งดเว้นเพราะกลัว เราไม่เสวนากามทั้งหลาย ก็เพราะปราศจากราคะ

เพราะหมดราคะ”


“ภิกษุทั้งหลาย ในกรณีนั้น พึงสอบถามตถาคตให้ยิ่งขึ้นไปอีกว่า เท่าที่รู้ได้ด้วยตาและหู ธรรมที่เศร้าหมอง

มีแก่ตถาคตหรือหาไม่ ตถาคตเมื่อตอบแก้ ก็จะตอบแก้ว่า...ไม่มี


ถามว่า ธรรมที่ (ดีบ้าง ชั่วบ้าง) ปนๆกันไป มีแก่ตถาคตหรือหาไม่ ตถาคตเมื่อตอบแก้ ก็จะตอบแก้

ว่า...ไม่มี


ถามว่า ธรรมที่สะอาดหมดจด มีแก่ตถาคตหรือหาไม่ ตถาคตเมื่อตอบแก้ ก็จะตอบแก้ว่า...มี

เรามีธรรมที่สะอาดหมดจดนั้น เป็นทางดำเนิน และเราจะเป็นผู้มีตัณหาเพราะเหตุนั้นก็หาไม่

-ศาสดาผู้กล่าวได้อย่างนี้แล สาวกจึงควรเข้าไปหา เพื่อสดับธรรม

-ศาสดาย่อมแสดงธรรมแก่สาวกนั้น สูงยิ่งขึ้นไปๆประณีต ขึ้นไปๆ ทั้งธรรมดำธรรมขาว เปรียบเทียบให้เห็น

ตรงกันข้าม

-ศาสดาย่อมแสดงธรรมแก่ภิกษุ...อย่างใดๆ ภิกษุนั้น รู้ยิ่งธรรมบางอย่างในธรรมนั้น อย่างนั้นๆแล้ว

ย่อมถึงความตกลงใจในธรรมทั้งหลาย ย่อมเลื่อมใสในศาสดาว่า “พระผู้มีพระภาค เป็นสัมมาสัมพุทธ

ธรรมอันพระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดีแล้ว สงฆ์เป็นผู้ปฏิบัติดี”


หากจะมีผู้อื่นถามภิกษุนั้นต่อไปอีกว่า “ท่านมีเหตุผล (อาการ) หยั่งทราบ ได้อย่างไรจึงทำให้กล่าวได้ว่า

พระผู้มีพระภาคเป็นสัมมาสัมพุทธ ธรรมอันพระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดีแล้ว สงฆ์เป็นผู้ปฏิบัติดี ?”


ภิกษุนั้นเมื่อจะตอบให้ถูก ก็พึงตอบว่า “ข้าพเจ้า เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเพื่อฟังธรรม พระองค์แสดงธรรม

แก่ข้าพเจ้า...พระองค์แสดง...อย่างใดๆ ข้าพเจ้ารู้ยิ่ง...อย่างนั้นๆ จึงถึงความตกลงใจในธรรม

ทั้งหลาย จึงเลื่อมใสในพระศาสดา...”


ภิกษุทั้งหลาย ศรัทธาของบุคคลผู้ใดผู้หนึ่ง ฝังลงในตถาคต เกิดเป็นเค้ามูล เป็นพื้นฐานที่ตั้ง

โดยอาการเหล่านี้ โดยบทเหล่านี้ โดยพยัญชนะเหล่านี้ เรียกว่า ศรัทธาที่มีเหตุผล (อาการวตี)

มีการเห็นเป็นมูลฐาน (ทัสสนมูลิกา)* มั่นคง อันสมณะหรือพราหมณ์ หรือเทพเจ้า หรือมาร

หรือพรหม หรือใครๆในโลกให้คลาดเคลื่อนไม่ได้

การพิจารณาตรวจสอบธรรมในตถาคตเป็นอย่างนี้แล และตถาคต

ย่อมเป็นอันได้รับการพิจารณาตรวจสอบดีแล้วโดยนัยนี้”


:b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48:


(วีมังสกสูตร ม.มู.12/535-539/576-580)

* อรรถกถาแก้ว่า มีโสดาปัตติมรรคเป็นมูล

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 27 ธ.ค. 2009, 20:51, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ธ.ค. 2009, 16:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พึงสังเกตว่า แม้แต่ความสงสัยเคลือบแคลงในพระพุทธเจ้า ก็ไม่ได้ถูกถือว่า

เป็นบาป หรือ ความชั่วเลย

ถือว่า เป็นเพียงสิ่งที่จะต้องแก้ไขให้รู้แน่ชัดลงไป จนหมดสงสัยด้วยวิธีการแห่งปัญญา

และยังส่งเสริมให้ใช้ความคิดสอบสวนพิจารณาตรวจสอบอีกด้วย

เมื่อมีผู้ใด ประกาศตัวเอง แสดงความเลื่อมใสศรัทธา ในพระพุทธเจ้า

ก่อนที่พระองค์จะประทานความเห็นชอบ จะทรงสอบสวนก่อนว่า ศรัทธาปสาทะของเขา

มีเหตุผลเป็นมูลฐานหรือไม่ (อาการวตีศรัทธา) เช่น




พระสารีบุตรเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า กราบทูลว่า “พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ เลื่อมใส

ในพระมีพระภาคอย่างนี้ว่า สมณะก็ดี พราหมณ์ก็ดี อื่นใด ที่จะมีความรู้ยิ่งไปกว่า

พระผู้มีพระภาคในทางสัมโพธิญาณได้นั้น ไม่เคยมี จักไม่มี และไม่อยู่ในบัดนี้”

พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า “สารีบุตร เธอกล่าวอาสภิวาจา (วาจาอาจหาญ)ครั้งนี้ยิ่งใหญ่นัก

เธอบันลือสีหนาทถือเด็ดขาดลงไปอย่างเดียว...ดังนี้นั้น เธอได้ใช้จิตกำหนดรู้จิต

ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์เท่าที่มีมาแล้วในอดีต หรือว่าพระผู้มีพระภาคเหล่านั้น

มีศีลอย่างนี้ เพราะเหตุดังนี้ ๆ ทรงมีธรรมอย่างนี้ มีปัญญาอย่างนี้ มีธรรมเครื่องอยู่อย่างนี้

หลุดพ้นแล้ว เพราะเหตุดังนี้ๆ”

สารีบุตร: “มิใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า”


พระพุทธเจ้า. “เธอได้ใช้จิตกำหนดรู้จิตของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ที่จักมี

ในอนาคตแล้วหรือว่า พระผู้มีพระภาคเหล่านั้นจัก...เป็นอย่างนี้ เพราะเหตุดังนี้ๆ”

“มิใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า”


พระพุทธเจ้า. “ก็แล้วเราผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในบัดนี้

เธอได้ใช้จิตกำหนดรู้จิตแล้วหรือว่า พระผู้มีพระภาค...ทรงเป็นอย่างนี้ เพราะเหตุดังนี้ๆ”

“มิใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า”


พระพุทธเจ้า. “ก็ในเรื่องนี้ เมื่อเธอไม่มีญาณเพื่อกำหนดรู้จิตในพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

ทั้งในอดีต อนาคต และปัจจุบันเช่นนี้แล้ว ไฉนเล่า เธอจึงได้กล่าวอาสภิวาจา

อันยิ่งใหญ่นักนี้ บันลือสีหนาทถือเป็นเด็ดขาดอย่างเดียว (ดังที่กล่าวมาแล้ว)”



พระสารีบุตร: “พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ ไม่มีญาณกำหนดรู้จิตในพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในอดีต

อนาคต และปัจจุบัน ก็จริง แต่กระนั้น ข้าพระองค์ทราบการหยั่งแนวธรรม”

“พระองค์ผู้เจริญ เปรียบเหมือนเมืองชายแดนของพระราชา มีป้อมแน่นหนา มีกำแพงและเชิงเทินมั่นคง

มีประตูๆ เดียว คนเฝ้าประตูพระนครนั้น เป็นบัณฑิต เฉียบแหลม มีปัญญา คอยห้ามคนที่ตน

ไม่รู้จัก ยอมให้แต่คนที่รู้จักเข้าไป

เขาเที่ยวตรวจดูทางแนวกำแพงรอบเมืองนั้น ไม่เห็นรอยต่อหรือช่องกำแพง แม้เพียงที่แมวลอดออกได้

ย่อมคิดว่า สัตว์ตัวโตทุกอย่างทุกตัวจะเข้าออกเมืองนี้ จะต้องเข้าออกทางประตูนี้เท่านั้น ฉันใด

ข้าพระองค์ก็ทราบการหยั่งแนวธรรม ฉันนั้นเหมือนกันว่า

พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ เท่าที่มีมาแล้วในอดีต ทรงละนิวรณ์ ๕

ที่ทำจิตให้เศร้าหมอง ทำปัญญาให้อ่อนกำลังได้แล้ว มีพระทัยตั้งมั่นดีในสติปัฏฐาน ๔

ทรงเจริญโพชฌงค์ ๗ ตามเป็นจริง จึงได้ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ

แม้พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ ที่จะมีในอนาคต ก็จัก (ทรงทำอย่างนั้น)

แม้พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในบัดนี้ ก็ทรงละนิวรณ์ ๕....มีพระทัยตั้งมั่น

ในสติปัฏฐาน ๔ ทรงเจริญโพชฌงค์ ๗ ตามเป็นจริง จึงได้ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ

(เช่นเดียวกัน) ฯลฯ”


(ที.ม.10/77/97 ฯลฯ)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ธ.ค. 2009, 16:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ความเลื่อมใสศรัทธาต่อบุคคลผู้ใดผู้หนึ่งนั้น

ถ้าใช้ให้ถูกต้อง คือเป็นอุปกรณ์สำหรับช่วยให้ก้าวหน้าต่อไป ก็ย่อมเป็นสิ่งที่มีประโยชน์

แต่ในเวลาเดียวกัน ก็มีข้อเสีย เพราะมักจะกลายเป็นความติดในบุคคล

และกลายเป็นอุปสรรคบั่นทอนความก้าวหน้าต่อไป

ข้อดีของศรัทธาปสาทะนั้น เช่น



“อริยสาวกผู้ใด เลื่อมใสอย่างยิ่งแน่วแน่ถึงที่สุดในตถาคต

อริยสาวกนั้น จะไม่สงสัย หรือ แคลงใจในตถาคตหรือศาสดา (คำสอน)ของตถาคต

แท้จริงสำหรับอริยสาวกผู้มีศรัทธา เป็นอันหวังสิ่งนี้ได้คือ เขาจักเป็นผู้ตั้งหน้าทำความเพียร

เพื่อกำจัดอกุศลธรรมทั้งหลาย และบำเพ็ญกุศลธรรมทั้งหลาย ให้พร้อมบูรณ์

จักเป็นผู้มีเรี่ยวแรง บากบั่นอย่างมั่นคง ไม่ทอดธุระในกุศลธรรมทั้งหลาย”


(สํ.ม.19/1011/297)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ธ.ค. 2009, 17:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




208793.jpg
208793.jpg [ 61.42 KiB | เปิดดู 5947 ครั้ง ]
ขั้นด้วยภาพวิวสวยๆ เพื่อให้ผู้อ่านคิดทบทวนพุทธพจน์ข้างบนอีกที ว่าจุดหมายสูงสุดของพุทธะ คือ...

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 25 ธ.ค. 2009, 17:07, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ธ.ค. 2009, 17:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ขั้นด้วยภาพวิวสวยๆ เพื่อให้ผู้อ่านคิดทบทวนพุทธพจน์ข้างบนอีกที ว่าจุดหมายสูงสุดของพุทธะ คือ...


จานป้อ...หง่ะ....ไหนล่ะ วิวสวย ๆ ที่จานป้อ...ว่า...หง่ะ...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ธ.ค. 2009, 17:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้อ...เพิ่งจะโผล่....

:b55: :b47: ... :b55: :b47: ... :b55: :b47:

รูปภาพ


:b55: :b47: ... :b55: :b47: ... :b55: :b47:


แก้ไขล่าสุดโดย เอรากอน เมื่อ 25 ธ.ค. 2009, 17:19, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ธ.ค. 2009, 17:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ส่วนข้อเสียก็มี ดังพุทธพจน์ว่า


“ภิกษุทั้งหลาย ข้อเสีย ๕ อย่างในความเลื่อมใสบุคคลมีดังนี้ คือ

๑. บุคคลเลื่อมใสยิ่งในบุคคลใด บุคคลนั้นต้องอาบัติอันเป็นเหตุให้สงฆ์ยกวัตร

เขาจึงคิดว่า บุคคลผู้เป็นที่รักทีชอบใจของเรานี้ ถูกสงฆ์ยกวัตรเสียแล้ว...

๒. บุคคลเลื่อมใสยิ่งในบุคคลใด บุคคลนั้นต้องอาบัติอันเป็นเหตุให้สงฆ์บังคับให้นั่ง ณ ท้ายสุดสงฆ์เสีย

แล้ว...

๓....บุคคลนั้น ออกเดินทางไปเสียที่อื่น...

๔. ....บุคคลนั้น ลาสิกขาเสีย...

๕. ....บุคคลนั้น ตายเสีย...


เขาย่อมไม่คบหาภิกษุอื่นๆ เมื่อไม่คบหาภิกษุอื่นๆ ก็ย่อมไม่ได้สดับสัทธรรม เมื่อไม่ได้สดับสัทธรรม ก็ย่อม

เสื่อมจากสัทธรรม”

(องฺ.ปญฺจก.22/250/300)


เมื่อความเลื่อมใสศรัทธากลายเป็นความรัก

ข้อเสียในการที่ความลำเอียงจะมาปิดบังการใช้ปัญญาที่เกิดขึ้นอีก เช่น



“ภิกษุทั้งหลาย สิ่ง ๔ ประการนี้ ย่อมเกิดขึ้นได้ คือ ความรักเกิดจากความรัก

โทสะเกิดจากความรัก ความรักเกิดจากโทสะ โทสะเกิดจากโทสะ


“ฯลฯ โทสะเกิดจากความรักอย่างไร ?

บุคคลที่ตนปรารถนา รักใคร่ พอใจ ถูกคนอื่นประพฤติด้วยอาการที่ไม่น่าปรารถนา

ไม่น่ารักใคร่ ไม่น่าพอใจดังนี้ เขาย่อมเกิดโทสะในคนเหล่านั้น ฯลฯ”


(องฺ.จตุกฺก.21/200/290)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ธ.ค. 2009, 17:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แม้แต่ความเลื่อมใสศรัทธาในองค์พระศาสนาเอง

เมื่อกลายเป็นความรักในบุคคลไป ก็ย่อมเป็นอุปสรรคต่อความหลุดพ้น หรือ อิสรภาพทางปัญญา

ในขั้นสูงสุดได้ พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้ละเสีย

แม้บางครั้ง จะต้องใช้วิธีค่อนข้างรุนแรง ก็ทรงทำ เช่น ในกรณีของพระวักกลิ ซึ่งมีความเลื่อมใสศรัทธา

ในพระองค์อย่างแรงกล้า

อยากจะติดตามพระองค์ไปทุกหนแห่งเพื่อได้อยู่ใกล้ชิด ได้เห็นพระองค์อยู่เสมอ


ระยะสุดท้ายเมื่อพระวักกลิป่วยหนัก อยากเฝ้าพระพุทธองค์ ส่งคนไปกราบทูล

พระองค์ก็เสด็จมา และมีพระดำรัสเพื่อให้เกิดอิสรภาพทางปัญญาแก่พระวักกลิ

ตอนหนึ่งว่า



พระวักกลิ: ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เป็นเวลานานนักแล้ว ข้าพระองค์ปรารถนาจะไปเฝ้า

เพื่อจะเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า แต่ร่างกายของข้าพระองค์ไม่มีกำลังเพียงพอที่จะไปเฝ้า

เห็นองค์พระผู้มีพระภาคเจ้าได้”


พระพุทธเจ้า: อย่าเลย วักกลิ ร่างกายอันเน่าเปื่อยนี้ เธอเห็นไป จะมีประโยชน์อะไร

ดูกรวักกลิ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้น ชื่อว่าเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นเห็นธรรม เมื่อเห็นธรรม

นั่นแหละ วักกลิ จึงจะชื่อว่า เห็นเรา เมื่อเห็นเรา (ก็คือ) เห็นธรรม”


(ม.มู.12/288/280)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ธ.ค. 2009, 17:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นอกจากนั้น ความก้าวหน้าเพียงขั้นศรัทธา ยังไม่เป็นการมั่นคงปลอดภัย

เพราะยังต้องเนื่องอาศัยปัจจัยภายนอก จึงยังเสื่อมถอยได้ ดังพุทธพจน์ว่า




“ดูกรภัททาลิ เปรียบเหมือนบุรุษมีตาข้างเดียว

พวกมิตรสหายญาติสาโลหิตของเขา พึงช่วยกันรักษาตาข้างเดียวของเขาไว้ ด้วยคิดว่า

อย่าให้ตาข้างเดียวของเขานั้นต้องเสียไปเลย ข้อนี้ฉันใด

ภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เธอประพฤติปฏิบัติเพียงด้วยศรัทธา

เพียงด้วยความรัก พวกเราจักช่วยกันเร่งรัดเธอย้ำแล้วย้ำอีกให้กระทำการณ์โดยหวังว่า

อย่าให้สิ่งที่เป็นเพียงศรัทธาเป็นเพียงความรักนั้นเสื่อมสูญไปจากเธอเลย นี้แล ภัททาลิ คือเหตุ

คือปัจจัยที่ทำให้ (ต้อง)คอยช่วยเร่งรัดภิกษุบางรูปในศาสนานี้ย้ำแล้วย้ำอีกให้กระทำการณ์”


(ม.ม.13/171/174)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ธ.ค. 2009, 18:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ลำพังศรัทธาอย่างเดียว เมื่อไม่ก้าวหน้าถึงขั้นปัญญาต่อไปตามลำดับ

ย่อมมีผลอยู่ในขอบเขตจำกัดเพียงแค่สวรรค์เท่านั้น

ไม่สามารถให้บรรลุจุดหมายของพุทธธรรมได้

ดังพุทธพจน์ว่า



“ภิกษุทั้งหลาย ในธรรมที่เรากล่าวไว้ดีแล้ว ซึ่งเป็นของง่าย เปิดเผย ประกาศไว้ชัด

ไม่มีเงื่อนงำใดๆอย่างนี้

-สำหรับภิกษุผู้เป็นอรหันตขีณาสพ...ย่อมไม่มีวัฏฏะเพื่อจะบัญญัติต่อไป

-ภิกษุที่ละสังโยชน์เบื้องต่ำทั้ง ๕ ได้แล้ว ย่อมเป็นโอปปาติกะ ปรินิพพานในโลกนั้น ฯลฯ

-ภิกษุที่ละสังโยชน์ ๓ ได้แล้ว มีราคะ โทสะ โมหะเบาบาง ย่อมเป็นสกทาคามี ฯลฯ

-ภิกษุที่ละสังโยชน์ ๓ ได้ ย่อมเป็นโสดาบัน ฯลฯ

-ภิกษุที่เป็นธัมมานุสารี เป็นสัทธานุสารี ย่อมเป็นผู้มีสัมโพธิ เป็นที่หมาย

-ผู้ที่มีเพียงศรัทธา มีเพียงความรักในเรา ย่อมเป็นผู้มีสวรรค์เป็นที่หมาย”


(ม.มู.12/288/280)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ธ.ค. 2009, 18:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ในกระบวนการพัฒนาปัญญา ที่ถือเอาประโยชน์จากศรัทธา อย่างถูกต้อง

ปัญญาจะเจริญขึ้นโดยลำดับ จนถึงขั้นเป็นญาณทัสสนะ คือเป็นการรู้การเห็น

ในขั้นนี้ จะไม่ต้องใช้ความเชื่อ และ ความเห็นอีกต่อไป เพราะรู้เห็นประจักษ์แก่ตนเอง

จึงเป็นขั้นที่พ้นขอบเขตของศรัทธา

ขอให้พิจารณาข้อความในพระไตรปีฎกต่อไปนี้



ถาม: ท่านสุสิละ โดยไม่อาศัยศรัทธา ไม่อาศัยความถูกกับใจคิด ไม่อาศัยการเรียนรู้ตามกันมา

ไม่อาศัยการคิดตรองตามแนวเหตุผล ไม่อาศัยความเข้ากันได้กับการทดสอบด้วยทฤษฎี

ท่านสุสิละมีการรู้จำเพาะตน (ปัจจัตตญาณ)หรือว่า เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรามรณะ ?


ตอบ: ท่านปวิฏฐะ ผมย่อมรู้ ย่อมเห็นข้อที่ว่า เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรามรณะนี้ได้

โดยไม่ต้องอาศัยศรัทธา...ความถูกกับใจคิด...การเรียนรู้ตามกันมา...การคิดตรองตามแนวเหตุผล...

การเข้ากันได้กับการทดสอบด้วยทฤษฎีเลยทีเดียว



(จากนี้ถามตอบหัวข้ออื่นๆ ในปฏิจจสมุปบาท ตามลำดับทั้งฝ่ายอนุโลม ปฏิโลม จนถึงภวนิโรธ

เป็นนิพพาน)

สํ.นิ.16/269-275/140-144

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 25 ธ.ค. 2009, 19:42, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ธ.ค. 2009, 20:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อีกแห่งหนึ่งว่า


ถาม: มีปริยายบ้างไหม ที่ภิกษุจะใช้พยากรณ์อรหัตผลได้ โดยไม่ต้องอาศัยศรัทธา ไม่ต้องอาศัยความถูก

กับใจชอบ ไม่ต้องอาศัยการเรียนรู้ตามกันมา ไม่ต้องอาศัยการคิดตรงองตามแนวเหตุผล ไม่ต้องอาศัยความ

เข้ากันได้กับการคิดทดสอบด้วยทฤษฎี ก็รู้ชัดว่า “ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว สิ่งที่ต้องทำได้ทำแล้ว

สิ่งอื่นที่ต้องทำเพื่อเป็นอย่างนี้ ไม่มีเหลืออยู่อีก ? ฯลฯ


ตอบ : ปริยายนั้นมีอยู่...คือ ภิกษุ เห็นรูปด้วยตา ย่อมรู้ชัดซึ่งราคะโทสะโมหะ ที่มีอยู่ในตัวว่า

“ราคะ โทสะ โมหะ มีอยู่ในตัวเรา” หรือย่อมรู้ชัดซึ่งราคะ โทสะ โมหะ ที่ไม่มีอยู่ในตัวว่า

“ราคะ โทสะ โมหะ ไม่มีในตัวของเรา”


ถาม: เรื่องที่ว่า...นี้ ต้องทราบด้วยศรัทธา หรือด้วยความถูกกับใจชอบ หรือด้วยการเรียนรู้ตามกันมา

หรือด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล หรือด้วยความเข้ากันได้กับการคิดทดสอบด้วยทฤษฎี หรือไม่ ?

ตอบ : ไม่ใช่อย่างนั้น


ถาม: เรื่องที่ว่า...นี้ ต้องเห็นด้วยปัญญาจึงทราบมิใช่หรือ ?

ตอบ : อย่างนั้น พระเจ้าข้า


สรุป: นี้ก็เป็นปริยายหนึ่ง ที่ภิกษุจะใช้พยากรณ์อรหัตผลได้ โดยไม่ต้องอาศัยศรัทธา ฯลฯ



(จากนี้ถาม ตอบไปตามลำดับอายตนะอื่นๆ ในทำนองเดียวกัน จนครบทุกข้อ)

(สํ.สฬ. 18/239-242/173-176)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ธ.ค. 2009, 20:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

อนุโมทนาสาธุด้วยครับ


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ธ.ค. 2009, 21:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วรานนท์ เขียน:
อนุโมทนาสาธุด้วยครับ


สาธุ :b8: คุณวรานนท์ขยันตามอ่าน ขยันตามสาธุนะครับ กรัชกายก็มีคุณนี่ล่ะที่ตามเป็นกำลังใจให้

คุณลองมองหาเรื่องจับผิดกรัชกายบ้างสิครับ :b32:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 25 ธ.ค. 2009, 21:02, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 20 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร