วันเวลาปัจจุบัน 03 ส.ค. 2025, 10:02  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 พ.ย. 2013, 15:59 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ย. 2011, 13:35
โพสต์: 48


 ข้อมูลส่วนตัว


เนื้อหาจาก http://soraj.wordpress.com/

รูปภาพ

กุงกาซังโปริมโปเชมาบรรยายธรรมและมาร่วมกิจกรรมกับมูลนิธิพันดาราเป็นเวลาสิบกว่าวันในช่วงปลายเดือนกันยายนนี้ กิจกรรมแรกที่ท่านทำได้แก่การบรรยายธรรมเรื่อง “ปัญญากับพระโพธิสัตว์มัญชุศรี” ที่บ้านมูลนิธิฯ ถนนลาดพร้าว เมื่อเย็นวันพุธที่ผ่านมา ริมโปเชได้บรรยายเกี่ยวกับบทบาทของปัญญากับการปฏิบัติบารมีหกประการของพระโพธิสัตว์ ซึ่งเป็นเนื้อหาที่สำคัญมีประโยชน์แก่ผู้ศึกษาและปฏิบัติธรรมมาก จึงคิดว่าเอามาเล่าให้ฟังกันในที่นี้

ก่อนอื่นก็ต้องปูพื้นก่อน สำหรับคนที่อาจยังไม่คุ้นกับบารมีหกประการของพระโพธิสัตว์ ในหนังสือเรื่อง “วิถีชีวิตของพระโพธิสัตว์” หรือ “โพธิจรรยาวตาร” ของท่านศานติเทวะ ท่านได้วางแนวทางการประพฤติปฏิบัติของพระโพธิสัตว์ ตามหลักของบารมีหกประการเอาไว้ ซึ่งได้แก่ ทาน ศีล ขันติ วิริยะ สมาธิ และปัญญา บารมีทั้งหกนี้เป็นเหมือนจุดผ่านหกจุดที่ผู้ปฏิบัติตามแนวทางของพระโพธิสัตว์จะต้องผ่านและจะต้องสั่งสม เพื่อที่จะเดินทางไปสู่เป้าหมาย ได้แก่การบรรลุเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ที่จะสามารถช่วยเหลือสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์ได้หมดสิ้น ความมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป็นพระพุทธเจ้าเป็นหัวใจของพระโพธิสัตว์ และเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของการปฏิบัติธรรมตามแนวของพระโพธิสัตว์ เนื่องจากว่าสรรพสัตว์ทั้งหลายต่างก็มีพระคุณแก่เราทั้งหมด และก็เป็นหน้าที่ของเราที่จะต้องตอบแทนคุณของสัตว์โลกเหล่านี้ ซึ่งวิธีการตอบแทนดังกล่าวแบบสูงสุดก็ได้แก่การนำมาสรรพสัตว์ทั้งหลายนี้ให้พ้นจากทุกข์ของสังสารวัฏ

พระมัญชุศรีเป็นพระโพธิสัตว์แห่งปัญญา หรือพูดอีกอย่างก็คือว่าพระองค์ทรงเป็นพระปัญญาธิคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ ซึ่งแสดงตัวออกมาเป็นองค์พระโพธิสัตว์ การปฏิบัติบูชาพระมัญชุศรีก็คือการน้อมนำเอาพระปัญญาธิคุณนี้มาไว้ในตน ให้ตนเองมีคุณสมบัตินี้ซึ่งจะสมบูรณ์แบบในท้ายที่สุด กุงกาซังโปริมโปเชเริ่มการบรรยายด้วยการพูดถึงปัญญาในการปฏิบัติธรรม ปัญญามีอยู่สามระดับ ได้แก่ปัญญาจากการฟังหรือการอ่าน ปัญญาจากการคิดไตร่ตรอง และปัญญาจากการภาวนาหรือการทำสมาธิ ทั้งสามอย่างต้องอิงอาศัยกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เราจะมีปัญญาระดับสูงสุดได้ ก็ต่อเมื่อเรามีปัญญาที่เกิดจากการอ่านการฟังและการคิดใคร่ครวญ ดังนั้นการอ่านการฟังกับการนำมาคิดใคร่ครวญไตร่ตรองจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เราอย่าเห็นว่าการฟังธรรมเป็นเรื่องธรรมดาๆ แล้วมุ่งไปที่การทำสมาธิเลย ถ้าทำอย่างนั้นมีโอกาสสูงที่แนวทางของสมาธิของเราจะไปผิดทาง ซึ่งจะเป็นการออกนอกแนวทางของพระพุทธเจ้าไปได้

การปฏิบัติให้เกิดปัญญา ก็ทำควบคู่ไปกับการฝึกปฏิบัติสั่งสมบารมีหกของพระโพธิสัตว์ได้ เราเริ่มด้วยทานบารมี การให้อย่างมีปัญญาได้แก่การให้ที่ประกอบไปด้วยการเข้าใจความหมายที่แท้จริงของการให้ ความหมายที่แท้จริงของการให้ก็คือเรารับรู้เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า ท้ายที่สุดแล้วตัวตนของเรานั้นไม่ได้มีอยู่จริง ดังนั้นการให้โดยหวังผลตอบแทนกลับเข้ามาหาตัวเรา จึงเป็นการให้ที่ไม่ได้ประกอบไปด้วยปัญญา ซึ่งจะทำให้ออกนอกแนวทางของพระโพธิสัตว์และจะทำให้เราไม่บรรลุถึงเป้าหมายทางธรรม ในทางตรงข้ามเราควรตระหนักว่าการให้นั้นเป็นการช่วยเหลือใครก็ตามที่เราให้ ให้เขาได้พ้นจากความทุกข์ เราเห็นผลประโยชน์ของสัตว์โลกมากกว่าของเราเอง ท่านศานติเทวะได้ให้แนวทางการคิดไว้ว่า ให้เราพยายามคิดทบทวนให้เห็นตระหนักถ่องแท้ว่า ตัวเรากับสัตว์โลกทั้งมวลนั้นเสมอเหมือนกันหมด ไม่มีใครแตกต่างหรืออยู่ในสถานะที่พิเศษมากกว่าใคร นอกจากนี้ท่านก็ยังแนะนำอีกว่า ให้เราลองพยายามแลกเปลี่ยนตัวเราเองกับสัตว์โลกอื่นๆ คือคิดว่าสัตว์โลกเป็นเรา และเราเป็นสัตว์โลก อะไรที่เป็นสิ่งดีๆแก่เรา ที่เราเคยคิดแสวงหามาบำรุงบำเรอความสุขชั่วครู่ชั่วยามของเรา เราก็คิดว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งดีๆแก่สัตว์โลก มอบสิ่งเหล่านั้นให้แก่สัตว์โลกทั้งหมด การทำทานจากมุมมองเช่นนี้ เป็นการทำจากมุมมองของปัญญาที่แท้จริง และจะเป็นการสร้างสมบารมีอันจะนำไปสู่การบรรลุพระพุทธภูมิที่ถูกต้อง

ต่อจากนั้นริมโปเชก็พูดถึงการปฏิบัติศีล ศีลมีสามแบบกว้างๆ ได้แก่ศีลปาฏิโมกข์ ศีลพระโพธิสัตว์ และศีลตันตระ อย่างแรกได้แก่การปฏิบัติแบบสำรวมระวังและข้อห้ามต่างๆอันเป็นของนักบวชทั่วไป อย่างที่สองได้แก่แนวทางการปฏิบัติตามแนวทางของพระโพธิสัตว์ อย่างหลังสุดคือศีลที่ผู้ปฏิบัติตันตระต้องยึดถือ ในการบรรยายนี้ริมโปเชเน้นที่ศีลของพระโพธิสัตว์ ซึ่งประกอบด้วยการประพฤติปฏิบัติเพื่อให้ดำรงตนอยู่ในเส้นทางของพระโพธิสัตว์ ได้แก่การไม่ทำร้ายสัตว์โลกและมุ่งมั่นที่จะนำพาสัตว์โลกนั้นให้พ้นทุกข์ ที่สำคัญคือการถือศีลไม่ใช่การมีกรอบจากภายนอกมาบังคับเรา แต่เราควรคิดว่าศีลออกมาจากภายใน มาจากความเข้าใจของเราเองว่าต้องสำรวมระวังไม่ให้กาย วาจา ใจของเราไปทำอะไรที่เป็นการทำร้ายสัตว์โลก และระวังไม่ให้สิ่งภายนอกเข้ามารบกวนหรือทำให้เราต้องไขว้เขวออกจากเส้นทางหรือเปิดโอกาสให้กิเสลเข้ามารบกวนจิตใจเราได้ นอกจากนี้ก็มาจากการเข้าใจว่าภูมิต่างๆในสังสารวัฏต่างก็มีแต่ความทุกข์ไม่จบสิ้น การเข้าใจเช่นนี้นำไปสู่การตั้งใจมั่นว่าจะรักษาศีล เพื่อที่จะไม่ทำร้ายและยังประโยชน์ให้แก่สัตว์โลกอย่างดีที่สุด การปฏิบัติด้วยความเข้าใจอย่างถูกต้องเช่นนี้ ก็คือการปฏิบัติศีลบารมีด้วยปัญญาอันแท้จริง


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร