วันเวลาปัจจุบัน 01 ส.ค. 2025, 03:39  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 30 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2013, 20:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


cool cool cool
มงคลหมู่ที่ 6 ปรับเตรียมสภาพใจให้พร้อม
มงคลที่ 19
งดเว้นจากบาป


บาป คือสิ่งที่ทำให้จิตเสียคือมีคุณภาพต่ำนั่นเอง พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ ความบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์ เป็นเรื่องเฉพาะตัว และใครจะไถ่บาปทำให้อื่นบริสุทธิ์ไม่ได้ ”
ในศาสนาพุทธมีวิธีการแก้ไขบาปอกุศลที่เคยพลาดพลั้งทำไป ได้อย่างมีเหตุผลดังนี้
สมมุติว่าเรามีเกลือ 1 ช้อน ใส่ลงน้ำ 1 แก้ว เมื่อคนให้ละลายลองชิมดูผลเป็นอย่างไร?
“ ก็เค็ม ”
ถ้าเราเอาน้ำเกลือแก้วนี้เทลงในน้ำถังใหญ่ชิมดูเป็นอย่างไร?
“ ก็แค่กร่อยๆ ”
ถ้าเราเอาน้ำเกลือถังนี้เทลงในแท๊งค์น้ำใหญ่ชิมดูเป็นอย่างไร?
“ ก็จืดสนิท ”
เกลือหายไปไหนหรือเปล่า?
“ เปล่ายังอยู่ครบ ”
แล้วทำไมไม่เค็ม?
“ ก็เพราะน้ำมีปริมาณมาก จนสามารถเจือจางรสเค็มของเกลือจนกระทั่งหมดฤทธิ์ ราจึงไม่รู้สึกเค็ม ภาษาพระเรียกว่า อัพโพหาริก หมายถึงมีเหมือนไม่มี คือเกลือนั้นยังมีอยู่แต่ว่าหมดฤทธิ์เสียแล้ว ”
วิธีแก้บาปในพระพุทธศาสนาก็คือ การงดเว้นบาป แล้วตั้งใจทำความดีสั่งสมบุญให้มาก ให้บุญกุศลนั้นมาทำให้ผลบาปทุเลาลงไป การทำบุญอุปมาเหมือนเติมน้ำ ทำบาปอุปมาเหมือนเติมเกลือ
ผู้ที่ปรารถนาจะหาความสุขความก้าวหน้าทั้งหลาย จึงต้องฝึกใจมีหิริโอตัปปะเสียก่อน
หิริโอตัปปะคืออะไร?
หิริ คือความละอายบาป ถึงไม่มีใครรู้แต่นึกแล้วไม่อยากทำบาป รู้สึกรังเกียจบาป ไม่สบายใจที่จะทำบาป จึงไม่ยอมทำบาป
โอตัปปะ คือความเกรงกลัวผลของบาป กลัวว่าเมื่อทำบาปแล้วบาปจะส่งผลให้ทุกข์ทรมานใจ จึงไม่ยอมทำบาป

ข้อเตือนใจ
การทำชั่ว เหมือนการเดินตามกระแสน้ำ เดินไปได้ง่าย ทุกคนพร้อมที่จะเดินตามกระแสกิเลส ถ้าไม่ควบคุมให้ดียอมตกเป็นทาสกิเลสกระทำสิ่งต่างๆตามอำนาจกิเลส ก็จะประสบทุกข์ในบั้นปลาย
การทำดี เหมือนการเดินทวนกระแสน้ำ เดินลำบาก ต้องใช้ความอดทน มานะพยายาม ระมัดระวังไม่ให้ลื่นล้ม การทำดีเป็นการทวนกระแสกิเลสในตัว ไม่ทำสิ่งต่างๆตามอำเภอใจ คำนึงถึงความถูกต้องดีงามเป็นที่ตั้ง แต่จะประสบสุขในบั้นปลาย
การทำกลางๆ เหมือนยืนอยู่เฉยๆกลางกระแสน้ำ ไม่ช้าก็ถูกกระแสน้ำพัดพาไปได้ คนที่คิดว่า “ ฉันอยู่ของฉันอย่างนี้ก็ดีแล้ว ไม่ได้ทำความเดือดร้อนให้ใคร แต่ความดีฉันก็ไม่สนใจที่จะทำ “ เข้าทำนองบุญก็ไม่ทำกรรมก็ไม่สร้าง วัดก็ไม่เข้า เหล้าก็ไม่กิน เขาย่อมมีโอกาสเผลอไปทำความชั่วได้ในไม่ช้า เพราะใจของคนเราพร้อมจะลื่นไหลลงไปในที่ต่ำตามอำนาจกิเลสอยู่แล้ว ผู้ที่คิดอย่างนี้จึงเป็นคนประมาทอย่างยิ่ง

อานิสงส์การงดเว้นบาป
1. ทำให้เป็นคนไม่มีเวร
2. ทำให้เกิดมหากุศลตามมา
3. ทำให้โรคภัยไข้เจ็บไม่เบียดเบียน
4. ทำให้เป็นผู้ไม่ประมาท
5. ทำให้เกิดศรัทธาในพระพุทธศาสนามากยิ่งขึ้น
6. ทำให้จิตใจผ่องใส พร้อมที่จะรับคุณธรรมขั้นสูงต่อไป

มงคลที่ 20
สำรวมจากการดื่มน้ำเมา


สำรวมจากการดื่มน้ำเมา หมายถึง การระมัดระวัง หรือเว้นขาดจากการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ หรือเสพย์สิ่งเสพติดทุกชนิด
เหตุที่ใช้คำว่าสำรวม
พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่มีเหตุผล บางศาสนาเห็นโทษของเหล้า แอลกอฮอล์ เพราะฉะนั้นนอกจากห้ามดื่มแล้วเอามาทาแผลก็ไม่ได้ จับต้องก็ไม่ได้ คนตายแล้วเอามาเช็ดล้างศพก็ไม่ได้ ถือเป็นบาป
แต่ในพระพุทธศาสนาไม่ได้ห้ามรวมหมดอย่างนั้น เพราะบางกรณีก็มีประโยชน์ในทางการแพทย์ เช่นมอร์ฟีนใช้ฉีดระงับปวด ยาบางอย่างต้องอาศัยเหล้า สกัดเอาตัวยาออกมาใช้รักษาโรค อย่างนี้พระพุทธศาสนาไม่ห้าม แต่บางคนที่อยากดื่มเหล้าแล้วหาข้ออ้าง นำเหล้ามาทั้งขวดเอายาใส่นิดหน่อยอย่างนี้ใช้ไม่ได้

โทษของการดื่มน้ำเมา มี 6 ประการ
1. ทำให้เสียทรัพย์
2. ทำให้เกิดการทะเลาะวิวาท ทั้งกับเพื่อนในและนอกวงเหล้า และกับบุคคลในบ้าน
3. ทำให้เกิดโรคหลายอย่าง
4. ทำให้เสียชื่อเสียง
5. ทำให้แสดงกิริยาที่อุจาดขาดความละอาย
6. ทำให้สติปัญญาเสื่อมถอย
“ เหล้าจึงผลาญทุกอย่าง ผลาญทรัพย์ ผลาญไมตรี ผลาญสุขภาพ ผลาญเกียรติยศผลาญศักดิ์ศรี ผลาญสติปัญญา “

โทษข้ามภพข้ามชาติของการดื่มสุรา
เหล้าไม่ได้มีโทษเฉพาะชาตินี้เท่านั้น แต่ยังมีโทษติดตัวผู้ดื่มไปข้ามภพข้ามชาติมากมายหลายประการ เช่น
1. ทำให้เกิดเป็นคนใบ้
2. ทำให้เกิดเป็นคนบ้า
3. ทำให้เกิดเป็นคนปัญญาอ่อน
4. ทำให้เกิดเป็นสัตว์เลื้อยคลาน

วิธีเลิกเหล้าให้ได้เด็ดขาด
1. ตรองให้เห็นโทษ
2. ตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะเลิกโดยเด็ดขาด อาจให้สัจจะกับผู้ใหญ่ที่นับถือ หรือกับพระภิกษุก็ได้
3. สิ่งใดที่จะเป็นสื่อให้คิดถึงเหล้า เช่นภาพโฆษณา เหล้าตัวอย่าง ขนทิ้งให้หมด ถือเป็นของอัปมงคลมาสู่บ้าน
4. นึกถึงศักดิ์ศรีของตนเองให้มาก ว่าเราเป็นชาวพุทธ เป็นลูกพระพุทธเจ้า เป็นศิษย์มี ครู เป็นทายาทมีตระกูล
5. เพื่อนขี้เหล้าเมายาทั้งหลาย พยายามหลีกเลี่ยงให้ห่าง

อานิสงส์การสำรวมจากการดื่มน้ำเมา
1. ทำให้เป็นคนมีสติ
2. ทำให้ไม่ลุ่มหลง ไม่มัวเมา
3. ทำให้ไม่เกิดการทะเลาะวิวาท
4. ทำให้รู้กิจการทั้งในอดีต ปัจจุบัน อนาคตได้รวดเร็ว
5. ทำให้ไม่เป็นบ้า ใบ้ ปัญญาอ่อน
6. ทำให้มีแต่ความสุข มีแต่คนนับถือยำเกรง
7. ทำให้มีชื่อเสียง เป็นที่รักใคร่ของคนทั่วไป
8. ทำให้ไม่หลงทำร้ายผู้มีพระคุณทั้งกาย วาจา ใจ
9. ทำให้มีหิริโอตัปปะ
10. ทำให้มีความเห็นถูกต้อง มีปัญญา
11. ทำให้บรรลุมรรคผลนิพพานโดยง่าย

onion onion onion

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


แก้ไขล่าสุดโดย วรานนท์ เมื่อ 29 ส.ค. 2013, 19:39, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2013, 20:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5019


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ส.ค. 2013, 22:16 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 21:51
โพสต์: 4941


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
สาธุ อนุโมทนาบุญกับคุณวรานนท์ครับ
:b27:
ขอแจมนิดหนึ่งว่า

มงคลทั้ง 38 ข้อ สำคัญมากที่ข้อ 2 กับข้อ 1 ถ้าสองข้อนี้ถูกต้องแล้ว อีก36 ข้อจะดีตามกันไปหมดครับ

smiley


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ส.ค. 2013, 19:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


smiley smiley smiley

มงคลที่ 21
ไม่ประมาทในธรรม


ความไม่ประมาทในธรรมคืออะไร?
ความไม่ประมาท คือการมีสติกำกับตัวเสมอ
ธรรม คือคำสอนของพระพุทธเจ้า นั่นคือเหตุ ทำต้นเหตุอย่างนี้จะเกิดผลอย่างนั้น เช่นความขยันเป็นเหตุให้เกิดความเจริญ
ความไม่ประมาทในธรรม คือไม่ประมาทในเหตุ ให้มีสติรอบคอบ ตั้งใจทำเหตุที่ดีอย่างเต็มที่ เพื่อบังเกิดผลดีตามมานั่นเอง
ลักษณะของผู้ที่ยังประมาทอยู่
1. พวกกุสีตะ คือพวกที่ไม่ทำเหตุดีแต่จะเอาผลดี เป็นพวกเกียจคร้าน
2. พวกทุจริตะ คือพวกที่ทำเหตุเสียแต่จะเอาผลดี เป็นพวกทำอะไรตามอำเภอใจแต่อยากได้ผลดี
3. พวกสีถิละ คือพวกที่ทำเหตุดีเล็กน้อยแต่จะเอาผลดีมากๆ เป็นพวกค้ากำไรเกินควร เช่นจุดธูป 3 ดอก บูชาพระแต่จะเอาสวรรค์วิมาน
หน้าที่ของสติ
1. เป็นเครื่องทำให้เกิดความระมัดระวังตัว ป้องกันภัยที่จะมาถึงตัว
2. เป็นเครื่องยับยั้งเตือนไม่ให้ตกไปในทางเสื่อม
3. เป็นเครื่องเตือนให้ขวนขวายในการสร้างความดี
4. เป็นเครื่องเร่งเร้าให้มีความขะมักเขม้น
5. เป็นเครื่องทำให้เกิดความสำนึกในหน้าที่อยู่เสมอ
6. เป็นเครื่องทำให้เกิดความละเอียดรอบคอบในการทำงาน
ประโยชน์ของสติ
1. ควบคุมรักษาสภาพจิตให้อยู่ในภาวะที่เราต้องการ โดยการตรวจตราความคิด เลือกรับสิ่งที่ต้องการไว้ กันสิ่งที่ไม่ต้องการออกไป ทำให้จิตเป็นสมาธิง่าย เช่นจะดูหนังสือก็ติดตามไปตลอด ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่วอกแวก
2. ทำให้ร่างกายและจิตใจอยู่ในสภาพเป็นตัวของตัวเองไม่เป็นทาสของอารมณ์ เช่นโลภ โกรธ หลง จิตใจจึงผ่อนคลาย เบาสบาย เป็นสุข พร้อมที่จะจัดการกับสิ่งทั้งหลายที่จะเกิดขึ้นได้อย่างเหมาะสม
3. ทำให้ความคิดและการรับรู้ขยายวงกว้างออกไปโดยไม่มีสิ้นสุด เพราะไม่ถูกบีบคั้นด้วยกิเลสต่างๆ ความคิดจึงเป็นอิสระมีพลัง แต่มีสติควบคุม
4. ทำให้การพิจารณาสืบค้นด้วยปัญญาดำเนินไปได้เต็มที่ เพราะมีความคิดที่เป็นระเบียบ มีจิตใจที่มีพลังเข้มแข็ง จึงเป็นการเสริมสร้างปัญญาให้บริบูรณ์
5. ชำระพฤติกรรมทุกอย่าง ทั้งกาย วาจา ใจ ให้บริสุทธิ์ เพราะมีสติจึงไม่เผลอไปเกลือกกลั้วบาปอกุศลกรรม ทำให้พฤติกรรมต่างๆเป็ไปด้วยปัญญาหรือเหตุผลที่บริสุทธิ์
การฝึกสติให้เป็นคนไม่ประมาท
1. มีสติระลึกถึงการละเว้นทุจริตทางกาย วาจา ใจ อยู่เนืองๆ มิได้ขาด
2. มีสติระลึกถึงไม่ประมาทใน
3. การประพฤติสุจริตทางกาย วาจา ใจ อยู่เนืองๆ มิได้ขาด
4. มีสติระลึกถึงความทุกข์ในอบายภูมิอยู่เนืองๆมิได้ขาด
5. มีสติระลึกถึงความทุกข์ อันเกิดจากการเวียนว่ายตายเกิดของสัตว์ในวัฏสงสารอยู่เนืองๆมิได้ขาด
6. มีสติระลึกถึงกรรมฐานที่จะละราคะ โทสะ โมหะ ให้ขาดจากสันดานอยู่เนืองๆ มิได้ขาด
สิ่งที่ไม่ควรประมาทอย่างยิ่ง
1. ไม่ประมาทในเวลา เช่นคิดว่าเวลายังมีอีกมาก
2. ไม่ประมาทในวัย เช่นคิดว่าตนยังไม่แก่
3. ไม่ประมาทในความไม่มีโรค
4. ไม่ประมาทในการงาน
5. ไม่ประมาทในชีวิต
6. ไม่ประมาทในการศึกษา
7. ไม่ประมาทในการปฏิบัติธรรม
อานิสงส์การไม่ประมาทในธรรม
1. ทำให้ได้รับมหากุศล
2. ทำให้ได้ชื่อว่าเป็นผู้ไม่ตายสมดังพุทธวัจนะ
3. ทำให้ไม่ตกไปสู่อบายภูมิ
4. ทำให้คลายจากความทุกข์
5. ทำให้เพลิดเพลิน ไม่เบื่อหน่ายในการสร้างความดี
6. ย่อมมีสติอันเป็นทางมาแห่งการสร้างกุศลอื่นๆ
7. ย่อมได้รับความสุขในการดำรงชีพ
8. เป็นผู้ตื่นตัว ไม่เพิกเฉยละเลยในการสร้างความดี
9. ความชั่วต่างๆย่อมสูญสลายไปโดยเร็ว

tongue tongue tongue

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ส.ค. 2013, 19:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


cool cool cool

มงคลหมู่ที่ 7 การแสวงหาธรรมะเบื้องต้นใส่ตัว
มงคลที่ 22
มีความเคารพ


ความเคารพ คือความตระหนัก ซาบซึ้ง รู้ถึงคุณค่าความดีที่มีอยู่จริงของบุคคลอื่น ยอมรับนับถือความดีของเขาด้วยใจจริง แล้วแสดงความนับถือต่อผู้นั้นด้วยการแสดงความอ่อนน้อม อ่อนโยน อย่างเหมาะสม ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ดังนั้นคนที่มีปัญญามากจนกระทั่งตระหนักในคุณความดีของผู้อื่นจึงจัดเป็นคนพิเศษจริงๆ เพราะใจเขาได้ยกสูงขึ้นแล้ว พ้นจากความถือตัวต่างๆ เปิดกว้างพร้อมที่จะรองรับความดีจากผู้อื่นเข้าสู่ตน คนชนิดนี้คือ คนที่มีความเคารพ
สิ่งที่ควรเคารพอย่างยิ่ง มี 7 ประการ
1. ให้มีความเคารพในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
2. ให้มีความเคารพในพระธรรม
3. ให้มีความเคารพในพระสงฆ์
4. ให้มีความเคารพในการศึกษา
5. ให้มีความเคารพในสมาธิ
6. ให้มีความเคารพในความไม่ประมาท
7. ให้มีความเคารพในในการต้อนรับแขก ทั้งต้อนรับด้วยอาหารน้ำดื่ม และด้วยธรรม คือการสนทนาธรรมกัน แนะนำธรรมะให้แก่กัน
ข้อเตือนใจ
ดังได้กล่าวแล้วว่า ความเคารพ คือความตระหนักในความดีของบุคคลอื่นและสิ่งอื่น ซึ่งผู้ที่จะตระหนักในความดีของผู้อื่นและสิ่งอื่นได้ จะต้องมีคุณสมบัติอย่างหนึ่งเป็นทุนอยู่ในใจก่อนคือมีปัญญา ความรู้จักผิดชอบชั่วดีพอสมควร
และเมื่อเราแสดงความเคารพออกไปแล้ว อีกฝ่ายก็รู้ทันทีว่า เรามีคุณธรรมสูง มีความเคารพและมีแววปัญญา เขาก็เกิดความตระหนักในความดีของเรา และแสดงกิริยาเคารพต่อเราที่เรียกว่า รับเคารพ
อานิสงส์การมีความเคารพ
1. ทำให้เป็นคนน่ารัก น่าเกรงใจ
2. ทำให้ได้รับความสุขกาย สบายใจ
3. ทำให้ไม่มีความเดือดร้อน ไม่มีเวร ไม่มีภัย
4. ทำให้สามารถถ่ายทอดความดีจากผู้อื่นได้ง่าย
5. ทำให้ผู้อื่นอยากช่วยเหลือเพิ่มเติมคุณความดีให้
6. ทำให้สติดีขึ้น เป็นคนไม่ประมาท
7. ทำให้เป็นคนมีปัญญาละเอียดอ่อน รู้จริง และทำจริง
8. ทำให้เกิดในตระกูลสูงในทุกภพทุกชาติ
9. ทำให้บรรลุมรรคผลนิพพานโดยง่าย

tongue tongue tongue


.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ส.ค. 2013, 19:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


smiley smiley smiley

มงคลที่ 23
มีความถ่อมตน


ความถ่อมตน มาจากภาษาบาลีว่า นิวาโต “ วาโต แปลว่า ลม พองลม นิ แปลว่า ไม่มี ออก”
นิวาโต แปลว่า ไม่พองลม เอาลมออกแล้ว คือเอามานะทิฏฐิออก มีความสงบเสงี่ยม เจียมตน ไม่เบ่ง ไม่ทะนงตน ไม่มีมานะถือตัว ไม่อวดดื้อถือดี ไม่ยะโส โอหัง ไม่ดูหมิ่นเหยียดหยามใคร ไม่ดูถูก ไม่กระด้าง ไม่เย่อหยิ่งจองหอง
ความแตกต่างระหว่างความเคารพกับความถ่อมตน
ความเคารพ เป็นการปรารภผู้อื่น คือตระหนักในคุณความดีของผู้อื่น พบใครก็จ้องหาข้อดีของเขา ไม่จับผิด สามารถประเมินคุณค่าของผู้อื่นตามความเป็นจริง แล้วแสดงอาการเคารพนับถือด้วยกาย วาจา ใจ
ความถ่อมตน เป็นการปรารภตนเอง คือคอยตามพิจารณาข้อบกพร่องของตนเอง จับผิดตนเอง สามารถประเมินค่าของตนเองได้ถูกต้องตามความจริง ไม่อวดดื้อถือดี สามารถน้อมตัวลงเพื่อถ่ายทอดคุณความดีของผู้อื่นเข้าสู่ตนเองได้อย่างเต็มที่
คนที่มีความเคารพอาจขาดความถ่อมตนก็ได้ เช่น บางคนเมื่อพบคนดีก็ตระหนักในความดีความสามารถของเขา คือมีความเคารพแต่ขณะเดียวกันถ้าจะให้อ่อนเข้าหาเขาทำไม่ได้ ชอบเอาตัวเองไปเทียบ แล้วใจก็พองคิดทันทีว่า “ ถึงเองจะแน่ แต่ข้าก็หนึ่งเหมือนกัน ” ใจเขาจะพองเหมือนอึ่งอ่างพองลม
สิ่งที่คนทั่วไปหลงถือเอาทำให้ถือตัว
1. ชาติตระกูล
2. ทรัพย์สมบัติ
3. รูปร่างหน้าตา
4. ความรู้ความสามารถ
5. ยศตำแหน่ง
6. บริวาร ( มีพรรคพวกมากกว่า)
คิดว่าตนมี สิ่งเหล่านี้มากกว่าเขาทำให้มักหลงยึดเป็นข้อถือดี ไม่เคยคิดว่าสิ่งเหล่านี้มันเป็นของเราตลอดไปหรือไม่ จีรังยั่งยืนหรือเปล่า ที่ว่าหล่อ สวย พออายุ 60-70 ปี จะมีใครมามอง เศรษฐีทำการค้าผิดพลาดล่มจมกลายเป็นยาจกภายในวันเดียวก็ได้ ยิ่งรวยมากยิ่งทุกข์มาก ทั้งหา ห่วง หวง ยศตำแหน่ง บริวาร นั้นไม่ใช่ว่าจะคงอยู่กับเราอย่างนั้นตลอดไป ทุกอย่างไม่แน่นอน ไม่ใช่เป็นของเราจริงๆ เป็นเพียงสิ่งสมมุติกันขึ้นเพื่อให้คนในสังคมทำงานตามหน้าที่ของตนเท่านั้น สิ่งที่จะคงอยู่กับเราแน่นอนและช่วยให้เราพ้นทุกข์ได้จริงคือความดีในตัวเราต่างหาก
แท้จริงผู้ที่จะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ได้รับการยกย่องนับถือจากคนอื่นทั้งกายและใจนั้น จะต้องเป็นผู้ที่มีความอ่อนน้อมถ่อมตนอย่างเต็มที่เท่านั้น ผู้ที่ฉลาดจึงไม่ควรหลงยึดเอาสิ่งเหล่านี้มาทำให้ตนเกิดความถือตัว
โทษของการอวดดื้อถือดี
1. ทำให้เสียตน เพราะเป็นคนรับความดีจากคนอื่นไม่ได้ กลัวเสียเกียรติ ประเมินค่าตนสูงกว่าความเป็นจริง คิดแต่ว่าตนดีกว่า โบราณจึงสอนว่า “ ลูกท่านหลานเธอ ลูกเจ้าบ้านหลานเจ้าวัด มักเอาดีไม่ค่อยได้” เพราะมักจะอวดดี ไม่มีใครอยากสอน ทำผิดก็ไม่มีใครอยากเตือน สุดท้ายก็คบแต่พวกประจบสอพลอ
2. ทำให้เสียมิตร เพราะมักถือดี ไม่ควรโกรธก็โกรธ จึงเสียมิตร
3. ทำให้เสียหมู่คณะ เพราะเป็นคนอวดเบ่ง ชอบใช้อภิสิทธิ์ ทำให้เสียระเบียบวินัย หมู่คณะแตกแยก
วิธีแก้ความอวดดื้อถือดี
1. ต้องคบกัลยาณมิตร คือคบคนดีเพื่อช่วยแนะนำเรา ปลูกสร้างนิสัยที่ดีแก่เรา ไม่คบคนประจบสอพลอ บูชาเคารพคนที่ควรบูชา
2. ต้องมีโยนิโสมนสิการ คือรู้จักคิดไตร่ตรองพิจารณา ว่าทุกสิ่งไม่จีรัง ไม่ใช่ของเราตลอดไปไม่ว่ารูปร่างหน้าตา ยศตำแหน่ง ความรู้ความสามารถ ฐานะ บริวาร ชาติตระกูล
ลักษณะผู้มีความถ่อมตน
1. มีกิริยาอ่อนน้อม
2. มีวาจาอ่อนหวาน
3. มีใจอ่อนโยน
อานิสงส์การมีความถ่อมตน
1. ทำให้อยู่เป็นสุข ไม่มีศัตรู
2. ทำให้น่ารัก น่านับถือ
3. ทำให้เกิดความสามัคคีในหมู่คณะ
4. ทำให้ได้กัลยาณมิตร
5. ทำให้สามารถถ่ายทอดคุณความดีจากผู้อื่นได้
6. ทำให้ได้ที่พึ่งทั้งภพนี้ภพหน้า
7. ทำให้ไม่ประมาท ตั้งอยู่ในธรรม
8. ทำให้บรรลุมรรคผลนิพพานโดยง่าย

onion onion onion

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ส.ค. 2013, 16:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


cool cool cool

มงคลที่ 24
มีความสันโดษ


สันโดษ มาจากภาษาบาลีว่า สันโตสะ สัน แปลว่าตน โตสะ แปลว่ายินดี สันโดษจึงแปลว่ายินดี พอใจ สุขใจกับของของตน คือให้รู้จักพอ รู้จักประมาณ
ลักษณะของความสันโดษ
ผู้ที่จัดว่ามีความสันโดษต้องประกอบด้วยลักษณะ 3 ประการดังนี้
1. สเกนสันโดษ ยินดีกับของของตน
2. สันเตนสันโดษ ยินดีกับสิ่งที่ได้มา
3. สเมนสันโดษ ยินดีโดยมีใจสม่ำเสมอ ไม่รู้สึกดีใจจนเกินไปเมื่อพบสิ่งถูกใจ และไม่เสียใจจนเกินไปเมื่อต้องประสบกับสิ่งที่ไม่ถูกใจ
ประเภทของสันโดษ
สันโดษมี 3 อย่างดังนี้
1. ยถาลาภสันโดษ ยินดีตามที่ได้มา
2. ยถาพลสันโดษ ยินดีสิ่งที่ควรแก่สมรรถภาพ กำลังกาย กำลังความคิด กำลังความดี
3. ยถาสารุปปสันโดษ ยินดีสิ่งที่ควรแก่ฐานะ เช่นผู้น้อย รายได้น้อยก็ยินดีใช้ของราคาไม่แพง
สันโดษทุกประเภทจะต้องประกอบด้วยศีลธรรม คือของใดแม้ได้มาแบบผิดศีลธรรมก็ไม่ควรยินดีด้วย
ข้อเตือนใจ
การไม่ทำอะไรนั้น ภาษาบาลีเรียกว่า โกสัชชะ คือเกียจคร้าน ไม่เรียกว่าสันโดษ
การพอใจอยู่คนเดียวนั้น ภาษาบาลีเรียกว่า ปวิวิตตะ ไม่เรียกว่าสันโดษ
การพัฒนาสังคมจำเป็นต้องมีทั้งสันโดษและความเพียรเพราะความเพียรพยายามที่ไม่มีสันโดษควบคุมย่อมเกินพอดี และนำไปสู่ทางที่ผิดได้ง่าย
ฉะนั้นอาจกล่าวได้ว่า “สันโดษเป็นคุณธรรมอันประเสริฐ เป็นไปเพื่อความเจริญสุขทั้งแก่ตนเอง ครอบครัว และสังคมประเทศชาติ หัวใจของผู้มีความสันโดษเท่านั้นจึงจะเหมาะแก่การปลูกฝังคุณธรรมอื่นๆ และคนมีสันโดษเท่านั้นจึงจะทำความดีได้ยั่งยืนไม่จืดจาง และทำดีด้วยความสุจริตใจ ที่สังคมพัฒนาไปได้ช้าเพราะคนขาดสันโดษต่างหาก หาใช่เพราะมีสันโดษไม่”

สิ่งที่คนทั่วไปไม่รู้จักพอ
คนทั่วไปไม่รู้จักพอ ไม่รู้จักประมาณในสิ่งต่อไปนี้
1. อำนาจวาสนา
2. ทรัพย์สมบัติ
3. อาหาร
4. กามคุณ
สันโดษเป็นต้นทางแห่งความสุขที่แท้จริงได้อย่างไร ?
ความสุขในโลกแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ
1. สามิสุข เป็นความสุขที่ต้องอาศัยวัตถุหรือสิ่งภายนอก มาตอบสนองความต้องการทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และความคิดอยากต่างๆ จัดเป็นความสุขขั้นหยาบ เพราะมีทุกข์มาเจือปน มีอาการคือ ต้องแส่หาดิ้นรนกระวนกระวาย เป็นอาการนำหน้า เนื่องจากของทั้งหลายหาได้ยาก มีจำกัด เมื่อได้มาแล้วก็ต้องระวัง รักษา ยึดติด คับแคบ อึดอัด หวงแหน ผูกพัน กลัวสูญหาย ถ้าไม่ได้มา ถูกขัดขวางก็ขัดใจ คิดทำลาย คิดอาฆาต พยาบาท จองเวร
2. นิรามิสสุข เป็นความสุขภายในที่ไม่ต้องอาศัยสิ่งภายนอกมาสนองความอยาก เป็นความสุขขณะที่ใจมีลักษณะ
สะอาด ไม่มีกิเลสปน
สงบ ไม่ดิ้นรนกระวนกระวาย
เสรี เป็นอิสระ โปร่งเบา ไม่คับแคบ
สว่างไสว ประกอบด้วยปัญญา เห็นสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง
สมบูรณ์ ไม่มีความรู้สึกขาดแคลน
นิรามิสสุขจึงเป็นความสุขที่แท้จริงเป็นภาวะสุขที่ไม่ก่อให้เกิดปัญหาใดตามมา ผู้ที่จะมีนิรามิสสุขได้จะต้องมีสภาพใจที่สงบไม่ดิ้นรน คือมีความสันโดษเสียก่อน ยิ่งสันโดษต่อสามิสสุขมากเท่าไร ก็ยิ่งได้นิรามิสสุขมากขึ้นเท่านั้น
การหาเลี้ยงชีพอย่างมีสันโดษ
ปัจจัย 4 จำเป็นในการดำรงชีพ พอเพียงเพื่อให้สังขารสามารถดำรงอยู่ได้ตามอัตภาพ จากนั้นก็ใช้ร่างกายนี้สร้างความดีต่างๆให้เต็มรูปแบบทุกโอกาส มิได้มุ่งให้เราดิ้นรนไขว่คว้าทะเยอทะยานจนเกินเหตุ เพื่อให้มีวัตถุต่างๆพรั่งพร้อมบริบูรณ์ไว้บำรุงบำเรอตน
เพราะฉะนั้นความสำเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจของชาติ มิใช่วัดด้วยการมีทรัพย์สินเต็มท้องพระคลัง หรือเต็มล้นอยู่ที่ใดที่หนึ่ง แต่อยู่ที่ไม่มีคนอดอยากยากไร้และอยู่ที่คุณภาพชีวิตของประชาชนต่างหาก

หลักปฏิบัติเกี่ยวกับทรัพย์สิน
1. การแสวงหา ต้องหามาโดยชอบธรรม ไม่ข่มเหงรังแกใคร ไม่ทำผิดกฎหมาย ผิดศีลธรรม ผิดประเพณี
2. การใช้ ไม่เป็นคนตระหนี่และไม่ฟุ่มเฟือย ให้รู้จักใช้ทรัพย์เลี้ยงตนและคนเกี่ยวข้องให้เป็นสุข รู้จักทำทาน เผื่อแผ่ แบ่งปัน ใช้ทรัพย์ทำสิ่งที่ดีงามเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม
3. ทัศนคติเกี่ยวกับทรัพย์สิน ไม่ถือว่าทรัพย์สินเงินทองเป็นพระเจ้าแต่ถือว่าเป็นเพียงอุปกรณ์อย่างหนึ่งในการดำรงชีพเท่านั้น
ประเภทของคนจน
คนจนมีอยู่ 2 ประเภท ได้แก่
1. จนเพราะไม่มี คือขัดสน ทรัพย์น้อย จัดว่าเป็นคน “ จนชั่วคราว”
2. จนเพราะไม่พอ คือมีทรัพย์มากแต่ไม่รู้จักพอ จัดว่าเป็นคน “ จนถาวร”
สันโดษ คือการรู้จักพอ จึงเป็นคุณธรรมที่มหัศจรรย์ สามารถทำให้คนเลิกเบียดเบียนกัน เลิกฟุ้งเฟ้อ เลิกสงคราม ทำให้คนอิ่มใจแม้มีทรัพย์น้อย มียศตำแหน่งน้อย ทำให้คนรวยเป็นเศรษฐีได้โดยสมบูรณ์
วิธีฝึกให้มีสันโดษ
1. ให้หมั่นฝึกพิจารณาถึงความแก่ เจ็บ ตาย อยู่ตลอดเวลา เราตายก็นำทรัพย์ติดตัวไปไม่ได้ นอกจากคูณความดีเท่านั้น
2. ให้รู้จักประมาณในการบริโภคอาหาร กินเพื่ออยู่มิได้อยู่เพื่อกิน
3. ให้หมั่นให้ทานอยู่เสมอๆ เป็นการฆ่าความตระหนี่
4. ให้หมั่นรักษาศีล โดยเฉพาะศีล 8 เช่นศีลข้อ 3 ทำให้สันโดษเรื่องกามคุณศีลข้อ6 ทำให้สันโดษเรื่องอาหาร ศีลข้อ7 ช่วยให้สันโดษเรื่องเครื่องนุ่งห่ม ศีลข้อ8 ทำให้สันโดษเรื่องที่อยู่อาศัยที่หลับนอน
5. ให้หมั่นทำสมาธิเป็นประจำ เมื่อทำสมาธิอย่างสม่ำเสมอจิตใจจะสงบนุ่มนวล ความอยากได้อยากเด่นก็จะค่อยๆหายไป
อานิสงส์การมีสันโดษ
1. ทำให้ตัดกังวลต่างๆเสียได้
2. ทำให้ออกห่างจากอกุศลกรรม
3. ทำให้มีความสบายกายสบายใจ
4. ทำให้พ้นจากความผิด พบแต่สิ่งที่ถูกต้อง
5. ทำให้ศีลธรรมเกิดในใจได้ง่าย
6. ทำให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งปวง
7. ทำให้มีกำลังใจสูง เมื่อรู้ว่าสิ่งใดไม่ดีก็ไม่ฝ่าฝืนทำ
8. นำความเจริญก้าวหน้ามาสู่ตน
9. ทำให้มีโอกาสกระทำแต่สิ่งดีๆยิ่งๆขึ้น
10. ได้ชื่อว่านำพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรือง

tongue tongue tongue

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ส.ค. 2013, 16:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


smiley smiley smiley

มงคลที่ 25
มีความกตัญญู


ความกตัญญู คือความรู้คุณ หมายถึงมีใจกระจ่าง มีสติปัญญา รู้อุปการคุณที่ผู้อื่นกระทำแล้วแก่ตน ผู้ใดก็ตามทำคุณแก่ตนแล้ว ไม่ว่าจะมาก น้อย ก็ตาม เช่น เลี้ยงดู สั่งสอน ให้ที่พัก ให้งานทำ ฯ,ฯ ย่อมระลึกถึงด้วยความซาบซึ้งอยู่เสมอ ไม่ลืมอุปการคุณนั้นเลย
อีกนัยหนึ่ง ความกตัญญู หมายถึงความรู้บุญหรือรู้อุปการะของบุญที่ตนทำไว้แล้ว รู้ว่าที่ตนพ้นภัยอันตรายทั้งหลาย ได้ดีมีสุขอยู่ในปัจจุบันก็เพราะบุญที่ตนเคยทำไว้ในอดีตส่งผลให้ จึงไม่ลืมอุปการะของบุญนั้นเลยและตั้งใจสร้างสมบุญใหม่ให้ยิ่งๆขึ้นไป
สิ่งที่ควรกตัญญู มี 5 ประการ
1. กตัญญูต่อบุคคลที่เคยมีพระคุณ ไม่ว่าจะมากหรือน้อยต้องติดตามระลึกถึงเสมอ พยายามหาโอกาสตอบแทนคุณท่านให้ได้
2. กตัญญูต่อสัตว์ที่เคยมีคุณ ต้องเลี้ยงดูไม่ให้อดอยาก ไม่ใช้งานหนัก ไม่เฆี่ยนตีจนเกินไป
3. กตัญญูต่อสิ่งของที่เคยมีคุณ เช่นหนังสือธรรมะ หนังสือเรียน สถานศึกษา วัด ต้นไม้ ป่าไม้ อุปกรณีประกอบอาชีพ คือต้องไม่ลบหลู่ดูหมิ่น ไม่ทำลาย
4. กตัญญูต่อบุญ คือรู้ว่าเราเกิดมามีอายุยืน ร่างกายแข็งแรง ผิวพรรณดี สติปัญญาดี มีความสุขความเจริญ มีทรัพย์มาก ก็เนื่องจากผลของบุญ จึงมีความรู้คุณของบุญ มีความอ่อนน้อมในตัวไม่ดูถูกบุญ ตามระลึกถึงบุญเก่าให้จิตใจชุ่มชื่น ไม่ประมาทในการสร้างบุญใหม่ให้ยิ่งๆขึ้นไป
5. กตัญญูต่อตนเอง คือรู้ว่าร่างกายของเราเป็นอุปกรณ์สำคัญที่เราต้องอาศัยในการทำความดี ใช้ในการสร้างบุญกุศลนานาประการ จึงทะนุถนอมดูแลร่างกาย รักษาสุขภาพ ไม่นำไปเที่ยวกลางคน กินเหล้า เสพย์สิ่งเสพย์ติด เที่ยวเตร่ดึกๆ และไม่นำร่างกายนี้ไปทำผิดศีลเป็นต้น
ความกตัญญูจำเป็นอย่างไรต่อการสร้างความดี ?
การที่เราจะมีความคิดใฝ่ดี สร้างสมคุณธรรมในตัวเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นยาก แต่ที่ยากกว่าก็คือทำอย่างไรจึงจะรักษาความตั้งใจที่ดีนั้นไว้ โดยไม่ท้อถอยไม่เลิกกลางคัน เพราะในการสร้างความดีย่อมมีอุปสรรค มีปัญหาขัดขวางมากมาย จึงต้องมีสิ่งที่ยึดเหนี่ยวใจไว้ นั่นคือความกตัญญู
ไปโรงเรียน เรียนยากแสนยาก เพื่อนชวนเที่ยวเตร่เฮฮา อยากไป แต่ก็ได้นึกถึงบุญคุณพ่อแม่ที่ท่านลำบากเพื่อหาเงินส่งเราเรียนให้เราไดเจริญก้าวหน้า พอคิดได้ดังนี้ความกตัญญูก็เกิดขึ้นทำให้ มีกำลังใจ มุมานะต่อสู้กับอุปสรรค ปัญหา และสิ่งยั่วยุต่างๆ เราจึงไม่ประพฤติตัวในทางเสื่อมเสีย
แม้ในหมู่ผู้ปฏิบัติธรรม ผู้ตั้งใจเผยแผ่พระพุทธศาสนาก็ย่อมมีปัญหาและอุปสรรค แต่เมื่อนึกถึงพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้ทรงเสียสละอุทิศชีวิตค้นคว้าจนตรัสรู้หลักอริยสัจจ์ ก็ทำให้เกิดกำลังใจมีมานะต่อไป
อานิสงส์การมีความกตัญญู
1. ทำให้รักษาคุณความดีเดิมไว้ได้
2. ทำให้สร้างคุณความดีใหม่เพิ่มได้อีก
3. ทำให้รักษาคุณความดีเดิมไว้ได้
4. ทำให้เกิดหิริโอตัปปะ
5. ทำให้เกิดขันติ
6. ทำให้จิตใจผ่องใส มองโลกในแง่ดี
7. ทำให้เป็นที่สรรเสริญของคนดี
8. ทำให้มีคนอยากคบหา
9. ทำให้ทั้งมนุษย์และเทวดาอยากช่วยเหลือ
10. ทำให้ไม่มีเวรไม่มีภัย
11. ทำให้ลาภผลทั้งหลายเกิดขึ้นโดยง่าย
12. ทำให้บรรลุมรรคผลนิพพานโดยง่าย
คนตาบอด ย่อมมองไม่เห็นโลก แม้ดวงอาทิตย์จะส่องสว่างอยู่ฉันใด คนใจบอดย่อมมองไม่เห็นพระคุณแม้จะได้รับความเมตตากรุณาจากผู้มีอุปการคุณฉันนั้น

มงคลที่ 26
ฟังธรรมตามกาล


การฟังธรรมตามกาล คือการขวนขวายหาเวลาไปฟังธรรม ฟังคำสั่งสอนจากผู้มีธรรมะ เพื่อยกระดับจิตใจและสติปัญญาให้สูงขึ้น โดยเมื่อฟังธรรมแล้วก็น้อมนำเอาคุณธรรมมาเป็นกระจกสะท้อนดูตนเองว่า มีคุณธรรมนั้นหรือเปล่า จะปรับปรุงคุณธรรมที่มีอยู่ให้ดียิ่งๆขึ้นไปได้อย่างไร เช่นเมื่อฟังธรรมเรื่องความกตัญญูแล้ว ก็สำรวจดูว่าเรามีความกตัญญูไหม มีมากน้อยเพียงไร จะปรับปรุงแก้ไขอย่างไรจึงจะดี
กาลที่ควรฟังธรรม
1. วันธรรมสวนะ คือวันพระ
2. เมื่อจิตถูกวิตกครอบงำ คือเมื่อจิตขุ่นมัว เศร้าหมอง ฟุ้งซ่าน คิดไม่ดี ก็ให้เร่งฟังธรรมจะเวลาเช้า สาย บ่าย เย็น วันโกน วันพระ ก็ได้
3. เมื่อมีผู้รู้มาแสดงธรรม
คุณสมบัติของผู้ฟังธรรมที่ดี
1. ไม่ลบหลู่คุณท่าน คือดูถูกว่าพระยังเด็กไม่มีความรู้ความสามารถ
2. ไม่คิดแข่งดี ไม่ยกตนข่มท่าน เช่นถึงท่านจะเป็นพระแต่เราก็จบปริญญาตรี โท เอก มาแล้ว รู้จักโลกมากกว่า แถมอายุมากกว่า
3. ไม่จับผิด ไม่มีจิตกระด้าง
4. มีปัญญา คือฉลาดรู้จักพิจารณาไตร่ตรองตามธรรมที่ได้ยิน จึงจะเข้าใจธรรมได้อย่างรวดเร็วแตกฉาน
5. ไม่ถือว่าเข้าใจในสิ่งที่ยังไม่เข้าใจ
อุปนิสัยจากการฟังธรรม
อุปนิสัย หมายถึงความประพฤติ ความเคยชินที่ติดตัวเรามา และจะติดตัวเราไปเป็นพื้นใจในภายหน้า
การฟังธรรมจะทำให้เกิดความดีที่เป็นทุนหรือเป็นพื้นอยู่ในใจเรา แล้วเป็นเครื่องหนุนให้เรามีความเจริญรุ่งเรือง และเข้าใจธรรมได้ง่าย ดังทีพระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า “ ผู้ที่หมั่นฟังธรรมแล้วพยายามศึกษาทำความเข้าใจ ถึงไม่เข้าใจก็พยายามจำ จะได้รับอานิสงส์ 4 ประการ” คือ
1. เมื่อละโลกนี้ไป ย่อมเกิดในเทวโลก มีปัญญารู้ธรรมได้รวดเร็วสามารถระลึกถึงธรรมได้ด้วยตนเอง และปฏิบัติตามธรรมนั้น บรรลุผลนิพพานได้เร็ว
2. เมื่อละโลกนี้ไป ย่อมเกิดในเทวโลก เมื่อมีพระภิกษุผู้มีฤทธิ์ขึ้นไปแสดงธรรม ก็จะระลึกถึงธรรมได้ และบรรลุผลนิพพานได้เร็ว
3. เมื่อละโลกนี้ไป ย่อมเกิดในเทวโลก แม้ไม่มีพระภิกษุผู้มีฤทธิ์ขึ้นไปแสดงธรรม แต่เมื่อได้ฟังเทพบุตรแสดงธรรม ก็จะระลึกถึงธรรมได้ และบรรลุผลนิพพานได้เร็ว
4. เมื่อละโลกนี้ไป ย่อมเกิดในเทวโลก แม้ไม่มีพระภิกษุผู้มีฤทธิ์หรือเทพบุตรมาแสดงธรรม แต่เมื่อได้ยินคำตักเตือนจากเพื่อนเทพบุตรด้วยกัน ก็สามารถระลึกถึงธรรมได้ และบรรลุผลนิพพานได้เร็ว
พวกเราที่สวดมนต์ทำวัตรเช้าเย็นกันบ่อยๆ แม้ยังไม่เข้าใจความหมายของคำบาลี แต่ก็ไม่เสียเวลาเปล่าเพราะอย่างน้อยก็ทำให้เกิดความสงบทางใจและเกิดความคุ้นเคยในสำเนียงภาษาธรรมะ ภพเบื้องหน้าได้ยินใครสวดมนต์ก็อยากเข้าใกล้ ได้ยินใครพูดธรรมะก็อยากเข้าใกล้ ทำให้มีโอกาสได้ฟังธรรม ฟังแล้วก็เข้าใจได้ง่าย เพราะมีอุปนิสัยพื้นใจมาแต่เดิมแล้ว ทำให้บรรลุผลนิพพานได้เร็ว
อานิสงส์การฟังธรรมตามกาล
1. เป็นการเพิ่มพูนความรู้ใหม่
2. เป็นการทบทวนความรู้เดิม
3. เป็นการปลดเปลื้องความสงสัยเสียได้
4. เป็นการปรับความเห็นให้ตรง
5. เป็นการฝึกอบรมจิตใจให้สูงขึ้น
กระจกเงาสามารถสะท้อนให้เห็นความสวยงามหรือขี้ริ้วของร่างกายเราได้ฉันใด การฟังธรรมตามกาลก็สามารถสะท้อนถึงความดีงามหรือบกพร่องในตัวเราได้ฉันนั้น

tongue tongue tongue tongue

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ส.ค. 2013, 16:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


onion onion onion

มงคลหมู่ที่ 8 การแสวงหาธรรมะเบื้องสูงใส่ตัว
มงคลที่ 27
มีความอดทน


ความอดทน มาจากคำว่าขันติ หมายถึงการรักษาปกติภาวะของตนไว้ได้ ไม่ว่าจะถูกกระทบกระทั่งด้วยสิ่งอันเป็นที่พึงปรารถนาหรือไม่ก็ตาม มีความมั่นคงหนักแน่นเหมือนแผ่นดิน
งานทุกชิ้นในโลกไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ที่สำเร็จมาได้ก็ด้วยคุณธรรมข้อนี้คือ ขันติ
ลักษณะความอดทนที่ถูกต้อง
1. มีความอดกลั้น
2. เป็นผู้ไม่ดุร้าย คือข่มความโกรธไว้ได้
3. ไม่ปลูกน้ำตาให้แก่ใคร คือไม่ก่อทุกข์ให้แก่ผู้อื่นด้วยอำนาจความเกรี้ยวกราดของเรา
4. มีใจเบิกบาน แจ่มใส อยู่เป็นนิจ คือมีปีติอิ่มเอิบใจเสมอๆ ไม่พยาบาท ไม่โทษฟ้า โทษฝน โทษโชคชะตา หรือโทษใครๆ
ลักษณะที่สำคัญยิ่งของขันติ คือตลอดเวลาที่อดทนอยู่นั้นต้องมีใจผ่องใส ไม่เศร้าหมอง
อดทนถอนตัวหรือหลีกเลี่ยงจากความชั่ว อดทนทำดีต่อไป อดทนรักษาใจไว้ให้ผ่องใส ไม่เศร้าหมอง
ประเภทของความอดทน
ความอดทนแบ่งตามเหตุที่มากระทบได้เป็น 4 ประเภท คือ
1. อดทนต่อความลำบากตรากตรำ
2. อดทนต่อทุกขเวทนา
3. อดทนต่อความเจ็บใจ
4. อดทนต่ออำนาจกิเลส เช่นอดทนไม่เที่ยวเตร่ ไม่เล่นการพนัน ไม่เสพสิ่งเสพย์ติด ไม่รับสินบน ไม่คอร์รัปชั่น ไม่ผิดลูกเมียเขา ไม่เห่อยศ ไม่บ้าอำนาจ ไม่ขี้โอ่ เป็นต้น
“ เขาด่าไม่โกรธว่ายากแล้ว เขาชมแล้วไม่ยิ้มยากยิ่งกว่า”
วิธีฝึกให้มีความอดทน
1. ต้องคำนึงถึงหิริโฮตัปปะให้มาก
2. ต้องรู้จักเชิดอารมณ์ที่มากระทบนั้นให้สูงขึ้น คือนึกเสียว่าเขาทำแก่เราอย่างนั้นน่ะดีแล้ว เช่น เขาด่าก็ยังดีกว่าเขาตี เขาตียังดีกว่าเขาฆ่า ถ้าเปรียบกับการชกมวยเรียกว่าการหลบหมัด ดังตัวอย่างจากพระปุณณะเถระ
พระปุณณะเดิมเป็นชาวสุนาปรันตะ ไปค้าขายที่เมืองสาวัตถี ได้ฟังเทศน์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เกิดความเลื่อมใสศรัทธาจึงออกบวช ครั้นบวชแล้วการทำสมาธิภาวนาไม่ได้ผล เพราะไม่คุ้นกับสถานที่ท่านคิดว่าภูมิอากาศที่บ้านเดิมเหมาะกับท่านมากกว่า จึงทูลลาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสถามว่า
“ เธอแน่ใจหรือปุณณะ ชาวสุนาปรันตะดุร้ายมากนัก ทั้งหยาบคายด้วย เธอจะทนไหวหรือ”
“ ไหวพระเจ้าข้า”
“ ถ้าเขาด่าเธอ เธอจะมีอุบายอย่างไร”
“ ข้าพระองค์ก็คิดว่า ถึงเขาด่าก็ยังดีกว่าเขาตบต่อยด้วยมือพระเจ้าข้า”
“ ถ้าเผื่อเขาต่อยเอาล่ะ”
“ ก็ยังดีพระเจ้าข้า ดีกว่าเขาเอาก้อนดินขว้างเอา”
“ ก็ถ้าเขาเอาก้อนดินขว้างเอาล่ะ”
“ข้าพระองค์ก็คิดว่า ก็ยังดีพระเจ้าข้า ดีกว่าเขาเอาไม้ตะพดตีเอา”
” เออ ถ้าเผื่อเขาหวดด้วยไม้ตะพดล่ะ”
“ ก็ยังดีพระเจ้าข้า ดีกว่าถูกเขาแทงด้วยหอกดาบ”
“ เออ ก็ถ้าเผื่อเขาจะฆ่าเธอด้วยหอกดาบล่ะปุณณะ”
“ ข้าพระองค์ก็คิดว่า มันก็เป็นการดีเหมือนกันพระเจ้าข้า”
“ ดีอย่างไร ”
“ ก็คนบางพวกที่คิดอยากฆ่าตัวตาย ยังต้องใช้เวลาเที่ยวหาศัสตราวุธ มาฆ่าตัวเอง แต่ข้าพระองค์มีโชคดีกว่าคนพวกนั้น ไม่ต้องเสียเวลาเที่ยวหาศัสตราวุธ อย่างเขา “
” ดีมาก เธอคิดได้ดีมาก เป็นอันตกลง เราอนุญาตให้เธอไปพำนักทำความเพียรที่ตำบลสุนาปรันตะได้ “
พระปุณณะกลับไปเมืองสุนาปรันตะแล้ว ทำความเพียร ในไม่ช้าใจก็หยุดนิ่ง เข้าถึงพระธรรมกายตามลำดับ จนได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์
นี่คือเรื่องของพระปุณณะ นักอดทนตัวอย่าง ซึ่งอดทนไดโดยวิธีเชิดอารมณ์ที่มากระทบนั้นให้สูงขึ้น
3. ต้องฝึกสมาธิให้มาก เพราะทั้งขันติและสมาธิเป็นคุณธรรมที่เกื้อหนุนกัน ขันติจะหนัก
แน่นก็ต้องมีสมาธิมารองรับ สมาธิจะก้าวหน้าก็ต้องมีขันติเป็นพื้นฐาน มีตัวอย่างของผู้มีความอดทนเป็นเลิศอีกท่านหนึ่งคือพระโลมสนาคเถระ
พระโลมสนาคเถระ เป็นพระที่ทำสมาธิจนสามารถระลึกชาติได้แต่ยังไม่หมดกิเลส วันหนึ่งท่านนั่งสมาธิอยู่กลางแจ้ง พอถึงตอนเที่ยงแดดส่องเหงื่อไหลท่วมตัวท่าน พวกลูกศิษย์จึงเรียกท่านว่า
” ท่านขอรับ นิมนต์ท่านนั่งในที่ร่มเถิด อากาศเย็นดี “
พระเถระกล่าวตอบว่า
“ คุณ ฉันนั่งในที่นี้ เพราะกลัวต่อความร้อนนั่นเอง ”
แล้วนั่งพิจารณาอเวจีมหานรกเรื่อยไป เพราะเคยตกนรกมาหลายชาติ เห็นว่าความร้อนในอเวจีที่เคยตก ร้อนกว่านี้หลายร้อยพันเท่า ท่านจึงไม่ลุกหนี ตั้งใจทำสมาธิต่อไป จนในที่สุดได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์
อานิสงส์การมีความอดทน
1. ทำให้กุศลธรรมทุกชนิดเจริญขึ้นได้
2. ทำให้เป็นคนมีเสน่ห์ เป็นที่รักของคนทั้งหลาย
3. ทำให้ตัดรากเหง้าแห่งความชั่วทั้งหลายได้
4. ทำให้อยู่เย็นเป็นสุขทุกอิริยาบถ
5. ชื่อว่าได้เครื่องประดับอันประเสริฐของนักปราชญ์
6. ทำให้ศีลและสมาธิตั้งมั่น
7. ทำให้ได้พรหมวิหารโดยง่าย
8. ทำให้บรรลุมรรคผลนิพพานโดยง่าย

มงคลที่ 28
เป็นคนว่าง่าย


คนว่าง่าย คือคนที่อดทนต่อคำสั่งสอนได้ เมื่อมีผู้รู้แนะนำพร่ำสอนให้ ตักเตือนให้โดยธรรมแล้ว ย่อมปฏิบัติตามคำสอนนั้นด้วยความเคารพอ่อนน้อม ไม่คัดค้าน ไม่โต้ตอบ ไม่แก้ตัวโดยประการใดๆทั้งสิ้น
ประเภทของคนว่าง่าย
1. ว่าง่ายเพราะเห็นแก่ได้ เห็นแก่อามิสรางวัลจึงว่าง่าย เช่นลูกว่าง่ายเพราะหวังมรดก ลูกน้องเชื่อฟังเจ้านายเพราะอยากได้รางวัล พวกนี้จัดเป็นคนว่าง่ายเทียม เป็นพวก คนหัวประจบ
2. ว่าง่ายเพราะขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง ไม่มีความคิดเป็นของตนเองใครชวนไปเที่ยวก็ไป ชวนเล่นการพนันก็เล่น ชวนไปวัดก็ไปเป็นพวกหัวอ่อน พวกนี้จัดเป็นคนว่าง่ายเทียม เป็นพวก คนโง่
3. ว่าง่ายเพราะเห็นแก่ความดี คือคนที่ถือธรรมะเป็นใหญ่ เห็นแก่ธรรมจึงว่าง่าย ต้องการแก้ไขปรับปรุงตนเองให้ดีขึ้น เมื่อมีผู้ว่ากล่าวตักเตือนชี้ข้อบกพร่องจึงพร้อมรับฟังด้วยดี ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นผู้ใหญ่หรือเด็กกว่าก็ตาม จัดเป็นพวก คนว่าง่ายที่แท้จริง
วิธีฝึกให้เป็นคนว่าง่าย
1. หมั่นนึกถึงโทษของความเป็นคนหัวดื้อว่ายาก ว่าทำให้ไม่สามารถรับเอาความดีจากใครๆได้ เหมือนคนเป็นอัมพาต แม้มีของดีรอบตัวก็หยิบเอามาใช้ไม่ได้ ถ้าหัวดื้อมากๆลงท้ายก็ไม่มีใครอยากสอนอยากเตือนต้องโง่ทั้งชาติทำผิดเรื่อยไป
2. ฝึกให้เป็นคนมากด้วยความเคารพ มองคนในแง่ดี ใครมาแนะนำตักเตือนเราไม่ว่าเรื่องอะไรก็นึกขอบคุณเขา เพราะแสดงว่าเขามีความปรารถนาดีต่อเราจึงมาเตือน ไม่ว่าเรื่องนั้นจะถูกต้องตามความเป็นจริงหรือไม่ก็ตามให้รับฟังไว้ก่อน ไม่ด่วนเถียงหรือดูหมิ่นเขา หมั่นนึกถึงพุทธพจน์ที่ว่า “ ผู้ชี้โทษคือผู้ชี้ขุมทรัพย์ให้ ”
3. ฝึกการปวารณา คือการออกปากยอมให้ผู้อื่นกล่าวตักเตือนตนไม่ว่าผู้นั้นจะมีอายุมากกว่า เท่ากัน หรือน้อยกว่าก็ตาม เช่นพระภิกษุมีวินัยอยู่ข้อหนึ่งว่า ในวันออกพรรษาให้มีการประชุมกันของท่าน ทั้งพระผู้ใหญ่และพระผู้น้อย ในวันนั้นพระทุกรูปจะกล่าวคำปวารณากันคืออนุญาตให้ว่ากล่าวตักเตือนตนเองได้ เรียกว่า วันมหาปวารณา หลักการ นี้นำมาใช้กับคนทั่วไปได้ เช่นในหน่วยงาน หรือครอบครัว เมื่อทำบ่อยๆจะเกิดความเคยชินเป็นนิสัย เป็นการฝึกให้เป็นคนว่าง่าย
4. ต้องฝึกสมาธิให้มาก เพื่อให้ใจผ่องใส หนักแน่น สามารถตรองตามคำแนะนำสั่งสอนของผู้อื่น มีใจสงบเยือกเย็นพอที่จะพิจารณาข้อบกพร่องของตนเอง และปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้นได้
เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับคนหัวดื้อ
แบ่งออกเป็น 3 ประเภท
1. ดื้อเพราะความโง่หรือขี้เกียจ จัดเป็นพวกดื้อด้าน
2. ดื้อเพราะทิฏฐิมานะหลงตัวเองรู้แล้ว จัดเป็นพวกดื้อดึง
3. ดื้อเพราะโทสะโกรธง่าย จัดเป็นพวกบ้า
ในการปกครองคนดื้อดึง การสั่งสอนขั้นแรกถ้าเขายังไม่ฟังให้ลงโทษในขั้นที่สองตามความเหมาะสม หากยังไม่เชื่อฟัง ในพุทธศาสนาท่านให้ใช้วิธี ลงพรหมทัณฑ์ หรือคว่ำบาตร ดังเรื่องในสมัยพุทธกาล ดังนี้
นายฉันนะซึ่งเป็นคนตามเสด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อครั้งทรงม้ากัณฐกะออกบรรพชา ภายหลังได้อุปสมบทเป็นคนหัวดื้อมากเพราะถือว่าตนเคยเป็นคนใกล้ชิด ใครจะสอนจะเตือนก็ไม่ฟัง พระอานนท์จึงทูลถามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าควรทำอย่างไรดี พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงแนะนำว่า เมื่อเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้วให้ลงพรหมทัณฑ์พระฉันนะ คือให้พระภิกษุทุกรูปเลิกยุ่งเกี่ยวกับพระฉันนะ ให้ทำเหมือนกับว่าไม่มีพระฉันนะอยู่ในโลก พระฉันนะอยากทำอะไรก็ปล่อยให้ทำ ไม่มีใครพูด หรือยุ่งเกี่ยวด้วย ทำให้พระฉันนะรู้สึกผิด และเลิกดื้ออีกต่อไป
อานิสงส์การเป็นคนว่าง่าย
1. ทำให้เป็นที่เมตตาอยากแนะนำพร่ำสอนของคนทั้งหลาย
2. ทำให้ได้รับโอวาท อนุสาสนี
3. ทำให้ได้ธรรมะอันเป็นที่พึ่งแก่ตน
4. ทำให้ละโทษทั้งปวงได้
5. ทำให้บรรลุคุณธรรมเบื้องสูงได้โดยง่าย
บุคคลควรเห็นผู้มีปัญญาที่คอยกล่าวคำขนาบ ชี้โทษของเราให้เห็นว่าเป็นดุจผู้ชี้บอกขุมทรัพย์ให้ ควรคบบัณฑิตที่เป็นเช่นนั้นเพราะเมื่อคบแล้วย่อมมีแต่ดีฝ่ายเดียว ไม่มีเลวเลย

rolleyes rolleyes rolleyes

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ย. 2013, 11:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


smiley smiley smiley
มงคลที่ 29
เห็นสมณะ

ทำไมจึงต้องเห็นสมณะ?
ความสุขในโลกนี้มีอยู่ 2 ประเภท คือ

1. ความสุขที่ต้องอิงวัตถุกามหรือกามสุข เป็นความสุขทางเนื้อหนัง เช่นได้เห็นรูปสวยๆ ได้ฟังเพลงเพราะๆ ได้กลิ่นหอมๆ ได้กินอาหารรสอร่อยๆ ได้สัมผัสที่นุ่มนวล ฯลฯ จัดเป็นความสุขที่เห็นกันได้ง่าย
2. ความสุขที่ต้องไม่ต้องอิงวัตถุ เป็นความสุขที่เกิดจากการเจริญภาวนาให้ใจสงบและเกิดปัญญา เป็นความสุขของผู้เข้าถึงธรรม จัดเป็นความสุขภายในอันเกิดจากความสงบนั้นจัดเป็นสุขที่เลิศกว่าอย่างเทียบไม่ได้ แต่เห็นและเข้าใจได้ยากกว่า
ความสุขภายในนั้น เป็นสิ่งที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ เพราะเราคาดคะเนไม่ได้ เป็นเรื่องเฉพาะตัว ผู้ที่ยังไม่ปฏิบัติธรรม ยังไม่เคยพบกับความสุขชนิดนี้ก็จะไม่คุ้น แม้อ่านจากตำราก็ยากจะเข้าใจ เช่นพระท่านบอกว่าผู้ที่รักษาศีลแล้วจะมีจิตใจที่ร่าเริง แจ่มใส ถ้าคนยังไม่เคยปฏิบัติธรรม จะนึกค้านทันทีว่าคนรักษาศีลจะร่าเริงได้อย่างไร จะทำอะไรนิดก็อะไรหน่อยก็ต้องคอยระวังกลัวจะผิดศีล สู้คนไม่มีศีลไม่ได้ จะดื่มเหล้าก็ดื่มได้ จะเที่ยงก็เที่ยวได้ เห็นพวกขี้เมาร้องรำทำเพลง เชียร์มวยแทงม้าส่งเสียงกันอึงคะนึงร่าเริงสนุกสนานกว่าตั้งเยอะ แล้วมาบอกว่ารักษาศีลแล้วจะมีจิตร่าเริง แจ่มใส อย่ามาหลอกกันดีกว่า เราไม่เชื่อหรอก
ต่อเมื่อใดได้พบคนที่เข้าถึงความสุขชนิดนี้ได้ เห็นคนที่รักษาศีลมาแล้วอย่างดีเยี่ยม หน้าตาท่านก็ผ่องใส ไม่บึ้งตึง พูดจาก็ไพเราะ ถึงได้เชื่อว่าเออจริง คนที่รักษาศีลมาแล้วอย่างดีเขาร่าเริงอีกอย่าง ไม่เหมือนที่เราเคยเห็นหรือรู้จัก ถึงแม้ยังไม่ปักใจเชื่อก็คิดที่จะทดลองทำตาม แม้ไม่ทำตามอย่างน้อยก็ฉุกคิดถึงการทำดีบางอย่างขึ้นมาได้
คนเข้าถึงความสุขชนิดนี้ได้ คือสมณะ ซึ่งถ้าใครได้เห็นแล้วจะเกิดแรงบันดาลใจให้คิดถึงธรรม เหมือนระเบิดที่จุดชนวนแล้วย่อมแสดงอานุภาพออกมาเต็มที่ สติปัญญา ความรู้ความสามารถที่มีอยู่ จะได้รับการกระตุ้นจากการเห็นสมณะให้นำมาใช้สร้างความดีได้เต็มที่
สมณะคือใคร?
สมณะ แปลว่าผู้สงบ หมายถึงบรรพชิตที่ได้บำเพ็ญสมณธรรม ฝึกฝนตนเองด้วยศีล สมาธิ ปัญญา มาแล้วอย่างเต็มที่ จนกระทั่งมีกาย วาจา ใจที่สงบแล้วจากบาป สมณะทุกรูปจึงเป็นบรรพชิต แต่บรรพชิตบางรูปอาจไม่ได้เป็นสมณะก็ได้

ลักษณะของสมณะ
1. สมณะต้องสงบกาย คือสำรวม ไม่คะนอง ไม่มีกิริยาร้าย คนที่เป็นสมณะไม่ว่าจะไปที่ใด อยู่ที่ไหน ย่อมไม่ทำความชอกช้ำแก่ใคร
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงชมพระโมคคัลลานะในเรื่องนี้ว่า ท่านแม้จะมีฤทธิ์เดชมาก แต่ไม่ว่าจะไปที่ใด อยู่ที่ไหน ก็ไม่เคยทำความชอกช้ำแก่ตระกูลนั้นเลย จะบิณฑบาตรับของถวายอะไรก็ตาม ก็คอยดูว่าเขาจะเดือดร้อนไหม รับแต่พอประมาณ เปรียบเหมือนแมลงภู่บินเข้าสวน ดูดเกสรดอกไม้จนอิ่มหนำสำราญแต่ไม่เคยทำความชอกช้ำแก่ดอกไม้นั้นเลย
2. สมณะต้องสงบวาจา คือไม่นินทาว่าร้าย ไม่ยุยง แต่มีวาจาที่เป็นอรรถเป็นธรรม
3. สมณะต้องสงบใจ คือทำใจหยุดนิ่งเป็นสุขอยู่ภายใน
ชนิดของการเห็นสมณะ
การเห็นของคนแบ่งเป็น 3 ระดับ

1. เห็นด้วยตา เรียกว่าพบเห็น คือเห็นถึงรูปร่าง ลักษณะกิริยามารยาทอันสง่างาม และสงบของท่าน
2. เห็นด้วยใจ เรียกว่าคิดเห็น คือนอกจากเห็นตัวท่านแล้วยังพิจารณาตรองด้วยใจจนเห็นคุณธรรมภายใน เรียกว่าเห็นถึงสมณธรรมของท่าน
3. เห็นด้วยญาณ เรียกว่ารู้เห็น คือเห็นด้วยญาณทัสนะ เป็นการเห็นของผู้ปฏิบัติธรรมมาดีแล้วจนกระทั่งเกิดญาณทัสนะ แล้วอาศัยญาณทัสนะมองทะลุเข้าไปข้างในใจคนอื่นได้ การเห็นชนิดนี้ถูกต้องชัดเจนแน่นอนไม่มีผิดพลาด
กิจที่ควรทำเพื่อให้เกิดประโยชน์จากการเห็นสมณะ
1. ต้องเข้าไปหา หมั่นเข้าใกล้เพื่อรับการถ่ายทอดคุณธรรม
2. ต้องเข้าไปบำรุง คือเข้าไปช่วยทำกิจของ เช่นปัดกวาดเช็ดถูกุฏิ จัดหาปัจจัย 4 ถวายท่าน เพื่อท่านจะได้ไม่มีภาระมาก แล้วมีเวลามีโอกาสได้สนทนาธรรมกันมากขึ้น
3. ตามฟัง คือตั้งใจฟังคำสอน- เทศน์ของท่านด้วยใจจดจ่อ
4. ตามระลึกถึงท่าน คือเมื่อพบท่าน ได้ฟังคำสอนของท่านแล้วก็ตามระลึกถึง ทั้งกิริยามารยาทของท่าน นำคำสอนของท่านมาพิจารณาไตร่ตรองอยู่เสมอ
5. ตามดูตามเห็น คือดูท่านด้วยตาเนื้อของเราด้วยความเลื่อมใสศรัทธา และตามดูท่านด้วยความคิดและปัญญาทางธรรม ให้เห็นสมณธรรมในตัวท่าน
อานิสงส์การเห็นสมณะ
1. ทำให้ได้สติฉุกคิดถึงบุญกุศล
2. ทำให้เกิดแรงบันดาลใจที่จะทำความดีตามท่าน
3. ทำให้ตาแจ่มใสดุจแก้วมณี
4. ทำให้เป็นผู้ไม่ประมาท
5. ชื่อว่าได้บูชาพระรัตนตรัยอย่างยิ่ง
6. ทำให้ได้สมบัติ 3 คือมนุษย์สมบัติ ทิพยสมบัติ และนิพพานสมบัติโดยง่าย
7. ทำให้บรรลุมรรคผลนิพพานโดยง่าย
ตัวอย่างอานิสงส์การเห็นสมณะ
พระสารีบุตรสมัยที่ยังเป็นกุลบุตรชื่อ อุปติสสะ เกิดในตระกูลที่มั่งคั่งได้ศึกษาศิลปวิทยาการทางโลกมาจนจบวิชา 18 ประการ หลังจากสำเร็จการศึกษาแล้วต้องการแสวงหาโมกขธรรม จึงออกบวชในสำนักของสัญชัยปริพาชก เพราะขณะนั้นยังไม่พบพระพุทธศาสนา ศึกษาจนหมดแล้วก็ยังไม่สามารถปราบกิเลสในตัวได้ จึงออกท่องเที่ยวไปโดยหวังว่าอาจพบพระอรหันต์ในโลกนี้ อยู่มาวันหนึ่งไปพบพระอัสสชิ ซึ่งเป็นพระอรหันต์แล้ว กำลังเดินบิณฑบาตอยู่ เห็นท่านมีผิวพรรณผ่องใส กิริยามารยาทงดงาม ท่าทางสงบสำรวม เกิดความเลื่อมใสจึงติดตามไปและจัดที่นั่งให้ฉันอาหาร รอจนท่านฉันเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงเข้าไปกราบถามท่านว่า
“ ท่านขอรับ อินทรีย์ของท่านผ่องใสยิ่งนัก ผิวพรรณก็บริสุทธิ์ ท่านตั้งใจบวชอุทิศใคร ใครเป็นศาสดาของท่าน ท่านชอบใจธรรมของใคร? ”
พระอัสสชิตอบว่า “ พระมหาสมณะผู้เป็นบุตรศากยราช ผู้ออกบวชจากศากยตระกูลนั้นมีอยู่ เราตั้งใจบวชอุทิศพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นเป็นศาสดาเรา เราชอบใจธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ”
พระสารีบุตรถามต่อว่า “ ศาสดาของท่านมีปกติสอนอย่างไร?”
พระอัสสชิตอบว่า “ เราเป็นผู้บวชใหม่อยู่ เพิ่งเข้าสู่ธรรมวินัยนี้ไม่นาน ไม่อาจแสดงธรรมให้พิสดารได้ แต่เราพอจะแสดงได้เฉพาะความย่อ ธรรมเหล่าใดเกิดขึ้นแต่เหตุ พระตถาคตเจ้าทรงแสดงเหตุแห่งธรรมนั้น และความดับแห่งธรรมนั้น พระมหาสมณะมีปกติตรัสสอนอย่างนี้ “
พระสารีบุตรท่านฟังแล้วตรองตาม ก็ได้เข้าถึงธรรม สำเร็จเป็นโสดาบันอยู่ตรงนั้นเอง
พวกเราฟังดูแล้ว ธรรมที่พระอัสสชิทรงแสดง ฟังแล้วก็งั้นๆ ไม่ค่อยเข้าใจ ไม่ค่อยซาบซึ้งเท่าไร เพราะภพในอดีตพบเห็นสมณะมาก็มาก แต่ยังไม่ค่อยได้ใส่ใจ แค่พบเห็นด้วยตาเนื้อ ยังไม่ได้คิดเห็นด้วยใจ หรือรู้เห็นด้วยญาณทัสนะถึงคุณธรรมของท่าน
แต่พระสารีบุตรท่านไม่ใช่อย่างเรา ท่านเห็นสมณะข้ามภพข้ามชาติมามาก เห็นแล้วก็ไม่ใช่เพียงแค่พบเห็น แต่พยายามทั้งคิดเห็นถึงคุณธรรมของท่าน พยายามตรึกตรองให้เข้าใจให้ได้ มาในภพนี้ พระอัสสชิเทศน์เพียงสั้นๆย่อๆเท่านี้ท่านก็ได้สำเร็จเป็นพระโสดาบัน นี่คืออานิสงส์ของการเห็นสมณะทั้งภพในอดีตและภพชาติปัจจุบัน
นอกจากนี้เราลองสังเกตถึงคุณธรรมของท่านทั้งสองต่อไปอีก พระสารีบุตรก็เป็นผู้รู้จักกาลเทศะ รอปรนนิบัติจนพระอัสสชิฉันภัตตาหารเสร็จแล้วจึงได้ถามธรรมะ พระอัสสชิเองก็มีความอ่อนน้อมถ่อมตนเต็มที่ ตนเองตนเองเป็นถึงพระอรหันต์แล้ว แต่ยังถ่อมตนว่ายังเป็นผู้บวชใหม่อยู่ เพิ่งจะเข้าสู่ธรรมวินัยนี้ไม่นาน ยังไม่อาจแสดงธรรมโดยพิสดารได้ ได้แต่แสดงธรรมแบบย่อๆ
เพราะฉะนั้นพวกเราทุกคน ใครนึกเอาว่าตนเองเก่งนักเก่งหนาวางก้ามวางโตน่ะ ลองถามตัวเองดูก่อนว่า คุณธรรมในตังเองนั้นมีขนาดไหน เก่งกล้าสามารถจริงแล้วหรือถึงได้อวดเบ่งอย่างนั้น อย่าเลย มาฝึกฝนตนเองให้มีคุณธรรมจริง แต่ไม่อวดตัวอวดเบ่งอย่างพระอัสสชิ และมีความเคารพรู้จักเห็นสมณะอย่างพระสารีบุตรกันเถิด

tongue tongue tongue

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 ก.ย. 2013, 11:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


onion onion onion

มงคลที่ 30
สนทนาธรรมตามกาล


ใครมีปัญญามากก็เหมือนมีแก้วสารพัดนึกไว้ในตัว ย่อมสามารถฝ่าฟันอุปสรรคและปัญหาต่างๆได้โดยง่าย
ปัญญาเกิดไดจาก 2 เหตุใหญ่ คือ
1. จากการฟังธรรมของกัลยาณมิตร ผู้มีปัญญารู้จริง
2. จากการพิจารณาไตร่ตรองโดยแยบคาย
วิธีลัดที่จะทำให้เกิดปัญญาอย่างรวดเร็ว คือการสนทนาธรรมตามกาลซึ่งเป็นการบังคับให้ตนเองต้องทั้งฟังทั้งพูด ต้องฟังอย่างตั้งใจ แล้วไตร่ตรองตามทันที สงสัยก็ซักถามได้ และถ้าตนเองมีความรู้ในธรรมเรื่องใดก็นำมาพูดเล่าให้ผู้อื่นฟังได้ด้วย
สนทนาธรรมตามกาล คือการพูดคุยซักถามธรรมะซึ่งกันและกันระหว่างคน 2 คนขึ้นไปเพื่อให้เกิดปัญญาโดยรู้จักเลือกและแบ่งเวลาให้เหมาะสม ซึ่งทำให้เกิดความเบิกบานใจ มีความสุขความเจริญและบุญกุศลไปในตัวด้วย
ธรรม คือความจริงตามธรรมชาติ (การเกิด แก่ เจ็บ ตาย) และธรรม คือความดีความถูกต้อง เช่น การให้ทาน การรักษาศีล มีเมตตา ความกตัญญูกตเวทีเป็นความดี ใครปฏิบัติตามสิ่งเหล่านี้เรียกได้ว่า ปฏิบัติธรรม
การสนทนาธรรมที่ถูกต้อง จึงหมายถึง การสนทนาให้รู้ว่าสิ่งใดเป็นอกุศลธรรมความชั่ว จะได้ละเว้นเสีย สิ่งใดเป็นกุศลธรรมความดี จะได้ตั้งใจทำให้มาก และสิ่งใดเป็นอัพยากตธรรม คือความจริงตามธรรมชาติ ไม่ดีไม่ชั่วก็รู้เท่าทันทุกประการ จะได้ไม่หลงเข้าใจผิดให้เกิดทุกข์
การสนทนาธรรม หรือที่เรียกว่า คุยธรรมะนั้นเป็นเรื่องยากเพราะ
1. คู่สนทนาต้องพูดธรรมะเป็น โดยยึดหลักการพูดในมงคลที่ 10
2. คู่สนทนาต้องฟังธรรมะเป็น คือฟังด้วยความพิจารณา มีการควบคุมใจให้อยากฟังธรรม ยอมรับที่ได้ยินนั้นเข้าไปสู่ใจ มีความอ่อนน้อม เคารพ สันโดษ มีความกตัญญูรู้คุณ
3. คู่สนทนาต้องสนทนาธรรมเป็น คือต้องฟังด้วยพูดด้วยในเวลาเดียวกัน ต้องมีขันติอดทนต่อการถูกติ มีความว่าง่ายสอนง่าย ต้องเป็นคนสมณะใฝ่สงบด้วยกัน
ข้อควรปฏิบัติในการสนทนาธรรม
1. ต้องชำระศีลให้บริสุทธิ์ก่อน ถ้าเป็นฆราวาสต้องรักษาศีล 5ให้บริสุทธิ์ หรือรักษาศีล8 มาล่วงหน้าสัก 7 วันได้ยิ่งดี
2. ต้องหมั่นเจริญภาวนาเป็นประจำ
3. แต่งกายสุภาพ ไม่ใส่ผ้าสีบาดตา
4. กิริยาสุภาพ
5. วาจาสุภาพ
6. ไม่กล่าวค้านพุทธพจน์ เพราะคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นจริง ถูกต้อง ร้อยเปอร์เซ็นต์ ขึ้นอยู่กับว่าสติปัญญาของเรามีพอจะไต่ตรองตามได้หรือไม่
7. ไม่พูดจาที่ทำให้เกิดความแตกร้าว
8. ไม่ปรารถนาลามก คิดที่จะให้ตนมีชื่อเสียง อยากเด่นอยากดัง
9. ตั้งจิตไว้ว่าจะสนทนาธรรมเพื่อให้เกิดปัญญา
10. ไม่แสดงอาการโกรธเมื่อถูกขัดแย้ง
11. ไม่พูดออกนอกเรื่องที่ตั้งประเด็นไว้
12. ไม่พุดนานไปจนน่าเบื่อ รู้จักกาลเทศะ
วิธีสนทนาธรรม
1. สนทนาในธรรม
2. สนทนาด้วยธรรม
3. สนทนาเพื่อธรรม
วิธีเลือกคู่สนทนาธรรม
1. คู่สนทนาต้องมีอัธยาศัยใฝ่ธรรมและสงบเสงี่ยมเยี่ยงสมณะ
2. เรื่องที่จะสนทนาต้องเหมาะกับบุคคลนั้นๆ เช่นคุยเรื่องพระวินัยกับผู้เชี่ยวชาญพระวินัย
ครอบครัวไทยในอดีตมักจะมีการสนทนาธรรมกันเป็นประจำ เช่นปู่ ย่า ตา ยาย ก็เล่านิทานขาดก นิทานอีสป นิทานธรรมะให้ลูกหลานฟัง พ่อแม่ลูกนั่งล้อมวงกันกินข้าวพร้อมหน้ากัน เสร็จแล้วก็หยิบยกเรื่องธรรมะมาเล่าสู่กันฟัง แต่ปัจจุบันหลังอาหารมักจะดูโทรทัศน์ เล่นเกม คุยโทรศัพท์เรื่องส่วนตัว ทำให้ขาดโอกาสที่จะได้สนทนาธรรมกัน ถ้าพ่อแม่คนไหนอยากได้ลูกดี เป็นลูกแก้วนำชื่อเสียงความเจริญมาสู่ตระกูล อยากให้ครอบครัวร่มเย็น อย่ามองข้ามเรื่องการสนทนาธรรมให้รื้อฟื้นขึ้นมาให้ได้ ถ้าเป็นประเภทอาหารเย็นพ่อไปงานเลี้ยงที่หนึ่ง แม่ไปธุระอีกที่หนึ่ง ให้ลูกๆรับประทานอานหารกันเอง หรืออยู่กับพี่เลี้ยง นั่นพลาดแล้ว ควรจัดเวลาให้ทุกคนในครอบครัวก็สวดมนต์ นั่งสมาธิ สนทนาธรรมร่วมกันเป็นประจำ
พ่อแม่ที่มัวแต่คิดจะหาเงินให้ลูก แต่ลืมนึกถึงการปลูกฝังธรรมะให้แก่ลูกตั้งแต่ยังเด็ก โอกาสที่ลูกจะเสียคนมีมากเหลือเกิน
อานิสงส์การสนทนาธรรมตามกาล
1. ทำให้จิตเป็นกุศล
2. ทำให้มีไหวพริบปฏิภาณดี
3. ทำให้มีปัญญาเฉลียวฉลาด
4. ทำให้ได้ยินได้ฟังธรรมที่ไม่เคยได้ฟัง
5. ธรรมที่ฟังแล้วยังไม่เข้าใจ ย่อมได้เข้าใจ
6. ทำให้บรรเทาความสงสัย
7. เป็นการทำความเห็นของตนให้ตรง
8. เป็นการฝึกฝนอบรมจิตให้บริสุทธิ์ยิ่งขึ้น
9. เป็นการรักษาประเพณีอันดีงามขอลพระอริยเจ้าไว้
10. ชื่อว่าได้ดำเนินตามปกิปทาอันเป็นวงศ์ของนักปราชญ์

rolleyes rolleyes rolleyes

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ย. 2013, 19:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


smiley smiley smiley

มงคลหมู่ที่ 9 การฝึกภาคปฏิบัติเพื่อกำจักกิเลส
มงคลที่ 31
บำเพ็ญตบะ

เหตุแห่งความประพฤติไม่ดีทั้งหลาย ล้วนเกิดมาจากกิเลสที่ซุกซ่อนอยู่ในใจเรา เหตุที่กำจัดกิเลสได้ยากเป็นเพราะเรามองไม่เห็นตัวกิเลส ใจของเราคุ้นเคยกับกิเลสมาก เรายังขาดวิธีที่เหมาะสมไปกำจัดกิเลส
ตบะ แปลว่า ทำให้ร้อน เผาผลาญ ลน
บำเพ็ญตบะ จึงหมายถึง การทำความเพียรเผาผลาญความชั่ว คือกิเลสทุกชนิดให้ร้อนตัวทนอยู่ไม่ได้ เกาะใจเราไม่ติด ต้องเผ่นหนีไป แล้วใจของเราก็จะผ่องใส หมดทุกข์
การบำเพ็ญตบะในชีวิตประจำวันต้องกำจัดกิเลสออกจากตัวดังนี้
1. มีอินทรียสังวร
2. มีความเพียรในการปฏิบัติธรรม
อินทรียสังวร
อินทรียสังวร การสำรวมอินทรีย์ คือ การสำรวมระวังตนโดยอาศัยสติเป็นตัวกำกับเพื่อสำรวมช่องทางติดต่อกับภายนอกทั้ง 6 ได้แก่
1. ตา
2. หู
3. จมูก
4. ลิ้น
5. กาย
6. ใจ
เหมือนกับบ้านก็มีประตูหน้าต่างเป็นทางติดต่อกับภายนอก
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเปรียบช่องทางทั้ง 6 ไว้ ดังนี้
1. ตาคนเรานี้เหมือนงู งูไม่ชอบที่เรียบ ชอบที่ลึกลับซับซ้อน ตาคนก็ชอบดูลวดลายวิจิตรสวยงาม ยิ่งปกปิดยิ่งชอบดู
2. หูคนเราเหมือนจระเข้ คือชอบที่เย็น อยากฟังคำพูดเย็นๆที่เขาชมตน คำพูดเพราะๆ
3. จมูกคนเรานี้เหมือนนก คือชอบโผขึ้นไปในอากาศ พอได้กลิ่นถูกใจหน่อยก็ตามสูดดมว่ามาจากไหน
4. ลิ้นคนเราเหมือนสุนัขบ้าน คือชอบลิ้มรสอาหาร วันๆขอให้ได้กินของอร่อยๆ
5. กายคนเราเหมือนสุนัขจิ้งจอก คือชอบที่อุ่นๆ นุ่มๆ ชอบซุก เดี๋ยวไปซุกตักคนนั้น อิงคนนี้
6. ใจคนเราเหมือนลิง ชอบซน คิดโน่นนี่ ฟุ้งซ่านไปเรื่อย ชอบสร้างวิมานในอากาศถึงเรื่องอนาคต ไม่ยอมสงบ
ให้เราหมั่นระวัง ต่อสู้กับกิเลสให้ได้ ผู้มีอินทรียสังวรดี ศีลก็ย่อมบริสุทธิ์ สมาธิก็เกิดง่าย สมาธิตั้งมั่น ปัญญาก็เกิด เป็นความสว่างภายในเห็นถึงสิ่งต่างๆตามความเป็นจริง เห็นถึงตัวกิเลสที่ซุกซ่อนอยู่ภายในและสามารถกำจัดไปให้หมดสิ้นได้ เราทุกคนจึงควรฝึกให้มีอินทรียสังวรในตัวให้ได้
อานิสงส์การบำเพ็ญตบะ
1. ทำให้เลิกเป็นคนเอาแต่ใจตัวได้ในเร็ววัน
2. ทำให้คุณธรรมทั้งหลายเกิดขึ้นในตัว
3. ทำให้มงคลข้อต้นๆทั้งหมดเกิดขึ้นกับเรา
4. ทำให้เข้าถึงพระนิพพานได้เร็ว


มงคลที่ 32
ประพฤติพรหมจรรย์

การประพฤติพรหมจรรย์ แปลว่าการการประพฤติตนอย่างพระพรหม หรือความประพฤติอันประเสริฐ หมายถึงการประพฤติตามคุณธรรมต่างๆทั้งหมดในพระพุทธศาสนาให้เคร่งครัดยิ่งขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้กิเลสฟูกลับขึ้นมาอีก จนกระทั่งหมดกิเลส ซึ่งต้องผ่านขั้นตอนต่างๆตามภูมิชั้นของจิต
ภูมิชั้นของจิต
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพบว่า จิตของคนเราอาจแบ่งภูมิชั้นได้เป็น 4 ระดับ ตามการฝึกฝนตนเอง คือ
1. กามาวจรภูมิ เป็นชั้นที่ท่องเที่ยวอยู่ในกามารมณ์ ยังยุ่งเกี่ยวกับกามคุณอยู่ได้แก่ ภูมิจิตของคนสามัญทั่วไป
2. รูปาวจรภูมิ เป็นชั้นที่ท่องเที่ยวอยู่ในรูปารมณ์ มีความสุขความพอใจอยู่ในอารมณ์ของรูปญาณ ได้แก่ ภูมิจิตของผู้ที่ฝึกสมาธิมามากจนกระทั่งได้รูปญาณ เมื่อมีชีวิตอยู่ก็ไม่สนใจกามารมณ์ อิ่มเอิบในพรหมวิหารธรรม ซึ่งเป็นสุขประณีตกว่ากามารมณ์ เป็นเหมือนพระพรหมบนดิน ละจากโลกนี้ไปก็จะไปเกิดเป็นรูปพรหม
3. อรูปาวจรภูมิ เป็นชั้นที่ท่องเที่ยวอยู่ในอรูปารมณ์ มีความสุขอยู่ในอารมณ์ของอรูปญาณ ได้แก่ ภูมิจิตของผู้ที่ฝึกสมาธิจนกระทั่งได้อรูปญาณ มีความสุขที่ประณีตกว่าอารมณ์ของรูปญาณอีก เมื่อละจากโลกนี้ไปก็จะไปเกิดเป็นอรูปพรหม
4. โลกุตตรภูมิ เป็นชั้นที่พ้นโลกแล้ว ได้แก่ ภูมิจิตของอริยบุคคล มีความสุขอันละเอียด ประณีต ลึกซึ้ง
ทั้ง 4 ภูมินี้ รวมเป็นประเภทใหญ่ๆได้ 2 ประเภทคือ
โลกียภูมิ ได้แก่ 1.กามาวจรภูมิ 2.รูปาวจรภูมิ 3. อรูปาวจรภูมิ
โลกุตตรภูมิ ได้แก่ โลกุตตรภูมิ
ในชั้นโลกียภูมินั้น มีสุขมีทุกข์คละเคล้ากันไป และมีการยักย้ายถ่ายเทขึ้นลงได้ ผู้ที่อยู่ในอรูปาวจรภูมิถ้าไม่ตั้งใจปฏิบัติธรรม ประมาท อาจตกลงมาอยู่ในกามาวจรภูมิก็ได้ ผู้ที่อยู่ในกามาวจรภูมิถ้าตั้งใจทำสมาธิอาจเลื่อนไปอยู่รูปาวจรภูมิหรืออรูปาวจรภูมิได้ เลื่อนไปมาตามบุญกุศลและการปฏิบัติธรรมของตน
ในชั้นโลกียภูมินี้ถึงจะมีสุขก็สุขอย่างโลกีย์ยังมีทุกข์ปน มีลูกมีครอบครัวก็คิดว่าสุข พอมีจริงก็มีเรื่องกลุ้มใจให้ทุกข์จนได้ พอหน้าร้อนก็คิดว่าหน้าฝนจะดีกว่า พอถึงหน้าฝนก็ว่าหน้าหนาวคงจะสบาย เลยไม่รู้ว่าสุขที่แท้จริงอยู่ที่ไหน ด้วยเหตุนี้จึงเรียกว่า สังสารจิต แปลว่า จิตวิ่งวุ่น สุขโลกีย์ที่เป็นยอดสุขนั้นไม่มี หากวิ่งไล่สุขเรื่อยไปเมื่อไรจะเจอ
ความมุ่งหมายของการประพฤติพรหมจรรย์
คือให้ตัดโลกียวิสัย ตัดเยื่อใยทุกๆอย่าง เพื่อมุ่งหน้าสู่โลกุตตรภูมิ และอย่างแรกที่ต้องทำก่อน คือการปฏิบัติตามมรรคมีองค์ 8 เพื่อตัดกามารมณ์ แล้วจึงตัดรูปารมณ์ อรูปารมณ์ไปตามลำดับ
สำหรับพวกเราปุถุชนทั่วไป สิ่งสำคัญที่เหนี่ยวรั้งเราไว้ไม่ให้ก้าวหน้าในการพัฒนาจิต และทำให้กิเลสฟูกลับขึ้นได้ง่ายที่สุดคือ กามารมณ์ ถ้าใครตัดกามารมณ์ได้ ก็มีโอกาสก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมอย่างรวดเร็ว การประพฤติพรหมจรรย์ในมงคลข้อนี้ จึงมุ่งเน้นการตัดกามารมณ์เป็นหลัก
วิธีประพฤติพรหมจรรย์
พรหมจรรย์ชั้นต้น สำหรับผู้ครองเรือน ก็ให้พอใจในคู่ของตน รักษาศีล 5
พรหมจรรย์ชั้นกลาง สำหรับผู้ครองเรือน ก็ให้รักษาศีล 8 เป็นครั้งคราว
พรหมจรรย์ชั้นสูง สำหรับผู้ไม่ครองเรือนถ้าเป็นฆราวาสก็ให้รักษาศีล 8 ตลอดชีวิต ไม่ยุ่งเกี่ยวเรื่องเพศเลย หรือออกบวชเป็นพระภิกษุ ปฏิบัติธรรมทุกข้อในพระพุทธศาสนาทุกข้อให้เต็มที่
พรหมจรรย์ทุกชั้นจะตั้งมั่นอยู่ได้ ต้องอาศัยการฝึกสมาธิเป็นหลัก ” บุคคลย่อมเข้าถึงความเป็นกษัตริย์ด้วยพรหมจรรย์ชั้นต่ำ ย่อมเข้าถึงความเป็นเทพด้วยพรหมจรรย์ชั้นกลาง ย่อมหมดจดด้วยพรหมจรรย์ชั้นสูงสุด ”
อานิสงส์การประพฤติพรหมจรรย์
1. ทำให้ปลอดโปร่งใจ ไม่ต้องกังวลหรือระแวง
2. ทำให้เป็นอิสระ
3. ทำให้มีเวลามากในการทำความดี
4. ทำให้เป็นที่สรรเสริญของบัณฑิตทั้งหลาย
5. ทำให้ศีล สมาธิ ปัญญา เจริญรุดหน้า
6. ทำให้บรรลุมรรคผลนิพพาน
tongue tongue tongue

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ย. 2013, 19:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


cool cool cool
มงคลที่ 33
เห็นอริยสัจจ์

แม่บทของศาสนา ประเทศมีรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด เป็นแม่บทของกฎหมายอื่นๆ ในทำนองเดียวกันทุกศาสนาในโลกต่างก็มีหลักธรรมคำสอนที่เป็นแม่บทของศาสนานั้นๆ แม่บทของพระพุทธศาสนาก็คืออริยสัจจ์ 4
อริยสัจจ์ 4
สามารถแปลได้หลายความหมาย เช่น
- คือความจริงอันประเสริฐ
- คือความจริงอันทำให้บุคคลผู้เห็นเป็นผู้ประเสริฐ
อริยสัจจ์ 4 คือความจริงที่มีอยู่คู่โลกแต่ไม่มีใครเห็น จนกระทั่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ คือทั้งรู้ทั้งเห็นแล้วทรงชี้ให้เราดู ได้แก่
1. ทุกข์ คือความไม่สบายกายไม่สบายใจต่างๆ
2. สมุทัย คือสาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์
3. นิโรธ คือความดับทุกข์
4. มรรค คือวิธีปฏิบัติเพื่อไปสู่ความดับทุกข์
ถ้าจะเปรียบกับโรค ทุกข์ ก็เปรียบเหมือน สภาพที่ป่วยเป็นโรค
สมุทัย ก็เปรียบเหมือน ตัวเชื้อโรค
นิโรธ ก็เปรียบเหมือน สภาพที่หายจากโรค
มรรค ก็เปรียบเหมือน ยารักษาโรคให้หายป่วย
คนทุกคนในโลกล้วนแต่มีความทุกข์กันทั้งนั้น เหมือนคนป่วยแต่ก็ไม่รู้ว่าป่วยจากอะไร อะไรเป็นสาเหตุ จะแก้ไขให้หายป่วยหายทุกข์ได้อย่างไร
ในมงคลนี้ เราจะศึกษากันให้เข้าใจถึงแก่นแท้ของชีวิต ให้เข้าใจอริยสัจจ์กันเลย
อริยสัจจ์ที่ 1 ทุกข์
ทุกข์ คือความไม่สบายกายไม่สบายใจต่างๆ พระพุทธองค์ทรงพบความจริงว่า สรรพสัตว์ทั้งหลายล้วนตกอยู่ในความทุกข์ ไม่ว่ามหาเศรษฐี นายกรัฐมนตรี ประธานาธิบดี พระมหากษัตริย์ ก็มีทุกข์ทั้งนั้น มากน้อยแตกต่างกันไป และมีปัญญาพอที่จะรู้ตัวหรือเปล่าเท่านั้น ทรงแยกทุกข์ได้ 11 ประเภทใหญ่ๆ แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ ได้แก่
1. สภาวทุกข์ คือทุกข์ประจำ ได้แก่ เกิด แก่ เจ็บ ตาย
2. ปกิณณกทุกข์ คือทุกข์จร เกิดกับแต่ละคนด้วยระดับต่างกันไป ไม่แน่นอน เป็นความทุกข์ที่เกิดจากจิตใจหย่อนสมรรถภาพ ไม่อาจทนต่อเหตูการณ์ภายนอกที่มากระทบเราได้ ผู้มีปัญญารู้จักฝึกควบคุมใจตนเองก็จะสามารถบรรเทาจากทุกข์ชนิดนี้ได้ ทุกข์จรนี้มีอยู่ 8 ประการ ได้แก่
2.1 โสกะ ความโศก ความแห้งใจ ความกระวนกระวาย
2.2 ปริเทวะ ความคร่ำครวญรำพัน
2.3 ทุกขะ ความเจ็บไข้ได้ป่วย
2.4 โทมนัสสะ ความน้อยใจ ขึ้งเคียด
2.5 อุปายาสะ ความท้อแท้กลุ้มใจ ความอาลัยอาวรณ์
อัปปิเยหิ สัมปโยคะ ความขัดข้องหมองมัว ตรอมใจ จากการประสบสิ่งที่ไม่เป็นที่รัก
2.7 ปิเยหิ วิปปโยคะ ความโสกเศร้าเมื่อพลัดพรากจากของรัก
2.8 ยัมปิจฉัง น ลภติ ความหม่นหมองจากการปรารถนาสิ่งใดแล้วไม่ได้สิ่งนั้น
“ อริยสัจจ์ คือทุกข์ อันเราพึงกำหนดรู้ ”
อริยสัจจ์ที่ 2 สมุทัย
สมุทัย คือเหตุแห่งความทุกข์ทั้งหลายดังกล่าวข้างต้น ผู้ที่ฝึกสมาธิมาน้อย หาเหตุแห่งความทุกข์ไม่เจอ จึงโทษไปต่างๆนานาว่าเป็นการลงโทษของพระเจ้าบ้าง ของผีบ้าง แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงฝึกสมาธิมามาก ใจของพระองค์จึงใสสว่างเกิดปัญญามองเห็นความจริงชัดเจนว่า ที่เราทุกข์กันอยู่นี่ สาเหตูมาจากตัณหา คือความทะยานอยากที่มีอยู่ในใจของเราเอง แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ
1. กามตัณหา ความอยากได้ เช่นอยากได้เงิน ทอง อยากสนุก อยากมีเมียน้อย อยากให้คนชมเชยยกย่อง สรุปคืออยากได้รูป รส เสียง กลิ่น สัมผัส อารมณ์ที่น่าพอใจ
2. ภวตัณหา ความอยากเป็น เช่นอยากเป็นนายกฯ อยากเป็นใหญ่เป็นโต อยากเป็นคุณหญิง ฯลฯ
3. วิภวตัณหา ความอยากไม่เป็น เช่น อยากไม่เป็นคนจน อยากไม่เป็นคนแก่ อยากไม่เป็นคนขี้โรค ฯลฯ
“ อริยสัจจ์ คือทุกขสมุทัย อันเราพึงละ ”
อริยสัจจ์ที่ 3 นิโรธ
นิโรธ คือความดับทุกข์ หมายถึง สภาพใจที่หมดกิเลสแล้วโดยสิ้นเชิง ทำให้หมดตัณหาจึงหมดทุกข์ มีใจหยุดนิ่งสงบตั้งมั่นอยู่ที่ศูนย์กลางกาย มีความสุขล้วนๆ
ผู้ที่ฝึกสมาธิมาน้อย หรือปฏิบัติไม่ถูกทาง ยังเข้าไม่ถึงนิพพาน จึงไม่รู้จักความหมดทุกข์ที่แท้จริง ก็มักเข้าใจกันว่าการได้เสวยสุขอยู่บนสวรรค์นั้นคือหมดทุกข์ที่แท้จริง แต่แท้ที่จริงนั้นต่อให้ได้ขึ้นสวรรค์เป็นเทวดานางฟ้าจริงๆก็ยังวนเวียนอยู่แค่ในกามภพเท่านั้น สูงกว่าสวรรค์ทั้ง 6 ชั้น ยังมีรูปพรหมอีก 16 ชั้น และอรูปพรหมอีก 4 ชั้น ซึ่งก็ยังไม่หมดทุกข์ จะหมดทุกข์จริงๆต้องฝึกจนกระทั่งหมดตัณหา ดับความทะยานอยากต่างๆโดยสิ้นเชิง หมดกิเลสเข้านิพพาน
“ อริยสัจจ์ คือทุกขนิโรธ อันเราพึงทำให้แจ้ง ”
อริยสัจจ์ที่ 4 มรรค
มรรค คือวิธีปฏิบัติเพื่อให้พ้นทุกข์ ศาสนาฝ่ายเทวนิยมมองเหตุแห่งทุกข์ไม่ออก จึงยกให้เป็นการลงโทษของสิ่งลึกลับ ของพระเจ้า ดังนั้นจึงหาวิธีพ้นทุกข์ผิดทาง ไปอ้อนวอนบวงสรวงให้พระเจ้าช่วย ถ้าจะเปรียบก็คล้ายกับว่า เราป่วยเป็นไข้มาเลเรียแล้วมีคนมาบอกเราว่าที่เป็นอย่างนี้เพราะมีผีจากป่ามาลงโทษ แล้วก็แนะวิธีเซ่นไหว้อ้อนวอนกับผีสางเหล่านั้นเพื่อให้เราหายโรค ซึ่งความจริงการทำอย่างนั้นไม่ใช่ทางดับทุกข์เลย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงได้มอบทางดับทุกข์ไว้ให้เรากำจัดเหตุแห่งทุกข์ไว้รวม 8 ประการด้วยกัน ได้แก่
1. สัมมาทิฏฐิ มีความเห็นชอบเบื้องต้น คือความเห็นถูกต่างๆ เช่น เห็นว่าพ่อแม่มีบุญคุณต่อเราจริง ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่วจริง โลกนี้โลกหน้ามีจริง ฯลฯ เบื้องสูงคือเห็นทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความดับทุกข์และวิธีปฏิบัติเพื่อดับทุกข์
2. สัมมาสังกัปปะ มีความคิดชอบ คือคิดออกจากกาม คิดไม่ผูกพยาบาท คิดไม่เบียดเบียน ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน
3. สัมมาวาจา เจรจาชอบ
4. สัมมากัมมันตะ ทำการงานชอบ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ประพฤติพรหมจรรย์
5. สัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีพชอบ เลิกการประกอบอาชีพเลี้ยงชีวิตในทางที่ผิดแล้วประกอบอาชีพในทางที่ถูก
6. สัมมาวายามะ มีความเพียรชอบ เพียรป้องกันบาปอกุศลที่ยังไม่เกิดไม่ให้เกิด เพียรละบาปอกุศลที่เกิดขึ้นแล้วให้หมดไป เพียรสร้างกุศลคุณความดีที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น และเพียรบำรุงกุศลคุณความดีที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญงอกงามยิ่งขึ้น
7. สัมมาสติ มีความระลึกชอบ คือไม่ปล่อยใจให้ฟุ้งซ่าน มีสติรู้ตัวระลึกได้ หมั่นตามเห็นกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรมอยู่เสมอ
8. สัมมาสมาธิ มีใจตั้งมั่นชอบ คือมีใจตั้งมั่นหยุดนิ่งอยู่ที่ศูนย์กลางกาย ตามเห็นกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรมจนบรรลุฌานขั้นต่างๆไปตามลำดับ จากสมาธิที่เป็นระดับโลกียะไปสู่สมาธิที่เป็นระดับโลกุตตระ
มรรคทั้ง 8 ข้อนี้ ถ้าขยายออกแล้วก็จะได้แก่คำสอนทั้ง 84,000 พระธรรมขันธ์ ถ้าย่อเข้าก็จะได้แก่ไตรสิขา หัวใจพระพุทธศาสนา ดังนี้
ศีล แยกออกเป็น สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ
สมาธิ แยกออกเป็น สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ
ปัญญา แยกออกเป็น สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ
มรรคทั้ง 8 ข้อนี้ให้ปฏิบัติพร้อมๆกัน ซึ่งจะเป็นไปได้ขณะใจหยุดนิ่งเป็นสมาธิ ทำให้เห็นอริยสัจจ์ได้อย่างชัดเจนและพ้นทุกข์ได้ เป็นเรื่องของการฝึกจิตตามวิถีของเหตุผล ไม่ต้องไปวิงวอนพระเจ้าหรือใครๆ
“ อริยสัจจ์ คือปฏิปทาให้ถึงความดับทุกข์ อันเราพึงบำเพ็ญ ”
การเห็นอริยสัจจ์
อ่านอริยสัจจ์มาถึงตรงนี้ เรารู้แล้วว่าทุกข์มีกี่ประเภท อะไรบ้าง อะไรที่ทำให้เกิดทุกข์ รู้ความดับทุกข์ รู้มรรคมีองค์ 8 จำได้หมด แต่นี่ยังไม่เรียกว่าเห็นอริยสัจจ์ เป็นแต่เพียงท่องจำอริยสัจจ์ได้เท่านั้น
การเห็นอริยสัจจ์แต่ละข้อ จะต้องเห็นถึง 3 รอบ รวม 4 อริยสัจจ์ เท่ากับเห็นถึง 12 ครั้ง เราเรียกรอบ 3 อาการ 12 ของอริยสัจจ์
การเห็นอริยสัจจ์แปลกกว่าการเห็นอย่างอื่น คือเมื่อเห็นแล้วจะสามารถทำได้ด้วย เช่น เห็นสมุทัยเหตุแห่งทุกข์ว่า คือตัณหา ก็จะเห็นว่าตัณหาควรละและก็ละตัณหาได้ด้วย เป็นการเห็นที่บริบูรณ์จริงๆ ถ้าจะเปรียบก็เหมือนการรู้เรื่องยา จะเป็นความรู้ที่บริบูรณ์ ก็ต้องรู้อย่างนี้ คือ
รู้ว่า นี่เป็นยา
รู้ว่า ยานี้ควรกิน
รู้ว่า ยานี้เราได้กินแล้ว
การเห็นอริยสัจจ์นี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนว่า เมื่อเห็นข้อใดข้อหนึ่ง ข้อที่เหลือก็จะเห็นหมด เช่น เมื่อเห็นทุกข์ก็จะเห็นสมุทัย นิโรธ มรรคด้วย เห็นสมุทัย ก็จะเห็นทุกข์ นิโรธ มรรคด้วย จะเห็นพร้อมกันทั้งหมด เพราะไม่ใช่การเห็นด้วยตาหรือการนึกคิดเห็นธรรมดา แต่เป็นการเห็นด้วยธรรมจักษุ
อุปาทาน ขันธ์ 5 เป็นทุกข์ ทุกข์ควรกำหนดรู้ ทุกข์(เรา) ได้รู้แล้ว
สมุทัย
ตัณหาเป็นเหตุเกิดทุกข์ ตัณหาควรละ ตัณหา(เรา)ได้ละแล้ว
นิโรธ
ความสิ้นตัณหาเป็นนิโรธ นิโรธควรทำให้แจ้ง นิโรธ(เรา)ได้ทำให้แจ้งแล้ว
มรรค มรรคมีองค์ 8 เป็นข้อ
ปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ มรรคมีองค์ 8 ควรบำเพ็ญให้บริบูรณ์ มรรคมีองค์ 8 (เรา) ได้บำเพ็ญให้บริบูรณ์แล้ว
อานิสงส์การเห็นอริยสัจจ์
การเห็นอริยสัจจ์ไม่อาจเห็นได้ด้วยตาเนื้อของมนุษย์จะเห็นได้ด้วยธรรมจักษุเท่านั้น เมื่อเราเห็นอริยสัจจ์ด้วยธรรมจักษุแล้ว เราก็จะเข้าใจถึงความเป็นไปอันแท้จริงของโลกและชีวิตว่ามีแต่ทุกข์ ที่ว่าสุขๆกันนั้น แท้ที่จริงก็คือช่วงขณะที่ความทุกข์น้อยลงนั่นเอง เราจะเข้าใจถึงคุณค่าของบุญกุศล อันตรายความน่าขยะแขยงของบาป เป็นความเข้าใจที่เข้าไปในใจ จริงๆ
เวลามีความทุกข์หรือไปทำอะไรไม่ดีเข้า ก็จะเห็นได้เลยว่า บาปเกิดขึ้นที่ใจอย่างไร เราจะเห็นบาปมาหุ้ม เคลือบ หมัก ดองใจของเราให้ดำมืดไป เหมือนลืมตามองเห็นดวงแก้วกลมใส ที่มีฝุ่นผงละอองมาเคลือบมาจับอย่างนั้น
และเวลาทำความดี ทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ก็จะเห็นบุญกุศลที่เกิดขึ้นมาชำระล้าง หล่อเลี้ยงใจเราให้สะอาด บริสุทธิ์ ผ่องใส สว่างไสวขึ้นเหมือนมองเห็นดวงแก้วที่เอาน้ำชำระล้างแล้วสะอาดแวววาวใสบริสุทธิ์ขึ้นอย่างนั้น
เมื่อรู้เห็นเข้าใจอย่างนี้แล้ว ย่อมมีใจตั้งมั่นอยู่ในความดี หมั่นบำเพ็ญอริยมรรคมีองค์ 8 มีใจหยุดนิ่งตั้งมั่นเป็นสมาธิ เกิดปัญญาสว่างไสว รู้เห็นสิ่งต่างๆไปตามความเป็นจริง กิเลสต่างๆก็ค่อยๆล่อนหลุดไปจากใจ จนหมดกิเลสเป็นพระอรหันต์ พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารได้

tongue tongue tongue

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ย. 2013, 19:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


rolleyes rolleyes rolleyes

มงคลที่ 34
ทำนิพพานให้แจ้ง

นิพพานคืออะไร ?
นิพพาน มีคำแปลได้หลายอย่าง เช่น
- แปลว่า ความดับ ความสูญ คือดับกิเลส ดับทุกข์ สูญจากกิเลส สูญจากทุกข์
- แปลว่า ความพ้น คือพ้นทุกข์ พ้นจากภพสาม
นิพพาน เป็นที่ซึ่งความทุกข์ทั้งหลายเข้าไปไม่ถึง อยู่พ้นกฎของไตรลักษณ์ ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิด ไม่มีแก่เจ็บตาย เที่ยงแท้แน่นอน ไม่มีการเปลี่ยนแปลง เป็นบรมสุข เกิดขึ้นด้วยอำนาจการ
ปฎิบัติธรรม มีพระพุทธพจน์ที่กล่าวถึงนิพพานไว้หลายแห่ง อาทิเช่น
“นิพฺพาน ปรม สุข
นิพพาน สุขอย่างยิ่ง”
“ความเกิดแห่งนิพพานใดย่อมปรากฏ ความเสื่อมแห่งนิพพานนั้นมิได้มี ย่อมปรากฏอยู่โดยแท้ นิพพานเป็นคุณชาติเที่ยง ยั่งยืน มั่นคง มิได้มีความแปรปรวน เป็นธรรมดา เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า อันอะไร ๆ นำไปไม่ได้ ไม่กำเริบ”
“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อายตนะนั้นมีอยู่ ดิน น้ำ ไฟ ลม อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ โลกนี้ โลกหน้า พระจันทร์ และพระอาทิตย์ทั้งสอง ย่อมไม่มีในอายตนะนั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่กล่าวซึ่งอายตนะนั้นว่าเป็นการมา เป็นการไป เป็นการตั้งอยู่ เป็นการจุติ เป็นการอุบัติ อายตนะนั้นหาที่ตั้งอาศัยมิได้ มิได้เป็นไป หาอารมณ์มิได้ นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์”
ทหารเมื่ออยู่ในหลุมหลบภัย ย่อมปลอดภัยจากอาวุธร้ายของศัตรูฉันใด ผู้ที่มีใจจรดนิ่งอยู่ในนิพพาน ก็ย่อมปลอดภัยจากทุกข์ทั้งปวงฉันนั้น
ประเภทของนิพพาน
นิพพานมีอยู่ 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ
1. สอุปาทิเสสนิพพาน เรียกว่า นิพพานเป็น ทุกคนที่ปฏิบัติมรรคมีองค์ 8ได้สมบูรณ์ สามารถเข้าถึงนิพพานได้ขณะยังมีชีวิตอยู่ เป็นนิพพานของพระอริยเจ้าผู้ละกิเลสได้แล้ว แต่ยังมีชีวิตอยู่เพื่อบำเพ็ญประโยชน์แก่สัตว์โลกต่อไป พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเข้านิพพานเป็นนี้ได้เมื่อวันที่พระองค์ตรัสรู้ นิพพานเป็น เป็นเหมือนหลุมหลบภัยในตัว เรามีทุกข์โศกโรคภัยใดๆพอเอาใจรอดเข้าไปในนิพพาน ความทุกข์ก็หลุดหมดไป จะตามไปรังควานไปบีบคั้นใจเราไม่ได้ พระอรหันต์มีใจจรดนิ่งในนิพพานตลอดเวลา จึงไม่มีทุกข์อีกเลย
2. อนุปาทิเสสนิพพาน เรียกว่า นิพพานตาย เป็นเหตุว่างนอกภพสาม ผู้ที่หมดกิเลสเป็นพระอรหันต์เมื่อขันธ์5 ดับ ก็จะเข้าสู่นิพพานนี้
ผู้ที่สามารถทำให้นิพพานแจ้งได้
ผู้ที่สามารถทำให้นิพพานแจ้งได้ก็คือ พระอริยบุคคลทุกระดับ ทั้งพระอรหันต์ พระอนาคามี พระสกิทาคามี และพระโสดาบัน รวมทั้งโคตรภูบุคคล บางท่านสงสัยว่าทำไมโคตรภูบุคคลซึ่งยังไม่หมดกิเลสเป็นพระอรหันต์จึงเข้านิพพานได้ คำตอบคือ เพราะโคตรภูบุคคลนั้นเมื่อเอาใจจรดเข้าพระนิพพานขณะนั้นก็หมดทุกข์ กิเลสทำอะไรไม่ได้ แต่ทว่าใจยังจรดอยู่ในนิพพานได้ไม่ตลอดเวลา เมื่อไรใจถอนออกมาก็ยังมีทุกข์อยู่ เหมือนตัวเราได้รับเชิญไปเที่ยวพักผ่อนในปราสาทใหญ่ระหว่างพักอยู่ในนั้นก็มีความสุขสบาย แต่ก็อยู่ชั่วคราวเพราะยังไม่ได้เป็นเจ้าของเอง เมื่อไรครบกำหนดกลับก็ต้องออกจากปราสาทมาสู่เหตุการณ์ภายนอกใหม่ โคตรภูญาณเห็นนิพพานได้แต่ยังตัดกิเลสไม่ได้ โคตรภูญาณละกิเลสได้ชั่วคราว
ตัวเราจะเข้านิพพานได้หรือไม่
คำตอบคือ “ ได้ ” โดยจะต้องตั้งใจเจริญภาวนาไปจนเข้าถึงโคตรภูญาณเป็นโคตรภูบุคคล จากนั้นฝึกต่อไปจนเข้าถึงภาวะความเป็นอริยบุคคลที่สูงขึ้นไปตามลำดับ ก็จะเห็นอริยสัจจ์และทำนิพพานให้แจ้งได้ละเอียดลึกซึ้งขึ้นในที่สุดก็จะบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ ซึ่งไม่ยากจนเกินไปที่เราจะปฏิบัติได้เพราะถ้ายากเกินไปแล้วคงไม่มีพระอรหันต์เป็นล้านๆรูปในสมัยพุทธกาล ถ้านิพพานนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าไปได้พระองค์เดียว คนอื่นไม่ได้เลยก็จะบอกว่ายาก แต่จริงๆแล้วมีผู้ที่ปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ ตั้งใจฝึกสมาธิจนเกิดปัญญาเข้านิพพานได้มากมาย แสดงว่าไม่ยากจนเกินไป แต่แน่นอนก็คงไม่ง่าย เพราะถ้าง่ายเราก็คงเข้าไปนานแล้ว
เพราะฉะนั้นตั้งใจฝึกตนเองกันเข้า วันหนึ่งเราก็จะเป็นคนหนึ่งที่ทำได้แล้วเข้านิพพานได้ ตอนนี้ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้ แต่ว่ายังไม่ได้ทำต่างหาก อย่าเพิ่งไปกลัว อย่าไปท้อใจเสียก่อนว่าจะทำไม่ได้ ถ้าเราทำจริงแล้วต้องได้
อานิสงส์การทำนิพพานให้แจ้ง
1. ทำให้จิตไม่หวั่นไหวในโลกธรรม
2. ทำให้จิตไม่โศก
3. ทำให้จิตปราศจากธุลี
4. ทำให้จิตเกษม


มงคลที่ 10 ผลจากการปฏิบัติจนหมดกิเลส
มงคลที่ 35
จิตไม่หวั่นไหวในโลกธรรม

จิตไม่หวั่นไหวในโลกธรรมคืออะไร?
จิตหวั่น คือความหวาดกังวล กลัวว่าจะประสบกับสิ่งที่ไม่ชอบใจ
จิตไหว คือความปรารถนาอยากได้สิ่งที่รักที่ชอบใจ
โลกธรรม คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นประจำโลก หลีกเลี่ยงไม่ได้ มีอยู่ 8 ประการ แบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ
ก. ฝ่ายที่คนทั่วไปปรารถนาอยากได้ คือ
1. ได้ลาภ
2. ได้ยศ
3. ได้สรรเสริญ
4. ได้สุข
ข. ฝ่ายที่คนทั่วไปกลัวว่าจะเกิดขึ้นกับตน คือ
1. เสื่อมลาภ
2. เสื่อมยศ
3. ถูกนินทา
4. ตกทุกข์
จิตไม่หวั่นไหวในโลกธรรมจึงหมายถึง สภาพจิตของผู้ที่ทำนิพพานให้แจ้งแล้ว มีใจตั้งมั่น เกิดความมั่นคงหนักแน่นดุจขุนเขา เป็นอุเบกขา วางเฉยได้
เมื่อพบกับความเสื่อมลาภ เสื่อมยศ ถูกนินทา ตกทุกข์ จิตก็ไม่หวั่น
เมื่อพบกับความได้ลาภ ได้ยศ ได้สรรเสริญ ได้สุข จิตก็ไม่ไหว
เพราะรู้เท่าทันว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นไม่เที่ยง ไม่จีรังยั่งยืนอะไร ในที่สุดก็ต้องเสื่อมไปตามกฎของไตรลักษณ์
ไตรลักษณ์เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า สามัญลักษณะ คือลักษณะประจำของทุกสรรพสิ่งในโลก มีลักษณะ 3 ประการ คือ
1. อนิจจัง ความไม่เที่ยง มีการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆเป็นธรรมดา
2. ทุกขัง ความเป็นทุกข์ ในที่นี้คือการคงอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ ต้องแตกดับเพราะมันไม่เที่ยงเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เช่นบ้านก็ต้องพัง คนก็ต้องตาย
3. อนัตตา ความไม่มีตัวตนที่แท้จริง ไม่อยู่ในอำนาจ บังคับบัญชาไม่ได้ เช่นบังคับให้ไม่แก่ไม่ได้ บังคับให้ไม่เจ็บไข้ก็ไม่ได้ บ้านบังคับให้ไม่เก่าก็ไม่ได้
คนมักมองไม่เห็นไตรลักษณ์ จึงลุ่มหลงมัวเมายินดียินร้ายหวั่นไหวในโลกธรรม ต้องตกอยู่ในห้วงทุกข์ตลอดเวลา
ผู้ที่ทำนิพพานให้แจ้งแล้ว ท่านเห็นนิพพานซึ่งอยู่พ้นกฎเกณฑ์ของไตรลักษณ์ พ้นการเวียนว่ายตายเกิด มีความสุขอย่างยิ่ง เป็นบรมสุขที่ไม่กลับทุกข์อีก จึงไม่ยินดีในโลกธรรม ไม่ขุ่นมัว ไม่หลงใหล ไม่หวั่นไหวในโลกธรรม ไม่ยินดีกับลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ไม่หวาดกลัวจะเสื่อมลาภ เสื่อมยศ ถูกนินทา หรือตกทุกข์
คนทั่วไปเวลาป่วยไข้มักเป็นทุกข์ทั้งกายและใจ แต่ผู้ที่ทำนิพพานให้แจ้งแล้วใจจรดอยู่ในนิพพานไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นทุกข์นั้นจะหยุดอยู่แค่กาย กินเข้าไปไม่ถึงใจท่านท่านมีจิตที่มั่นคงตลอด
ข้อเตือนใจ
“ ยิ่งมืดเท่าไร แสดงว่ายิ่งดึก ยิ่งดึกเท่าไรแสดงว่ายิ่งใกล้สว่าง ” แม้จะเจอความทุกข์ขนาดไหน ความเสื่อมลาภ เสื่อมยศ ถูกนินทาปานใด สู้ทนทำความดีไปเถิด ยิ่งเจอหนักมากขึ้นแสดงว่ามันใกล้จะพ้นแล้ว เหมือนยิ่งดึกยิ่งใกล้สว่าง
นอกจากนี้เราทุกคนจะต้องตั้งใจฝึกสมาธิภาวนากัน จนใจหยุดนิ่งตั้งมั่นเป็นสมาธิ เกิดปัญญาสว่างไสว เห็นอริยสัจจ์ 4 และทำนิพพานให้แจ้งให้ได้ จึงจะมีจิตไม่หวั่นไหวในโลกธรรมอย่างแท้จริง
onion onion onion

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ย. 2013, 19:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


cool cool cool
มงคลที่ 36
จิตไม่โศก

โศก มาจากภาษาบาลีว่า โสกะ แปลว่าแห้ง
จิตโศก จึงหมายถึงสภาพจิตที่แห้งผาก มีอาการเหี่ยวแห้ง ซึมเซา ไม่สมหวัง เนื่องจากความรัก จะเป็นรักคน สัตว์ หรือสิ่งของ ก็ทำให้เกิดความโศกได้ทั้งนั้นแต่ที่หนักก็มักเป็นเรื่องของคน โดยเฉพาะหนุ่มสาว
คำว่า เสน่ห์ ในภาษาไทย แปลว่าความน่ารัก แต่คำนี้มาจากภาษาบาลีว่า สิเนหะ แปลว่ายางเหนียว ถ้าใครมาบอกว่าแม่นั่นน่ะยางเหนียวหนับเลย อย่าไปเข้าใกล้นะ เดี๋ยวติดยางเหนียวเข้า แล้วจะดิ้นไม่หลุด
โบราณกล่าวว่า ผู้ใดมีความรักถึง 100 ผู้นั้นก็ต้องทุกข์ถึง 100
ผู้ใดมีความรักถึง 1 ผู้นั้นก็ต้องทุกข์ถึง 1
ผู้ใดไม่มีสิ่งอันเป็นที่รัก ผู้นั้นก็ไม่มีความทุกข์ เรากล่าวว่าผู้นั้นไม่มีความเศร้าโสก ปราศจากกิเลสดุจธุลี ไม่มีอุปายาส คือความตรอมใจ ความกลัดกลุ้มใจ
ข้อควรปฏิบัติ
ผู้ที่ทำนิพพานให้แจ้งแล้วขณะที่ใจท่านจรดอยู่ในนิพพานความรักเข้าไปรบกวนท่านไม่ได้ ตัดรักได้ ใจท่านจึงไม่แห้ง ไม่มีโศก
พวกเราปุถุชนทั่วไป แม้ยังไม่สามารถตัดรักได้เด็ดขาด แต่ถ้าหมั่นทำสมาธิ เจริญมรณานุสติเป็นประจำ ก็จะทำให้ความรักมามีอิทธิพลเหนือใจเราไม่ได้มาก มีสติดี มีความเด็ดเดี่ยว ก็จะมีจิตโศกน้อยกว่าคนทั่วไป อาการไม่หนักหนาสาหัสนัก เพราะนึกถึงความตายแล้วทำให้ใจคลายออกจากรัก ซึ่งเป็นต้นทางของความโศก พอคิดว่าเราเองก็ต้องตาย จะตายเมื่อไรไม่รู้เท่านี้ก็เริ่มจะคิดได้ ความโศกความรักเริ่มหมดไปจากใจ มีสติมาพิจารณาตนเอง ไม่ประมาท ขวนขวายในการสร้างความดี จากนั้นตั้งใจเจริญสมาธิภาวนาเต็มที่ก็จะสามารถทำนิพพานให้แจ้งได้ และตัดความรัก ความโศกออกจากใจได้อย่างเด็ดขาดในที่สุด


มงคลที่ 37
จิตปราศจากธุลี

ธุลี คือกิเลสอย่างละเอียดที่เกาะซึมแทรกหุ้มใจเราอย่างซ่อนเร้นบางๆทำให้ความผุดผ่อง ใสสะอาดเสียไปถ้าไม่สังเกตจะไม่เห็นไม่รู้
จิตปราศจากธุลี หมายถึงจิตที่หมดกิเลสแล้วทั้งหยาบทั้งละเอียด อย่างถอนรากถอนโคน ทำให้จิตสะอาดผ่องใสนุ่มนวลควรแก่การงาน ได้แก่จิตของพระอรหันต์
ประเภทของกิเลส
กิเลสในใจคนมีอยู่ 3 ตระกูลให้ใหญ่ คือตระกูลราคะ โทสะ โมหะ กิเลสแต่ละตระกูลมีหลายระดับตั้งแต่หยาบมากๆเห็นได้ชัดเจนเหมือนขยะมูลฝอย จนถึงละเอียดมากๆเหมือนธุลี บางคนเจอแล้วก็ยังไม่รู้ว่าเป็นกิเลส ดังนี้
1. ตระกูลราคะหรือโลภะ คือความกำหนัดยินดี รัก อยากได้ ในคนสัตว์สิ่งของ หรืออารมณ์ที่น่าใคร่ มีตั้งแต่หยาบจนถึงละเอียดดังนี้
อภิชฌาวิสมโลภะ โลภอย่างแรงกระทั่งแสดงออกมาเช่น ปล้น จี้ ขโมย เป็นกิเลสหยาบที่สุด
อภิชฌา ความเพ่งเล็งทรัพย์ผู้อื่น จ้องจะเอา แต่ยังสงวนท่าที เป็นกิเลสหยาบปานกลาง
โลภะ ความอยากได้
กามราคะ ความพอใจในกาม รักเพศตรงข้าม ยังยินดีในรูป รส กลิ่น เสียง
รูปราคะ ความติดใจยินดีในอารมณ์ของรูปญาณ เป็นเรื่องของผู้ฝึกสมาธิจนได้รูปญาณแล้ว
อรูปราคะ ความติดใจยินดีในอารมณ์ของรูปญาณ เป็นเรื่องของผู้ฝึกสมาธิจนได้รูปญาณแล้ว
ข้อ 1.4 – 1.6 จัดเป็นกิเลสอย่างละเอียดที่เรียกว่าธุลีในตระกูลราคะ
2. ตระกูลโทสะ คือความไม่ชอบใจ ความคิดร้าย คิดทำลายผู้อื่นตั้งแต่หยาบจนถึงละเอียดดังนี้
พยาบาท ความผูกอาฆาต ไม่ยอมให้อภัย บางทีข้ามภพข้ามชาติ เป็นกิเลสหยาบที่สุด
โทสะ ความคิดร้าย คิดทำลาย คิดจะเตะ ต่อย เผาบ้าน
โกรธะ ความเดือดดาลใจ คิดโกรธแต่ไม่ถึงกับคิดทำร้ายใคร
ปฏิฆะ ความขัดใจ เป็นความไม่พอใจลึกๆยะงไม่ถึงกับโกรธ แต่มันขัดใจ
ข้อ 2.4 จัดเป็นธุลี หรือกิเลสอย่างละเอียดในตระกูลโทสะ
3. ตระกูลโมหะ คือความหลง เป็นอาการที่จิตมืดมน ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี ไม่รู้จักบาปบุญ ส่วนความไม่รู้วิทยาการต่างๆไม่ถือว่าเป็นโมหะ มีตั้งแต่หยาบจนถึงละเอียดดังนี้
มิจฉาทิฏฐิ ความเห็นผิดจากทำนองคลองธรรม เช่นเห็นว่าพ่อแม่ไม่มีพระคุณ บาปบุญไม่มีจริง เห็นว่าไม่มีโลกนี้โลกหน้า
โมหะ ความหลงผิด ความไม่รู้ผิดชอบชั่วดี
สักกายทิฏฐิ ความเห็นว่าเป็นตัวตน เช่นคิดว่าร่างกายนี้เป็นของเราจริงๆ
วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัยในการปฏิบัติธรรม เช่นยังไม่แน่ใจ100 %ว่าบุญบาปมีจริงไหม ทำสมาธิแล้วจะหมดกิเลสจริงหรือ
สีลัพพตปรามาส ความติดอยู่ในศีลพรตอันงมงาย เช่น เชื่อหมอดู ศาลพระภูมิ
มานะ ความถือตัว ถือเขาถือเรา
อุทธัจจะ ความฟุ้งซ่าน เป็นอาการที่จิตไหวกระเพื่อมน้อยๆยังไม่หยุดนิ่งสนิท แต่ก็ไม่ได้ฟุ้งซ่านเหมือนคนทั่วไป
อวิชชา ความไม่รู้พระสัทธรรม เช่น ไม่รู้ว่าตัวเรามาจากไหน เกิดมาทำไม ตายแล้วไปไหน
ข้อ 3.3 – 3.8 จัดเป็นกิเลสอย่างละเอียดที่เรียกว่าธุลีในตระกูลโมหะ
โดยสรุป ธุลี หมายถึง กิเลสอย่างละเอียดทั้ง 3 ตระกูล รวม 10 ประการ ได้แก่
1. สักกายทิฏฐิ
2. วิจิกิจฉา
3. สีลัพพตปรามาส
4. กามราคะ
5. ปฏิฆะ
6. รูปราคะ
7. อรูปราคะ
8. มานะ
9. อุทธัจจะ
10. อวิชชา
ทั้ง 10 ประการนี้เรียกว่า สังโยชน์ 10
- พระโสดาบัน จะสามารถละสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา และสีลัพพตปรามาสได้ มีความเชื่อมั่นในคุณของพระรัตนตรัยเต็มที่ ไม่มีความลังเลสงสัย
- พระสกิทาคามี จะสามารถละสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา และสีลัพพตปรามาสได้ แต่กิเลสข้อที่เหลือเบาบางลง
- พระอนาคามี จะสามารถละสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส กามราคะ และปฏิฆะ ได้
- พระอรหันต์เท่านั้นที่สามารถละสังโยชน์ธุลีกิเลสทั้ง 10 ประการได้อย่างสิ้นเชิง มีจิตผ่องใส บริสุทธิ์ตลอด
ข้อควรปฏิบัติ
เราต้องทราบว่ากิเลสทั้ง 3 ตระกูลนี้มันฟู มันงอกงามได้ เช่นบางคนเดิมอาจเป็นคนไม่โลภอะไร พอใจอยู่กับของของตน แต่ไม่ระวังตัวเผลอไปหน่อยเดียว มีลาภยศมาล่อมากๆเข้า อาจกลายเป็นคนโลภไปทำบาปทำชั่วเพราะความอยากได้ก็มี บางคนเดิมใจเย็นแต่ถูกยุถูกแหย่มากๆเข้าก็อาจงอกงามกลายเป็นคนเจ้าโทสะไปได้ หรือเดิมเป็นคนธรรมดาเข้าใจธรรมะบ้างไม่เข้าใจบ้าง บุญบาปก็แค่สงสัยว่ามีจริงหรือไม่ แต่ไปคบคนพาลเข้ากลายเป็นมิจฉาทิฏฐิไม่เชื่อบุญบาป ปฏิเสธนรกสวรรค์ คิดว่าพ่อแม่ไม่มีพระคุณต่อตัวเอง เป็นไปได้เหมือนกัน


มงคลที่ 38
จิตเกษม


ภัยของมนุษย์ ภัยเหล่านี้แบ่งได้เป็น 2 ประเภท
1. ภัยภายใน ได้แก่
ข้างหลัง คือชาติภัย ภัยจากการเกิด
ข้างขวา คือชราภัย ภัยจากการแก่
ข้างซ้าย คือพยาธิภัย ภัยจากความเจ็บ
ข้างหน้า คือมรณภัย ภัยจากความตาย
2. ภัยภายนอก ได้แก่ภัยธรรมชาติ ภัยจากคน ภัยจากบาปกรรมตามทัน
ทำไมเราจึงต้องพบกับภัยเหล่านี้?
การที่เราต้องตกอยู่ท่ามกลางวงล้อมของภัยทั้งหลาย ดิ้นกันไม่หลุด เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิด ก็ยังต้องรับทุกข์รับภัยกันอยู่ไม่รู้กี่แสนกี่ล้านๆๆๆๆชาติมาแล้ว ทั้งนี้ก็เพราะถูกผกด้วย โยคะ แปลว่า เครื่องผูกสัตว์ไว้ในภพ มีอยู่ 4 ประการ ได้แก่
1. กามโยคะ คือความยินดีพอใจในกามคุณ อยากฟังเพลงไพเราะ กินอาหารอร่อย สวมเสื้อสวย นุ่มนวลสบาย อยากเห็นรูปงามๆ ได้สัมผัสนุ่มๆ มีแฟนสวยๆ รวยๆ ความใคร่ทั้งหลายเหล่านี้เป็นเหมือนเชือกเกลียวแรกที่ผูกมัดตัวเราไว้
2. ภวโยคะ คือความยินดี พอใจในรูปญาณและอรูปญาณ คนที่พ้นเชือกเกลียวแรก พ้นกามโยคะมาได้ ก็มาเจอเชือกเกลียวที่ 2 นี้คือเมื่อได้เจอความสุขจากการที่ใจเริ่มสงบ ทำสมาธิจนได้รูปญาณหรืออรูปญาณก็พอใจยินดีติดอยู่ในความสุขจากอารมณ์ของญาณ ตายไปก็ไปเกิดเป็นรูปพรหม หรืออรูปพรหม ซึ่งก็ยังไม่พ้นภัย หมดบุญก็ต้องลงมาเกิดเจอภัยกันอีก นี่เป็นเหมือนเชือกเกลียวที่ 2
3. ทิฏฐิโยคะ คือความยึดถือความคิดเห็นของตนเอง เช่นเห็นว่าพ่อแม่ไม่มีพระคุณ เห็นว่าโลกนี้โลกหน้าไม่มีจริง เห็นว่าตนเองจะพ้นทุกข์ได้ด้วยการบวงสรวงอ้อนวอนบ้าง ใจยังมืดมน หลงยึดความเห็นผิดๆอยู่ สิ่งเหล่านี้เป็นเหมือนเชือกเกลียวที่ 3
4. อวิชชาโยคะ คือความไม่รู้แจ้งในพระสัทธรรม ความสว่างของใจยังไม่พอ ยังไม่เห็นอริยสัจจ์ 4 ไม่เห็นทางพ้นทุกข์พ้นภัย นี่ก็เป็นเหมือนเชือกเกลียวที่ 4
ทั้ง 4 อย่างนี้ เป็นเหมือนเชือก 4 เกลียวที่ผูกมัดตัวเราไว้กับภพทำให้ต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารโดยไม่รู้จบสิ้น ทำให้ต้องมาพบกับภัยทั้งหลาย ดิ้นกันไม่หลุดทีเดียว
จิตเกษมคืออะไร?
เกษม แปลว่าปลอดภัย พ้นภัย สิ้นกิเลส มีความสุข
จิตเกษม จึงแปลว่า สภาพจิตที่หมดกิเลสแล้ว เชือกทั้ง 4 เกลียวได้ถูกฟันขากสะบั้นโดยสิ้นเชิง จิตเป็นอิสรเสรี ทำให้คล่องตัวไม่ติดขัด ไม่อึดอัดอีกต่อไป ไม่มีภัยใดๆมาบีบคั้นได้อีก จึงมีความสุขอย่างแท้จริง พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ผู้ที่จะจิตเกษมได้อย่างแท้จริง คือผู้ที่ใจจรดนิ่งแช่อิ่มอยู่ในนิพพานตลอดเวลา ซึ่งก็ได้แก่พระอรหันต์นั่นเอง
จิตของพระอรหันต์นั้นนอกจากจะหมดกิเลสแล้ว ก็ยังทำให้มีความรู้ความสามารถพิเศษอีกหลายประการ เช่น อภิญญา 6 วิชชา 3 วิชชา 8 ปฏิสัมภิทาญาณ 4
อภิญญา 6 คือความรู้อันยิ่งยวด เหนือความรู้จากการตรองด้วยหลักเหตุผลธรรมดา ได้แก่
1. อิทธิวิธี แสดงฤทธิ์ได้ เช่น เหาะเหินเดินอากาศ แปลงกายเป็นสิ่งต่างๆ ย่อขยายตัวได้ หายตัวได้ ฯลฯ
2. ทิพยโสต มีหูทิพย์
3. เจโตปริยญาณ รู้วาระจิตคนอื่น รู้ว่ากำลังคิดอะไร
4. ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกชาติได้
5. จุตูปปาตญาณ (ทิพยจักษุ) มีตาทิพย์
6. อาสวักขยญาณ ทำกิเลสให้สิ้นไปได้
ในอภิญญา 6 นี้ 5ข้อแรกเป็นโลกียอภิญญา ข้อที่ 6 เป็นโลกุตตรอภิญญา คุณวิเศษเหล่านี้เป็นผลที่เกิดจากการปฏิบัติธรรมด้วยตนเอง ไม่ใช่เกิดขึ้นเพียงด้วยการบอกเล่า หรือสั่งสอนกัน ผู้ปฏิบัติธรรมถึงขั้นนั้นๆแล้วจึงจะประจักษ์แจ้งด้วยตนเอง
วิชชา 3 คือความรู้แจ้ง ความรู้พิเศษอันลึกซี้ง ด้วยปัญญา ได้แก่ญาณ คือความหยั่งรู้เป็นความรู้พิเศษ เป็นปัญญาอันเกิดจากการทำสมาธิภาวนาที่เรียกว่า ภาวนามยปัญญา ซึ่งเป็นขั้นสูงสุด จะเข้าถึงธรรม บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ได้ ต้องเข้าถึงด้วยภาวนามยปัญญา นี้เท่านั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสละชีวิตปฏิบัติธรรมจนได้ภาวนามยปัญญา บรรลุวิชชา 3 มีดังนี้
1. ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกชาติตัวเองได้
2. จุตูปปาตญาณ มีตาทิพย์ระลึกชาติคนอื่นได้
3. อาสวักขยญาณ คือความรู้ที่ทำให้หมดกิเลส
วิชชา 8 คือความรู้แจ้ง ความรู้วิเศษ 8 อย่าง คือ
1. วิปัสสนาญาณ ปัญญาที่พิจารณาเห็นสังขาร โดยไตรลักษณ์
2. มโนมยิทธิ ฤทธิ์สำเร็จด้วยใจ ฤทธิ์ทางใจ
3. อิทธิวิธี แสดงฤทธิ์ได้ เช่น เหาะเหินเดินอากาศ แปลงกายเป็นสิ่งต่างๆ ย่อขยายตัวได้ หายตัวได้ ฯลฯ
4. ทิพยโสต มีหูทิพย์
5. เจโตปริยญาณ รู้วาระจิตคนอื่น รู้ว่ากำลังคิดอะไร
6. ปุพเพนิวาสานุสติญาณ ระลึกชาติได้
7. ทิพยจักษุ มีตาทิพย์
8. อาสวักขยญาณ คือความรู้ที่ทำให้หมดกิเลส
ปฏิสัมภิทาญาณ 4 คือความสามารถพิเศษในการสั่งสอนคนอื่นได้แก่
1. อัตถปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในอรรถ เห็นข้อธรรมใดก็สามารถอธิบายขยายความออกไปได้โดยพิสดาร
2. ธัมมปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในธรรม สามารถสรุปข้อความได้อย่างกระชับ เก็บความสำคัญได้หมด
3. นิรุตติปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในนิรุตติ คือแตกฉานเรื่องภาษาทุกภาษา ทั้งภาษาของมนุษย์และสัตว์ สามารถเข้าใจได้
4. ปฏิภาณปฏิสัมภิทา ปัญญาแตกฉานในปฏิภาณ มีไหวพริบปฏิภาณดี สามารถอธิบายแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าได้ดี ตอบคำถามได้แจ่มแจ้ง
การปฏิบัติธรรมมีอานิสงส์มากมายถึงปานนี้ เราทุกคนจึงควรตั้งใจฝึกฝนตนเองตามมงคลต่างๆ ดังกล่าวมาแล้วข้างต้น ทำอย่างเอาจริงเอาจังไม่ช้าเราก็จะเป็นผู้รู้จริงทำได้จริงผู้หนึ่ง มีจิตเกษมปลอดภัยจากภัยต่างๆ และมีความรู้พิเศษสุดยอด เจริญรอยตามอย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเหล่าพระอรหันตสาวกทั้งหลายได้

“ เกิดมาว่าจะมาหาแก้ว พบแล้วไม่กำจะเกิดมาทำอะไร อ้ายที่อยากมันก็หลอก อ้ายที่หยอกมันก็ลวง ทำให้จิตเป็นห่วงเป็นใย เลิกอยากลาหยอก รีบออกจากกาม เดินตามขันธ์สามเรื่อยไป เสร็จกิจสิบหก ไม่ตกกันดาร เรียกว่านิพพานก็ได้ ”

คติธรรมของ พระมงคลเทพมุนี ( สด จนฺทสโร) ( หลวงพ่อสด วัดปากน้ำภาษีเจริญ)

tongue tongue tongue

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 30 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร