วันเวลาปัจจุบัน 01 ส.ค. 2025, 03:39  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 เม.ย. 2013, 14:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 มี.ค. 2011, 13:32
โพสต์: 245


 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ



เทศน์อบรมฆราวาส ณ บ้านสันติธรรม หนองแขม กรุงเทพฯ
เมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๖ (๑๖.๓๐ น.)





...วันนี้ท่านทั้งหลายได้มาด้วยความอุตส่าห์พยายาม สละเวล่ำเวลาทุกสิ่งทุกอย่างมานี้เพื่อฟังอรรถฟังธรรม ซึ่งสมนามกับว่าธรรมเป็นของเลิศเลอ ในโลกนี้ไม่มีอะไรเสมอเหมือนเลย โลกทั้งสาม กามโรค รูปโลก อรูปโลก มีเบี้ยบ้ายอยู่ใต้อรรถธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งนั้น ที่ได้โปรดโปรยสัตว์โลกทั้งสามภพนี้ ให้ค่อยรู้จักบุญจักบาป รู้จักดีจักชั่ว จากอรรถจากธรรมซึ่งเคยเป็นเครื่องประกันโลก ที่มีความสนใจใคร่ต่ออรรถต่อธรรมได้ยินได้ฟังแล้วนำไปปฏิบัติตน ผลจะปรากฏเป็นที่สงบร่มเย็นขึ้นมาภายในใจ สมกับว่าธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นธรรมประกันโลกให้มีความเจริญรุ่งเรืองโดยถ่ายเดียว ความเสื่อมเพราะการปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ไม่เคยมี มีแต่ความเจริญรุ่งเรืองขึ้นโดยลำดับ แม้ในชาตินี้ก็มีความอบอุ่นภายในจิตใจสำหรับผู้มีธรรม


ถ้าไม่มีธรรมเข้าเคลือบแฝงแล้วจิตใจของเราจะหาที่ยึดที่เกาะไม่ได้ เราจะไปยึดไปเกาะวัตถุต่างๆ เงินทองข้าวของบริษัทบริวารชื่อเสียงอะไรเหล่านั้น นั้นเป็นเพียงเครื่องอาศัยชั่วกาลเวลาที่มีชีวิตอยู่เท่านั้น พอลมหายใจขาดลงไปเท่านั้น สิ่งที่กล่าวเหล่านี้จะหมดปัญหาหมดคุณค่าลงทันที ที่เหลืออยู่ก็คือบุญกับบาป ถ้าใครชอบทำบาปทำกรรม บาปนั้นก็จะเข้าบีบบังคับจิตใจ สวมภพสวมชาติของเปรตของผีของสัตว์นรกอเวจีเข้าเต็มหัวใจทันที แล้วบีบบี้สีไฟจิตใจให้ลงสู่ทางต่ำ อันเต็มไปด้วยทุกข์โดยลำดับลำดาโดยถ่ายเดียวเท่านั้น ถ้าผู้มีบุญมีกุศล บุญกุศลนั้นแลจะเป็นเครื่องสนับสนุนอุ้มชูผู้สร้างบุญสร้างกุศลนั้น ไปสู่สถานที่ดีมีสูงขึ้นโดยลำดับลำดา จนกระทั่งถึงพ้นจากทุกข์โดยประการทั้งปวงด้วยอรรถธรรมของพระพุทธเจ้านี้มาโดยลำดับ


...พวกเราทั้งหลายจงพากันมีความสนใจต่อธรรม ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันรับรองจิตใจของเรา ที่จะเกิดในภพต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด เราเกิดมากี่ภพกี่ชาติหาต้นไม่ได้ จะเกิดในภพหน้าชาติหน้าก็หาเบื้องปลายไม่ได้เช่นเดียวกัน เร่ร่อนๆ อยู่อย่างนั้น ไม่มีเครื่องอะไรเป็นเครื่องตัดสิน ไม่มีฝั่งไม่มีฝาเป็นเครื่องยึดเครื่องเกาะ สำหรับโลกทั้งหลายที่ไม่มีบุญมีกุศลเป็นที่พึ่ง เพราะฉะนั้นบุญกุศลจึงเป็นที่พึ่งทางใจได้แบบร้อยเปอร์เซ็นต์เลย อาศัยทางโลกก็คือส่วนร่างกาย อาศัยภายในสิ่งหล่อเลี้ยงจิตใจของเราให้มีความแน่วแน่ภายในจิตใจตลอดไปทั้งภพนี้และภพหน้า ก็คือบุญคือกุศลนี้เท่านั้น จึงขอให้พี่น้องชาวพุทธทั้งหลายระลึกรู้ตัวด้วยกันทุกคน ด้วยธรรมของพระพุทธเจ้าที่ปลุกอยู่ตลอดมา ปลุกสัตว์ทั้งหลาย


เช่นเทศนาว่าการในที่ต่างๆ พระเจ้าพระสงฆ์ท่านเทศนาว่าการ นับแต่พระพุทธเจ้าลงมาโดยลำดับจนกระทั่งบัดนี้ มีแต่การฉุดการลากบรรดาสัตว์ทั้งหลายให้ขึ้นจากหล่มลึกไปโดยลำดับ ด้วยกำลังแห่งธรรมนี้เท่านั้นอย่างอื่นไม่มี มีแต่ธรรม ขอให้พากันยึดเป็นหลักเป็นเกณฑ์ไว้ ถ้าไม่มีธรรมแล้วจะไม่มีความหมาย ความเป็นอยู่ก็คิดถึงเรื่องสถานที่จะไปเกิดข้างหน้าเป็นอย่างไร เวลาตายนี้เป็นอย่างไร พอระลึกถึงความตายเดือดร้อนแล้ว ระลึกไม่ได้ ต้องระลึกอารมณ์อื่นเป็นเครื่องรื่นเริงบันเทิงใจมากลบมาทับมาถมไว้เสีย เพราะเจ้าของมีความร้อนภายในจิตใจ เวลาตายแล้วจะไปเกิดภพใดชาติใด ยิ่งคิดยิ่งเดือดร้อนเข้าไปอีก เพิ่มตั้งแต่ความทุกข์ความเดือดร้อนใส่ตัวเองจากความไม่แน่นอนของใจ ซึ่งไม่ได้สร้างคุณงามความดีเอาไว้ เพื่อเป็นเครื่องอบอุ่นภายในใจเลย เพราะฉะนั้นจงขอให้พากันสร้างความอบอุ่นภายในจิตใจ


...ท่านจึงได้นำวิธีการนี้เข้ามาสอนพวกเรา เช่นอย่างการให้ทาน ก็เรียกว่าธรรมพาก้าวเดิน การรักษาศีลก็เรียกว่าธรรมพาเราก้าวเดิน การภาวนานี่ก็เรียกว่าธรรมพาเราก้าวเดิน บทสุดท้ายคือการภาวนานี้เป็นบทสำคัญมาก เป็นแก่นเป็นรากแก้วของศาสนาอยู่ที่ภาวนา การให้ทานรักษาศีลนั้นเป็นกิ่งเป็นก้านของต้นไม้ต้นนั้น ไม้ต้นนั้นก็ได้แก่จิตตภาวนานี้แล ท่านจึงสอนไว้ เรามีความสามารถในทางไหนให้พากันทำ อย่าอยู่ว่างเปล่าจะเป็นเรื่องอยู่กับกิเลส จะมีแต่ฟืนแต่ไฟ หาวรรคหาตอนที่จะบรรเทาทุกข์ไม่ได้ ถ้าคนไม่มีทาน มีศีล มีภาวนาติดตัวแล้ว ไปที่ไหนก็หมดคุณค่าในเรื่องความสุขความเจริญ แต่ผู้มีทาน มีศีล มีภาวนาประจำใจแล้ว เป็นผู้มีคุณค่าอยู่ภายในจิตใจของผู้นั้น แม้จะเป็นคนทุกข์คนจนก็มีคุณค่าอยู่ภายในใจ ถึงขนาดเป็นเศรษฐีกุฎุมพี แต่เป็นผู้รักใคร่ใกล้ชิดกับศีลกับทานการภาวนา ก็เรียกว่าเป็นผู้ทรงคุณค่าแน่นหนามั่นคงขึ้นไปเป็นลำดับ เพราะฉะนั้นเราจึงควรที่จะสร้างคุณค่าไว้กับตัวของเรา


อย่าไปแบบไม่มีที่พึ่งที่ยึดที่เกาะ ไปแบบโลเล ไปแบบสงสัย ให้ไปแบบความมั่นใจ เหมือนกับเราไปบ้านนั้นๆ เรารู้หมดเส้นทางเรียบร้อยแล้วเราก็ไปแบบหายห่วง จนถึงบ้านนั้นตามความมุ่งหมาย นี้จิตใจของเราเมื่อได้สร้างคุณงามความดีเข้าไปมากๆ ใจจะมีหลักยึดของใจ เป็นที่อบอุ่นเป็นที่แน่ใจต่อการก้าวเดินในภพนั้นภพนี้ เราจะไปเกิดในภพใดก็ตาม บุญกุศลมีกับใจแล้ว ใจจะไม่พาคนๆ นั้นไปเกิดในสถานที่ไม่พึงหวังเลย จะเกิดให้เหมาะสมกับบุญกุศลของตนที่สร้างเอาไว้ด้วยกันทั้งนั้น จึงขอให้บรรดาพี่น้องชาวพุทธเรามีความสนิทใกล้ชิดกับอรรถกับธรรม กับการทำบุญให้ทาน รักษาศีลภาวนาตลอดไปจนกระทั่งสิ้นชีพวายชนม์ จะเป็นอันว่าเราสั่งสมคุณงามความดีเต็มเม็ดเต็มหน่วยในหัวใจของเรา


แม้มีชีวิตอยู่ท่านผู้ที่ได้บำเพ็ญทานมามาก รักษาศีลมามาก เจริญเมตตาภาวนามาประจำใจนี้ มีความสดชื่นภายในจิตใจ จะพูดว่าท้าทายต่อความตายก็ได้ แม้จะตายก็ตามแต่พญามัจจุราชจะได้แต่ร่างของเรานี้เท่านั้น แต่จิตใจที่เราครองความสุขเพราะอำนาจแห่งธรรมคุ้มครองรักษานี้ พญามัจจุราชจะตามไม่ทันเลย ท่านบอกว่า “ธมฺโม หเว รกฺขติ ธมฺมจารึ” (ธัมโม หะเว รักขะติ ธัมมะจาริง) พระธรรมย่อมรักษาผู้ปฏิบัติธรรมไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว นั่น ขึ้นชื่อว่าธรรมแล้วจะไม่พาสัตว์โลกไปตกในที่ชั่วที่ไม่พึงปราถนา จึงขอให้พากันตั้งอกตั้งใจ เรามีคุณค่าอยู่กับหัวใจ หัวใจดวงนี้ถ้าให้กิเลสเอาไปถลุงแล้วไม่มีคุณค่าอะไรเลย สักแต่ว่าเป็นมนุษย์ ถ้าใจมีศีลมีธรรม เป็นใจที่มีคุณค่า ตลอดถึงความตายก็กล้าหาญชาญชัยไม่สะทกสะท้าน เพราะบุญกุศลเป็นเครื่องประกันตัวอยู่แล้วภายในใจของเรา ให้พากันอบรมรักษาให้ดี


...เวลานี้เรากำลังมืดบอดขอให้เชื่อฟังท่านผู้มีตาดี คนตาบอดต้องอาศัยคนตาดีเป็นผู้ชักผู้จูงแนวทางไปแล้วก็แคล้วคลาดปลอดภัย คนไหนตาบอดจะอวดเก่งอวดดีกว่าคนตาดีคนนั้นจมตลอด ก้าวเดินไปไหนไม่ได้สามก้าวแหละ ชนนั้นชนนี้ ก็โทษของคนตาบอดที่อวดตนว่าดีกว่าคนตาดีนั้นแล เป็นผู้ได้รับผลคือโทษทั้งหลายมาโดนคนนั้น คนตาดีไม่โดน พระพุทธเจ้าไม่โดน พระสาวกไม่โดน สอนสัตว์โลกทั้งหลายให้หลีกให้เว้นในสิ่งที่จะเป็นภัยต่อตนเอง แล้วสอนในสิ่งที่จะเป็นคุณแก่ตนเองนี่เรียกว่าองค์ฉลาด จอมปราชญ์ทั้งหลายไม่มีใครเกินพระพุทธเจ้า


นี้เราก็ได้พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มาครองหัวใจเรา จึงขอให้พากันมีความอุตส่าห์พยายาม การให้ทาน อย่ามีความตระหนี่ถี่เหนียว เห็นแก่ได้แก่เอา การเสียสละเป็นมงคลแก่เราและเป็นความสุขแก่ผู้ได้รับไปไม่ใช่เป็นของเสียหาย ทานไปมากไปน้อยด้วยความยินดี แล้วผู้รับไปมากน้อยเท่าไรมีความยิ้มแย้มแจ่มใส ตายก็ไม่ลืมบุญลืมคุณซึ่งกันและกัน เพราะความเสียสละของเรา ไม่มีอะไรเสียหาย นี่ละการรักษาศีล รักษาธรรม ก็ให้พากันรักษา รักษาเพื่อเรานะไม่ได้รักษาเพื่อพระพุทธเจ้า รักษาเพื่อเราซึ่งกำลังโง่เขลาเบาปัญญาอยู่เวลานี้ ให้อุตส่าห์พยายาม สิ่งใดไม่ดีให้พิจารณาเสียตั้งแต่บัดนี้


การทำบุญให้ทานไม่มีความเสียหายอันใดเลย เพราะฉะนั้นจึงเป็นพื้นฐานแห่งพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ว่า ทานบารมีๆ การให้ทานเป็นพื้นฐานของพระพุทธเจ้าซึ่งมีความกว้างขวางมากมาย คือไม่มีลดละเรื่องการให้ทาน เป็นเลิศทุกพระองค์บรรดาพระพุทธเจ้าเวลาตรัสรู้แล้ว ทานเป็นพื้นฐานแห่งความเป็นพระพุทธเจ้า ท่านจึงนำมาสอนโลก การให้ทานนี้แม้จะยังไม่เป็นพระพุทธเจ้า การบำเพ็ญให้ทานการกุศลย่อมเป็นที่เย็นใจของตนเองและผู้ได้รับทานจากเราเสมอไป เป็นความดีไปตลอดจากการให้ทาน ให้พากันพินิจพิจารณา เห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน


ไปที่ไหนโลกนี้ไม่ใช่โลกสมบูรณ์พูนผลย่อมจะเจอ มนุษย์เราอยู่ร่วมกันย่อมมีความสุขความทุกข์ มีขาดเขินสมบูรณ์บ้างเป็นธรรมดา เมื่อเห็นความจำเป็นของท่านผู้หนึ่งผู้ใด แม้ที่สุดสัตว์ควรจะช่วยเหลือมันแบบใดก็ให้ช่วยเหลือ คนที่มีความทุกข์ความจนควรจะสงเคราะห์อนุเคราะห์กันแบบใด อย่าทำใจจืดใจจาง มิหนำซ้ำอย่าไปดูถูกเหยียดหยามเขาที่เป็นคนต่ำ เราจะกลายเป็นคนต่ำลงมาโดยไม่รู้ตัว ให้มีความเมตตาสงสาร สงเคราะห์ซึ่งกันและกัน มนุษย์เรานี้อยู่ด้วยกันได้เพราะการให้ทานการสงเคราะห์กันนะ ถ้าอย่างคนอยู่ด้วยกันนี้ด้วยใจจืดใจดำ หัวใจดำ ใจจืดใจดำเห็นแก่ตัว โลกนี้แตกอยู่กันไม่ได้ อยู่ได้เพราะอำนาจแห่งการเสียสละ


พ่อแม่กับลูกเลี้ยงดูกันมาไม่เสียสละจะเรียกอะไร สัตว์เลี้ยงของเราเต็มบ้านเต็มเรือนของเรามีกี่ตัว นี่ก็เพราะการได้กินจากเรา อาศัยจากเรา เพื่อนฝูงอยู่ด้วยกันก็ต้องอาศัยกัน เพราะคนนั้นมี คนนี้ขาดต้องได้อาศัยซึ่งกันและกันทั่วโลกดินแดน ธรรมข้อนี้พระพุทธเจ้าจึงสอนว่าอย่าปิดเรื่องทาน...



รูปภาพ





ที่มา ; Luangta.Com -

.....................................................
"องค์ใดพระสัมพุทธ สุวิสุทธสันดาน ตัดมูลเกลศมาร บ มิหม่นมิหมองมัว
หนึ่งในพระทัยท่าน ก็เบิกบานคือดอกบัว ราคี บ พันพัว สุวคนธกำจร"


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร