วันเวลาปัจจุบัน 16 มิ.ย. 2024, 06:17  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 7 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ย. 2011, 19:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

ผู้ไม่ได้ทำบุญกุศลไว้ย่อมกลัวโลกหน้า
ผู้ได้ทำบุญกุศลไว้ย่อมไม่กลัวโลกหน้า มีบุญเป็นที่พึ่งพำนัก


พระพุทธองค์ตรัสว่า

บุคคลตั้งวาจาใจไว้ชอบ มิได้ทำบาปด้วยกาย
อยู่ครองเรือนมีข้าวและน้ำอุดมสมบูรณ์ เป็นผู้มีศรัทธา
อ่อนโยน มีปรกติเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่รู้ถ้อยคำ (ของผู้ขอความช่วยเหลือ)
ผู้ตั้งอยู่ในศีลธรรม ๔ อย่างนี้ ชื่อว่า เป็นผู้ดำรงธรรม ไม่ต้องกลัวปรโลก (โลกหน้า)

(พระำไตรปิฎก เล่ม ๑๕ ข้อ ๒๐๗-๒๐๘)


:b44: :b39: :b39: :b44:

พระบาลี (พระพุทธพจน์) บางแห่งกล่าวถึงความเห็นที่เข้าข่าย มิจฉาทิฎฐิ หลายประการ
มีอยู่ประการหนึ่งว่า เห็นว่า โลกหน้าไม่มี - นตฺถิ ปรโลโก
เมื่อเห็นว่า โลกหน้าไม่มี เขาย่อมไม่ปฏิบัตตนอันเป็นเหตุเกื้อกูลแก่ความเป็นอยู่ในโลกหน้า
เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาย่อมถอยห่างจากกุศลกรรม ไปคลุกคลีกับอกุศลกรรมย่อมเป็นไปได้มาก

ความกลัวในโลกหน้าในหมู่ชาวพุทธมีอยู่แทบทุกคนยกเว้นท่านผู้บำเพ็ญความดีเต็มที่แล้ว
ท่านเหล่านั้นก็จะอุ่นใจและมั่นใจว่า เมื่อตายแล้วตนไปสู่สุคติแน่นอนเพราะไม่ได้ทำชั่ว
แต่ถ้าอกุศลกรรมในชาติก่อนเกิดให้ผลก็อาจส่งผลให้ไปเกิดในอบายเหมือนกัน

ท่านผู้ที่มั่นใจได้แน่นอนต่อสัมปรายภพ
ก็คือ ท่านผู้บรรลุโลกุตตรธรรมแล้วตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป
ท่านเป็นผู้ที่เข้าสู่กระแสพระนิพพานแล้ว (โสตาปนฺโน)
มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา (อวินิปาตธมฺโม)
เป็นผู้มีคติแน่นอน (นิยโต) จะต้องได้บรรลุธรรมถึงที่สุดในภายภาคหน้า (สมฺโพธิปรายโน)

อบาย ๔ คือ นรก เปรต อสุรกาย และกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานปิดแล้วสำหรับท่าน
(จตูหปาเยหิ จ วิปฺปมุตฺโต)

ท่านเหล่านั้น ไม่ทำ อภิฐาน ๖ (ฉ จาฉิฐานานิ อภพฺโพกาตํ) อีก
อภิฐาน แปลว่า เรื่องใหญ่ เป็นเรื่องใหญ่สำหรับผู้บรรลุธรรมแล้ว ได้แก่


๑) ฆ่ามารดา
๒) ฆ่าบิดา
๓) ฆ่าพระอรหันต์
๔) ทำพระโลหิตของพระพุทธเจ้าให้ห้อ
๕) ทำสงฆ์ให้แตกกัน
๖) การไปเข้ารีดนับถือศาสนาอื่น (อัญญสัตถุทเทส)

ที่แท้ คือ อนันตริยกรรม ๕ และเพิ่มอัญญสัตถุทเทสเข้ามาอีก ๑


ดังพุทธภาษิตว่า
ปฐพฺยา เอกรชฺเชน
สคฺคสฺส คมเนน วา
สพฺพโลกาธิปจฺเจน
โสตาปตฺติผลํ วรํ

โสดาปัตติผลประเสริฐกว่าความเป็นเอกราชในแผ่นดิน
ประเสริฐกว่าการไปสวรรค์และกว่าความเป็นใหญ่ในโลกทั้งปวง
(ขุททกนิกาย ธรรมบท)

เพราะความเป็นพระราชาก็ดี การได้เสวยทิพยสมบัติในสวรรค์ก็ดี
ความเป็นใหญ่ในโลกทั้งปวงก็ดีล้วนต้องทุกข์ไปตามชนิดของความเป็นนั้นๆ
และสิ่งเหล่านั้นเป็นสิ่งไม่แน่นอน เปลี่ยนแปลงได้ อาจตกต่ำลงมาได้
แต่พระโสดาบันนั้นมีคติแน่นอน มีแต่สูงขึ้นไปและได้บรรลุธรรมแน่นอน
กิเลสตัวใดท่านละแล้วก็เป็นอันละขาด เหมือนกะทิเคี่ยวเป็นน้ำมันแล้วไม่กลับมาเป็นกะทิอีก
คุณธรรมของพระอริยเจ้ามีพระโสดาบัน เป็นต้นก็ฉันนั้น
ด้วยเหตุนี้ท่านจึงไม่ต้องกลัวปรโลก เพราะท่านมั่นใจว่า ท่านไปดีแน่นอน

คนเรายิ่งทำชั่วมากก็ยิ่งกลัวโลกหน้ามากขึ้นเท่านั้น
แม้อยู่ในโลกนี้ก็อยู่อย่างประหวั่นพรั่นพรึง
ไม่มั่นใจในตนเอง กลัวคนอื่นรู้ความชั่วของตน
กลัวความชั่วที่สะสมไว้จะให้ผลในวันใดวันหนึ่ง

ด้วยเหตุเหล่านี้ พระพุทธองค์จึงทรงตรัสว่า
ถ้าจะไม่ให้กลัวปรโลก บุคคลพึงตั้งวาจาและใจไว้โดยชอบ
ไม่ทำบาปด้วยกาย แม้จะอยู่ครองเรือนก็เป็นผู้มีศรัทธา เป็นคนอ่อนโยน
เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ รู้ถ้อยคำของผู้ขอความช่วยเหลือ
ผู้ตั้งอยู่ในคุณธรรมเช่นนี้ ไม่ต้องกลัวปรโลก


ดังจะขยายความเพื่อความเข้าใจ ดังนี้

๑) การไม่ทำบาปด้วยกาย วาจา ใจ
ให้ตั้งกาย วาจา ใจ ไว้โดยชอบ เว้นการทุจริตอย่างสม่ำเสมอ

ทุจริตทางกาย คือ การเบียดเบียนโดยใช้กาย
เช่น ฆ่าสัตว์ ผิดในกาม ปล้นจี้ทรัพย์ผู้อื่น กิริยาหยาบ ฯลฯ
ทุจริตทางวาจา คือ พูดเท็จ ยุยง เสียดสี คำหยาบ
เพ้อเจ้อ พูดสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ ฯลฯ
ทุจริตทางใจ คือ ละโมบ คิดอยากได้ของผู้อื่น
เห็นผิดจากทำนองคลองธรรม เห็นว่าบาปบุญไม่มี ฯลฯ

โดยเฉพาะทุจริตทางใจ คนส่วนใหญ่มักไม่ทันเห็นเพราะเป็นของละเอียด
ความคิดชั่วต่างๆ เป็นทุจริตทางใจ (มโนทุจริต) ทั้งสิ้น
ความชั่วทางกาย วาจา ก็มาจากความชั่วทางใจก่อน
เมื่อระงับไว้ไม่ได้แล้วก็แสดงออกมาทางกาย วาจา
ถ้าใจสงบ กาย วาจา ก็พลอยสงบไปด้วย

ดังพุทธภาษิตว่า
สนฺตํ ตสฺส มนํ โหติ สนฺตา วาจา จ กมฺม จ
เมื่อใจของเขาสงบ วาจาและกายก็พลอยสงบไปด้วย


๒) เป็นผู้ศรัทธา
คือ เชื่อกรรม (กัมมสัทธา) ผลของกรรม (วิปากสัทธา)
เชื่อความที่สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของๆตน (กัมมัสสกตาสัทธา)
และเชื่อพระปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า (ตถาคตโพธิสัทธา)

การเชื่อทั้ง ๔ อย่างนี้ จะทำให้เราตั้งการดำเนินชีวิตเอาไว้ในทางที่ดี
สามารถยังตัวเองไปสู่ความเจริญที่ยั่งยืน
ดีกว่าการเชื่อมงคลภายนอกซึ่งเลื่อนลอย

๓) เป็นผู้อ่อนโยน
อ่อนน้อมต่อคนทั้งหลาย ไม่กระด้างด้วยมานะ (ความทะนงตน)
ในเรื่องชาติตระกูล ยศศักดิ์ โภคะและวิชา เป็นต้น
แม้เป็นผู้มีเพียบพร้อมทุกอย่างก็ประพฤติตนเสมือนเป็นผู้ไม่มีอะไร
ตำหนิตนเองได้และยกย่องคนอื่นได้เสมอ
มีใจอ่อนโยน ประกอบด้วยความกรุณาในสัตว์ทั้งหลาย


๔) มีปกติเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
มีอัธยาศัยในการแจกทาน แบ่งปันสิ่งที่ตนได้มาโดยชอบธรรม
ปราศจากมลทิน คือ ความตระหนี่ คอยสำเหนียกเสมอว่า
สมบัติในโลกนั้นเราเพียงอาศัยใช้ชั่วคราวเท่านั้น
เมื่อตายไปย่อมเอาไปไม่ได้ จึงควรทำให้มันเป็นสิ่งที่ติดตามเราไปได้
นั่นคือ การเผื่อแผ่แบ่งปันแก่ผู้อื่น ก่อเกิดความยินดีในการให้

๕) รู้จักถ้อยคำ (ของผู้ขอความช่วยเหลือ)
บางครั้งผู้มาขอความช่วยเหลือมิได้เอ่ยปากตรงๆ อาจเพราะเกรงใจหรือละอาย
แต่ผู้มีอัธยาศัยอันงาม ควรแสดงน้ำใจด้วยตัวเองตามฐานะของตนโดยไม่ให้เขาต้องลำบากใจ
ซึ่งการให้ความช่วยเหลือก็มีมากมายหลายวิธี เช่น ให้ทรัพย์ ให้คำแนะนำ ให้ที่พักพิง ฯลฯ
โดยทั้งนี้ไม่พึงดูหมิ่นผู้มาขอความช่วยเหลือ

ตามธรรมดาของผุ้มีอัธยาศัยประณีตนั้น
เมื่อจะขอของผู้อื่นแม้เล็กน้อยก็รู้สึกเหมือนมาก
และเมื่อจะให้ของแก่ผู้อื่น แม้จะมากก็รู้สึกว่าน้อยไป

ส่วนผู้มีอัธยาศัยหยาบ ย่อมมีวิสัยตรงกันข้าม


ผู้ที่ประพฤติตนตามแนวทางดังกล่าวย่อมสงบ
ผู้ที่สงบย่อมมีอาการแห่งผู้สงบ อาทิ นั่ง นอน ยืน เดิน ก็เป็นสุข ไม่ผุดลุกผุดนั่ง
ใจที่สงบจึงส่งผลต่อกาย วาจา ดังนี้
เราจึงควรฝึกตนให้เป็นผู้สุจริตจะนำมาซึ่งความสงบอันเป็นความสุขแท้
เป็นที่พึ่งแก่ตนได้แม้ในโลกนี้และโลกหน้า

เสียใจหรือทุกข์ใจ... ไปนรก
ดีใจ พอใจ... ไปสวรรค์
เย็นใจ สงบใจ...ไปนิพพาน



สรุปและเรียบเรียงจาก นิตยสารศุภมิตร
ปีที่ ๕๒ ฉบับที่ ๕๖๑ เดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐
หน้า ๕๑-๕๗

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ย. 2011, 08:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 พ.ย. 2011, 13:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


Hanako เขียน:
ดังพุทธภาษิตว่า
สนฺตํ ตสฺส มนํ โหติ สนฺตา วาจา จ กมฺม จ
เมื่อใจของเขาสงบ วาจาและกายก็พลอยสงบไปด้วย

สาธุ :b8: จะเข้ามาอ่านบ่อยๆ คร้าบบ :b4: :b13:

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ย. 2011, 11:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.ค. 2009, 20:12
โพสต์: 791

แนวปฏิบัติ: พุทโธและสัมมาอรหัง
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
สิ่งที่ชื่นชอบ: ใต้ร่มโพธิญาณ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ข้อคิดดี ๆ ที่ควรจะอ่าน - เปรียบเทียบได้ดีมากจริงๆ

ชายคนหนึ่งมีภรรยา อยู่ 4 คน

ภรรยาคนที่ 1 เขารักที่สุด ไปไหนมาไหนด้วยกัน ตามใจตลอดอยากได้อะไร เขาหาให้ทุกอย่าง

ภรรยาคนที่ 2 เขารักมาก เขาจะทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อภรรยาคนนี้ และจะไปหาภรรยาคนนี้เสมอ

ภรรยาคนที่ 3 เขารักรองลงมา ดูแลเอาใจใส่พอควร แวะไปหาบางเป็นครั้งคราว

ภรรยาคนที่ 4 เขาไม่เคยสนใจ ไม่เคยดูแลเอาใจใส่ ไม่เคยไปหา ไม่คิดถึงเลย ด้วยซ้ำ

ต่อมาชาย คนนี้ไปกระทำความผิด ร้ายแรง

และถูกจับ ต้องถูก ประหารชีวิต ก่อนที่จะถูกประหาร เขาขอร้อง ว่า เขาขอกลับบ้านเพื่อไปร่ำลาภรรยาสุดที่รักซักครั้ง ผู้คุมเห็นใจจึง อนุญาต เมื่อกลับมาถึงบ้าน เขารีบตรงไปหาภรรยาคนที่ 1 เล่า เหตุการณ์ต่างๆ ให้ ฟัง และถามภรรยา คน ที่ 1 ว่า

" ถ้าเขาต้องตายภรรยาคนที่ 1 จะ ทำอย่าง ไร? "

ภรรยาคนที่ 1 ตอบน้ำ เสียงที่เย็นชาว่า "ถ้าเธอตาย เราก็จบกัน คำ ตอบที่ได้รับ เหมือนสายฟ้าที่ผ่า เปรี้ยง!! ลงมาที่เขาอย่างจัง เขารู้สึกเจ็บปวด และเสียใจเป็นอย่างยิ่งนึกเสียดาย ว่าเขาไม่ควรทุ่มเทให้ภรรยาคนนี้เลย

จากนั้นเขาก็ ไปหา ภรรยา คนที่ 2 ด้วยอาการเศร้าโศก เล่า เรื่องราวต่างๆ ให้ ฟัง และถามคำถามเดิมกับภรรยาคนที่ 2 ว่า

" ถ้าเขาต้องตาย ภรรยาคน ที่ 2 จะทำอย่างไร? "

ภรรยาคนที่ 2 ก็ ตอบอย่างหน้าตาเฉย ว่า " ถ้าเธอตาย ฉันจะมี ใหม่ " เหมือนสายฟ้า!! ผ่าลงมาซ้ำที่เขา อย่างจัง เขารู้สึกเสียใจ มาก และนึกเสียดายว่าที่ผ่านมาเขาไม่ควร ทุ่มเทให้ภรรยาคนนี้เช่นกัน

เขาเดินคอตกมาหาภรรยาคน ที่ 3 เล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ ฟัง และถาม ภรรยา คนที่ 3 ว่า

"ถ้าเขาต้องตาย ภรรยาคน ที่ 3 จะทำ อย่างไร? "

ภรรยา คน ที่ 3 ตอบว่า "ถ้าเธอตาย ฉันจะไป ส่ง " ทำให้เขา คลายความ เศร้าโศกขึ้นมาได้ บ้าง อย่างน้อยก็ ยังมีภรรยาที่จริงใจกับเขา

ก่อนกลับไป รับ โทษเขานึกขึ้นมาได้ว่ามีภรรยาอีกคนซึ่ง ไม่ เคยไปหาเลย จึงไป หา ภรรยาคนที่ 4 และถามว่า " ถ้าเขาต้องตาย ภรรยาคนที่ 4 จะทำอย่าง ไร?"

ภรรยาคน ที่ 4 ตอบ ว่า " ถ้าเธอตาย ฉันจะตามไป ด้วย " แทน ที่เขาจะดีใจกลับนึกเสียใจหนักขึ้นไปอีก เพราะ...มัน สายเกินไปเสียแล้ว ช่วงที่เขา มี ชีวิตอยู่เขาไม่เคยเห็นค่าของภรรยาคนนี้ แต่ภรรยาคนนี้ไม่คิดที่จะทิ้งเขา จะติดตามเขาไปอยู่ ด้วย แล้วชายคน นี้ก็กลับไปรับโทษประหารและเมื่อเขาตายภรรยาคน ที่ 4 ก็ตายตามไป ด้วย.....

เราทุกคนก็ มีภรรยา 4 คน นี้

มีคำถามว่า ภรรยาทั้ง 4 คนเป็นใคร ? คิดกันก่อน นะ แล้วค่อยเฉลย...........................................

ทีนี้เรามาดูกัน ว่า ภรรยาคน ที่ 1, 2, 3 และ 4 เป็นใครกันบ้าง

ภรรยาคน ที่ 1

ร่างกาย ของ เรา เพราะเวลาเรา มีชีวิตอยู่ เราจะบำรุงบำเรอด้วยของสิ่ง ทุกอย่าง อยากได้ อ ะไรก็หาให้ แต่พอเราตายมันกลับไม่ไปกับเรา เมื่อเราตายร่างกายมันก็มีค่าเท่ากับท่อนไม้ท่อนหนึ่งเท่านั้น

ภรรยาคน ที่ 2

ทรัพย์ สมบัติ เพราะเวลา เรามีชีวิตอยู่ เราจะทำทุกอย่างเพื่อ ให้ได้มันมา แต่พอเราตาย มันกลับไม่ไปกับเรา แต่ไปเป็นของคนอื่น

ภรรยาคนที่ 3

พ่อแม่ ลูกเมีย ญาติ พี่ น้อง เพราะพอเราตาย เขาจะทำศพให้เรา ทำบุญไปให้แปลว่า เขา แค่ไปส่งเราเท่านั้น

ภรรยา คนที่ 4

บุญกับ บาปเมื่อเราตายไป เราไม่สามารถเอาอะไรไปด้วย ได้ มีเพียงแค่ บุญกับบาปเท่านั้นที่จะตามเรา ไป .....

หลังจากอ่านจบแล้วได้แง่คิดอะไรกันบ้าง ? ..... จะให้ความสำคัญกับภรรยาคนไหนมากกว่ากัน?

หากคุณถูกพันธนาการด้วยรัก คุณจะเป็นนักโทษที่มีความสุขมากที่สุด

.....................................................
ข้าพเจ้าขออาราธนาพระบารมี 30 ทัศ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เสด็จนิพพานไปแล้ว มากยิ่งกว่าเม็ดกรวดเม็ดทรายในท้องมหาสมุทรทั้ง 4 ด้วยเดชะพระพุทธานุภาพ พระธรรมมานุภาพ พระสังฆานุภาพ พระบารมีพระโพธิสัตว์ พระปัจเจกโพธิสัตว์เจ้า พระอรหันต์ทั้งหลายและพระบารมีขององค์พระสมณะโคดมบรมครู ขอได้ส่งพลังมายังตัวข้าพเจ้า จงดลบันดาลให้ข้าพเจ้าหายจากโรคภัยไข้เจ็บและสรรพเคราะห์ทั้งหลายในกายของข้าพเจ้า จงหายไปสิ้นทั้งหมดขอให้ข้าพเจ้าเป็นผู้ชนะต่ออุปสรรคและมารทั้งหลาย


แก้ไขล่าสุดโดย ไหว้พระปล่อยปลา เมื่อ 29 พ.ย. 2011, 12:08, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ย. 2011, 08:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b1: คุณไหว้พระปล่อยปลา สบายดีไหมค่ะ
หายหน้าหายตาไปจากลานซะนานเลย
เข้ามาที่ลานธรรมจักรให้บ่อยๆ มาช่วยกันดูแลนะค่ะ
แล้วที่บ้าน ที่ทำงาน น้ำท่วมหนักไหมเอ่ย หากท่วมน้ำคงลดแล้วเน้อ

:b12: เพื่อนๆ ทุกคนยังระลึกถึงอยู่เสมอนะค่ะ

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ย. 2011, 16:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.พ. 2011, 02:08
โพสต์: 45

อายุ: 0
ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว www


ขอคุณครับเนื้อหาดีมากเลย

.....................................................
อย่าหลงเหยื่อ เชื่ออยาก จะยากจิต อย่าหลงติดรสเหยื่อ เชื่อตัณหา อย่าหลงนอน หลงกินสิ้นเวลา อย่าหลงว่า ชีวิตเราจะยาวนาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 พ.ย. 2011, 16:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


s005 s005 s005 s005

อุย...คุณไหว้พระปล่อยปลา ยกสำรับมาทั้งสำรับเลยหรอคะ ฮานาโกะเขิล s005 s005 s005

ก็...อาหารฟรีที่วัดอร่อยจังเลยนี่คะ แหะๆ :b27: :b27:

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 7 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 5 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron