วันเวลาปัจจุบัน 13 มิ.ย. 2025, 13:36  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ต.ค. 2011, 19:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5113

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

บางคนทำดีเหมือนปิดทองหลังพระ
บางคนทำดีแบบผักชีโรยหน้า

เรื่องต่อไปนี้เป็นอุทาหรณ์สอนคติธรรมได้อย่างดี

คราวหนึ่ง พระมหากัสสปเถระ อยู่ที่กุฎีในป่าเขตเมืองราชคฤห์
ครั้งนั้น ภิกษุหนุ่มสองรูปเป็นอุปฐาก (ผู้ปฏิบัติ) แก่พระเถระ

ในภิกษุสองรูปนั้น
รูปหนึ่ง เป็นผู้ว่าง่าย ซื่อตรง สุจริตใจ ตั้งใจปฏิบัติพระเถระด้วยดี
อีกรูป ว่ายาก คดโกง ทำดีเอาหน้า

อย่างเช่น เมื่อภิกษุผู้ซื่อตรงวางน้ำใช้น้ำฉันไว้ให้พระเถระเสร็จแล้ว
ภิกษุผู้ว่ายากก็จะเข้าไปเรียนนิมนต์พระเถระว่า
น้ำบ้วนปาก น้ำล้างหน้า ได้ตั้งไว้ให้เสร็จแล้ว เป็นต้น

เมื่อภิกษุผู้ว่าง่ายลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ ปัดกวาดเสนาสนะเรียบร้อย
พอพระเถระจวนจะออกจากห้อง
ภิกษุผู้ว่ายากก็จะทำทีฉวยนั่นนี่ประหนึ่งตนเพิ่งทำกิจการงานเสร็จฉันนั้น

เหตุการณ์ได้เป็นไปแบบนี้เสมอจนภิกษุผู้ว่าง่ายเอือมระอา
อยากจะสอนภิกษุอีกรูปให้รู้บ้างว่ากิริยาเช่นนั้นเลวทรามเพียงใด
และประสงค์ให้อาการหลอกลวงของเธอได้ปรากฏต่อพระเถระเสียที

รูปภาพ

พระมหากัสสปเถระ เอตทัคคะในทางผู้ทรงธุดงค์
อ่านประวัติและศึกษาปฏิปทาของท่านเพิ่มเติมได้ที่
http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=7539
http://www.dharma-gateway.com/monk/grea ... assapa.htm
http://www.84000.org/one/1/18.html


ครั้นวันหนึ่งเมื่อจวนได้เวลาอาบน้ำของพระเถระ
ภิกษุผู้มีวัตรดีได้ต้มน้ำจนเสร็จแล้วนำไปซ่อน
และตั้งน้ำใหม่ประมาณครึ่งกระบวยไว้บนเตา

ภิกษุผู้ว่ายากเห็นน้ำเดือดมีไอพุ่งก็รีบไปเรียนพระเถระ
นิมนต์ท่านมาสรงน้ำ กราบเรียนว่าตนได้เตรียมน้ำไว้ให้เรียบร้อยแล้ว

เมื่อพระมหากัสสปะมาถึง ท่านจะสรงน้ำแต่ไม่เห็นน้ำ
เนื่องจากภาชนะนั้นมีน้ำติดอยู่เพียงก้นภาชนะเท่านั้น
ภิกษุผู้ว่ายากได้แต่อ้ำอึ้ง
ส่วนภิกษุผู้มีวัตรดี ได้นำน้ำที่ซ่อนไว้มาผสมให้พระเถระอาบ

ในเวลาเย็น พระเถระให้โอวาทภิกษุผู้ว่ายากนั้นเพื่อเตือนสติว่า

“ธรรมดา...สมณะควรเป็นคนพูดจริง
ไม่ควรพูดว่าทำในสิ่งที่ตนไม่ได้ทำ
ไม่ควรพูดว่ารู้ในสิ่งที่ตนไม่รู้
การพูดเท็จทั้งๆ ที่รู้ (สัมปชานมุสาวาท) เป็นความต่ำทรามของสมณะ
เป็นกรรมอันลามกของสมณะ


เพราะฉะนั้นตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
เํธอจงอย่าทำอย่างที่เคยทำมาแล้วอีก”


ภิกษุผู้ว่ายากผูกโกรธพระเถระ
รุ่งขึ้นไม่ยอมไปบิณฑบาตกับพระเถระ ซ้ำยังไปสู่ตระกูลที่อุปฐากพระกัสสปเถระอีก
โดยบอกแก่ตระกูลนั้นว่า ที่ตนมาเพียงรูปเดียวนั้นเพราะพระเถระไม่สบาย
แล้วได้อาหารชั้นเลิศมาจำนวนมาก แต่ความจริงหาได้นำไปถวายพระเถระไม่


เมื่อพระเถระทราบความเรื่องนี้ก็ได้กล่าวเตือนภิกษุผู้นั้นว่า

“เธอประพฤติอนาจารเห็นปานนี้ย่อมไม่ควร
เธอขอของฉัน (ภัตตาหาร) จากสกุลนู้น บอกว่าเพื่อเราผู้ไม่สบาย
ทั้งที่เธอขอมาเพื่อขบฉันเอง เป็นการหลอกลวงเลี้ยงชีพ
ไม่สมควรแก่สมณะ เธออย่าประพฤติอนาจารเช่นนี้อีก”


ภิกษุนั้นผูกโกรธพระเถระอย่างยิ่ง
รุ่งเช้าเมื่อพระเถระออกบิณฑบาต
ภิกษุผู้นั้นได้เอาฆ้อนทุบภาชนะต่างๆ จนสิ้น จุดไฟเผากุฎีแล้วหนีไป

ภิกษุนั้นมีชีวิตอย่างเปรต ผ่ายผอมซีดเซียว
ทำกาลกิริยา (ตาย) แล้วไปสู่อเวจีมหานรก

ต่อมา ภายหลังเรื่องนี้ได้ทราบถึงพระศาสดา
โดยภิกษุพวกหนึ่งซึ่งเป็นศิษย์ของพระมหากัสสปะเป็นผู้เล่าถวาย


พระศาสดาตรัสว่า

“การเที่ยวไปผู้เดียวของกัสสปะ
ประเสริฐกว่าการสมาคมด้วยคนพาลเช่นภิกษุนั้น
เพราะคุณความเป็นสหาย...ไม่มีในคนพาล”


การเกี่ยวข้องด้วยคนพาลแม้พูดดีด้วย เขาก็โกรธ
ดังเช่นที่พระมหากัสสปเถระท่านสั่งสอนด้วยดี แต่ภิกษุนั้นก็ผูกโกรธท่าน

และมีพุทธดำรัสเรื่องการพูดเท็จไว้ว่า

“คนที่มีปกติพูดเท็จ...จะไม่ทำบาปเป็นไม่มี”


ดังนั้น จึงจำเป็นต้องละความเท็จทั้งปวง
วาจาเท็จนั้นเข้าใจกันแล้วโดยมาก
แต่เท็จทางกาย คือการมีกิริยาหลอกลวงนั้น ต้องตริตรองให้มาก


:b44: :b44: :b44:


เรียบเรียงจาก...นิตยสารศุภมิตร
ปีที่ ๕๑ ฉบับที่ ๕๕๕ เดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙
หน้า ๙๒-๙๕.

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ต.ค. 2011, 20:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ย. 2011, 19:55
โพสต์: 146


 ข้อมูลส่วนตัว


Hanako เขียน:
การพูดเท็จทั้งๆ ที่รู้ (สัมปชานมุสาวาท) เป็นความต่ำทราม
เป็นกรรมอันลามกของสมณะ



“การเที่ยวไปผู้เดียวของกัสสปะ
ประเสริฐกว่าการสมาคมด้วยคนพาล
เพราะคุณความเป็นสหาย...ไม่มีในคนพาล”



“คนที่มีปกติพูดเท็จ...จะไม่ทำบาปเป็นไม่มี”


อนุโมทนาครับ

พุทธองค์ทรงตรัส ชัดเจน ลึกซึ้น กินใจ คำพูดเพียงนิด แต่ความหมายกว้างและครอบคลุม

ยินดีที่ได้ร่วมสนทนาครับ

ธรรมประสิทธ์และเจริญในธรรมครับ

.....................................................
เก็บธรรมใส่กล่อง.....เรียนรู้จากบัณฑิต.....คบหากัลยาณมิตร.....จิตอ่อนน้อมในพระธรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ต.ค. 2011, 21:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.พ. 2011, 19:56
โพสต์: 1798


 ข้อมูลส่วนตัว


" พึงควบคุม ความคนองทางวาจา
พึงสำรวมคำพูด
พึงละวจีทุจริต
ประพฤติวจีสุจริต "

" คนที่พูดเท็จเสมอ
กับคนที่ทำแล้ว
พูดว่า “ฉันไม่ได้ทำ”
ตกนรกเหมือนกัน
มนุษย์สองจำพวกนั้น ตายไปแล้ว
มีกรรมชั่วเหมือนกัน ในโลกหน้า "


:b8: :b8: :b8:

ที่มา http://www.ruendham.com/book_detail.php ... ey_run=504


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร