วันเวลาปัจจุบัน 12 มิ.ย. 2025, 01:58  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ย. 2011, 22:28 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


วันหนึ่งท่านได้ระลึกถึงท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูหมาจารย์ (จันทร์ สิริจันโท)ซึ่งอยู่ที่วัดบรมนิวาส
กรุงเทพมหานคร ท่านได้นั่งสมาธิมองเห็นท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์กำลังนั่งสมาธิอยู่
วันนั้นเป็นวันขึ้น 10 ค่ำเดือน 8 ท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์นั่งสมาธิอยู่บนธรรมาสน์ ศาลาเหลือง
ในเวลานั้นเป็นเวลาราว 23.00 น.เศษ นั่งหันหน้าไปทางทิศตะวันออก และกำลังพิจารณาถึง
ปฏิจจสมุปบาทว่า อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ
วิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป นามรูปเป็นปัจจัยให้เกิดผัสสะ ผัสสะเป็นปัจจัยให้เกิดเวทนา
เวทนาเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหา ตัณหาเป็นปัจจัยให้เกิดอุปาทาน อุปาทานเป็นปัจจัยให้เกิดภพ
ภพเป็นปัจจัยให้เกิดชาติ เมื่อเป็นชาติก็ต้องมีชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัสสะ
อุปายาสะ และการพลัดพรากและจากของรักของชอบใจเป็นทุกข์ ความปรารถนาสิ่งใดไม่ได้
สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์ นี้เหตุมาจากความเกิด แก่ เจ็บ ตาย และเมื่อยังมีอวิชชาอยู่ตราบใด
ก็จะต้องมีเกิด แก่ เจ็บ ตาย อยู่ตราบนั้น

ท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ ท่านก็ได้คำนึงถึงพระพุทธเจ้าที่ทรงพิจารณาถึง
ปฏิจจสมุปบาทว่า พระองค์ท่านได้ทวนกระแสกลับดูตัวอวิชชาท่านจึงได้เริ่มทวนกระแสว่า
เพราะเหตุใดท่านจึงต้องแก่ ตาย โศกเศร้า เสียใจร้องให้รำพัน คับแค้นแน่นใจ เพราะความ
พลัดพรากจากของชอบใจพลาดหวัง ท่านได้พิจารณาถึงสิ่งเหล่านี้ เพราะได้เกิดมาเป็นอัตภาพ
แห่งมนุษย์ จะต้องประสบความเป็นเช่นนี้ทุกคน อัตภาพคือความเกิดขึ้นมาจากอะไร
ก็มาจากภพ คำว่าภพก็คือสัตว์ทั้งหลายที่พึงอาศัยอยู่ ขณะนี้เรากำลังอาศัยอยู่ในภพ ซึ่งมันเป็นผล
มาจากอะไร ก็เป็นผลมาจากอุปาทานคือความเข้าไปยึดมั่นถือมั่น เพราะจิตเศร้าหมองติดพันอยู่
กับสิ่งใด ด้วยเหตุแห่งการยึดมั่น จิตก็จะไปก่อกำเนิด ณ ที่นั้น เช่นบุคคลที่ทำใจไปในทางฌาน
เพ่งอยู่ในความละเอียดในรูป ก็จะไปเกิดภพคือรูปภพ และถ้าได้ฝึกจิตเป็นธรรมดา ก็จะ
ไปเกิดในกามภพ เช่น มนุษย์ สัตว์ดิรัจฉาน เปรต นรก เป็นต้น สุดแล้วแต่จิตจะไปประวัติ
กับอะไร ก็จะไปถือกำเนิดในสิ่งนั้น สุดแล้วแต่กรรมของตนที่จะประวัติเห็นดีไป
ท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ ท่านก็พิจารณาไปก็ได้ถอยกลับมาจากที่ว่า
ก่อนอุปาทานนี้มาจากอะไร คือมาจากตัณหา คือความทะเยอทะยาน อันความทะเยอทะยาน
นี้คืกามตัณหา ความทะเยอทะยานในกามคุณคือความใคร่ในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เป็นต้น
ความทะเยอทะยานในภวะ คือความมี ความเป็น ต้องการอยากรูปสวยรวยทรัยพ์
ต้องการอยากเป็นคุณหญิงคุณนาย ต้องการอยากมียศถาบรรดาศักดิ์ที่ตนกำลังเฟื่องฟูอยู่
ความทะเยอทะยานเหล่านี้ก็มาจากเวทนา คือความเสวยทุกข์ เสวยสุข ทุกข์ที่เกิดเป็นมีขึ้นมาแล้ว
และได้รับผลอยู่ทุกกาลเวลาแห่งความเกิดนั้น ได้รับอันเนื่องจากความได้ลาภ เสื่อมลาภ
ได้ยศ เสื่อมยศ ขณะที่เสวยทุกข์นั้นก็ต้องการแต่ความสุขเป็นต้น แต่ผลหาได้แต่ความสุขไม่
ต้องมีทุกข์ ด้วยความเสวยสุขเสวยทุกข์นี้เนื่องมาจากอายตนะ คือมีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
รูป เสียง กลิ่น โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ์ เช่นมีตามไปเห็นรูป ก็เกิดความสุข ทุกข์ หูได้ยินเสียง
จมูกได้ดมกลิ่น ลิ้นลิ้มรส กายถูกต้องสัมผัส ใจกระทบอารมณ์เกิดความสุข ทุกข์ ก็นับเนื่องมาจาก
นามรูป เพราะนามกับรูปที่ก่อกำเนิดเกิดขึ้นมาเป็นคน คนเรานี้มีนามกับรูปจึงจะเป็นตัวขึ้นมาได้

ท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ ท่านได้พิจารณาถอยร่นปฏิจจสมุปบาทมาจนถึงรูปนามนี้แล้ว
ท่านเกิดความสงสัยว่าถอยจากรูปนามยังมีวิญญาณและสังขาร แล้วจึงขึ้นด้วยอวิชชาและวิญญาณ
สังขารนี้ก็มีแล้วในนามรูป เหตุไฉนจึงมามีสังขารและวิญญาณโดยเฉพาะของตัวมันอีก
เมื่อท่านสงสัยแล้วก็ได้เลิกพิจารณาในวันนั้น

อยู่มาวันหนึ่ง ท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ ก็ได้มาเที่ยวที่เขาพระงาม ลพบุรี
เพราะโดยปกติแล้วท่านจะไปที่นี่บ่อย ๆ ซึ่งท่านชอบสถานที่นี้มาก จนภายหลังท่านได้สร้าง
พระใหญ่ หน้าตักกว้างถึง 12 วากว่า และในวันนั้นเป็ฯวันที่ท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์
ได้เข้ามาที่เขาพระงามตามปกติ ซึ่งขณะนั้นท่านอาจารย์มั่นก็ได้พักบำเพ็ญสมณธรรมอยู่
ณ ที่นั่นเหมือนกัน เมื่อได้ทราบว่าท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์มา ท่านก็ไปนมัสการ
และได้สนทนาปราศรัยตามปกติ เมื่อสนทนาเรื่องอื่นไปพอสมควรแล้ว ท่านอาจารย์มั่นก็ได้
ถามขึ้นว่า เมื่อคืนวัน สิบค่ำที่แล้ว (คือเดือนแปด) นั้น ท่านเจ้าคุณนั่งสมาธิอยู่ที่ศาลาเหลือง
หันหน้าไปทางทิศตะวันออก เวลาประมาณยี่สิบสามนาฬิกาเศษ ได้พิจารณาถึงปฏิจจสมุปบาท
หวนกลับไปกลับมา แล้วเกิดความสงสัยขึ้นมาตอนหนึ่งใช่ไหมครับ ?

ท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณุปมาจารย์ เมื่อได้ฟังคำถามเช่นนั้นถึงกับตกตะลึง ไม่นึกเลยว่า
ท่านอาจารย์มั่นท่านจะมาล่วงรู้ถึงการพิจารณาของเรา ที่ได้พิจารณาด้วยตัวเองโดยมิได้บอกให้ใครรู้เลย
ท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณุปมาจารย์จึงพูดถามอาจารย์มั่นว่า ก็ท่านอาจารย์ว่าอย่างไรเล่าที่ผมสงสัย
อธิบายให้ผมฟังบ้างได้ไหม ท่านอาจารย์มั่นจึงตอบว่า “ได้” แล้วท่านก็ได้อธิบายถวาย
ท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณุปมาจารย์ ว่า

“ปฏิจจสมุปบาทข้อที่ว่า วิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร สังขารเป็นปัจจัยให้
เกิดนามรูปนั้นแล ในนามรูปก็มีทั้งวิญญาณและสังขาร ซึ่งมันจะมีการแตกต่างกันดังนี้คือ
สังขาร วิญญาณ ที่ต่อจากอวิชชานั้น เรียกว่า สังขารกรรม วิญญาณกรรม แตกต่างกับสังขาร
วิญญาณของนามรูป สังขารวิญญาณของนามรูปนั้นเป็นสังขารวิญญาณวิบาก เนื่องจากเป็น
การปรุงแต่งที่สำเร็จรูปแล้ว สังขารกรรม วิญญาณกรรม เป็นวาวะที่ไม่เป็นอิสระ
อยู่ภายใต้อำนาจของกรรม มีอวิชชาเป็นหางเรือใหญ่ อาศัยสังขารการปรุงแต่ง
อาศัยวิญญาณความรู้สึกในขณะที่กำลังปรับปรุงภพ อันจะเป็นแนวทางแห่งการก่อให้เกิด
ซึ่งในขณะนั้นจิตเป็นประธานอาศัยสังขารปรุงแต่ง อาศัยวิญญาณความรู้สึกในขณะที่กำลังปรุงภพ
อันจะต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจของสังขารกรรม วิญญาณกรรม ทั้งสองนั้น สืบเนื่องมาจากจิต ณ ที่นี้
จึงแล้วแต่กรรมจะจำแนกไป คือให้สังขารและวิญญาณนี้เห็นดีไป เมื่อเห็นดีไปอย่างไร
จิตก็จะไปตั้งก่อให้เกิดไปตามนั้น เพราะที่นี้จึงเป็นสถานที่กำลังปรุงแต่งภพ

ถ้าพิจารณาแล้วจะรู้สึกมันละเอียด และพึงจะรู้จริงได้ คือเมื่อจิตได้ดำเนินตามอริยสัจ
และเป็นวิปัสสนาอันแก่กล้าแล้วนั้นทีเดียว ที่กระผมได้อธิบายมานี้เป็นสักแต่ว่าแนวทางเท่านั้น
ตามความเป็นจริงต้องมีตาภายใน คือ กระแสจิต กระแสธรรมเท่านั้น ที่จะเข้าไปรู้จริงได้”

เมื่อท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณุปมาจารย์ได้ฟังดังนั้น ก็ถึงกับอุทานขึ้นว่า “อ้อ เราเข้าใจแล้ว
ท่านอาจารย์รู้ใจผมได้ดีมาก และถูกต้องทุกประการ และแก้สงสัยให้ผมได้ราวกับปลิดทิ้ง
ผมพยายามพิจารณาเรื่องนี้มานาน แต่ยังไม่แจ่มแจ้ง พึงจะแจ่มแจ้งในเวลานี้เอง”

หลังจากนั้นท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณุปมาจารย์ ก็ได้เดินทางกลับไปกรุงเทพฯ อยู่ที่
วัดบรมนิวาสนั้น ท่านเจ้าคุณก็ได้ประกาศความดีของท่าน อาจารย์มั่นให้แก่พระภิกษุสามเณร
ทั้งหลายฟังว่า “ท่านอาจารย์มั่นเป็นอาจารย์กรรมฐานที่มีความสามารถที่สุดในยุคนี้
ถ้าใครต้องการจะศึกษาธรรมปฏิบัติแล้ว จงไปศึกษากับอาจารย์มั่นเถิด เธอทั้งหลายจะได้
ความรู้จากธรรมปฏิบัติอันลึกซึ้งจากท่านอาจารย์มั่น”
..................................

onion onion onion


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร