วันเวลาปัจจุบัน 25 มิ.ย. 2025, 21:47  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 108 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.พ. 2010, 12:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 12:54
โพสต์: 96

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


......

เรื่องซึ้ง กินใจ กินใจ

"อย่าหนีนะ ไอ้เด็กขี้ขโมย" เสียงผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งตะโกนลั่น

พร้อมกับมีเด็กคนหนึ่งกับผู้หญิงอีกคนหนึ่งวิ่งผ่านฉันกับแม่ที่กำลังซื้อเนื้อหมูในตลาดไปอย่างรวดเร็ว

ทั้งแม่และฉันหันไปดูทันเห็นหน้าผู้หญิงคนนั้นแค่แวบเดียว

แม่ถามฉันว่า "อ้าว นั่นป้าร้านขายของไม่ใช่เหรอ"

"ใช่จ้ะแม่ แกวิ่งไล่ใครกันละ"


ป้าคนนั้นชื่อว่า 'ป้าหนอม' เป็นแม่ค้าขายของชำสารพัดอย่างในตัวตลาดในอำเภอที่ฉันอยู่

มีฐานะจัดว่าดีกว่าแม่ค้าคนอื่นๆ ในละแวกเดียวกัน

และเป็นที่รู้จักกันว่าแกเป็นคนที่ขี้เหนียวอย่างร้ายกาจ

แถมปากจัดที่สุดในตลาดอีกด้วย ใครต่อราคาของมากเกินไป หรือถามราคาแล้วไม่ซื้อ

ป้าแกจะโวยวายชนิดต้องรีบเผ่นออกจากร้านแทบไม่ทันทีเดียว

เสียงเอะอะดังมากขึ้น


ฉันหันไปมองป้าหนอมจับข้อมือเด็กผู้ชายคนหนึ่ง

อายุประมาณ 12-13 ขวบ ไล่เลี่ยกับฉันซึ่งกำลังดิ้นรนอยู่

และป้าแกกำลังจะลงไม้ลงมือ แม่จึงเดินเข้าไปถาม "พี่หนอม มีไรหรอคะ"

"ก็ไอ้เด็กเวรนี่นะสิ มันมา ทำทีขอซื้อยาแก้ปวดกับยาธาตุ พอฉันหยิบส่งให้มันก็วิ่งหนีมาเลย เงินก็ไม่จ่าย"


พูดจบป้าหนอมก็ตบหัวเด็กคนนั้นอย่างแรงหนึ่งที และคงจะมีตามมาอีกหลายทีแน่ถ้าแม่ฉันไม่ห้ามไว้

"ตายแล้วพี่หนอม อย่าถึงกับลงไม้ลงมือกันเลยนะ แล้วนี่จะทำไงต่อ"

แม่รีบตัดบทเพราะเห็นว่าเรื่องราวชักจะไปกันใหญ่

"เรียกตำรวจมาเอามันไปเข้าคุกนะสิ เสียนิสัย พ่อแม่ไม่สั่งสอน ยังเด็กตัวแค่นี้ก็ริจะเป็นขโมยซะแล้ว ต่อไปก็คงต้องปล้นเขากินหละ"

ฉันสะกิดแม่ทันทีพร้อมกับมองพลางส่ายหัวน้อยๆ ทำนองว่าอย่าไปยุ่งดีกว่า

แม่มองฉันแล้วมองเด็กคนนั้น ซึ่งท่าทางเหมือนกำลังจะร้องไห้ แม่นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหันไปพูดกับป้าหนอมว่า

"อย่าให้ถึงอย่างนั้นเลยนะพี่หนอม เด็กมันคงอยากซื้อยาแต่ไม่มีเงินนะ เอาเป็นว่าฉันจ่ายให้ละกันนะ กี่บาทกันละ"


ในที่สุดเรื่องก็จบลง โดยการที่แม่ยอมจ่ายเงินค่ายาแก้ปวดกับยาธาตุ

แล้วแม่ก็จูงเด็กคนนั้นออกมาจากตลาด แต่ป้าหนอมยังไม่วายเตือนแม่ "ใจดีกับเด็กขี้โขมยแบบนี้ ระวังจะเสียใจทีหลังนะเธอ"

แม่ไม่ได้ตอบอะไร แต่พอเดินห่าง จากร้านพอสมควรแล้วก็ถามว่า "ทำไมหนูขโมยของป้าเขาละ"

เด็กคนนั้นเงยหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาขึ้นมองแม่ แล้วตอบสะอึกสะอื้นว่า "แม่ผมปวดท้องมากเลยครับ แล้วแม่ก็ไม่มีเงินไปหาหมอ ผมก็เลยต้อง..."

แม่มองหน้าเด็กคนนั้นอยู่ครู่หนึ่ง แล้วยื่นผลไม้ที่ซื้อมาให้เด็กคนนั้นถุงหนึ่ง แล้วบอกว่า

"ทีหลังอย่าโขมยของใครนะ ถ้าไม่มีเงินมาขอเงินน้าไปซื้อก็ได้นะ


น้าชื่อสมพรเปิดร้านเย็บผ้าอยู่ใกล้ๆ นี่เอง ถามคนแถวนี้ก็ได้ รู้จักน้าแทบทุกคนเลยแหละ เอ้า...เอา ส้มไป ฝากคุณแม่ซิ คนป่วยนะต้องกินผลไม้มากๆ จะได้หายไวๆ รู้ไหม" แม่เสริมพร้อมกับยิ้ม เด็กคนนั้นอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง

ก่อนที่จะรับส้มพร้อมกับพูดขอบคุณแม่แล้วเดินจากไป หลังจากนั้นพอกลับมาถึงบ้าน ฉันก็ถามแม่ทันที

"ทำไมแม่ต้องช่วยเด็กคนนันด้วยละ รู้จักกันหรอจ้ะ"

แม่ยิ้ม แล้วตอบฉันว่า "ไม่รู้จักหรอก แต่แม่เห็นเด็กคนนั้นรับจ้างหาบขนมขายอยู่แถวบ้านเราน่ะลูก แต่แกคงจำแม่ไม่ได้หรอก แม่ซื้อขนมแกอยู่ไม่กี่ครั้งเอง" ,"แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะต้องช่วยเหลือเขาถ้าเขาเป็นขโมยนี่แม่"


ฉันถามต่อ แม่มองหน้าฉันแล้วพูดว่า "แม่เชื่อว่าเด็กที่เคยหาเงินด้วยตัวเองมาก่อนตั้งแต่อายุเท่าๆ กับลูก จะต้องเป็นเด็กที่มีความรับผิดชอบ รู้คุณค่าของเงินทุกบาททุกสตางค์ว่ากว่าจะได้มามันเหนื่อยยากขนาดไหน และคนที่มีความรับผิดชอบนะ จะไม่มีทางขโมยของใครนอกจากจะจำเป็นจริงๆ เมื่อเขาไม่มีทางอื่นให้เลือกแล้วเท่านั้น"

ฉันฟังแล้วก็ถามแม่ต่อว่า "แล้วต่อไปถ้าเขามาขอเงินแม่ไปซื้อยาอีก แม่จะให้เขารึเปล่า"

"ให้สิลูกถ้ามันไม่มากไม่มายอะไร" ,"แล้วแม่ไม่เสียดายเงินหรอ บ้านเราก็ไม่ได้ร่ำรวยเหมือนบ้านป้าหนอมเขานะแม่"

"ถึงแม่จะไม่มีเงินทองมากนัก แต่การที่ได้ช่วยเหลือคนที่กำลังลำบากน่ะ มันทำให้แม่มีความสุข แล้วยังได้บุญอีกด้วยนะ แค่นี้แม่ก็พอใจแล้ว ไม่อยากได้อะไรตอบแทนหรอก"


แล้วแม่ก็พูดต่ออีกว่า "จำไว้นะลูก คนเรานะ ต้องรู้จักให้อภัยและให้โอกาสคนอื่นแก้ตัวเสมอ อย่างเด็กคนนั้น..แม่มั่นใจว่าแกทำไปเพราะรักคุณแม่ของแกจริงๆ แม่ถึงช่วยแกเอาไว้"

"ลูกอาจจะบอกว่าขโมยเป็นสิ่งที่ผิด ใช่...แม่ไม่เถียง แต่บางครั้งคนเราก็ต้องมองด้านอื่นๆ บ้าง อย่าคิดแต่เรื่องทรัพย์สินเงินทอง ตอนนี้ลูกอาจจะยังฟังไม่เข้าใจ แต่แม่เชื่อว่าสักวันลูกจะเข้าใจเองแหละ"

หลังจากนั้น ฉันกับแม่ก็หันไปคุยเรื่องอื่นๆ กันต่อ ฉันเองไม่เคยคิดเรื่องนี้อีกเลย จนเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น ทำให้ฉันต้องย้อนกลับมาคิดถึงเรื่องนี้อีกครั้งทั้งน้ำตาว่า คำพูดของแม่ในครั้งนี้ถูกต้องที่สุดจริงๆ


หลังจากฉันเรียนจบระดับปริญญาตรีจากสถาบันราชภัฏแห่งหนึ่งในตัวจังหวัด

แล้วฉันก็ได้งานทำในโรงงานแห่งหนึ่งในตัวจังหวัดนั้นเอง เงินเดือนก็พอประมาณ สามารถเลี้ยงดูแม่ได้โดยไม่ขัดสนนัก ฉันก็เลยขอร้องให้แม่หยุดรับจ้างเย็บผ้า

เพราะอยากให้แม่พักผ่อนบ้างหลังจากทำงานหนักมาเกือบ 20 ปีเพื่อส่งฉันเรียน

แม่ยอมปิดร้าน แต่ก็ยังรับงานเล็กๆ น้อยๆ ของเพื่อนบ้านมาทำบ้างโดยไม่คิดเงิน แม่บอกว่าถ้าไม่ได้ทำอะไรเลยจะรู้สึกเบื่อ ฉันก็เลยต้องยอมตามใจแม่

ฉันทำงานอยู่ประมาณ 2-3 ปี แม่ก็เริ่มรู้สึกไม่สบาย เริ่มจากปวดหัวบ่อยขึ้น ช่วงแรกๆ ไม่กี่วันก็หาย หลังจากนั้นก็เริ่มเป็นนานขึ้นเรื่อยๆ

ฉันบอกให้แม่ไปหาหมอ แล้วฉันก็พาแม่ไปหาหมอในเมือง หมอบอกว่าไม่เป็นอะไรมาก แค่ทำงานหนักมากเกินไป หมอให้ยามาชุดหนึ่งพร้อมกำชับให้พักผ่อนมากๆ จะได้หายเร็วๆ

หลังจากกินยาตามที่หมอสั่ง อาการปวดหัวของแม่ก็หายไป ฉันเริ่มสบายใจขึ้น แต่หลังจากไปหาหมอได้ประมาณหนึ่งเดือน แม่ก็เริ่มกลับมาปวดหัวอีก

คราวนี้เป็นหนักมากกว่าครั้งที่แล้ว ยาที่เคยกินแล้วได้ผลมาก่อนก็ไม่ได้ผลเลย

ฉันกังวลใจมาก พอถามหมอ หมอก็บอกว่าต้องไปตรวจที่โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ

เพราะว่าเครื่องไม้เครื่องมือพร้อมกว่าโรงพยาบาลต่างจังหวัด หลังจากนั้นฉันรีบพาแม่ไปกรุงเทพฯ ทันที ไปยังโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง


หลังจากหมอตรวจแล้วบอกว่ามีเนื้องอกในสมองต้องผ่าตัดโดยด่วน หากปล่อยทิ้งไว้อาจไปทับเส้นประสาททำให้เป็นอัมพาตได้ หรือถ้าผ่าตัดไม่ทันก็อาจร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิต ฉันตกใจมากขอให้หมอผ่าตัดให้ทันที

แต่หมอบอกว่าโรงพยาบาลที่มีหมอผ่าตัดสมองที่มีความพร้อม ที่จะผ่าตัดเนื้องอกในสมองเป็นอีกโรงพยาบาลหนึ่ง ซึ่งมีชื่อเสียงมากกว่า ดังนั้นหมอจึงต้องส่งตัวคนไข้ไปยังโรงพยาบาลนั้น ฉันก็ตกลง หลังจากถูกส่งตัวมายังโรงพยาบาลดังกล่าวแล้ว แม่ก็ถูกส่งตัวเข้าห้องผ่าตัดทันที

ขณะที่ฉันรออย่างกังวลใจอยู่ด้านนอก ทั้งเรื่องอาการป่วยของแม่ และจากคำพูดของหมอที่ทิ้งท้ายไว้ก่อนส่งตัวแม่มาที่โรงพยาบาลแห่งนี้ หมอบอกให้ทำใจไว้บ้าง เพราะการผ่าตัดสมองเป็นการผ่าตัดที่เสี่ยงมาก โอกาสที่คนไข้จะเสียชีวิตมีมาก แม้การผ่าตัดจะประสบความสำเร็จก็ตาม อีกเรื่องก็คือค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดสมองค่อนข้างสูง เป็นหลักแสนบาท


เมื่อรวมกับค่ายาระหว่างพักฟื้น คิดแล้วน่าจะต้องใช้เงินราวๆ ห้าแสนบาท ฉันได้ยินแล้วแทบลมจับ ฉันจะไปหาเงินห้าแสนบาทมาจากไหน ลำพังเงินเก็บของฉันกับแม่ยังมีไม่ถึงห้าหมื่นบาทเลย แต่ยังไงฉันก็ต้องรักษาแม่ให้หาย ส่วนเรื่องเงินไว้คิดทีหลัง

หลังการผ่าตัดเสร็จสิ้นลง เป็นโชคดีของแม่ที่การผ่าตัดประสบผลสำเร็จ และไม่มีอาการแทรกซ้อนใดๆ ทางโรงพยาบาลบอกให้พักฟื้นประมาณหนึ่งเดือน ก็สามารถไปพักฟื้นที่บ้านได้

เมื่อโรงพยาบาลแจ้งรายการค่าใช้จ่ายทั้งหมดมาให้ฉัน ปรากฎว่าเป็นเงินจำนวนไม่ถึงหนึ่งพันบาท เป็นค่าติดต่อประสานงานเท่านั้น ฉันแปลกใจมาก จึงสอบถามกับนางพยาบาล นางพยาบาลบอกว่า คุณหมอที่เป็นคนผ่าตัดและเป็นเจ้าของไข้บอกไม่ให้คิดเงินกับฉันและแม่

โดยที่ทางโรงพยาบาลก็ไม่ทราบสาเหตุ ฉันจึงขอพบคุณหมอคนนั้นเพื่อขอบคุณ นางพยาบาลบอกว่าหลังจากเสร็จคุณหมอก็ถูกส่งตัวไปต่างประเทศทันที เพื่อศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการผ่าตัดสมองที่อเมริกา

แต่คุณหมอได้ฝากจดหมายไว้ให้ฉันกับแม่ โดยกำชับกับทางโรงพยาบาลให้ฝากให้ฉันพร้อมกับใบเสร็จค่าใช้จ่ายอื่นๆ ของทางโรงพยาบาลในวันที่แม่สามารถออกจากโรงพยาบาลได้


เมื่อกลับถึงบ้าน ฉันกับแม่ก็เปิดอ่านจดหมายของคุณหมอคนนั้น เมื่ออ่านจบทั้งฉันและแม่ก็ร้องไห้ออกมาพร้อมกัน เนื้อความในจดหมายมีดังนี้

'ข้าพเจ้านายแพทย์เดชา ทองวิจิตร แพทย์ผู้ผ่าตัด นางสมพร ภู่จันทร์ ขอสรุปค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดทั้งหมดดังนี้

> >ค่าผ่าตัด 0 บาท

>ค่ายาทั้งหมด 0 บาท

>ค่าใช้จ่ายอื่นที่เหลือ 0 บาท

>รวมเป็นเงินทั้งหมด 0 บาท

> >ป.ล. ค่าใช้จ่ายทั้งหมดได้รับแล้ว เมื่อยี่สิบปีก่อนด้วยยาแก้ปวด ยาธาตุ ส้มหนึ่งถุง ขอให้สุขภาพแข็งแรงไปอีกนานๆ นะครับคุณน้า 'นายแพทย์เดชา ทองวิจิตร'


......


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.พ. 2010, 13:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 12:54
โพสต์: 96

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: ลิงกับลา

หญิงชาวบ้านคนหนึ่งอาศัยอยู่คนเดียวในกระท่อม ด้วยความเหงานางจึงหาสัตว์มาเลี้ยงไว้เป็นเพื่อนสองตัว คือ ลิงและลา วันหนึ่งหญิงชาวบ้านคนนี้ต้องออกไปตลาดเพื่อซื้ออาหาร ก่อนออกจากบ้านเธอได้เอาเชือกมาผูกคอลิง แล้วมัดขาของลาเอาไว้ทั้งสองข้าง เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์เลี้ยงทั้งสองตัวเดินย่ำไปมาในกระท่อมจนทำให้ข้าวของต่างๆ ได้รับความเสียหาย

ทันทีที่หญิงชาวบ้านออกจากบ้านไป ลิงซึ่งมีความฉลาดและแสนซนเป็นคุณลักษณะประจำตัวก็ค่อยๆ คลายปมเชือกออกจากคอของมัน อีกทั้งยังซุกซนไปแก้เชือกมัดขาให้แก่ลาอีกด้วย หลังจากนั้นเจ้าลิงก็กระโดดโลดเต้น ห้อยโหนโจนทะยานไปทั่วกระท่อมจนทำให้ข้าว ของต่างๆ ล้มระเนระนาดกระจัดกระจายไปทั่ว อีกทั้งยังซุกซนรื้อค้นเสื้อผ้าของหญิงชาวบ้านมาฉีกกัดจนไม่เหลือชิ้นดี ในขณะที่ลาได้แต่มองดูการกระทำของเจ้าลิงอยู่เฉยๆ

สักครู่หนึ่ง หญิงชาวบ้านคนนี้ก็กลับมาจากตลาด เจ้าลิงมองเห็นเจ้าของเดินมาแต่ไกลจากทางหน้าต่างก็รีบเอาเชือกมาผูกคอตนไว้ อย่างเดิมและอยู่อย่างสงบนิ่ง

ฝ่ายหญิงชาวบ้านเมื่อเปิดประตูกระท่อมเข้ามาเห็นข้าวของของตนถูกรื้อค้น กระจุยกระจายเช่นนั้นก็เกิดโทสะ ขึ้นทันที หันมองลิงและลาเพื่อดูว่าใครเป็นผู้ก่อเรื่อง และเห็นว่าลาไม่มีเชือกผูกขาดังเดิม เธอก็คิดเอาเองว่าเจ้าลานี่เอง คือตัวปัญหา ทำให้กระท่อมของเธอมีสภาพไม่ต่างจากโรงเก็บขยะ ดังนั้นหญิงชาวบ้านจึงวิ่งไปหยิบท่อนไม้นอกบ้านมาทุบตีลาอย่างรุนแรง ซึ่งเจ้าลาผู้น่าสงสารก็ได้แต่ส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดจนสิ้นใจโดยไม่สามารถทำอะไรได้เลย

เธอทั้งหลาย...เธอหลายคนคงไม่ค่อยชอบตอนจบของนิทานเรื่องนี้นัก เพราะสงสารเจ้าลาที่ไม่ได้ทำความผิดอะไรแต่กลับถูกเจ้าของทำโทษจนตาย ส่วนเจ้าลิงซึ่งเป็นต้นเหตุแท้ๆ กลับรอดพ้น และไม่ได้รับผลกรรมใดๆ แต่แท้ที่จริงแล้วนิทานเรื่องนี้ ต้องการชี้ให้เห็นถึง ความเป็นผู้นำ ของหญิงชาวบ้านที่ไม่พิจารณาเหตุการณ์ให้ถ่องแท้ เชื่อแค่สิ่งที่ตนเห็น แล้วลงโทษไปตามความรู้สึกและประสบการณ์ส่วนตัว เธอมองเห็นข้าวของเสียหายและมองเห็นลาที่หลุดออกมาจากเชือก แล้วตัดสินว่า ลาคงเป็นผู้กระทำ แต่ไม่ได้มองว่าลาไม่มีปัญญาจะแก้เชือก และไม่มีนิสัยชอบรื้อทำลาย เธอมองเห็นลิงยังถูกเชือกล่ามอยู่ ก็คิดว่าลิงคงไม่ใช่ผู้กระทำ แต่มองไม่ออกว่าผู้น่าจะแก้ปมเชือกได้และมีนิสัยชอบรื้อทำลายนั้นคือ ลิง

ความจริงถ้าเธอรู้จักสำรวจร่องรอยความเสียหายเสียสักเล็กน้อย เธอก็จะพบรอยเท้าและฟันของลิงกระจายไปทั่วห้อง แต่ไม่พบรอยเท้าของลาเลย เพราะลาไม่ได้เคลื่อนที่ไปไหน

:b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.พ. 2010, 14:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 12:54
โพสต์: 96

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b43:

คู่แท้

...กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีครูกับลูกศิษย์นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ซึ่งใกล้กับสนามหญ้าอันกว้างใหญ่ ทันใดนั้น ลูกศิษย์คนหนึ่งก้อถามขึ้นมาว่า....

ลูกศิษย์ : อาจารย์คับ ผมสงสัยจังเลยว่า เราจะหาคู่แท้เราเจอได้ไงคับ อาจารย์บอกผมหน่อยได้ไหมคับ?

อาจารย์ : (เงียบไปพักหนึ่ง ก่อนที่จะตอบ) อืม มันเป็นคำถามที่ยากนะ ในขณะเดียวกันมันก็เป็นคำถามที่ง่ายเหมือนกันนะ

ลูกศิษย์ : (นั่งคิดอย่างหนัก) อืม?....งงไม่เข้าใจ

อาจารย์ : โอเค งั้น เธอลองมองไปทางนั้นนะ ตรงนั้นน่ะ มีหญ้าเยอะแยะ เลยใช่ไหม เธอลองเดินไปหาหญ้าต้นที่สวยที่สุด แล้วเด็ดมาให้ครูสิ ต้นเดียวเท่านั้นนะ แต่ว่า เวลาเธอเดินเนี่ย เธอต้องเดินไปข้างหน้าอย่างเดียวนะ ห้ามเดินถอยหลัง เข้าใจไหม


ลูกศิษย์ : ได้เลยครับ รอสักครูน่ะครับ (ว่าแล้ว ก้อวิ่งตรงไปยังสนามหญ้า)

หลังจากนั้นไม่นาน....

ลูกศิษย์ : ผมกลับมาแล้วครับ

อาจารย์ : อืม...แต่ทำไมครูไม่เห็นต้นหญ้าสวย ๆ ในมือเธอเลยหละ

ลูกศิษย์ : อ๋อ คืองี้ครับ ตอนที่ผมเดินไปแล้วผมเจอต้นหญ้าสวย ๆ เนี่ย ผมก้อก้อคิดว่า เออ เดี๋ยวก้อคงเจอต้นที่สวยกว่านี้ ดังนั้นผมก็เลยไม่เด็ดมัน แล้วผมก็เดินไปเรื่อ รู้ตัวอีกที มันก็สุดสนามหญ้าแล้วครับ จะเดินกลับก้อไม่ได้ เพราะอาจารย์สั่งห้ามไว้


อาจารย์ : นั่นแหละ คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในชีวิตจริงหละ เรื่องนี้ต้องการที่จะสื่ออะไรกับเรา ต้นหญ้า ก็คือ คนที่อยู่รอบ ๆ ตัวคุณ ต้นหญ้าที่สวยงาม ก็คือ คนที่คุณชอบ หรือคนที่ดึงดูดคุณนั่นแหละ ทุ่งหญ้า ก็คือ เวลา เวลาที่คุณจะหาคู่แท้ของคุณ อย่ามัวแต่เปรียบเทียบ แล้ว คิดว่า คงจะมีที่ดีกว่านี้ เพราะถ้าคุณ มัวแต่เปรียบเทียบ คุณจะเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ อย่าลืมว่า "เวลาไม่เคยย้อนกลับ" "จงรัก และ ไขว่คว้า โอกาสที่คุณมีในขณะนี้ อย่ามัวแต่เสียเวลา บางครั้งคนเราก็มีโอกาสเลือกแค่เพียงครั้งเดียวเท่านั้น"

:b53:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.พ. 2010, 14:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


"..." พูดว่า: 18 ก.พ. 2553, 23:05 น.

นินทานั้นไม่มีโทษ...แก่ผู้ถูกนินทาเลย

***ถูกนินทาพึงมีเหตุผล***

.คำนินทาใดๆ ไม่อาจทำคนดีให้เป็นคนไม่ดีไปได้ คนจะดีก็เพราะกรรม คนจะเลวก็เพราะกรรม หาใช่จะดีเพราะสรรเสริญ หรือจะเลวเพราะนินทาก็หาไม่

.ควรถือความจริงนี้เป็นสำคัญ และอย่าทำหรือไม่ทำอะไรเพราะกลัวนินทาหรือเพราะปรารถนาสรรเสริญ อย่าทำอะไรก็ตามทุกอย่างที่แม้เพียงสงสัยว่าเป็นกรรมไม่ดี แต่จงทำอะไรก็ตามทุกอย่างที่พิจารณาแล้วตระหนักแน่ชัดว่าเป็นกรรมดีเท่ากัน แม้ว่าการทำกรรมดีจะมีผู้นินทา

.นินทานั้นไม่มีโทษแก่ผู้ถูกนินทาเลย ถ้าผู้ถูกนินทาไม่รับ คือไม่ตอบ เช่นเดียวกับผู้ถูกด่าไม่ด่าตอบ ผู้ถูกขู่ไม่ขู่ตอบ ผู้ถูกชวนวิวาทไม่วิวาทตอบ แต่คำนินทาว่าร้ายทั้งจะตกเป็นของผู้นินทาทั้งหมด ผู้นินทาคือผู้ทำกรรม ซึ่งเป็นกรรมไม่ดี ไม่ว่าผู้ถูกนินทาจะรับหรือไม่รับก็ตาม ผู้นินทาย่อมได้รับผลไม่ดีแห่งกรรมไม่ดีของเขาอย่างแน่นอน

.ดังนั้นแม้เมื่อถูกนินทาแล้ว ก็ให้คิดว่าผู้นินทาเราได้รับการตอบแทนแล้ว คือได้รับผลของกรรมไม่ดี ซึ่งจะส่งผลให้ปรากฏช้าหรือเร็วเท่านั้น ผลของกรรมไม่ดีนั้นแหละได้ตอบแทนเขาผู้นินทาแล้ว เราไม่มีความจำเป็นต้องตอบแทนแต่อย่างใด

.ความเชื่อในเรื่องกรรมและผลของกรรมมีคุณอย่างที่สุด ผู้ใดทำกรรมไว้จักได้รับผลของกรรมนั้น ความเชื่อเช่นนี้จักทำให้ไม่คิดร้ายตอบผู้คิดร้าย เป็นการระงับเวรภัยไม่ให้เกิดแก่ตน เป็นการป้องกันตนมิให้ทำกรรมไม่ดี ทั้งทางกายวาจาและใจ โดยมุ่งให้เป็นการแก้แค้นตอบแทน ผลจักเป็นความสงบสุขแก่ตนและแก่ผู้อื่นด้วย


ที่มา : การบริหารจิตสำหรับผู้ใหญ่ : สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก


แก้ไขล่าสุดโดย เอรากอน เมื่อ 19 ก.พ. 2010, 14:44, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.พ. 2010, 14:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เอรากอน เขียน:
"...." พูดว่า: 18 ก.พ. 2553, 23:05 น.

นินทานั้นไม่มีโทษ...แก่ผู้ถูกนินทาเลย

***ถูกนินทาพึงมีเหตุผล***



เอกอน พูดว่า: 18 ก.พ. 2553, 23:05 น.

ท่านเหมือนเป็นสิ่งมหัศจรรย์อีกหนึ่ง...ในชีวิตข้าน้อย
***เมื่อท่านมา...ประหนึ่งเหมือนนัดหมายไว้***
***ช่างถูกที่...และถูกเวลายิ่งนัก***
***...ด้วยกุศลใดที่ข้าน้อยได้ทำไว้หน๋อ...***
***...ผู้ที่นัยตายังมืดทึบอย่างข้าน้อยยังยากจะเข้าใจ...***
***...รู้ได้แค่เพียง...ความรู้สึกถึงพลังแห่งกัลยานมิตร...***
***...อันไร้ขอบเขต...***

*** :b8: ขอบคุณค่ะ :b8: ***


แก้ไขล่าสุดโดย เอรากอน เมื่อ 19 ก.พ. 2010, 14:49, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.พ. 2010, 14:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: ขอโทษนะคะ...ที่จู่ ๆ ก็โผล่มาแจม...
แบบว่า....เหตุการณ์มันเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน...
ความปลื้มปิติ...ในน้ำใจแห่งกัลยานมิตรมันทะลักท่วมท้นเข้ามา
จนไม่อาจจะ...อั้นความรู้สึก...จนเดินกลับไปปล่อยที่บ้านไหว...

:b12: :b12: :b1: :b1:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.พ. 2010, 16:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 12:54
โพสต์: 96

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว



กองฟืนเท่าภูเขาฤาจะทดแทนได้

กาลครั้งหนึ่ง ณ หมู่บ้านชนบทอันไกลแสนไกล มีครอบครัวเล็กๆอาศัยอยู่ริมเชิงเขา
พ่อมีอาชีพเก็บฟืนไปขายที่ตลาดทุกๆเช้า แม่ทำงานบ้าน ส่วนลูกชายอยู่ในวัยหนุ่ม
เป็นคนเกลียดคร้านไม่ยอมช่วยการงานพ่อแม่ พอถึงเวลาอาหารก็เอะอะโวยวายโมโหหิว
พาลปาข้าวของเสียหาย


แม่เคยสอนว่า ” ข้าวก็อยู่ในถัง น้ำก็อยู่ในตุ่ม หม้อก็อยู่ข้างฝา ลูกก็ช่วยแม่หุงหาบ้างสิ
“ ไม่มีคำตอบจากลูก แต่ความหิวยังไม่หายไป และความโมโหก็รุนแรงขึ้น
จนแม่ต้องผละจากงานมาหุงหาให้ได้ดังใจ


อยู่มาวันหนึ่งขณะที่พ่อไปเก็บฟืนถูกสัตว์ป่าทำร้ายจนเสียชีวิต แล้วแม่ก็ต้องทำงานทุกอย่าง
แทนพ่อ ทั้งเก็บฟืน และยังต้องทำงานบ้าน

ฝ่ายลูกชายก็ยังไม่สำนึก ยังคงเกลียดคล้าน และใช้ชีวิตอย่างไร้ค่าไปวันๆ
ภาระของแม่นั้นหนักหนานัก และด้วยวัยที่ชราแล้ว จึงล้มป่วย และเสียชีวิตในเวลาต่อมา


ฝ่ายลูกชายรู้สึกเสียใจมาก เกิดความสำนึกผิด เขาตื่นแต่เช้าเดินทางไปป่าเก็บฟืนแล้วนำมากองไว้
แล้วก็เดินเข้าป่าไปเก็บฟืนกลับมากองไว้อีกทำอย่างนี้ซ้ำๆ ๆ ๆ จนกองฟืนสูงเท่าภูเขาลูกใหญ่ เพื่อหวังจะทดแทนความเกลียดคร้าานที่ผ่านมา


แต่ก็ไม่ได้ทำให้แม่ฟื้นขึ้นมาได้ เขาได้แต่เสียใจ ทั้งเหนื่อย ทั้งหิว
แต่วันนี้แม่มิอาจฟื้นขึ้นมาหุงข้าวให้เขากินได้อีกแล้ว..
:b53:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.พ. 2010, 16:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 12:54
โพสต์: 96

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b16: :b16:
มีเงินไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่เรื่องใหญ่คือ ตอนไม่มีเงิน

- เก็บเรื่องเงินไว้เป็นความลับ จะ หาว่าเป็นคนชอบอุบก็ยอม ให้คุณปกปิดบัญชีลับเอาไว้บ้าง
โดยไม่ต้องบอกให้เพื่อน สามี หรือแฟนหนุ่มของคุณรับทราบ


- อย่าใช้เงินเพื่อให้ตัวเองรู้สึกดี ยามที่คุณอกหัก เครียดกับงาน ทะเลาะกับเพื่อน สิ่งแรกที่คุณจะคิดถึงต้องไม่ใช่การช้อปปิ้งเสมอไป

- ใช้ให้น้อยกว่าที่หามาได้ ถ้าคุณอยากมีความมั่นคงทางการเงินก็ควรจะเริ่มต้นตั้งแต่วันนี้ได้แล้ว
ตั้งเป้าหมายชีวิต คุณควรจะตั้งเป้าหมายไว้เพื่อเป็นกำลังใจบ้าง อย่างเช่นถ้าฉันเก็บเงินได้ 500,000 บาท จะแบ่งเงินมาเปิดร้านกาแฟของตัวเอง ซื้อรถ หรือซื้อคอนโดฯ สิ่งใดก็ได้ที่เป็นความฝันของคุณ
ยิ่งจะทำให้คุณมีกำลังใจในการเก็บเงินมากขึ้นไปเท่านั้น


- วางแผนการเงินแบบวันต่อวัน ไม่ว่าคุณจะเป็นนักศึกษาหรือมีครอบครัวแล้วก็ตาม การจัดการแพลนการเงินแบบวันต่อวันนั้นได้ผลมากๆ เพราะจะทำให้คุณรู้ได้ว่าเงินที่เสียไปอยู่ตรงไหนบ้าง

- การใช้เงินคือทัศนคติ การเงินเป็นทัศนคติและความเชื่อส่วนตัว เช่น บางคนเชื่อว่าใช้ไปเถอะเดี๋ยวเงินมันก็มา แต่บางคนเชื่อว่าต้องมีคนคอยเก็บออมให้ดีกว่า เพราะถ้าอยู่กับตัวเองอาจจะหมดได้ง่ายๆ ปรับความคิด ปรับนิสัยใช้จ่าย แล้วการเงินของคุณจะมั่นคงขึ้น ไม่ต้องมานั่งเครียดทุกสิ้นเดือน

เรื่องเงิน ใครว่าไม่สำคัญ ตราบใดที่คุณยังต้องใช้เงินในการดำรงชีวิต คุณควร จะมีระบบจัดการเงินของคุณให้ดี เพื่อวันข้างหน้า จะได้ไม่ลำบาก

มีเงินไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่เรื่องใหญ่คือ ตอนไม่มีเงิน


แก้ไขล่าสุดโดย หยดย้อย เมื่อ 19 ก.พ. 2010, 16:15, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ก.พ. 2010, 19:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 12:54
โพสต์: 96

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b12: :b12: :b12:

กาลครั้งหนึ่ง นานมาแล้ว มีลาตัวหนึ่งได้พบหมูป่าบนเส้นทางเล็กๆ สายหนึ่งด้วยอารมณ์คึกคะนองมันจึงวิ่งเข้าไปต้อน
หน้าตอนหลังหมูป่าพร้อมกล่าว ทักทายแบบตีสนิท

“เป็นไงเพื่อน สบายดีหรือเปล่า ไปเที่ยวไหนมาล่ะ เล่าให้ข้าฟังบ้างซิ” หมูป่ารู้สึกรำคาญจึงออกปากขับไล่ “ไปให้พ้น
เดี๋ยวนี้นะ ข้าไม่มีเพื่อนที่ชอบทำอะไรวุ่นวายอย่างเจ้าหรอก”


แทนที่จะสำนึก ลากลับวิ่งต้อนหน้าต้อนหลังหมูป่า เหมือนเช่นเดิม หมูป่าชักไม่พอใจขยับจะเข้าไปทำร้าย แต่นึกได้ว่า
ไม่มีประโยชน์ที่จะตอแยกับลา มันจึงเดินหนีไปอย่างรวดเร็ว


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า: ผู้ที่ทำอะไรไม่รู้กาลเทศะ ย่อมเป็นที่ขัดเคืองของผู้อื่น

:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.พ. 2010, 22:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 12:54
โพสต์: 96

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b16: :b16: :b16:

ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์บวชเป็นฤาษีมีศิษย์ ๕๐๐ ล้วนแต่เก่งในการเข้าฌาน

แต่มีศิษย์ขี้โรคอยู่คนหนึ่งยังไม่ได้ฌานอะไร

วันหนึ่งกำลังผ่าฟืนอยู่ เพื่อนดาบสอีกคนก็มายืนสั่งการว่า

“ฟันอย่างนี้ซิ ผ่าอย่างนี้ ซิท่าน”

เธอโกรธจึงพูดว่า

“เดี๋ยวนี้ แกไม่ใช่อาจารย์สั่งสอนศิลปะในการผ่าฟืนแก่ฉันหรอกนะ”

พูดจบก็เอาขวานฟันก้านคอคนช่างพูดนั้นถึงแก่ความตาย

ที่ใกล้ ๆ อาศรมของพวกดาบส มีนกกระทาตัวหนึ่งขันอยู่ทุกวัน ต่อมาเงียบเสียงไป

พระโพธิสัตว์จึงถามพวกศิษย์ว่า

“นกกระทาที่เคยขันอยู่ทุกวันไปไหน”

ฟังว่าถูกนายพรานนกมาดักจับไปกินแล้ว เพราะขันดังเกินไป

อาจารย์จึงกล่าวว่า

“คำพูดที่ดังเกินไป รุนแรงเกินไป และพูดเกินเวลา ย่อมฆ่าคนโง่

เหมือนเสียงฆ่านกกระทาที่ขันดังเกินไป”


(ติตติรชาดก ชาดก เรื่องที่ ๑๑๗ พระไตรปิฎกภาษาไทย เล่มที่ ๒๗ หน้า ๔๘)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ก.พ. 2010, 23:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 12:54
โพสต์: 96

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

ในอดีตกาล ลูกศิษย์ของอาจารย์ทิศาปาโมกข์ ชื่อนายบาป ไม่ชอบใจชื่อของตน

จึงไปขอให้อาจารย์ตั้งชื่อให้ใหม่


อาจารย์จึงให้เขาออกเที่ยวหาชื่อเอาเองตามชอบใจ เมื่อได้กลับมาแล้วจะตั้งให้

เขาจึงออกเดินทางหาชื่อที่เหมาะสม เดินไปไม่นานเห็นคนหามศพผ่านไป

ถามทราบความว่า คนตายชื่อ
"นายเป็น"

ถามเขาว่า "ชื่อเป็นทำไมถึงตาย"

ได้รับคำตอบว่า "จะชื่ออะไรก็ตายทั้งนั้น เพราะชื่อเป็นสิ่งสมมติเพื่อรู้กันเท่านั้น"

เขาเดินทางต่อไป เห็นเศรษฐีเจ้าหนี้กำลังทุบตีลูกหนี้ที่ไม่ยอมจ่ายดอกเบี้ยเสียที

ถามเขาว่าคนถูกตีชื่ออะไร ทราบว่า ชื่อ "นางรวย"

"คนชื่อรวยกลับจนด้วยหรือ"

ได้รับคำตอบว่า "จะชื่ออะไร ไม่สำคัญ ถ้าไม่ขยันทำงานหาเงินก็จนได้ทั้งนั้นเเหละ

ชื่อมันเป็นสิ่งสมมติเท่านั้น "


เขาจึงเดินทางต่อไป เดินผ่านดงใหญ่ได้ยินเสียงคนร้องไห้อยู่ จึงเข้าไปสอบถาม

ได้ความว่า เจ้าคนนั้นเดินหลงทางอยู่ในป่าหลายวันแล้วหาทางออกจากป่าไม่ได้

ถามเขาว่าชื่ออะไร ได้ฟังว่า ชื่อ "นายชำนาญทาง"

จึงถามต่อว่า "ทำไมชื่อชำนาญทางแต่หลงทาง"

ได้ฟังคำตอบว่า "มันเป็นแต่เพียงชื่อที่สมมติเพื่อรู้กันเท่านั้น ไม่ใช่ชำนาญจริงอย่างชื่อเมื่อไร"

นายบาปจึงเดินทางกลับสำนัก ไปบอกอาจารย์ว่า "หาชื่อถูกใจไม่ได้ขอใช้ชื่อเดิม"

อาจารย์จึงกล่าวว่า

“เพราะเห็นคนชื่อเป็นแต่ตาย เห็นหญิงชื่อรวยแต่ยากจน

เห็นนายชำนาญทางแต่หลงทางในป่า นายบาปจึงได้กลับมา”



(นามสิทธิชาดก ชาดก เรื่องที่ ๙๗ พระไตรปิฎกภาษาไทย เล่มที่ ๒๗ หน้า ๔๐)
.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.พ. 2010, 16:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 12:54
โพสต์: 96

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b30: :b3:

เจ้าปลุกกับแม่อิ่ม

เขาเป็น “เจ้าปลุก” ของเธอ

เธอเป็น “แม่อิ่ม” ของเขา



ทุกเช้า
เขาต้องปลุกเธอให้ตื่นขึ้นมาทำอาหารให้เขาทานจนอิ่ม
ทั้งสองมีความสุข ต่างพึ่งพาอาศัยและเป็นแรงบันดาลใจให้กัน


เขารู้ว่าต้องปลุกเธอแบบไหน เธอถึงจะตื่นอย่างสดชื่น
เธอก็รู้ว่า ต้องทำอาหารแบบไหนเขาถึงจะกินอย่างมีความสุข


การปลุกของเขาไม่เหมือนกันทุกวันหรอก
การทำอาหารของเธอก็ไม่เหมือนกันทุกวันหรอก


มีคนถามเขาว่า ไม่เบื่อบ้างหรือ ที่ต้องคอยปลุก
มีคนถามเธอว่าไม่เบื่อบ้างหรือ ที่ต้องคอยทำอาหาร
ไม่รู้สึกอะไรบ้างหรือ ที่ต้องฝากท้องไว้กับเธอ
ไม่รู้สึกอะไรบ้างหรือ ที่ต้องฝากชีวิตไว้กับเขา


วันหนึ่งจึงมีคนซื้อนาฬิกาปลุกมาให้เธอ
วันหนึ่ง จึงมีคนซื้ออาหารกึ่งสำเร็จรูปมาให้เขา


เขาและเธอเริ่มห่างเหิน
ร่างกายเขาทรุดโทรม
ร่างกายเธอทรุดโทรม


อาหารกึ่งสำเร็จรูปไม่รู้หรอกว่า วันนี้เขาต้องการกินแบบไหน มันทำได้แบบเดียว
นาฬิกาปลุกไม่รู้หรอกว่าวันนี้เธอต้องการตื่นตอนไหน มันปลุกได้เวลาเดียว


ทำไม ไม่มีใครถามว่า เขาและเธอเบื่อบ้างไหม
ทำไม ไม่มีใครถามว่า เขาและเธอรู้สึกอย่างไร
ไม่มีใครช่วยได้
ไม่มีใครสนใจ


เขาและเธอกลับไปหากัน
กลับไปเป็นเจ้าปลุกของเธอ และกลับไปเป็นแม่อิ่มของเขา
กลับไปชมดวงตะวันยามเช้าและดมกลิ่นกับข้าวพร้อม ๆ กัน


:b27: :b27: :b27:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.พ. 2010, 20:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 12:54
โพสต์: 96

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

แม่ชีจิโยโน ศึกษาเซ็นจากท่านบักโก แห่งสำนักเองคากุเป็นเวลานาน

แต่ไม่สามารถบรรลุผลแห่งสมาธิภาวนาเลย


ในที่สุด ณ คืนวันเพ็ญคืนหนึ่ง ขณะเธอกำลังหาบถังน้ำเก่า

ที่ดามด้วยซี่ไม้ไผ่ ไม้ดามหัก ก้นถังทะลุหลุดจากตัวถัง


ทันใดนั้น เธอก็เป็นอิสระ (จากกิเลส)

เธอเขียนกลอนไว้เป็นที่ระลึกบทหนึ่งว่า

"ฉันพยายามทุกวิถีทาง ที่จะรักษาถังน้ำเก่าๆ ใบหนึ่ง

เพราะไม้ท่อนนี้เปราะ ใกล้หักเต็มที

ในที่สุด ก้นถังก็ทะลุ

ไม่มีน้ำในถังอีกแล้ว

ไม่มีพระจันทร์ในน้ำอีกแล้ว"



:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.พ. 2010, 21:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 12:54
โพสต์: 96

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

พระอาจารย์เซ็นชื่อฮะกูอิน ได้รับยกย่องจากชาวบ้านว่าเป็นผู้ดำรงชีวิตอย่างบริสุทธิ์

ณ ที่ใกล้วัดของท่าน มีร้านขายของชำอยู่ร้านหนึ่ง

เจ้าของร้านมีลูกสาวสวยอยู่คนหนึ่ง จู่ๆ พ่อแม่ของหญิงสาวได้พบว่า
ลูกสาวของตนได้ตั้งท้องขึ้นได้ไม่รู้เบาะแสมาก่อน


เหตุการณ์นี้ทำให้เขาทั้งสองโกรธมาก จึงพยายามเค้นเอาความจริง

ลูกสาวก็ใจเด็ดไม่ยอมปริปากบอกว่าใครเป็นพ่อของเด็กในท้อง
แต่ในที่สุด เมื่อถูกบังคับขู่เข็ญหนักเข้าจึงหลุดปากออกมาว่า
พ่อของเด็กคือท่านอาจารย์ฮะกูอิน


สองตายายจึงวิ่งแจ้นไปด่าว่าอาจารย์ฮะกูอินด้วยความโกรธจัด

ท่านอาจารย์ย้อนถามว่า "ยังงั้นรึ"

เมื่อเด็กเกิดมาแล้ว พ่อแม่ของหญิงสาวได้นำแกไปให้อาจารย์ฮะกูอินเลี้ยง
มาถึงตอนนี้ชื่อเสียงของท่านได้เสื่อมไปหมดแล้ว
แต่ท่านก็ไม่รู้สึกทุกข์ร้อนอะไร เอาใจใส่เลี้ยงดูเด็กอย่างดี
โดยซื้อนมและอาหารที่จำเป็นสำหรับเจ้าหนูน้อยจากชาวบ้านข้างเคียง

หนึ่งปีให้หลัง แม่ของเด็กสุดที่จะทนดูเหตุการณ์ต่อไปได้
จึงสารภาพความจริงกับพ่อแม่ว่า พ่อที่แท้จริงของเด็กนั้นคือเจ้าหนุ่มที่ตลาดขายปลา
หาใช่ท่านอาจารย์ฮะกูอินไม่


สองตายายได้ฟังดังนั้นจึงรีบไปหาท่านอาจารย์ฮะกูอิน
ขอโทษขอโพยในความผิดของตนอย่างยืดยาวและขอรับเด็กกลับ

ท่านอาจารย์ฮะกูอินย้อนถามเช่นเดิมว่า

"ยังงั้นรึ"

แล้วนำเด็กมามอบให้

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.พ. 2010, 06:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 12:54
โพสต์: 96

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อยู่ใกล้สิ่งไร มักเป็นสิ่งนั้น

ชาวเขาอยู่ครอบครัวหนึ่งอาศัยอยู่หมู่บ้านบนดอย
เมื่อไฟฟ้าเข้าถึงหมู่บ้าน เลยอยากได้พัดลมมาใช้ซักตัวหนึ่ง
เห็นที่ร้านเจ๊กในเมืองเขาขายพัดลม เวลาเดินผ่านรู้สึกมันเย็นสบายดี
จึงได้ซื้อกลับบ้านมา 1 ตัว พอค่ำก็เรียกลูกเรียกเมียเข้านอน
พอรุ่งเช้าก็รีบหอบพัดลมมาคืนร้านเจ๊กทันที


พัดลมเป็นเหตุ

:b13: :b13: :b13:

ชาวเขา: เอาพัดลมมาคืนมันไม่ดี


เจ๊ก: มันเป็นอะไรล่ะ


ชาวเขา: เวลาเปิดพัดลมนอนกลางคืนมันหายใจไม่ออก


ลูกเลยไม่สบาย (อากาศบนดอยกลางคืนเย็นมาก)



เจ๊ก: ลื้อเอาพัดลมตั้งไว้ตรงไหนล่ะ


ชาวเขา: เอาไว้หัวที่นอน


เจ๊ก: ลื้อก็เอาไว้ที่ปลายเท้าซิจะได้หายใจออก

ตกค่ำชาวเขาก็เรียกลูกเรียกเมียเข้านอนเอาพัดลมตั้งไว้ที่ปลายเท้า


พอรุ่งเช้าชาวเขาก็รีบหอบพัดลมมาคืนร้านเจ๊กพร้อมโยนใส่หน้าเจ๊ก

ดังโครม...

ชาวเขา: เอาคืนไปเลย มันเสียแน่นอน


เจ๊ก: มันเป็นอะไรอีกล่ะ


ชาวเขา: อั๊วกับลูกกับเมียนอนไม่ได้หลับทั้งคืนเลย


เจ๊ก: ทำไมล่ะ!


ชาวเขา: ก็พัดลมแกนั้นแหล่ะ เหม็งยังกะส้งตีงเลย


เจ๊ก: !!!!!!!




ที่มาจาก http://variety.teenee.com/foodforbrain/23589.html


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 108 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 3, 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร