วันเวลาปัจจุบัน 04 พ.ค. 2025, 11:13  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ค. 2009, 00:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2009, 16:51
โพสต์: 11


 ข้อมูลส่วนตัว


หลักธรรมคำสอนของหลวงปู่เณรคำ ชุดขันติธรรม
พระอริยเจ้าละสังขาร ไม่มีแดนเกิดแห่งกายนี้อีก ไม่ว่าจะเป็นกายสัตว์ กายอะไรก็ช่าง กายละเอียดกายหยาบไม่มีอีกต่อไป
นักปฏิบัติต้องกำหนดรู้อยู่ในกายให้มาก ให้เห็นแจ้งรู้จริงในกายเมื่อกำหนดรู้ในกายเด่นชัดแล้ว ก็จะรู้เองโดยอัตโนมัติว่า จิตเป็นยังไง กายเป็นยังไง ไม่ต้องไปถามใคร
นักปฏิบัติต้องทบทวนดูพฤติจิตของตนเองให้ดี ให้เด่นชัด ให้ละเอียด เพราะกลเกมกลลวงของกิเลส ตัณหา อุปาทาน มันเฉียบคม
ขึ้นชื่อว่าเป็นนักปฏิบัติแล้ว อย่าเลือกที่ปฏิบัติ ที่ไหน ๆ ก็ปฏิบัติได้ทั้งนั้น ปฏิบัติให้ตื่นรู้อยู่ในกายทุกอากัปกิริยา
ขึ้นชื่อว่าเป็นนักปฏิบัติแล้ว ไม่พึงแสวงหาวัตถุอย่างอื่นอันนอกเหนือจากความหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด
การปฏิบัติธรรมนั้น แม้เกิดก็เกิดคนเดียว การจะเข้าถึงมรรคผล ก็เข้าถึงคนเดียว ธาตุขันธ์จะแตกดับก็แตกดับคนเดียว
การธุดงค์ป่านอก ไม่มีผลสำเร็จดีเท่ากับเดินจาริกอยู่ในป่ามหานครกายและป่าใจของตัวเอง

จงดำเนินองค์สติ ให้ตั้งมั่นเด็ดเดี่ยว ควบคุมความคะนองทางใจ สำรวมระวังความคิด เจริญกองบุญกุศลให้ถึงพร้อม และให้ละบาปอกุศลให้สิ้น
ไม่ยึดถือเอาสัญญาเป็นเจ้าของ หลุดพ้นออกจากสัญญาแล้วความขุ่นข้องหมองใจ ความพยาบาทปองร้ายก็ดับไป
พอใจในสิ่งที่เรามี พอใจในสิ่งที่ตนได้ ถ้าดิ้นรนมาก ก็จะกลายเป็นกิเลส ตัณหา
ท่านทั้งหลายที่เป็นสาธุชนนั้น ต้องอาศัยการให้ทาน ต้องอาศัยวัตถุทาน เป็นตัวนำจิตให้เข้าถึงบุญกุศล เป็นสิ่งที่ทำง่ายสำหรับท่านทั้งหลาย เป็นสิ่งที่ทำให้จิตใจของท่านทั้งหลาย ยิ่งใหญ่ขึ้นในภายภาคหน้า
การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารภพน้อยภพใหญ่นี้ มันทุกข์ร้อนมาก ๆ ผู้ไม่ปรารถนาที่จะมาเวียนว่ายตายเกิดอีก ต้องปฏิบัติตนรักษาศีล บำเพ็ญภาวนา ตั้งศรัทธาให้มั่นคง ปฏิบัติธรรมกำหนดรู้ถอดถอนความยึดมั่นถือมั่นในอารมณ์ทั้งปวง ถอดถอนความยึดถือในโลกทั้งปวง ในธรรมทั้งปวง ความเป็นตัวเป็นตน ความแบกหาม เอาสมมุติทั้งหลายทิ้งไปให้หมด สละไปให้หมด จึงได้ชื่อว่าเป็นผู้หลุดพ้นจากการเวียนว่าย ตายเกิด
ท่านผู้มีปัญญาย่อมมีธรรมปรากฏอยู่ในจิตใจเสมอ ปัญญาธรรมคือ สิ่งที่เลิศที่สุดในชาติปัจจุบัน
ธรรม ทั้งปวงนั้นคือ เครื่องเตือนให้ท่านทั้งหลายตื่นจากการหลับใหลในความยึดถือเอาเป็นเจ้าของ ให้รู้จักส่งคืนสิ่งยึดติดทั้งปวง ด้วยธรรมอันจิตไม่ยึดมั่น เห็นเด่นชัดนั่นเป็นสักแต่ว่า

นักปฏิบัติต้องใช้สติปัญญาที่เฉียบคม ทบทวนดูผลของการปฏิบัติที่ผ่านมาให้ละเอียดมากลงไปเรื่อย ๆ ว่ากิเลส ตัณหา อุปาทานที่ฝังแน่นอยู่ในจิตใจนั้น มันหมดไปมากน้อยแค่ไหน และทบทวนดูสภาพจิตของตัวเองให้ลุ่มลึกลงไปให้มาก ทุกอย่างเกิดขึ้นแล้ว ทุกอย่างต้องดับไป
นักปฏิบัติต้องทบทวนดูสิ่งที่ตนเห็นให้ดี เพราะสิ่งที่เห็น คือ อุปาทาน คือความยึดมั่นถือมั่น เมื่อเห็นแล้วเดินจิตปลงลงสู่ความไม่ยึดถือ เดินกระแสจิตเข้าสู่ความดับ พอมันหลุดไปหมดแล้ว จะเห็นอะไรมันก็เห็นเป็นปกติ
นักปฏิบัติต้องใช้ปัญญาพิจารณาดูรูป เวทนา ให้เด่นชัด เมื่อเด่นชัดแล้ว จิตก็จะถอดถอนออกโดยอัตโนมัติ เห็นเป็นเพียงสมมุติเท่านั้น
สาธุชนทั้งหลายอย่าเห็นฤทธิ์เดชเหล่านั้น สำคัญกว่าการละกิเลสให้ได้เด็ดขาดอย่างแท้จริง
ท่านทั้งหลาย เราอย่าเข้าใจว่าพระพุทธเจ้านั้นสอนให้เราสร้างแต่บุญเพื่อไปเกิดในสวรรค์ อย่างเดียว แต่หัวใจของพระพุทธเจ้าที่เน้นหนักลงมา คือ ให้เราได้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดตามพระองค์
อุเบกขา นั้นไม่ใช่การวางเฉยไปเลย แต่เป็นการเฝ้าดูโดยความสงบนิ่งของจิต ไม่มีอารมณ์อื่นแทรกแซง ท่านทั้งหลายจงมีอุเบกขาแบบอุเบกขาผู้มีปัญญา อุเบกขาแบบผู้มีปัญญา คือ การเฝ้าดูอยู่ไม่ให้ตนเองพลาดพลั้ง ไม่มีสิ่งที่ไม่ดี ไม่มีสิ่งที่เป็นอกุศล
เนื้อแท้ของธรรมชาติในโลกวัฏฏทุกข์นั้น ล้วนแล้วไม่ยั่งยืน แปรปรวนอยู่ตลอดกาลตลอดสมัย จึงให้ทุกท่านเข้าไปรู้ความจริงของธรรมชาติแห่งวัฎฎทุกข์นั้น ด้วยสติปัญญาอันสุขุมละเอียด และด้วยใจที่เด็ดเดี่ยว ความจริงแจ้งชัดหายสงสัยปรากฏอย่างที่สุด หลุดพ้นทันที
ความโง่ในโลก ที่เราโดนหลอกเอย คนนั้นหลอก คนนี้หลอก มันไม่ใช่ความโง่ที่เรียกว่าหนักหนาอะไร แต่ที่หนักคือ เราโง่ให้กิเลสมาสับรางจิตใจของเรา ให้ไปผิดทาง
ยุคนี้ คือ ยุคที่เราจะทำให้เป็นดั่งสมัยพุทธกาล คือ ให้มีผู้บรรลุสำเร็จเป็นอรหันต์มากที่สุด ทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์
จิตที่หลงยึดติด ว่าเราเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เราบรรลุแล้วจบสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว จิตที่หลงนี้ ต้องกลับมาเกิดใหม่และนำเอาจริตเดิม สันดานเดิมที่หลงติดไปด้วย
ถ้าเรารักษาศีลไม่ดีก็เท่ากับว่าเรายังไม่แจ้งในศีล ถ้าเราบำเพ็ญภาวนาไม่ดีก็เท่ากับว่าเราไม่แจ้งในสติ ถ้าเราไม่มีความตั้งมั่นเพียงพอเท่ากับเราไม่ตั้งมั่นในสมาธิ ถ้าเราไม่มีความรู้เท่าทันกิเลสตัณหาอุปาทานเท่ากับเราไม่รู้แจ้งในปัญญา
ถ้าเราได้จาบจ้วงพระอริยเจ้าองค์หนึ่ง ก็เหมือนเราได้จาบจ้วงทั้งหมด ทั้งพระพุทธเจ้าทั้งพระอรหันต์เจ้าทั้งหลาย ตั้งแต่ครั้งอดีตกาลจนถึงปัจจุบันกาลนี้ ผลกรรมนั้นมันหนักหนาสากรรจ์มาก
ให้เฝ้าดูอาการของจิตจนรู้จิตเด่นชัด การบรรลุธรรมจะปรากฎ รู้จิตเห็นธรรม
จิตที่หลุดพ้นนั้น เหนือบุญ เหนือบาปทั้งปวง
ทุกคนจงมาทำให้แจ้งในปัจจุบันนี้เลย อย่าทำเพื่อชาติหน้า อย่าทำเพื่ออนาคตอันยืดเยื้อยาวไกลไปมาก ทำปัจจุบันให้มันแจ้ง แจ้งทั้งกาย ให้มันแจ้งทั้งจิตใจ อย่าให้มีข้อลังเลสงสัย อย่าให้มันเกิดการพวักพวงให้มันแจ้งไปหมด
การขับเคลื่อนของสติปัญญานั้น ต้องเดินอย่างต่อเนื่อง
เมื่ออำนาจสติมีกำลังพอเพียง จะสามารถเห็นความเป็นจริงได้ว่าสภาพจิตและกาย ไม่ได้เป็นเนื้ออันเดียวกัน มันแยกกันอยู่
สัญญานั้นเหมือนเพลิงที่มาเผาจิตของเวไนยสัตว์ไม่ให้หลุดพ้น ออกจากกองทุกข์
คำว่าขณะที่ปฏิบัตินี่ ไม่ใช่เฉพาะชั่วโมงนั้นชั่วโมงนี้นะ มันทุกอากัปกิริยา ทุกสภาวะในปัจจุบันนั้น ๆ แต่ละลมหายใจเข้า – ออก แต่ละเวลา แต่ละชั่วโมง แต่ละนาที สภาพปัจจุบันด้วย
ยศถา บรรดาศักดิ์ อายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาณทั้งหมดเกิดขึ้นแล้วในโลกนี้ เราก็ไม่ได้เอาไปด้วย เป็นสักแต่ว่าสมมุติในโลกนี้แค่นั้น ท่านจะเป็นมนุษย์ผู้มีสมบัติใหญ่โต มีชื่อแปลก ๆ มีรถยนต์นั่นคือเครื่องสมมุติ ผู้ที่บำเพ็ญตนให้พ้นจากกิลสตัณหา เห็นสมมุติเหล่านั้นให้เด่นชัด เห็นทุกอย่างเป็นสมมุติ รู้สมมุติเหล่านั้นแล้วทิ้งสมมุติเป็นแดนเกิด ภพชาติจึงดับไป
หัวใจแก่นแท้ของนักปฏิบัติธรรมตามธรรมคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ ความไม่ยึดถือเอาเป็นเจ้าของในสิ่งทั้งปวง
คำว่าปฏิบัติให้ดี ปฏิบัติให้ต่อเนื่อง คือ ไม่ให้เผลอ ไม่ให้หลงลืม ไม่ให้ด่างพร้อยไปตามอารมณ์
การบำเพ็ญต้องบำเพ็ญด้วยสติล้วน ๆ ปัญญาล้วน ๆ ไม่ไปหลงกับอำนาจสมาธิ อำนาจความสุข ความปิติบางอย่าง ต้องตั้งสติให้มั่นคงเด็ดเดี่ยวขึ้นกว่าเดิม ตั้งกำลังปัญญาให้มันแกร่งขึ้นมากกว่าเดิมพิจารณาให้มันแตกฉานไปเสียหมดเลย จึงจะหลุดพ้น
การบำเพ็ญนั้น ต้องบำเพ็ญด้วยความเด็ดเดี่ยว คำว่าเด็ดเดี่ยวหลักสำคัญ คือ ไม่ต้องไปลังเลสงสัยกับคนอื่น ไม่ต้องไปสนใจกับเรื่องอื่น ให้นั่งทำใจของตนให้สงบระงับ ไม่ฟุ้งซ่านปรุงแต่งไปตามอารมณ์ต่าง ๆ
การบำเพ็ญต้องหลีกเว้นออกจากสิ่งที่เคยยึดถือยึดมั่นทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหนังเอ็นกระดูก เป็นตัวเริ่มต้นเลยในการถอน เมื่อเราไม่ได้ยึดมั่น ถือมั่นเป็นเนื้อหนังเอ็นกระดูกแล้ว อย่างอื่นมันไม่ยึดถือกันอัตโนมัติ
สภาพสติปัญญาที่จะน้อมนำธรรมคำสอนเข้าฝังในหัวใจ จะเข้าไปในจิตใจมากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับกำลังสติปัญญาของแต่ละคนแต่ละท่านที่ได้สั่งสมมาตั้งแต่อดีตชาติ จนถึงปัจจุบันชาตินี้ เพราะว่าการบำเพ็ญบารมี ไม่ว่าจะเป็นการบำเพ็ญด้วยการให้ทาน รักษาศีล ภาวนา ของแต่ละคน แต่ละท่านนั้น สะสมกำลังบารมีส่วนนี้มาแตกต่างกัน

ยิ่งรู้แจ้งในกายมากเท่าไหร่ สติปัญญายิ่งมีกำลังมากขึ้นเท่านั้น
ยอดที่สำคัญที่สุด คือ จิตใจของสาธุชนทั้งหลายนั้น ต้องให้ถึงที่สุดแห่งองค์พุทธะ ให้ถึงที่สุดแห่งองค์ธรรมะ และให้ถึงที่สุดแห่งองค์พระสังฆอริยเจ้า ด้วยเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จิตนี้รวมเป็นหนึ่งหมุนเข้าสู่ความเป็นพระอริยเจ้านั้น นั่นแหละคือว่า เราได้ทำให้ถึงยอดของพระพุทธศาสนา
นิพพานนั้นไม่มีแดนเกิด นิพพานนั้นดับได้หมดเลย นิพพานเหนือโลกทั้งมวล เหนือโลกแห่งการเวียนว่ายตายเกิดทั้งหมด
สาธุชนท่านใดปรารถนาให้ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายในการเกิด ต้องทำให้แจ้งในมหานครกายและมหานครใจ แจ้งจนหายสงสัย เมื่อหายสงสัยแล้ว ส่งคืนไม่ยึดถือเอาเป็นเจ้าของ
แม้ว่าเราจะอยู่ในวัตถุของโลก แต่จิตเราไม่ยึดติดในวัตถุของโลก เหมือนกับน้ำบนใบบอนที่ใสสะอาด แม้อาศัยอยู่ในใบบอน แต่ก็ไม่ได้ติดด้วยใบบอนนั้น
ถ้าจะหลุดพ้นแท้ ๆ คือ ไม่เป็นในสิ่งที่เป็น ไม่มีสิ่งที่เป็นยึดถือในหัวใจ
หลุดพ้นออกจากความหลุดพ้น นี่คือ ที่สุดของการปฏิบัติ
การบรรลุมรรคผล จิตนั้นจะไม่มีอะไรแทรกแซงในจิตเลย แม้แต่ความเห็นว่า จิตของตนนั้นใสดั่งแก้ว ก็ไม่มีเลย
การเดินย่ำไปในโลกธรรม ถ้าจิตเหนื่อยล้าก็จงพักเอากำลังแห่งสติปัญญาอันกล้าหาญ ไม่หวั่นไหวในสภาพทั้งปวง โลกธรรมมันยาวไกลไม่สิ้นสุด จิตหลุดพ้นแล้ว แม้โลกธรรมจะแสนไกลไร้ความหมาย เจริญธรรมอันเลิศแด่ท่านผู้ประเสริฐ
ความเชื่อในทางโลกนั้นมีกำลังมากกว่าความเชื่อในทางธรรม เพราะว่าทางโลกนั้นมีรูปธรรมสัมผัสได้จับต้องได้ แต่ทางธรรมนั้นต้องใช้สติปัญญา มันจับต้องไม่ได้ด้วยมือเปล่า แต่กำหนดรู้เข้าไปที่จิตสำนึกได้เท่านั้น ผู้ที่จะเข้าถึงธรรมได้ ต้องเป็นผู้ที่ตั้งใจปฏิบัติตั้งมั่นศรัทธาในศาสนาจนแก่กล้าจึงจะเข้าถึงราก ได้


เพชรน้ำหนึ่งที่มีค่าที่สุด เหนือโลกทั้งปวงก็คือ สภาวะจิตที่เปี่ยมล้นด้วยปัญญา
สิ่งที่พิสูจน์ผลของการปฏิบัติที่สำคัญยิ่ง ก็คือ ความคิดนี่แหละ ถ้าคุมความคิดไม่ได้ อย่าฝันเลยพระอริยเจ้า
ผู้ที่บำเพ็ญตนให้พ้นจากกิเลส ตัณหา เห็นสมมติเหล่านั้นให้เด่นชัด เห็นทุกอย่างเป็นสมมติ รู้สมมติเหล่านั้นแล้ว ทิ้งสมมติเหล่านั้น ไม่ได้ยึดถือเป็นเจ้าของ
การส่งคืน คือ การไม่ยึดถือยึดมั่นกับสิ่งที่เคยเป็น เคยอยู่ ทั้งอดีต ทั้งปัจจุบัน
อุเบกขาธรรมนั้นยิ่งใหญ่มาก คุณธรรมนี้คือที่สุดแห่งคุณธรรมในพระพุทธศาสนา
จิตละเอียดมากเท่าใด ธรรมยิ่งละเอียดมากเท่านั้น
ความบริสุทธิ์แห่งใจ เป็นตัวการแห่งการดับซึ่งนิพพาน นิพพานเป็นสมมติ สมมติเป็นนิพพาน หาเจ้าของมิได้เลย นิพพานไม่ใช่เรา เรามิใช่นิพพาน
ความประเสริฐแห่งใจ หาเจ้าของไม่ได้ แม้ใจจะประเสริฐมากเพียงใด ก็ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตนเราเขา ไม่ควรยึดถือ เราไม่ใช่ประเสริฐ ประเสริฐไม่ใช่เรา
กราบธรรมสิ ร่างกายเหมือนกัน
อย่าไปมองธรรมในที่อื่นไกล ธรรมไม่ได้อยู่ที่โบสถ์ วัด ศาลา แต่ธรรมอยู่ที่ใจของเรา
การปฏิบัติธรรมของเรา ที่เราได้ผลเร็ว เพราะว่าในอดีตชาติ เราเคยทำมาก่อน มันไม่ได้เสื่อมไปไหน
เมืองหลวงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก คือ กาย จึงเรียกว่า มหานครกาย เมืองหลวงที่วุ่นวายที่สุด ก็คือ มหานครใจ
ธรรมคุ้มครองท่านทั้งหลาย ยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดในโลก
ธรรมอยู่กับกายนี่แหละ ถ้าเราพิจารณาให้แจ่มแจ้ง หายสงสัย ธรรมก็อยู่ที่นี่
สิ่งที่จะป้องกันความโลภได้ ป้องกันความโกรธได้ ป้องกันความหลงได้ ก็คือ อำนาจธรรม เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ก่อนที่ธรรมจะปรากฏเกิดขึ้นในหัวใจ อย่างเต็มความสามารถ โดยรู้ทั่วพร้อมว่า ธรรมมีในใจแล้วนั้น ก็ต้องอาศัยกำลังของสติ สมาธิ ปัญญา ต้องอาศัยกำลังของการปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ พูดดี พูดชอบ คิดดี คิดชอบ ฉะนั้น ธรรมจึงไม่จำเป็นต้องออกมาที่วาจา ที่ปาก หลอดเสียงอย่างเดียว แต่สภาวะธรรมที่หลวงปู่ให้มีอยู่ในปฏิปทา ธรรมอยู่ในสภาวะปัจจุบันของเราทุกคน
ที่สติ สมาธิ ปัญญา มันไม่เกิด ไม่ต่อเนื่อง ไม่มีความเข้มแข็ง ก็เพราะว่า ความคิดฟุ้งซ่านปรุุ่งแต่งในอกุศลของเรา มันมีมาก มันปิดบัง มันไม่เปิดทางให้
สติ สมาธิ ปัญญา เป็นอาหารทางจิตที่ดีเลิศที่สุด จิตที่มีสติ สมาธิ ปัญญา เมื่อรวมกันเป็นหนึ่ง จึงเป็นจิตที่สมบูรณ์ แต่ก็ยังไม่ได้หลุดพ้น ยังคงเป็นธรรมที่อยู่ในโลกโลกียธรรม ยังไม่ใช่โลกุตตรธรรม ยังไม่ใช่ถึงขั้นพระอริยบุคคล ขั้นใดขั้นหนึ่ง แต่เป็นธรรมชั้นเลิศสำหรับโลกียธรรม ผู้ที่กำลังก้าวเข้าสู่โลกุตตรธรรม จะมีภาวะอย่างนี้
บาป อกุศลนี่ เราจะดับให้มันหายไป มันดับไม่ได้ แต่ถ้าเราหยุดการสร้างใหม่ มันจะหมดไปเอง เพราะเราไม่ได้สร้างเพิ่มขึ้น ที่มีอยู่เราก็ใช้กรรมไป สร้างเวรสร้างกรรมอะไรมา เราก็ใช้ไปให้หมด แต่เราอย่าสร้างกรรมใหม่ สิ่งที่จะสร้างกรรมใหม่ ก็คือ ความคิดนี่แหละ ที่มันไม่มีอะไรไปควบคุมมันไว้ มันคิดอะไรขึ้นมา มันก็จะทำอันนั้นให้ได้ ความคิดในปัจจุบันนี้สำคัญมาก เฝ้าระวังความคิด ซักฟอกความคิด ในปัจจุบันนี้ ให้เป็นความคิดที่สะอาดในเบื้องต้น อำนาจขององค์บริกรรม เมื่อผลมันเกิดขึ้นก็เพื่อว่า ให้มีสติ สามารถควบคุมความฟุ้งซ่านได้ ผลของการบริกรรม พุทโธ ลมเข้าออก ล้วนมีจุดประสงค์ก็คือ การเข้าไปสงบระงับความคิด ที่มันรุ่มร้อน แผดเผาให้มันสงบลง เพื่อไปควบคุมความคิด ฟุ้งซ่านปรุงแต่งนั่นเอง ซึ่งความคิดฟุ้งซ่านปรุงแต่งนี้ เป็นลักษณะกิริยาอาการของความคิด ความคิดก็เป็นลักษณะกิริยาอาการของจิตถ้าความคิดไม่สะอาด ก็ไม่สามารถ สร้างสติ สมาธิ ปัญญา ให้ไปรวมเป็นหนึ่งในดวงจิตได้
พอเราเริ่มต้นในการฟอกความคิดของเราให้มันเป็นความคิดที่ใสสะอาดแล้ว สรีระธาตุขันธ์นี่ก็จะโดนฟอกไปด้วย เรียกว่า ฟอกกาย ด้วยอำนาจที่เราฟอกความคิดของเรา ให้เป็นความคิดที่ใสสะอาดแล้ว สรีระธาตุขันธ์ตรงนี้ก็จะโดนฟอกไปด้วย จิดก็จะโดนฟอกไปด้วย เป็นอัตโนมัติในตัวพร้อมกัน
ดอกไม้ที่งามที่สุด อยู่ในใจของเรา ใจที่มีพรหมวิหารธรรมนั่นเอง
เจตนาของพระพุทธเจ้า หรือพระคุณเจ้าที่เผยแผ่ ท่านไม่ได้เผยแผ่เลขยันต์ หรือว่า วัตถุมงคล แต่ท่านเผยแผ่ธรรมะ
เวลาที่จิตมันนิ่ง มันสุขุมละเอียดแล้วนี่ ผลเกิดจากการปฏิบัติ ไม่มีการเสื่อมแน่นอน เพราะระหว่างที่เราบำเพ็ญนี่ มันถอดถอน มันทิ้งไปหมดเลย มันตัด มันประหัตประหาร ภาวะที่มันเคยผูกมัด เคยยึดมั่น เคยกำหนัด ยินดี เคยเพลิดเพลินหลงใหล ทิ้งขาดสะบั้นไปหมด
นิพพานไม่มีขอบเขต อาณาจักร ความสว่างยิ่งกว่าดวงอาทิตย์ และ ดวงจันทร์
นิพพานเป็นของเย็น โลกเป็นของร้อน แต่เมื่อเสวยธาตุขันธ์อยู่ จึงต้องอาศัยโลกอยู่ แม้ว่าจะเสวยธาตุขันธ์อยู่ในโลก แต่นิพพานก็ยังปรากฏชัดอยู่
เราดูธรรมชาติในโลกไป เราก็อำลาไปด้วย ธรรมชาติในโลกเหล่านี้ ไม่ใช่ที่ๆ เราจะหันกลับมาเกิดอีก เราจึงดูโลกตามวิถีแห่งการอำลาครั้งสุดท้าย โดยไม่ได้ยึดถือ ไม่ได้ยึดมั่น เอาเป็นตัวตน
เพชร หรือ คริสตัล ที่ว่าบริสุทธิ์นั้น เกิดจากธรรมชาติของโลก เพชรที่ว่าบริสุทธิ์ยังไม่บริสุทธิ์เท่าอัฐิพระอรหันต์
ทางไปสวรรค์นั้นกว้าง แต่ไม่ค่อยมีผู้สนใจจะเดิน นรกไม่มีประตู แต่คนจำนวนมากชอบเจาะช่อง เพื่อที่จะมุดเข้าไป
กรุณารักษาความสงบด้วย กายสงบ วาจาสงบ ใจสงบ เพื่อความเป็นไปในบุญอันแท้จริง ขอให้ทำใจให้โล่งเบา งดงาม ผ่องแผ้ว
น้ำเน่าหยดเดียว จะทำให้น้ำทะเลเน่าไม่ได้
ภพชาติทั้งหลาย แม้จะเป็นกษัตริย์ หรือจะเป็นยาจก หรือจะเป็นปุถุชนคนธรรมดา หรือจะเป็นสัตว์เดรัจฉาน ต่างก็เป็นภพชาติที่อยู่ในวังวนแห่งการเวียนว่ายตายเกิดทั้งสิ้น


โดยพระเดชพระคุณท่านหลวงปู่เณรคำ ฉัตติโก


เราหาความทุกข์ทางใจไม่มีอีกแล้ว
ทั้งสุขแลทุกข์ก็หายไปจากใจ
มีไว้เพียงทุกข์เวทนาส่วนกายเท่านี้
ดวงใจอันนี้ไม่ได้หวั่นไหวในทุกข์เวทนาทั้งส่วนกาย และสุขส่วนใจ
ไม่ยึดฝ่ายสุข ไม่ยึดฝ่ายทุกข์
เรามีธรรมเป็นอาหารทางใจ
อันธรรมนี้หล่อเลี้ยงใจเราตลอดกาล
อย่าไปยึดถือ เอาเป็นตัวตน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.ค. 2009, 09:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


สาธุ สาธุ สาธุค่ะ

ขอบคุณค่ะ...สำหรับธรรมะดีดีที่นำมาฝากกัน

ธรรมะสวัสดีค่ะ

รูปภาพ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร