วันเวลาปัจจุบัน 29 ก.ค. 2025, 06:16  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


“อภิธรรม (สันสกฤต: abhidharma) หรืออภิธัมมะ (บาลี: abhidhamma) เป็นชื่อปิฎกศาสนาพุทธฉบับหนึ่งในปิฎกทั้งสามฉบับที่รวมเรียก "พระไตรปิฎก" อภิธรรมแปลว่าธรรมอันยิ่ง ปิฎกฉบับอภิธรรมนั้นเรียก "พระอภิธรรมปิฎก" ซึ่งว่าด้วยประมวลหลักธรรมและคำอธิบายที่เป็นหลักวิชาล้วนๆ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์และบุคคลเลย”



กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: เมื่อวานนี้, 14:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8589


 ข้อมูลส่วนตัว


๑๐. นิกันติ (ความติดใจ)
คำว่า นิกันติ ได้แก่ วิปัสสนานิกันติ (ความติดใจในวิปัสสนา) ก็นิกันติอย่างสุช่างสุม
มีอาการสงบ ทำความใยดีในวิปัสสนาอันประดับประดาไปด้วยวิปัสสนูปกิเลส มีโอภาส
เป็นต้น ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอไม่อาจแม้แต่จะกำหนดจับได้ว่ามันเป็นกิเลส ย่อมเกิดขึ้นแก่โยคีนั้น
ด้วยประการฉะนี้. (อธิบายข้อ ๑๐)
สรุปตอนท้ายแห่งวิปัสสนูปกิเลส

ก็เมื่อโอภาสเกิดขึ้นฉันใด ในบบรรดาวิปัสสนูปกิเลสที่เหลือมีญาณเป็นต้นตามที่ได้
แสดงแล้วเหล่านี้ เมื่อวิปัสสนูปกิเลสอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น ก็เหมือนฉันนั้น โยคาวจร
"ก่อนแต่นี้ ญาณเห็นปานนี้ ไม่เคยเกิดขึ้นแก่เราเลยหนา, ปีติ, ปัสสัทธิ,
อธิโมกข์, ปัคคหะ, อุปัฏฐานะ, อุเบกขา, นิกันติเห็นปานนี้ ไม่เคยเกิดขึ้นแก่เราเลยหนา
เราคงเป็นผู้บรรลุมรรค เป็นผู้บรรลุผลแล้วแน่นอน" ดังนี้แล้ว ย่อมถือเอาสิ่งที่มิใช่มรรค
เลยว่า "เป็นมรรค" สิ่งที่มิใช่ผลเลยว่า "เป็นผล" เมื่อโยคาวรนั้นถือเอาสิ่งที่มิใช่มรรค
เลยว่า "เป็นมรรค" สิ่งที่มิใช่ผลเลยว่า "เป็นผล" วิปัสสนาวิถีย่อมเป็นอันชะงักไป
โยคาวจรนั้นละมูลกัมมัฏฐานของตน นั่งชมอยู่แต่นิกันติอย่างเดียว.
(eto๔) (๒๙๐) บทว่าว่า ตสฺส โยค อุทยพฺพยญาณํ มตฺถกํ ปาเปนฺตสฺส โยคิโน
แปลว่า แก่โยคีนั้นผู้ยังอุทยัพพยญาณให้ถึงจุดสุดยอด. ในที่นี้ พึงทราบการพินิจและการ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: เมื่อวานนี้, 16:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8589


 ข้อมูลส่วนตัว


พิจารณา คือการพิจารณาเห็นควานเกิดขึ้นและความเสื่อมไป โดยนัยเป็นต้นว่า รูปที่เกิดขึ้น
อย่างนี้บ้าง รูปเสื่อมไปอย่างนี้บ้าง วชิราวุธที่จอมเทพซัดไปเป็นของไม่เปล่าประโยชน์ และ
อะไรขัดขวางไม่ได้ ฉันใด ญาณแม้นี้ก็ละเอียด ในการเห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมไป
ฉันนั้น เพราะเหตุนั้น ท่านอาจารย์จึงกล่าวว่า ดังวชิราวุธของพระอินทร์ที่ปล่อยออกไป
แล้ว ฉะนั้น เป็นต้น. ในคำว่า คม คือ ไม่ที่อ. คำว่า กล้า คือ มีเดช. คำว่า เฉียบแหลม
ยิ่ง คือ ญาณอันชัดแจ้งยิ่งกันที่จะปรียบได้ ด้วยความเป็นญาณที่พ้นแล้วย่อมเกิดขึ้น
จริงอย่างนั้น โยคีย่อมสำคัญว่า เราเป็นผู้บรรลุมรรรรคแล้วด้วยญาณนี้

คำว่า วิปัสสนาปิติ ได้แก่ ปิติอันสัมปยุตด้วยวิปัสสนาจิต. ปิติทั้งหลายมีขุททกาปิติ
เป็นตัน ข้าพเจ้าได้พรรณาไว้แล้วในหนหลังนั้นเอง เพราะเมื่ออุทยัพพยานุปัสสนาดำเนิน
ไปสู่วิถีแล้ว ย่อมเกิดปีติ ๕ ประการ โดยลำดับ. ฉะนั้น ท่านอาจารย์จึงกล่าวว่า ปิติ ๕
อย่างนี้ ฯลฯ ย่อมเกิด ดังนี้. ส่วนผรณาปิติอย่างเดียวย่อมมีพร้อมกับอุทยัพพยญาณที่
ถึงจุดสุดยอด. ก็ผรณาปิติย่อมมิได้เหมือนกัน แม้ในกาลอื่นจากขณะอุปจารและอัปปนา
ด้วยเหตุนั้น ท่านอาจารย์จึงกล่าวว่า ย่อมเกิดเต็มทั่วสรีระ

ยุคฬธรรมทั้ง ๖ มีปัสสัทธิเป็นต้น ไม่พรากกันและกัน เพราะเหตุนั้น เมื่อปัสสัทธิ
เกิดขึ้น แม้ธรรมนอกนี้ก็เกิดขึ้นด้วยเหมือนกัน เพราะเหตุนั้น ท่านอาจารย์เมื่อจะแสดง
ธรรมชาติทั้งหมดนั้นโดยหัวข้อ คือการแสดงกิจ จึงกล่าวคำเป็นต้นว่า ความกระวนกระ-
วายแห่งกายและจิตก็ย่อมไม่มีเลย ฯ ความหนักแห่งกายและจิตก็ไม่มี ฯ. ในคำนั้นด้วย
ศัพท์ว่า กาย พึงทราบกายถือเอาเเม้รูปกาย ไม่ใช่ถือเอาทันธ์ ๓ มีเวทนาเป็นต้นนั่นเทียว
เพราะว่าธรรมทั้งหลายมีกายปัสสัทธิเป็นต้น ย่ำยีความกระวนกระวายเป็นต้น แม้แห่ง
รูปกาย กายและจิต ชื่อว่า ย่อมระงับ เบา อ่อน ควรแก่การ แจ่มใส ตรงอย่างเดียว
เพราะวัปัสสนาจิตตุปบาทเป็นในเวลานั้น ด้วยอำนาจทำลายเสียซึ่งสังกิเลสิกธรรม มี
อุทธัจจะเป็นต้น มีถีนมิทธะเป็นต้น มีนิวรณ์ที่เหลือเป็นต้น มีอสัทธิยะเป็นต้น มีมายาและ
สาไถยเป็นตัน ชื่อเป็นเหตุแห่งความที่กายและจิตเหล่านั้น เป็นธรรมชาติไม่ระงับเป็นต้น
คำว่า ในสมัยนั้น คือในสมัยที่อุทยัพพยญาณเกิดขึ้นนั้น ความยินดีนี้ของมนุษย์ทั้งหลาย
เหตุนั้น จึงชื่อว่า มานุสี ได้แก่ ควานยินดีในความสุขอันควรมนุษย์, แม้ความยินดีอัน
เป็นทิพย์ก็สงเคราะห์เข้าด้วย เพราะไม่เป็นไปล่วงภาวะที่มนุษย์ผู้วิเศษทั้งหลายเช่นนั้นจะ
พึงเสวย. อีกอย่างหนึ่ง แม้ความยินดีอันเป็นทิพย์ก็สงเคราะห์เข้าด้วย เพราะเป็นเหมือน

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: วันนี้, 03:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8589


 ข้อมูลส่วนตัว


กับความยินดีของมนุษย์, ความยินดีไม่ใช่ของมนุษย์ เพราะก้าวล่วงความยินดีของมนุษย์
นั้น เหตุนั้น จึงชื่อว่า อมานุสี แปลว่า ไม่ใช่ของมนุษย์.
คำว่า สู่สุญญาคาร ได้แก่ สู่เสนาสนะอันสงัดแห่งใดแห่งหนึ่ง หรือสู่วิปัสสนานั้น
เอง. ก็วิปัสสนาแม้นั้นย่อมได้ภาวะที่จะพึงพูดได้ว่า สุญญาคาร เพราะเป็นคุณชาติว่างจาก
ความเป็นของเที่ยงเป็นต้น และเพราะควานเป็นที่อาศัยอย่างเป็นสุขของโยคี. ชื่อว่า ผู้มี
จิตสงบ เพราะความปราศจากกิเลสอันกระทำความไม่เข้าไปสงบแห่งจิต. ชื่อว่า แก่ภิกษุ
เพราะการเห็นภัยในสงสาร. ชื่อว่า เห็นแจ้งอยู่ คือ ด้วยอำนาจกพิจารณาเห็นความ
เกิดขึ้นและความเสื่อมไปเป็นต้น แห่งรูปธรรมและอรูปธรรม โดยชอบ คือ โดยถูกต้อง
ชื่อว่า ไม่ใช่ของมนุษย์ คือ ไม่ใช่วิสัยของมนุษย์ทั้งหลายที่ยังไม่ได้เริ่มวิปัสสนาพิจารณาอยู่.
ความยินดี ที่รู้กันว่าปิติและสุขในวิปัสสนา ย่อมมีเนื้อความดังกล่าวมานี้ เป็นความย่อแห่ง
คาถาในอธิการนี้ ส่วนคาถาที่ ๒ ท่านอาจารย์กล่าวหมายเอาอุทยัพพญาณอย่างเดียว
ในคาถาที่ ๒ นั้น สองบทว่า ยโต รูปโต รูปโต วา อรูปโต แปลว่า ทางร฿ปขันธ์หรือทาง
อรูปขันธ์ใด ๆ.
(๒๗๑) คำว่า วิปัสสนาสุข ได้แก่ สุขทางใจอันสัมปยุตด้วยวิปัสสนาจิต เพราะ
กายทั้งหมดย่อมเป็นสภาพอันรูปทั้งหลายอันประณีตยิ่ง ซึ่งตั้งขึ้นแต่สุขทางใจนั้น สัมผัส
โดยรอบและเพิ่มพูนโดยรอบแล้ว. ฉะนั้น ท่านอาจารย์จึงกล่าวว่า ที่แผ่ไปทั่วร่างกาย

คำว่า อธิโมกข์ ได้แก่ ศรัทธา อธิบายว่า ไม่ใช่อธิโมกข์ที่เป็นเยวาปนกเจตสิก. ก็
ในที่นี้ ศรัทธานั้นเป็นไปด้วยอำนาจการเชื่อกรรมและผลแห่งกรรม หรือด้วยอำนาจการ
เชื่อพระรัตนตรัยหามิได้ โดยที่แท้ เป็นเหตุผ่องใสเกินเปรียบแก่สัมปยุตธรรมทั้งหลาย
ด้วยปราศจากความขุ่นมัวคือกิเลส. ด้วยเหตุนั้น ท่านอาจารย์จึงกล่าวว่า ศรัทธาที่สัมปยุต
กับวิปัสสนา ฯลฯ ย่อมเกิดขึ้น ดังนี้.
วิริยะที่เป็นไปสม่ำเสมอพร้อมแล้ว ด้วยกำลังภาวนาที่เกิดขึ้นก่อน ชื่อว่า ปัคคหะ
เพราะประคองจากโกสัขชะซึ่งเป็นฝักผ่ายแห่งสังกิเลส. ด้วยเหตุนั้น ท่านอาจารย์จึงกล่าว
ว่า คำว่า ปัคคหะ ได้แก่ วิริยะ เป็นต้น.
คำว่า เข้าไปตั้งอยู่อย่างดี คือ ที่เข้าไปตั้งอยู่ด้วยดีในอารมณ์โดยการกำหนดสภาวะ
คำว่า ตั้งขอยู่อย่างมั่นคง คือ ตั้งอยู่ด้วยดี เพราะเป็นธรรมชาติอันอารมณ์นั้นให้หวั่นไหว

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร