วันเวลาปัจจุบัน 16 พ.ค. 2025, 13:49  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


“อภิธรรม (สันสกฤต: abhidharma) หรืออภิธัมมะ (บาลี: abhidhamma) เป็นชื่อปิฎกศาสนาพุทธฉบับหนึ่งในปิฎกทั้งสามฉบับที่รวมเรียก "พระไตรปิฎก" อภิธรรมแปลว่าธรรมอันยิ่ง ปิฎกฉบับอภิธรรมนั้นเรียก "พระอภิธรรมปิฎก" ซึ่งว่าด้วยประมวลหลักธรรมและคำอธิบายที่เป็นหลักวิชาล้วนๆ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์และบุคคลเลย”



กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 เม.ย. 2025, 04:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8564


 ข้อมูลส่วนตัว




ei_1740527937164-removebg-preview.png
ei_1740527937164-removebg-preview.png [ 52 KiB | เปิดดู 952 ครั้ง ]
"ถามว่า : การประมวลวิจยหาระในเรื่องนั้น คืออะไร
ตอบว่า :ในเรื่องนั้น ความปรารถนามี ๒ ประการ คือ ความปรารถนาที่เป็นกุศล
[ไม่มีโทษ] และความปรารถนาที่เป็นอกุศล
ความปรารถนาที่เป็นอกุศล ย่อมยังเหล่าสัตว์ให้ไปสู่สงสาร
ความปรารถนาที่เป็นกุศล เป็นความปรารถนาซึ่งเหตุละ[อกุศล]โดยละได้ชั่วขณะ
เป็นต้น] ทำให้บรรลุพระนิพพาน
แม้มานะก็มี ๒ ประการ คือ มานะที่เป็นกุศล [ไม่มีโทษ] และมานะที่เป็นอกุศล
มานะที่เป็นกุศล (มานะที่มีกุศลเป็นปัจจัย) คือ มานะอันบุคคลอาศัยแล้วย่อมละ
มานะได้
มานะที่เป็นอกุศล คือ มานะอันบุคคลอาศัยแล้วย่อมก่อให้เกิดทุกข์
ความปรารถนาที่เป็นกุศล คือ ความปราวถนาที่เกิดแก่กุลบุตรผู้ปรารถนาอริยะผล
ว่า เมื่อใดหนอ เราจักกระทำให้แจ้งบรรลุธรรมอันสงบ (อริยผล) ซึ่งพระอริยะเจ้าทั้งหลาย

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 เม.ย. 2025, 05:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8564


 ข้อมูลส่วนตัว


การทำให้เเจ้งบรรลุอยู่ โทมนัสใดย่อมเกิดขึ้นเพราะความปรารถนาเป็นปัจจัย โทมนัสนั้นชื่อว่า
เนกข้มมสิตะ (โทมนัสอาศัยการออกจากกาม) ความปรารถนา[ในอริยผล]นี้เป็นกุศล มี
เจโตวิมุตติอันคลายกำหนัดเป็นอารมณ์ หรือมีปัญญาวิมุตติอันคลายอวิชชาเป็นอารมณ์

(ตามปกติตัณหา คือ ความปรารถนา จัดเป็นอกุศล เพราะเป็นโลภเจตสิกที่เพลิดเพลิน
กามคุณ แต่ในที่นี้ท่านกล่าวว่าตัณหาเป็นกุศลโดยอ้อม เพราะความปรารถนาบรรลุพระนิพพานแล้ว
เพียรปฏิบัติธรรม ในบางขณะก็จัดเป็นตัณหาเช่นเดียวกัน ตัณหาในลักษณะนี้ควรเสพ เหมือนมานะ
ที่แบ่งออกเป็น ๒ ประการ โดยมานะที่ควรเสพจัดเป็นกุศลโดยอ้อม ด้วยความมุ่งมันไม่ยอมแพ้การ
บรรลุธรรม
ในมัชฌิมนิกาย สักกปัญหาสูตร พระพุทธองค์ตรัสโทมนัสที่อาศัยการออกจากกามว่าควรเสพ
เพราะเป็นปัจจัยเพื่อละอกุศลและก่อให้เกิดกุศล โทมนัสดังกล่าวเกิดจากตัณหาที่ต้องการจะบรรลุอรหัตต-
ผลแล้วปฏิบัติธรรมเป็นเวลานาน แต่ไม่อาจบรรลุได้ จึงเกิดความโทมนัสเสียใจ ดังนั้น ตัณหาจึงเป็น
ธรรมที่ควรเสพโดยอ้อม ในเรื่องนี้ท่านจำแนกตัณหาออกเป็นกุศลเป็นต้น เพราะได้จำแนกตัณหาเป็น
เหตุแห่งวิปัลลาสไว้ในเทสนาหารสัมปาตะแล้ว จึงจำแนกไว้อีกนัยหนึ่งในหนี้)

เมื่อตัณหาใดๆกำลังเกิดขึ้นก็พิจารณาตัณหานั้นว่ามีโทษ ควรออกจากตัณหานั้นเสีย นี้เรียกว่าตัณหาละตัณหา

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร