วันเวลาปัจจุบัน 21 มิ.ย. 2025, 22:36  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


“อภิธรรม (สันสกฤต: abhidharma) หรืออภิธัมมะ (บาลี: abhidhamma) เป็นชื่อปิฎกศาสนาพุทธฉบับหนึ่งในปิฎกทั้งสามฉบับที่รวมเรียก "พระไตรปิฎก" อภิธรรมแปลว่าธรรมอันยิ่ง ปิฎกฉบับอภิธรรมนั้นเรียก "พระอภิธรรมปิฎก" ซึ่งว่าด้วยประมวลหลักธรรมและคำอธิบายที่เป็นหลักวิชาล้วนๆ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์และบุคคลเลย”



กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มี.ค. 2025, 10:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8571


 ข้อมูลส่วนตัว




Screenshot_20250209-072831_Google.jpg
Screenshot_20250209-072831_Google.jpg [ 100.63 KiB | เปิดดู 877 ครั้ง ]
"ในบรรดาสังโยชน์ ๑๐ เหล่านั้น สังโยชน์ ๓ คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา และ
สีลัพตปรามาส ย่อมดับไปเมื่อบรรลุอนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์(ปัญญาในโสดาปัตติมรรค)
สังโยชน์ ๗ คือ กามฉันทะ พยาบาท รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ และ
อวิชชาที่เหลือ ย่อมดับไปเมื่อบรรลุอัญญินทรีย์ (ปัญญาในมรรคเบื้องบน ๓)
ญาณที่รู้เห็นอย่างนี้ว่า 'ชาติของเราสิ้นแล้ว' เป็นญาณรู้ความสิ้นไป[ของชาติ)
(ขยญาณ และญาณที่รู้เห็เห็นว่า "ที่กิจอื่นที่ควรทำเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี เป็นญาณรู้การไม่
เกิดขึ้น(ของปฏิสนธิจิต] (อนุปปาทญาณ) ญาณทั้งสองอย่างนี้เป็นอัญญาตาวินทรีย์ (ปัญญา
ในอรหัตตผล)
ในบรรดาอินทรีย์เหล่านั้น อินทรีย์เหล่านี้ คือ อนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์ และ
อัญญินทรีย์ ย่อมดับไปเมื่อบุคคลบรรลุอรหัตตผลอันสูงสุด
ในบรรดาญาณเหล่านั้น ญาณทั้ง ๒ เหล่านี้ คือ ญาณรู้ความสิ้นไป[ของชาติ) (ขย~
ญาณ) และญาณรู้การไม่เกิดขึ้น[ของปฏิสนธิจิต] (อนุปปาทญาณ) เป็นปัญญาอย่างเดียวกัน
[อรหัตตผลญาณ] แต่ชื่อทั้ง ๒ ย่อมปรากฏโดยประเภทแห่งอารมณ์ เพราะเมื่อพระอรหันต์
รู้ว่าชาติของเราสิ้นแล้ว' ญาณดังกล่าวย่อมได้ชื่อว่า ขยญาณ เมื่อท่านรู้ว่า "กิจที่ควรทำ
เพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี' ย่อมได้ชื่อว่า อนุปปาทญาณ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มี.ค. 2025, 10:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8571


 ข้อมูลส่วนตัว


ปัญญา(ที่เป็นเครื่องตัดกระแส)นั้นชื่อว่า ปัญญา เพราะมีสภาวะหยั่งเห็น
สติ(ที่เป็นเครื่องกั้นกระแส)นั้นชื่อว่า สติ เพราะมีลักษณะทำให้จิตไม่เลื่อนลอย
[เหมือนสมอปักลงดิน] ตามอารมณ์ที่ตนได้พบเห็น"
[อนัญญาตัญญัสสามีตินทรีย์ คือ ปัญญาในโสดาปัตติมรรค ทำหน้าที่ละสังโยชน์ ๓ คือ
สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา และสีลัพพตปรามาส เมื่อบุคคลบรรลุโสดาปัตติมรรคแล้ว สังโยชน์ ๓ ข้างต้นย่อม
หมดสิ้นไป
อัญญินทรีย์ คือ ปัญญาในมรรคเบื้องบน ๓ ทำหน้าที่ละลังโยชน์ ๗ คือ กามฉัมทะ พยาบาท
รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ และอวิชชา เมื่อบุคคลบรรลุมรรคเบื้องบน ๓ แล้ว สังโยชน์
เหล่านั้นย่อมหมดสิ้นไปตามสมควรแก่มรรคนั้นๆ
อัญญาตาวินหรือ คือ ปัญญาในอรหัตผล ทำหน้าที่รู้เห็นว่าชาติสิ้นแล้วและรู้เห็น
ว่ากิจอื่นที่ควรทำเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี กิจดังกล่าวหมายถึง ปริญญากิจ คือ กิจในการรู้ชัดทุกขสัจ
ปหานกิจ คือ กิจในการละสมุทัยสัจ สัจนิกิริยากิจ คือ กิจในการกระทำให้แจ้งนิโรธสัจ และภาวนากิจ
คือ กิจในการเจริญมรรคสัจ
เมื่อบุคคลบรรลุมรรคเบื้องบน ๓ อนัญญาตัญญัติสามิตินทรีย์ย่อมดับไป และเมื่อเขาบรรลุ
อรหัตตผล อัญญินทรีย์ย่อมดับไป ดังนั้น ธรรมที่มีในภูมิ ๓ ที่เกิดขึ้นเสมอแก่บุคคลผู้บรรลุพระนิพพาน
ก็ย่อมดับไปเช่นเดียวกัน เพราะแม้กระทั่งธรรมที่เป็นเหตุให้บรรลุพระนิพพานยังแปรปรวนดับไปสังขต-
ธรรมในภูมิ ๓ ก็ต้องดับไปโดยแท้

ขยญาณ คือ ญานรู้ความสิ้นไปของชาติ และอนุปปากญาณ คือ ญาณรู้การไม่เกิดขึ้นของ
ปฏิสนธิจิต ญาณทั้งสองนี้เป็นชื่อของอรหัตตผลญาณเหมือนกัน แต่เรียกเป็นสองชื่อตามปัจจเวกขณญาณ
ที่รับเอาอารมณ์ต่างกันซึ่งเป็นความสิ้นไปของชาติและการไม่เกิดขึ้นของปฏิสนจิต

คำว่า อปิลาปน (ไม่เลื่อนลอย) ประกอบรูปศัพท์จาก น ศัพท์ + ปฺลุธาตุ (คติยํ = ไป) +
ณาเป การิตปัจจัย + ยุ ปัจจัย
สติมีลักษณะ หน้าที่ อาการปรากฏ และเหตุใกล้ คือ
๑. มีลักษณะทำให้จิตไม่เลื่อนลอย (อปิลาปนลกฺขณา) คือ ทำให้จิตหยั่งลงในอารมณ์ที่พบ
เห็นเหมือนสมอปักลงดิน
๒. มีหนักที่ไม่หลงลืม (อสมฺโมสรสา) คือ ทำให้ระลึกได้อยู่เสมอ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มี.ค. 2025, 11:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8571


 ข้อมูลส่วนตัว


๓. มีการรักษาจิตเป็นเครื่องปรากฎ(อารกฺขปจฺจุปฏฺฐานา) คือ รักษาจิตไว้ให้อยู่กับปัจจุบันอารมณ์
๔. มีสัญญาเป็นเหตุใกล้ (สญฺญาปทฎฺฐานา) คือ สติในขณะระลึกถึงความดีมีเหตุใกล้
คือสัญญา ซึ่งเป็นการจำได้หมายรู้ ดังคัมภีร์อรรกถา" กล่าวว่า ถิรสญฺญาปทฏฺฐานา (มีเหตุใกล้คือ
สัญญาที่มั่นคง) แต่สติในขณะปฏิบัติธรรมมีเหตุใกล้คือกองรูปเป็นต้น ดังคัมภีร์อรรถกถา" กล่าวว่า
กายาทิสติปฏฺฐานปทฎฺฐานา (มีเหตุใกล้คือที่ตั้งของสติมีกองรูปเป็นต้น) ดังนั้น วิปัสสนาภาวนาจึงมี
ไม่ได้โดยปราศจากการเจริญสติรับรู้สภาวธรรมเป็นอารมณ์ ดังสารกในคัมภีร์อรรถกถาว่า
ยสฺมา ปน กายเวทนาจิตฺตธมฺเมสุ กญฺจิ ธมฺมํ อนามสิตฺวา ภาวนา นาม นตฺถิ, ตสุมา เตปิ
อิมินาว มคฺเคน โสกปริเทเว สมติกุกนฺตาติ เวทิตพฺพา.""
"อนึ่ง ขึ้นชื่อว่าภาวนาที่ไม่เนื่องด้วยกาย เวทนา จิต หรือสภาวธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ย่อม
ไม่มี ดังนั้น พึงทราบว่าแม้ท่านเหล่านั้นล่วงพ้นความโศกและความรำพันคร่ำครวญได้ด้วยทางสายนี้"
ด้วยเหตุนี้ การใคร่ครวญพิจารถนาด้วยจินตามยปัญญาจึงในใช่การปฏิบัติธรรม ความจริมแล้ว
โยนิโสมนสิการที่กล่าวไว้ในพระสูตรต่างๆ มีความหมายตามศัพท์ว่า "การใส่ใจด้วยปัญญา" บางแห่ง
หมายถึงการพิจารณาใคร่ครวญหาเหตุผล บางแห่งหมายถึงการเจริญสติระลึกรู้สภาวธรรมปัจจุบันโดย
มีปัญญาหยั่งเห็นสภาวลักษณะหรือสามัญลักษณะประกอบร่วมกับสติ (ดู ข้อ [๗] เรื่องภาวนามย-
ปัญญา)]

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร