วันเวลาปัจจุบัน 17 ก.ค. 2025, 17:51  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


“อภิธรรม (สันสกฤต: abhidharma) หรืออภิธัมมะ (บาลี: abhidhamma) เป็นชื่อปิฎกศาสนาพุทธฉบับหนึ่งในปิฎกทั้งสามฉบับที่รวมเรียก "พระไตรปิฎก" อภิธรรมแปลว่าธรรมอันยิ่ง ปิฎกฉบับอภิธรรมนั้นเรียก "พระอภิธรรมปิฎก" ซึ่งว่าด้วยประมวลหลักธรรมและคำอธิบายที่เป็นหลักวิชาล้วนๆ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์และบุคคลเลย”



กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 พ.ย. 2023, 15:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8580


 ข้อมูลส่วนตัว




xMSC_GULSUN-LM-size-1000x600.jpg.pagespeed.ic_.NfwodGjC7I-e1567739730708.jpg
xMSC_GULSUN-LM-size-1000x600.jpg.pagespeed.ic_.NfwodGjC7I-e1567739730708.jpg [ 65.33 KiB | เปิดดู 2629 ครั้ง ]
วิปากปัจจัย

วิปากปัจจัย เป็นปัจจัยที่ ๑๔ ในปัจจัย ๒๔ หรือ เป็นปัจจัยที่ ๒๔
ในปัจจัย ๕๒
อุทเทส วิปากปจฺจโย ผลของกรรมเป็นปัจจัย
วิปากปัจจัย ได้แก่วิบากจิต และเจตสิกที่เป็นผลของกุศลกรรมและ
อกุศลกรรม ผลนี้ยังมาเป็นเหตุเป็นผลซึ่งกันและกันได้อีกในวิบากจิต ทั้ง
ยังช่วยอุดหนุนแก่ปฏิสนธิกัมมซรูป และจิตตชรูปด้วย

พระบาลีนิทเทสของวิปากปัจจัย
วิปากา จตฺตาโร ขนฺธา อรูปิโน อญฺญมญฺญํ วิปากปจฺจเยน ปจฺจโย.
(วิบากนามขันธ์ ๔ เป็นปัจจัยแก่กันและกัน ด้วยอำนาจวิปากปัจจัย)
หมายความว่า นามขันธ์ ๕ เท่านั้นที่เป็นผลของกรรมเรียกว่า วิบาก
ส่วนรูปที่เกิดจากกรรมเรียกว่า กัมมซรูป ไม่เรียกว่า วิบาก ที่เป็นดังนี้
เพราะเป็นผลที่ไม่ตรงกับเหตุคือ เหตุเป็นกุศลและอกุศลนั้นเป็นนามธรรม
และรู้อารมณ์ได้ ผลที่เกิดโดยตรงจึงต้องเป็นนามธรรมเหมือนกันและรู้อารมณ์
ได้ด้วย ส่วนรูปคือ กัมมชรูปนั้นแม้จะเกิดจากกุศล อกุศลแต่ว่าเป็นรูปธรรม
รู้อารมณ์ไม่ได้ จึงไม่เรียกว่า วิบาก เพราะวิบากจะต้องเสวยผลของกรรมได้
ส่วนรูปเสวยผลไม่ได้ รูปจึงเป็นผลโดยอ้อม ด้วยเหตุนี้ท่านจึงเรียกผลของ
กรรมเฉพาะที่เป็นนามธรรมเท่านั้นว่า วิบาก

วิปากปัจจัย ได้แก่วิบากนามขันธ์ ๔ เป็นปัจจัยแก้วิบากนามขันธ์ ๔
และยังเป็นปัจจัยแก่จิตตชรูปและกัมมชรูปได้อีกด้วย

วจนัตถะของวิปากปัจจัย
ปหายกปหาตพฺพภาเวน อญฺญมญฺญวิรุทฺธานํ กุสลากุสลาน่
ปากาติ = วิปากา (ธรรมซึ่งเป็นผลของกุศลและอกุศลอันเป็นปฏิปักษ์แก่
กันและกัน โดยความเป็นปหายกธรรม (ธรรมผู้ประหาร หมายถึงกุศลธรรม
และปหาตัพพธรรม (คือธรรมผู้ถูกประหาร หมายถึงอกุศลธรรม) ชื่อว่า

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ย. 2023, 03:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8580


 ข้อมูลส่วนตัว


วิบาก)
หรือ สาวชฺซอนวชฺชภาเวน วา กณฺหสุกฺกภาเวน วา อญฺญมญฺญวิสิฏฐานํ กุสลากุสลานํ ปากาติ = วิปาก
(ธรรมซึ่งเป็นผลของกุศลและอกุศลกรรม เป็นพิเศษแปลกจากกัน
โดยความเป็น สาวัชชธรรม (ธรรมที่มีโทษ) และ อนาวัชชธรรม (ธรรม
ไม่มีโทษ) หรือโดยความเป็นผลของธรรมดำและธรรมขาว ชื่อว่า
วิปาโก จ โส ปจฺจโย จาติ = วิปากปจฺจโย
(วิบากนั้นแหละเป็นปัจจัย จึงเรียกว่าวิปากปัจจัย)
หรือ วิปจฺจนภาเวน ปจฺจโย อุปการโกติ = วิปากปจฺจโย
(ชื่อว่า วิปากปัจจัย เพราะอรรถว่า ช่วยอุดหนุนโดยทำให้สำเร็จ)
คำว่า " วิปาก " แปลว่าสุก เหมือนกับความสุกของผลไม้เป็นต้น
ฉะนั้น วิบาก จึงหมายถึงผลของกรรมอันสุกงอมเต็มที่ จึงเสวยผลได้

วิปากปัจจัยนี้ หมายถึงผลของกรรมที่เกิดขึ้นแล้วก็เป็นปัจจัยให้แก่กัน
และกันในขณะจิตเดียวกัน วิปากปัจจัยเป็นปัจจัยประเภท นาม → นามรูป
ในวิบากจิตที่เกิดขึ้นขณะหนึ่งนั้น มีเจตสิกประกอบอยู่ด้วยพร้อมทั้ง
ปฏิสนธิกัมมชรูปและจิตตชรูป
วิบากจิตและเจตสิกซึ่งเรียกว่า นามขันธ์ ๔
นั้นเป็นปัจจัยและปัจจยุบบันซึ่งกันและกัน ส่วนปฏิสนธิกัมมซรูปและจิตตชรูป
เป็นปัจจยุบบันธรรมอย่างเดียว เป็นปัจจัยธรรมไม่ได้ วิปากปัจจัย
เมื่อวานนี้ เป็นปัจจุบันกาล โดยชาติเป็นประเภทสหชาติ โดย
กิจมี ๒ กิจ คือ เป็นชนกกิจ และอุปถัมภกกิจ

วิบากจิตไมใช่เป็นจิตที่ต้องทำให้เกิดขึ้น เพราะเป็นจิตที่เป็นผลอัน
เกิดจากกุศลกรรมและอกุศลกรรม กุศลกรรมหรืออกุศลกรรมเป็นธรรมที่ต้อง
ขวนขวายทำให้เกิดขึ้น ส่วนวิบากเป็นธรรมที่ไม่ต้องขวนขวายกระทำให้เกิด
ถ้ามีกุศลกรรม อกุศลกรรมเป็นเหตุแล้ว วิบาก คือผลก็จะต้องมีแน่นอน
วิบากจิตจึงเป็นจิตที่สงบ ไม่ปรากฏอาการอย่างหนึ่งอย่างใดให้รู้ได้ เพราะ
จิตที่ไม่มีอุตสาหะ วิริยะ เป็นจิตที่มีกำลังอ่อน วิบากจิตจะปรากฏได้ชัด

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ย. 2023, 03:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8580


 ข้อมูลส่วนตัว


ขณะที่นอนหลับ รู้ว่าเป็นภวังคจิต แต่ก็ไม่ใช่รู้ในเวลาเป็นภวังค์ เพราะ
หลับรู้ไม่ได้ แต่ส่วนเวลาอื่นถึงแม้วิบากจิตจะเกิดขึ้น เช่น
ได้ยิน ได้กลิ่น รู้รส ถูกต้อง เวลาเกิดขึ้นจริง ๆ ก็รู้ไม่ได้ ที่รู้ได้ก็ต้องล่วง
มาถึงชวนะแล้วจึงรู้ได้เพราะฉะนั้นความปรากฏของวิบากจึงเป็นธรรมที่
ได้ยาก ไม่เหมือนจิตที่เป็นกุศล อกุศลที่เกิดขึ้นเมื่อไรก็รู้ได้ทันที เพราะ
เป็นจิตที่ต้องมีการขวนขายทำให้เกิดขึ้นเช่นกำลังโกรธ กำลังโลภก็รู้ได้
หรือกำลังทำบุญรู้ได้ในขณะนั้น แต่ส่วนวิบากจิตนั้นเป็นธรรมที่สงบลึกซึ้ง จึงรู้ได้ยาก

เมื่อวิบากจิตมีกำลังอ่อน เจตสิกที่เกิดร่วมกับวิบากก็มีกำลังอ่อนไป
ด้วย แม้รูปที่เกิดจากวิบากก็ไม่ปรากฏอาการให้เห็นได้ชัด เป็นแต่เกิดขึ้น
โดยอาการอันสงบอยู่เท่านั้น ซึ่งต่างกับจิตตชรูปที่เกิดจากกุศล อกุศล และ
กิริยาจิต ย่อมมีอาการปรากฏให้เห็นได้อย่างซัดเจน

วิบากเป็นปัจจัยช่วยอุดหนุนแก้วิบาก ท่านอุปมาเหมือนกับความ
ชราที่เกิดขึ้นแก่บุคคลทั้งหลาย ความซรานี้เป็นสิ่งที่บุคคลไม่พึงปรารภ แต่ความชรานี้ย่อมบังเกิดขึ้น
และไม่ต้องขวนขวายหรือกระทำให้เกิดขึ้นแก่บุคคลทั้งหลายทั่วกันหมด ไม่มียกเว้นเลยทั้งนี้เพราะความชราเป็นผลธรรมอันเกิดมาจากเหตุ คือ ชาติความเกิด ถ้าชาติความเกิดมีขึ้นแล้ว
ชราก็ต้องมีแน่นอน และในความชรานั้นก็มาเป็นเหตุเป็นผลแก่กันและกันได้
คือชราในตอนแรกก็เป็นเหตุอุดหนุนให้เกิดชรามากขึ้นในตอนหลัง ชราที่เกิด
ตอนเด็กยังเห็นได้ยาก แต่ถ้าตอนแก่ก็เห็นได้ง่าย เช่นผมหงอก ฟันหัก
ในตอนแรกผมดำก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีขาวทีละเล็กทีละน้อยจนในที่สุดก็ขาว
โพลนทั้งศีรษะ เพราะชราตอนแรกอุปถัมภ์ชราในตอนหลัง

ข้ออุปมานี้ฉันใด วิปากปัจจัยก็ฉันนั้น คือธรรมที่เป็นวิบากย่อม
อุปถัมภ์วิบาก เช่น ในวิบากนามขันธ์ ๔ ที่เกิดพร้อมกันนั้น เมื่อวิบากนาม
ขันธ์ ๑ เป็นปัจจัย วิบากนามขันธ์ ๓ ที่เหลือพร้อมด้วยจิตตชรูป ก็เป็น
ปัจจยุบบัน เมื่อวิบากนามขันธ์ ๓ เป็นปัจจัย วิบากนามขันธ์ ๑ ที่เหลือ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ย. 2023, 05:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8580


 ข้อมูลส่วนตัว


พร้อมด้วยจิตตชรูปก็เป็นปัจจยุบบัน และเมื่อวิบากนามขันธ์๒ เป็นปัจจัย
วิบากนามขันธ์ ๒ที่เหลือ พร้อมด้วยจิตตชรูปก็เป็นปัจจยุบบัน ส่วนในปฏิสนธิ
กาลนั้น วิบากนามขันธ์ ๔ ผลัดกันเป็นปัจจัยและปัจจยุบบันซึ่งกันและกัน
ปฏิสนธิกัมมรูปก็เป็นปัจจยุบบันด้วย แต่ถ้าเกิดในจตุโวการภูมิก็เป็นปัจจัย
ได้แต่เฉพาะนามด้วยกันเท่านั้น

อีกอย่างหนึ่ง วิบากเปรียบเหมือนเงา
กุศล อกุศลเปรียบเหมือนคน ถ้าคนไม่มี เงาคือวิบากก็ไม่มี
วิบากเกิดขึ้นเพราะกรรม แต่วิบากจะเป็นอย่างไร ย่อมขึ้นอยู่กับ
อำนาจของตัณหา เพราะตัณหาปรารถนาต่างกัน แม้ทำกรรมอย่างเดียว
กัน แต่ก็ได้ผลไม่เหมือนกัน เช่นทำบุญใส่บาตรเหมือนกัน แต่บางคนต้อง
การร่ำรวย บางคนต้องการรูปสวย บางคนต้องการปัญญา เพราะฉะนั้นวิ
บากหรือขันธ์ ๕ ที่ได้มาจึงต่างกัน วิบากจึงขึ้นอยู่กับตัณหาเป็นประการ
สำคัญ วิบาทเกิดขึ้นจากกรรม เพราะฉะนั้นในปฏิสนธิกาลจึงมีกัมมชรูปด้วย
ส่วนในปวัตติกาลมีแต่จิตตชรูป เว้นวิญญัติรูปเพราะวิบากเป็นจิตที่มีกำลัง
อ่อน จึงสร้างรูปให้ไหวออกมาทางกายวาจาให้คนอื่นรู้ไม่ได้ อีกอย่างหนึ่ง
วิญญัติรูปที่เกิดขึ้นจะต้องเกิดกับจิตที่เป็นชวนะเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ขณะนอน
หลับเป็นภวังคจิตคือเป็นวิบากจิต จึงไม่มีวิญญัติรูป

วิบากที่ได้มาแล้วตั้งแต่ปฏิสนธิ ก็ยังจะต้องรักษาต่อไปอีกจนกว่าจะ
จุติ ท่านจึงเปรียบวิบากเหมือนเรือที่มีสิทธิ์จะบรรทุกอะไร ๆก็ได้ ถ้าเจ้า
ของเรือมีปัญญา ก็เลือกบรรทุกแต่สิ่งที่ดี มีค่า คือบรรทุกแต่กุศล ก็อาจ
จะพาเรือไปสู่ฝั่งคือพระนิพพานได้ แต่ถ้าเจ้าของเรือไม่มีปัญญา บรรทุก
แต่สิ่งไม่ดี ไม่มีค่าคืออกุศล
เรือก็ย่อมจมลงในอ่าว ไม่อาจไปถึงฝั่งคือ พระนิพพานได้

ฉะนั้นการได้วิบากมาถ้าไม่รู้เท่าทันวิบากตามความเป็นจริง วิบาก
ก็เป็นปัจจัยให้กิดกิเลส เป็นปัจจัยให้ทำบุญบ้าง ทำบาปบ้าง สร้างกรรม
ใหม่ขึ้นมา จึงต้องไปรับผลกรรมอีก เพราะเหตุนี้การมีวิปากปัจจัยจึง
แสดงให้รู้ว่าสัตว์ทั้งหลายตายแล้วไม่ได้สูญ เพราะวิบากก็เป็นวัฏฏะอันหนึ่ง
เรียกว่า วิปากวัฏฏ์ มีได้ก็เพราะมีกัมมวัฏฏ์ กัมมวัฏฏ์
มีได้ก็เพราะมีกิเลสวัฏห์ ทำให้หมุนเวียนอยู่ในวัฏฏะไม่มีที่สิ้นสุด ตราบใด
ที่ยังไม่รู้เท่าทันอารมณ์ตามความเป็นจริง คือยังไม่รู้อริยสัจ ๔ ยังไม่ได้เจริญ
สติปัฏฐาน สัตว์ทั้งหลายก็ต้องท่องเที่ยวอย่างนี้เรื่อยไป

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ย. 2023, 09:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8580


 ข้อมูลส่วนตัว


วิปาปัจจัยเป็นธรรมที่หมดความอุตสาหะ เพราะเป็นธรรมที่ถูก
กรรมชัดมา จะไปตกที่ไหน ๆ คือจะไปตกในอบาย มนุษย์ เทวดา ก็เลือก
เอาไม่ได้ทั้งนั้น แล้วแต่กรรมจะซัดไป
วิบากย่อมให้ผลตั้งแต่ปฏิสนธิจนถึงจุติ จิตที่ยังไม่ขึ้นวิธีรับอารมณ์
ก็เป็นวิบากจิตทั้งนั้นเรียกว่า ภวังคจิต ซึ่งทำหน้ที่รักษาภพชาติไว้ไม่ให้
ตาย เมื่อจิตขึ้นวิถีรับอารมณ์ใหม่ วิบากจิตก็ทำหน้าที่เสวยผลรับอารมณ์นั้น
อารมณ์จะดีหรือไม่ดี ก็เลือกเอาไม่ได้แล้วแต่กรรมจะส่งผลมา ถ้ากุศลส่งผล
วิบากก็ได้รับอารมณ์ที่ดีทางตา หู จมูก ลิ้น กายไจ แต่ถ้าอกุศลส่งผล
วิบากก็ได้รับอารมณ์ที่ไม่ดีทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สำหรับอเหตุกวิบาก

ที่รับอารมณ์ทางปัญจทวารท่านเปรียบเหมือนกับคนใช้ที่รับอารมณ์มาส่ง
ให้ทางใจ คือมโนทวารให้ได้เสวยผลของอารม๊นั้น เพราะการเป็นสุข
เป็นทุกข์นั้น ต้องถึงใจทางมโนทวาร ถ้าใจมีปัญญารู้เท่าทันความจริง ก็ไม่
เป็นปัจจัยให้เกิดกิเลส แต่ถ้าใจไม่มีปัญญาก็ก่อให้เกิดการกระทำกรรมใหม่
ขึ้นมาม จึงต้องไปรับผลของกรรมอีก

ถ้าวิบากนั้นเป็นอุเบกขาสันตีรณอกุศลวิบาก ให้ผลปฏิสนธิในอบาย
วืบากก็ไปเสวยผลของความทุกข์เป็นส่วนมาก มีโอกาสที่จะทำกุศลได้น้อย
มาก
แต่ถ้าวิบากนั้นเป็นอุเบกขาสันตีรณกุศลวิบาก ให้ผลปฏิสนธิเป็น
มนุษย์และเทวดาชั้นต่ำ คือพิการไม่สมประกอบ บ้า ใบ้ บอด หนวก ปัญญา
อ่อน ตั้งแต่ปฏิสนธิ จิตใจอ่อนแอ แต่ก็พอจะทำกุศลได้บ้าง โดยทำตามๆ
เขาไป แต่กุศลที่ทำไม่ได้ทำด้วยศรัทธาของตนเอง เรียกว่ากุศลที่ทำนั้นไม่
มีศรัทธาออกหน้า เพราะปฏิสนธิเป็นอเหตุกวิบาก ไม่ประกอบด้วยเหตุ

แต่ถ้าปฏิสนธิเป็นทวิเหตุ ประกอบด้วยเหตุ ๒ คือ อโลภะ อโทสะ
ให้ผลปฏิสนธิเป็นมนุษย์ เทวดา แต่ไม่ประกอบด้วยปัญญา เวลาทำกุศลก็
ทำด้วยศรัทธาของตนเองเรียกว่า กุศลนั้นมีศรัทธาออกหน้า สามารถทำ
กุศลได้ทั้งญาณสัมปยุตและญาณวิปปยุต แม้ทำกุศลญาณสัมปยุตได้ก็ไม่ชื่อ
ว่ามีปัญญาออกหน้า เพราะว่าปฏิสนธิด้วยวิบากญาณวิปปยุต จิตใจมีกำลัง
กล้าแข็งพอประมาณ ไม่อาจทำกุศลให้ถึง ฌาน มัค ผล นิพพาน ได้

แต่ถ้าปฏิสนธิเป็นติเหตุ ประกอบด้วยเหตุ ๓ คือ อโลภะ อโทสะ
อโมหะ ให้ผลปฏิสนธิเป็น มนุษย์ เทวดา พรหม ประกอบด้วยปัญญา
เวลาทำกุศลที่เป็นญาณสัมปยุตก็มีปัญญาออกหน้า ถ้าทำกุศลญาณวิปปยุต
ก็มีศรัทธาออกหน้า เป็นคนที่มีจิตใจเข้มแข็งมาก สามารถทำฌาน มัน ผล
นิพพานให้เกิดขึ้นได้

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ย. 2023, 10:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8580


 ข้อมูลส่วนตัว




ei_1700862141975-removebg-preview.png
ei_1700862141975-removebg-preview.png [ 331.54 KiB | เปิดดู 1322 ครั้ง ]
ผลของกรรมแบ่งออกได้เป็น ๓ ประเภท คือ
๑. วิบากผล หมายถึงผลของกรรมที่สุกแล้ว ย่อมให้ผลตรงตาม
เหตุ เพราะกิจของวิบากมีการปฏิสนธิเป็นเครื่องหมาย ถ้าปฏิสนธิไม่
มีวิบากอื่น ๆ ก็มีไม่ได้เลย วิบากย่อมให้ผลทั้งปฏิสนธิกาลและปวัติติกาล
ให้ผลทั้งในชาตินี้และชาติต่อ ๆ ไป วิบากย่อมเสวยผลตรงตามกรรมที่ทำ
ไว้ ความสุขความทุกข์ที่ได้รับ จึงเป็นสิ่งที่เลือกเอาไม่ได้ เพราะว่าสำเร็จ
มาแลัวจากกรรมในอดีต วิบากท่านจึงเปรียบเหมือนกระจกเงา ที่สามารถ
สะท้อนให้รู้ถึงกรรมในอดีตว่าทำมาอย่างไร

๒. อานิสงส์ผล หมายถึงผลที่หลั่งไหลมาจากกรรมที่ทำแล้ว เป็น
ผลที่ได้รับในปวัตติกาลเท่านั้น เช่นผลของการทำดีในปัจจุบัน ทำให้มีคน
เคารพรักใคร่นับถือ เป็นเหตุให้ได้ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ เหล่านี้ เป็น
อนิสงส์ผล ถ้าเป็นวิบากผลที่เกิดจากกรรมในปัจจุบันย่อมรู้ได้ยาก เพราะ
เป็นผลของชวนะดวงที่ ๑ ซึ่งให้ผลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ส่วนผลที่เกิดจากการทำกรรมชั่วในปัจจุบัน ทำให้คนเกลียดชังไม่
เคารพ เป็นเหตุให้เสื่อมลาภ เสื่อมยศ ถูกนินทา ต้องเป็นทุกข์ ธรรมดา
ผลของกรรมชั่ว ท่านไม่เรียกว่าอานิสงส์ผลแต่เรียกว่า อาทีนพ เพราะให้
ผลเป็นทุกข์เดือดร้อน อานิสงส์ผลใช้กับผลของกรรมดีไม่ได้ใช้กับผลของกรรม
ชั่ว เช่นการเข้า ฌานสมาบัติ เป็นอานิสงส์ของผู้ทำฌานได้เป็นวสี

ผลสมาบัติ
เป็นอานิสงส์ของพระอริยะที่ได้ฌานเป็นวสีด้วย

นิโรธสมาบัติ
เป็นอานิสงส์ของพระอริยะที่เป็นพระอนาคามี และ
พระอรหันต์ที่ได้สมาบัติ ๘

อภิญญา
เป็นอานิสงส์ของผู้ที่ได้รูปาวจรปัญจมฌานกุศล
และสมาบัติ ๘ ที่เพียรเจริญอภิญญา

ปฏิสัมภิทา
เป็นอานิสงส์ของปัญญาโลกุตตรกุศล
อานิสงส์ผลเหล่านี้เกิดในปวัตติกาลเฉพาะปัจจุบันชาติเท่านั้น

๓. สามัญญูผล หมายถึงผลที่เกิดจากองค์มัค ๘ เป็นผลของสมณะ
ผู้สงบจากกิเลส ามัญญผลเป็นผลที่ให้พันจากภพชาติให้ผลได้เฉพาะ
ในปวัตติกาลเท่านั้น สามัญญผลเป็นได้ทั้งวิบากผลและอานิสงส์ผล ที่เป็น
วิบากผลคือ ผลของโลกุตตรกุศลหรือของมัคคจิตเรียกว่า โลกุตตรริบาก
หรือผลจิต ส่วนอานิสงส์ผลคือผลที่ได้เป็นพระอริยบุคคล เช่นเป็นพระ
โสดาบันจนถึงพระอรหันต์
-จบวิปากปัจจัย-

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร