วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 15:58  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


“อภิธรรม (สันสกฤต: abhidharma) หรืออภิธัมมะ (บาลี: abhidhamma) เป็นชื่อปิฎกศาสนาพุทธฉบับหนึ่งในปิฎกทั้งสามฉบับที่รวมเรียก "พระไตรปิฎก" อภิธรรมแปลว่าธรรมอันยิ่ง ปิฎกฉบับอภิธรรมนั้นเรียก "พระอภิธรรมปิฎก" ซึ่งว่าด้วยประมวลหลักธรรมและคำอธิบายที่เป็นหลักวิชาล้วนๆ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์และบุคคลเลย”



กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ค. 2022, 12:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8583


 ข้อมูลส่วนตัว




paying-dollars-6988797.jpg
paying-dollars-6988797.jpg [ 77.84 KiB | เปิดดู 684 ครั้ง ]
วิปากปัจจัย
วิบากมีอิทธิพลต่อสภาพร่างกายและจิดใจ
ปัจจยธรรม ได้แก่วิบากนามข้นธ์ทั้งหลาย
ปัจจยุปันนธรรม ได้แก่ วิปากนามขันธ์และกัมมชรูปทั้งหลาย
จิตและเจตสิกที่เป็นผลมาจากุศกรรมและอกุศลกรรม ท่านเรียกว่า วิบากนามขันธ์ ก็และการที่เกิดวิบากขันธ์(การได้เสวยสิ่งที่ไม่ดี)นั้น พระพุทธองค์ทรงเรียกว่า"การทำอุปการะด้วยวิปากปัจจัย

จักขุวิญญาณจิต ซึ่งเป็นจิตที่เห็นรูปารมณ์นั้น เป็นประเภทวิปากจิต ซึ่งนอกจากจิตนี้แล้ว เจตสิกธรรม ๗ ดวง ที่เกิดร่วมกับจิตนั้น ประกอบ ผัสสะ, เวทนา, สัญญา, เจตนา, เอกัคคตา, ชีวิตินทรีย์ และมนสิการ ซึ่งในบรรดาธรรมเหล่านั้น พึงทราบว่า จักขุวิญญาณจิต จัดเป็น วิญญาณชันธ์ เวทนา จัดเป็นเวทนาขันธ์, สัญญาจัดเป็นสัญญาขันธ์ ส่วนเจตสิก ๕ ดวงที่เหลือ ซึ่งมีเจตนาเป็นต้น จัดเป็นสังขารขันธ์ ก็ ทั้ง ๔ ขันธ์นี้ เรียกว่า "นามขันธ์ ๔ ก็นามขันธ์ ๔ เหล่านี้และย่อมเกิดขึ้นพร้อมกัน ต่างก็ทำอุปการะโดยความเป็นเหตุ เป็นผลต่อกันและกัน สลับเปลี่ยนกันไป ลักษณะเช่นนี้แล ท่านเรียกว่า "การทำ อุปการะด้วยวิปากปัจจัย"

ที่คนทั้งหลายพูดกันว่า "ดูด้วยตา" หรือ "เห็น" นั้น ก็คือการเกิดขึ้นแห่ง จักขุวิญญาณจิตนั่นเอง

ในการเห็นนั้น อาจเห็นทั้งสิ่งที่ดี หรือสิ่งที่ไม่ดี หากเห็นสิ่งดี ก็พึงทราบว่า เป็นการเกิดขึ้นแห่งจักขุวิญญาณจิตที่เป็นผลหรือวิบากแห่งกรรมที่ตนกระทำไว้

การที่คนเราเห็นสิ่งดีหรือไม่ดีนั้น ล้วนมาจากผลมาจากกุศลหรืออกุศล ที่ตนเคยสร้างทั้งนั้น แม้ในกรณีของการได้ยินเสียง เป็นต้น ก็พึงทราบโดยนัยเดียวกันนี้

หากเจอสิ่งที่ดี ก็จงใช้สติพิจารณาว่า "นี่คือการเสวยผลแห่งกุศลไว้" และหากเจอกับสิ่งไม่ดี(ไม่น่าปรารถนา) ก็จงจำไว้ "นี่คือการเสวยผลแห่งอกุศลกรรม(บาป) ที่ตนเคยทำไว้"

ว่าโดยธรรมชาติของมนุษย์แล้ว หากได้ประสบพบเจอกับอารมณ์ที่ดี ก็จะเกิดความโสมนัสยินดี หากเจอกับอารมณ์หรือสิ่งที่ไม่พึงปรารถา ก็จะเกิดความโทมนัส เสียใจ และจะส่งผลก่อให้เกิดความคิด, การใช้คำพูด, การกระทำ ที่เป็นเหตุใหม่ขึ้นมาอีก เรียกว่า เป็นการสร้างกรรมใหม่ขึ้นมาอีก เรียกว่า เป็นการสร้างกรรมใหม่ขึ้นมาอีก นี่แหละ วัฏจักรแห่งการหมุนเวียนภพชาติ จากผลมาเป็นเหตุ จากเหตุมาเป็นผล วนไปเวียนมา ไม่มีที่สิ้นสุด

สุดท้ายนี้ ขอให้ท่านทั้งหลายจงเกิดปัญญาญาณเข้าใจเกี่ยวกับวิปากบัจจัยนี้ให้ดีเหมือนกับที่โบราณบัณฑิตท่านได้กล่าวไว้ว่า "ผู้ที่ถูกระทำ คือผู้ชดใช้กรรมเก่า ส่วนคนที่กระทำเล่า คือ ผู้สร้างกรรมใหม่" เมื่อเข้าใจเช่นนี้แล้ว ก็จงอย่าเป็นผู้มีจิตใจร้อนรน คิดทุกครั้งก่อนที่จะพูดและทำ เกิดอะไรขึ้นก็อย่ารีบไปโทษใคร เพราะมันไม่ยุติธรรม จงจำไว้ว่า "มันเป็นโทษของวัฏฏะ" นี่แหละคือซึวิตที่ถูกลิขิตมาด้วยกรรม

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron