วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 09:13  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


“อภิธรรม (สันสกฤต: abhidharma) หรืออภิธัมมะ (บาลี: abhidhamma) เป็นชื่อปิฎกศาสนาพุทธฉบับหนึ่งในปิฎกทั้งสามฉบับที่รวมเรียก "พระไตรปิฎก" อภิธรรมแปลว่าธรรมอันยิ่ง ปิฎกฉบับอภิธรรมนั้นเรียก "พระอภิธรรมปิฎก" ซึ่งว่าด้วยประมวลหลักธรรมและคำอธิบายที่เป็นหลักวิชาล้วนๆ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์และบุคคลเลย”



กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 มี.ค. 2022, 04:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8581


 ข้อมูลส่วนตัว




262756695371ee1c238e97008f1735ed.png
262756695371ee1c238e97008f1735ed.png [ 726.09 KiB | เปิดดู 603 ครั้ง ]
๓๐๗
คำว่าสมาบัติ เป็นคำสามัญ ส่วนคำนี้ว่า
สมาบัติในเรื่องนั้นคืออะไร
:b41: สัญญาสมาบัติ (การเข้าฌานอันประกอบด้วยสัญญา)
:b45: อสัญญาสมาบัติ (การเข้าฌานอันไม่ประกอบด้วยสัญญา การเข้าฌาน
ของผู้ที่เบื่อหน่ายในสัญญา)
:b38: เนวสัญญานาสัญญาสมาบัติ(การเข้าฌานที่ไม่มีสัญญาหยาบแต่มีสัญญาละเอียด
การเข้าอรูปฌา ๔)
:b37: วิภูตสัญญาสมาบัติ (การเข้าฌานที่มีสัญญาปรากฏชัด, การเข้าวิญญานัญจายตนฌาน)
:b39: นิโรธสมาบัติ (การดับแห่งจิต เจตสิก และจิตตชรูป)

“อสัญญสมาบัติ, นิโรธสมาบัติ, สัญญาเวทยิตนิโรธ”

“อารมณ์ที่ทำให้จิตคลายความพอใจในสัญญา(สัญญาขันธ์)” เป็นภาวนาอย่างหนึ่ง
ของผู้ที่บรรลุรูปปัญจมฌานแล้ว น้อมจิตไปใน สัญญาวิราคอารมณ์ คืออารมณ์อันเป็นเหตุ
ให้จิตคลายความยินดีพอใจในสัญญา….(นามขันธ์ทั้ง ๔)

-สำหรับพวกมิจฉาทิฏฐิกบุคคล หวังให้นามขันธ์ ๔ ดับ ด้วยเห็นโทษทุกข์ของนามขันธ์
แต่รูปขันธ์ยังเหลืออยู่ เป็นแนวคิดของพวก นอกพุทธศาสนา
ในขณะที่บุคคลเหล่านี้เจริญฌานนี้จนชำนาญ ก็สามารถเข้าสมาบัติ
ที่ท่านเรียกว่า “อสัญญาสมาบัติ” คำนี้ยังกำกวม ถ้าแปลว่า ”
สมาบัติที่ไม่มีสัญญา” จะหมายความว่า ”สมาบัตินี้ ดับสัญญา คือไม่มีสัญญาขันธ์เลย
หรือว่า คำนี้หมายเอาเพียงแค่ว่า ”มีภาวะที่ไม่มีสัญญา,หรือมีสัญญาแต่เป็นสัญญาที่ละเอียด
(ซึ่งคล้ายกับเนวสัญญานาสัญญายตนะ ซึ่งก็คงไม่น่าจะใช่) เป็นอารมณ์, หรือมีเพียง
แค่ภาวะที่ไม่ยินดีพอใจ (วิราคะ) ในสัญญา หรือในนามขันธ์ทั้งหมดเป็นอารมณ์
ในขณะที่เข้าฌานสมาบัตินี้ แล้วก็เลยเรียกว่า ”อสัญญาสมาบัติ” ซึ่งจริง ๆ ก็ไม่ได้ดับ
นามขันธ์ใด ๆ เลยในขณะที่อยู่ในฌานสมาบัตินั้น…
แต่เมื่อฌานลาภีบุคคลเหล่านี้สิ้นชีวิตลง และไปเกิดในอสัญญสัตตภูมิ นามขันธ์จึงดับจริงๆ
คงเหลือแต่เพียงรูปขันธ์เท่านั้น.
อนึ่ง เมื่ออสัญญีสัตว์อยู่ในอสัญญสัตตภูมินั้น ก็ไม่จัดว่าอยู่ในฌานสมาบัติ
ไม่ได้มีการเข้าฌาน เพราะไม่มีจิตเจตสิกนั่นเอง

-ส่วนแนวคิดของนิโรธสมาบัตินั้น มีความมุ่งหมายที่จะดับนามขันธ์ ๔
โดยตรงด้วยอำนาจแห่งฌานสมาบัติที่เหนือไปจากเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ
แล้วก็ดับนามขันธ์ ๔ ได้จริง ๆ การกล่าวถึงคำว่า ”สัญญาวิราค (คลายความพอใจในสัญญา),
หรือ สัญญาเวทยิตนิโรธ (การดับสัญญา,เวทนา และธรรมที่เหลือที่ประกอบกับสัญญา,เวทนา)”
เป็นการกล่าวรวบกันของสภาวะจิตที่จะละหรือดับสัญญา อันเป็นแนวคิดของรูปปัญจมฌานลาภีบุคคล
(พวกที่จะเป็นอสัญญีสัตว์ในอสัญญสัตตภูมิ) และเป็นแนวคิดของพวกที่ได้
อากิญจัญญายตนฌานแล้ว เบื่อหน่ายต่อสัญญา จึงเจริญฌานที่คลายความพอใจ
ในสัญญา(สัญญาวิราค) โดยเอาอากิญจัญญายตนฌานจิตที่ตนได้และดับไปแล้ว
นั่นแหละเป็นอารมณ์เมื่อเจริญได้สำเร็จ ต่อแต่นั้น เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน
ซึ่งมีภาวะคล้ายกับว่า ”มีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่” ก็เกิดขึ้น
ซึ่งพวกเนวสัญญีนาสัญญีนี้ หากเป็นปุถุชนนอกพุทธศาสนา ก็จะเข้าผิดคิดว่า
เนวสัญญานาสัญญาตนฌานนี้ ดับสัญญาได้ แต่จริง ๆ
คือสัญญายังไม่ดับ เป็นเพียงแค่ว่าสัญญานั้นละเอียดอ่อนเท่านั้นเอง.

นอกจากนี้ เนวสัญญีนาสัญญีสัตว์นี้ยังเข้าใจผิดว่า นี้เป็นอันติมะ เป็นที่สุด
และตนได้บรรลุโฆกษะแล้ว แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นว่ายังไม่ใช่ที่สุด
ไม่ใช่โมกษะ และทรงค้นพบวิธีดับสัญญานี้ได้จริง ๆ ทั้งแบบชั่วคราวและแบบถาวรด้วย
อำนาจของนิโรธสมาบัติ หรือสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ ซึ่งเป็นการดับได้ชั่วคราว
และอนุปาทิเสสนิพพาน ซึ่งเป็นการดับได้อย่างถาวร.

แนวคิดเรื่องการเข้านิโรธสมาบัติหรือสัญญาเวทยิตนิโรธ เพื่อดับสัญญาหรือดับนามขันธ์ ๔
ของพระอริยบุคคล คือพระอนาคามี และพระอรหันต์นี้ มิได้มีอารมณ์คือสัญญาวิราคภาวนา
เหมือนพวกปุถุชนที่ได้รูปปัญจมฌานแล้วเจริญสัญญาวิราคฌานเพื่อให้ไปเกิด
ในอสัญญสัตตภูมิ และไม่เหมือนแนวคิดของพวกเนวสัญญีสัตว์. เพราะแนวคิดของปุถุชนเหล่านี้
เจือด้วยมิจฉาทิฏฐิแน่นอน

นิโรธสมาบัติ หรือสัญญาเวทยิตนิโรธนี้ ผู้ที่จะกระทำได้ก็ต้องเป็นพระอนาคามี
และพระอรหันต์ ที่ได้รูปฌานอรูปฌานทั้งหมด และมีความชำนาญในวิปัสสนาญาณ…
นิโรธสมาบัตินี้ เมื่อเริ่มนับแต่วิถีที่เรียกว่า ”นิโรธสมาบัติวิถี” มีความระคนกัน
ในหลายลักษณะ คือ
-จิตที่ทำหน้าที่ ปริกรรม อุปจาร อนุโลม โคตรภู เป็นกามชวนะ คือ มหากุศลญาณ
สัมปยุตตอุเบกขา๒, มหากริยาญาณสัมปยุตตอุเบกขา๒

-จิตที่ทำหน้าที่ ฌ (ฌาน) ๒ ขณะ เป็นอัปปนาชวนะ ได้แก่ เนวสัญญานา
สัญญายตนกุศลจิต๑, กริยาจิต๑

-จิตทั้งหมดที่กล่าวมา มีมหัคคตปฏิภาคนิมิตของอากิญจัญญายตนฌานจิต เป็นอารมณ์
ช่วงของจิตและอารมณ์ที่กล่าวมานี้นับว่าเป็นโลกียธรรม

-จากนั้นนามขันธ์ ๔ ดับลง, จิตตชรูปก็ดับ ส่วนรูปที่เหลือ คือกัมมชรูป
กัมมปัจจยอุตุชรูป อัชฌัตตาหารรูป ยังเกิดอยู่ยังไม่ดับ ช่วงนี้ว่า
โดยสมาบัติ ไม่อาจกล่าวได้ว่าเป็นโลกียะหรือโลกุตตระ เพราะจิต เจตสิกดับ
จะกล่าวว่า ขณะนั้นมีภาวของอนุปาทิเสสนิพพาน ก็อาจจะกล่าวได้ไม่เต็มนัก
เพราะอนุปาทิเสสนิพพานนั้นดับขันธ์ ๕ ทั่งหมด หรือจะ กล่าวว่าเป็นสอุปาทิเสสนิพพาน
เพราะนามขันธ์ดับ แต่รูปขันธ์บางส่วนยังมีอยู่ / แต่ว่า ภาวะของสอุปาทิเสสนิพพานนั้น ท่านก็ให้
ความหมายว่า ดับกิเลสคือตัณหา…

-ส่วนเมื่อออกจากนิโรธนั้น มีผลจิต คือ อนาคามิผลจิต หรืออรหัตตผลจิต
เกิดต่อ ๑ ขณะ ช่วงนี้จัดว่าเป็นโลกุตตระ และมีนิพพานเป็นอารมณ์

นิโรธสมาบัติ จึงมีความระคนกันด้วยจิตและอารมณ์ ดังกล่าวมานี้

http://dhamma.serichon.us/2021/08/05/%E ... %E0%B8%9A/

https://84000.org/tipitaka/attha/v.php? ... 36&Z=16882

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร