วันเวลาปัจจุบัน 18 ก.ค. 2025, 21:16  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


“อภิธรรม (สันสกฤต: abhidharma) หรืออภิธัมมะ (บาลี: abhidhamma) เป็นชื่อปิฎกศาสนาพุทธฉบับหนึ่งในปิฎกทั้งสามฉบับที่รวมเรียก "พระไตรปิฎก" อภิธรรมแปลว่าธรรมอันยิ่ง ปิฎกฉบับอภิธรรมนั้นเรียก "พระอภิธรรมปิฎก" ซึ่งว่าด้วยประมวลหลักธรรมและคำอธิบายที่เป็นหลักวิชาล้วนๆ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์และบุคคลเลย”



กลับไปยังกระทู้  [ 8 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มิ.ย. 2020, 05:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8583


 ข้อมูลส่วนตัว




wallpaper (1).gif
wallpaper (1).gif [ 498.38 KiB | เปิดดู 2434 ครั้ง ]
พระผู้มีพระภาคตรัสรู้ใหม่
ประทับ ณ โคนไม้โพธิริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา
ในตำบลอุรุเวลา. พระองค์ประทับนั่งเสวยวิมุติสุข
ณ โคนไม้โพธิตลอด ๗ วัน.

ในเวลาปฐมยามแห่งราตรี
ทรงพิจารณาปฏิจจสมุปบาท
(ธรรมที่เกิดขึ้นเพราะอาศัยเหตุปัจจัย สายเกิด
แล้วทรงเปล่งอุทาน ความว่า เมื่อธรรมปรากฏ
แก่พราหมณ์ ผู้มีความเพียรเพ่งอยู่
เขาย่อมสิ้นความสงสัย เพราะรู้ธรรมพร้อมทั้งต้นเหตุ.


ในเวลามัชฌิมยามแห่งราตรี
ทรงพิจารณาปฏิจจสมุปบาทสายดับ
แล้วทรงเปล่งอุทาน ความว่า เมื่อธรรมปรากฏ
แก่พราหมณ์ผู้มีความเพียรเพ่งอยู่
เขาย่อมสิ้นความสงสัย เพราะได้ทราบถึง
ความสิ้นไปแห่งปัจจัย.

ในเวลาปัจฉิมยามแห่งราตรี
ทรงพิจารณาปฏิจจสมุปบาท ทั้งโดยอนุโลม
(ตามลำดับ) และโดยปฏิโลม (ย้อนลำดับ)
แล้วทรงเปล่งอุทาน ความว่า เมื่อธรรมปรากฏ
แก่พราหมณ์ผู้มีความเพียรเพ่งอยู่
พราหมณ์นั้นย่อมกำจัดมารพร้อมทั้งเสนาเสียได้
ดั่งดวงอาทิตย์ทำท้องฟ้าให้สว่างฉะนั้น.

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มิ.ย. 2020, 17:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8583


 ข้อมูลส่วนตัว




unnamed.png
unnamed.png [ 116.81 KiB | เปิดดู 2150 ครั้ง ]
ทรงโต้ตอบกับพราหมณ์ที่ชอบตวาดคน
เมื่อครบ ๗ วันแล้ว ทรงออกจากสมาธินั้น เสด็จจากโคนไม้โพธิ
ไปยังไม้อชปาลนิโครธ (ต้นไทรที่เด็กเลี้ยงแพะชอบมาพัก)
ประทับนั่งเสวยวิมุติสุข ณ โคนไม้นั้นตลอด ๗ วัน.

มีพราหมณ์ หุหุกชาติคนหนึ่ง ผู้ชอบตวาดคนมาเฝ้า.
กราบทูลถามถึงธรรมะที่ทำคนให้เป็นพราหมณ์
ทรงเปล่งอุทานเป็นใจความว่า ผู้ที่จะนับว่าเป็นพราหมณ์
คือผู้ลอยบาป ไม่มักตวาดคน ไม่มีกิเลสเหมือนน้ำฝาด
สำรวมตน มีความรู้จบเวท อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว
ไม่มีความพอง (เย่อหยิ่ง).

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มิ.ย. 2020, 08:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8583


 ข้อมูลส่วนตัว




images (6).jpeg
images (6).jpeg [ 43.46 KiB | เปิดดู 2149 ครั้ง ]
ทรงเปล่งอุทานที่ต้นจิก
ครั้นครบ ๗ วันแล้ว ทรงออกจากสมาธินั้น
เสด็จจากโคนไม้อชปาลนิโครธ ไปยังต้นจิก
ประทับนั่งเสวยวิมุติสุข ณ โคนไม้จิกนั้นตลอด ๗ วัน.

ได้เกิดเมฆใหญ่ผิดฤดูกาล มีฝนตก
พรำเจือด้วยลมหนาวตลอด ๗ วัน.

พญานาคชื่อมุจลินท์มาวงด้วยขนดรอบพระกาย
ของพระผู้มีพระภาค ๗ รอบ เพื่อป้องกันหนาว ร้อน
เหลือบ ยุง เป็นต้น.

ทรงเปล่งอุทานปรารภสุข ๔ ประการ คือ
สุขเพราะความสงัด, สุขเพราะไม่เบียดเบียน,
สุขเพราะปราศจากราคะ ก้าวล่วงกามเสียได้ และประการ
สุดท้าย สุดอย่างยอด คือการนำความถือตัวออกเสียได้.

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 มิ.ย. 2020, 15:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8583


 ข้อมูลส่วนตัว




images (4).jpeg
images (4).jpeg [ 31.87 KiB | เปิดดู 2256 ครั้ง ]
เหตุการณ์ที่ต้นเกตก์

ครั้นครบ ๗ วันแล้ว ทรงออกจากสมาธินั้น
เสด็จจากโคนไม้จิก ไปยังไม้ราชายตนะ (ต้นเกตก์) ประทับนั่ง
เสวยวิมุติสุข ณ โคนไม้เกตก์นั้นตลอด ๗ วัน.

มีพ่อค้า ๒ คนชื่อ ตปุสสะ กับภัลลิกะ เดินทางมาจากอุกกละชนบท
ครั้งนั้นเทพดาผู้เป็นญาติสาโลหิตของตปุสสะ ภัลลิกะได้กล่าวกะ ๒ พ่อค้านั้นว่า
ดูก่อนผู้นิรทุกข์ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นี้ แรกตรัสรู้ประทับอยู่

ณ ควงไม้ราชายตนะ ท่านทั้ง ๒ จงบูชาพระผู้มีพระภาคนั้น แล้วถวาย
ถวายข้าวสัตตุก้อนและสัตตุผง.การบูชาของท่านทั้งสองนั้น
จักเป็นไปเพื่อประโยชน์และความสุขแก่ท่านทั้งหลาบในกาลนาน


ลำดับนั้นท้าวจาตุมหาราชนำบาตรสำเสร็จด้วยศิลา มาจากทิศทั้ง ๔ มาถวาย
แล้วเสวยข้าวนั้น. พ่อค้า ๒ คนปฏิญญาตนเป็นอุบาสก
ถึงพระพุทธ พระธรรม เป็นสรณะ นับเป็นอุบาสกชุดแรกในโลก
ที่เปล่งวาจาถึงรตนะ ๒ (คือพระพุทธ พระธรรม).

ครั้น นายพาณิชทั้ง ๒ ประกาศความเป็นอุบาสกแล้ว ได้กราบทูล
พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ตั้งแต่นี้ไปข้าพระองค์พึงทำการอภิวาทและยืนรับใครเล่า
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงลูบพระเศียรด้วยพระหัตถ์ ได้ประทานพระเกศา
เหล่านั้นทั้งสอง แล้วตรัสว่า ท่านจงรักษาผมเหล่านี้ไว้ สอง
พาณิชนั้นได้พระเกศธาตุ ราวกะได้อษิเษกด้วยอมตธัมม์ ยินดีร่าเริง
ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วหลีกไป

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มิ.ย. 2020, 04:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8583


 ข้อมูลส่วนตัว




images (6).jpeg
images (6).jpeg [ 33.14 KiB | เปิดดู 2107 ครั้ง ]
เสด็จกลับไปต้นไทรอีก

ครั้นครบ ๗ วันแล้ว ทรงออกจากสมาธินั้น
เสด็จจากโคนไม้เกตก์ ไปยังต้นไทรที่เด็กเลี้ยงแพะ
ชอบมาพัก (อชปาลนิโครธ)

และประทับ ณ โคนไม้ไทรนั้น ทรงพิจารณาเห็นว่า
ธรรมที่พระองค์ตรัสรู้ลึกซึ้ง ยากที่คนอื่นจะตรัสรู้ได้
รู้ตามได้เป็นธรรมสงบประณีต ไม่หยั่งลงสู่ความตรึก ละเอียด
เป็นวิสัยของบัณฑิตจะพึงรู้แจ้ง หมู่สัตว์เริงรมย์ด้วยอาลัย

ยินดีในอาลัย ชื่นชมในอาลัย ฐานะ คือ ความที่อวิชชาเป็นปัจจัย
แห่งสังขารเป็นต้นนี้ เป็นสภาพอาศัยปัจจัยเกิดขึ้น แม้ฐานะ คือ
ธรรมเป็นที่ระงับสังขารทั้งปวง เป็นที่สละคืนอุปธิทั้งปวง
เป็นที่สิ้นตัณหา เป็นที่สิ้นกำหนัด เป็นที่ดับสนิทหากิเลสเครื่องร้อยรัดมิได้
นี้ก็แสนยากที่จะเห็นได้ ถ้าพึงจะแสดงธรรม สัจว์เหล่าอื่นก็จะไม่พึงรู้ธรรมของเรา


ข้อนั้นจะพึงทราบความเหน็ดเหนื่อยเปล่าแก่เรา จะพึงเป็นความลำบากเปล่าแก่เรา
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพิจารณาเห็นอยู่ ดังนี้ ก็ทรงน้อมพระหฤทัย
ไปเพื่อความขวนขวายน้อย ไม่น้อมไปเพื่อการแสดงธรรม.

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มิ.ย. 2020, 15:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8583


 ข้อมูลส่วนตัว




41.png
41.png [ 2.67 MiB | เปิดดู 2154 ครั้ง ]
พระพรหมมาอาราธนา

ท้าวสหัมบดีพรหมทราบพระพุทธดำริ จึงมาเฝ้ากราบทูล
อาราธนาให้ทรงแสดงธรรม อ้างเหตุผลว่า ผู้ที่มีกิเลสน้อย พอจะ
รู้พระธรรมได้มีอยู่.

พระผู้มีพระภาคทรงพิจารณาสัตว์เปรียบเทียบด้วยดอกบัว ๓
ชนิด คือที่อยู่ใต้น้ำ, เสมอน้ำ, โผล่พ้นน้ำ อันเทียบด้วยบุคคล ๓
ชนิด (ที่พอจะตรัสรู้ได้ ส่วนประเภท ๔ คือดอกบัวที่ไม่มีหวัง
จะโผล่ได้ เทียบด้วยบุคคลผู้ไม่มีหวังจะตรัสรู้). จึงทรงตกลง
พระหฤทัยที่จะแสดงธรรม.

ทรงปรารภอาฬารดาบส กาลามโคตร ก็ทรงทราบว่าถึงแก่
กรรมเสีย ๗ วันแล้ว ทรงปรารภอุททกดาบสรามบุตร ก็ทรง
ทราบว่าถึงแก่กรรมเสียเมื่อวานนี้เอง จึงตกลงพระหฤทัย
เสด็จไปแสดงธรรมโปรดภิกษุปัญจวัคคีย์ (พวก ๕)
ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ระหว่างทางทรงพบอุปกาชีวก

ดูก่อนอาวุโส อินทรียของท่านผ่องใสยิ่งนัก ผิวพรรณของ
ท่านผุดผ่อง ท่านบวชอุทิศใคร ใครเป็นศาสดาของท่าน
หรือท่านชอบใจธรรมะของใคร เมื่ออุปกาชีวกทูลอย่างนี้แล้ว
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระคาถาตอบอุปกาชีวก ดังนี้

เราเป็นผู้ครอบงำธรรมทั้งปวง รู้ธรรมทั้งปวงอันตัณหาและทิฏฐิ
ไม่สามารถฉาบทาแล้วในธรรมทั้งปวง ละธรรมที่เป็นไปในภูมิสามได้หมด
พ้นแล้วเพราะความสิ้นไปแห่งตัณหา เราตรัสรู้ยิ่งเองแล้ว จะพึงอ้างใครเล่า
อาจารย์ของเราไม่มี คนเช่นเราไม่มี บุคคลเสมอเหมือนเราไม่มี
ในโลกกับทั้งเทวโลก เพราะเราเป็นพระอรหันต์ในโลก เราเป็นศาสดา
หาศาสดาอื่นยิ่งมิได้ เราจะไปเมืองแคว้นกาสีเพื่อประกาศธรรมจักร
ให้เป็นไป เราจะตีกลองอมตะในโลกมืด เพื่อให้สัตว์ได้ธรรมะจักษุ

อุปกาชีวกทูลว่า ดูก่อนอาวุโส ท่านปฎิญาณโดยประการใด
ท่านควรเป็นผู้ชนะหาที่สุดมิได้โดยประการนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
บุคคลเหล่าใดถึงความสิ้นอาสวะแล้ว บุคคลเหล้านั้นชื่อว่า เป็นผู้ชนะเช่นเรา
เราชนะธรรมอันลามกแล้ว เพราะฉะนั้น เราจึงชื่อว่าผู้ชนะ

เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้ อุปกาชีวกทูลว่า
พึงเป็นผู้ชนะเถิดท่านผู้มีอายุ ดังนี้แล้ว ก้มศีรษะแล้วหลีกทางไป

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มิ.ย. 2020, 10:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8583


 ข้อมูลส่วนตัว




images.jpeg
images.jpeg [ 68.62 KiB | เปิดดู 2131 ครั้ง ]
ทรงแสดงธรรมครั้งแรก
เมื่อเสด็จถึงป่าอิสิปตนมฤคทายวัน
แขวงกรุงพาราณสีแล้ว ครั้งแรกภิกษุปัญจวัคคีย์
แสดงอาการกระด้างกระเดื่อง

แต่เมื่อทรงเตือนให้นึกถึงว่า เมื่อก่อนพระองค์
ไม่เคยตรัสบอกเลยว่าตรัสรู้ บัดนี้ตรัสบอกแล้ว
จึงควรตั้งใจฟัง ก็พากันตั้งใจฟัง.
พระผู้มีพระภาคจีงทรงแสดงธัมมจักกัปปวัตตนสูตร
มีใจความสำคัญ คือ

๑. ทรงชี้ทางที่ผิด อันได้แก่กามสุขัลลิกานุโยค
(การประกอบตนให้ชุ่มอยู่ด้วยกาม) และอัตตกิลมถานุโยค
(การทรมานตนให้ลำบาก) ว่าเป็นส่วนสุดที่บรรพชิตไม่ควรดำเนิน
แล้วทรงแสดงมัชฌิมาปฏิปทา (ข้อปฏิบัติสายกลาง)
ได้แก่มรรคมีองค์ ๘ ว่าพระองค์ตรัสรู้แล้ว เป็นไปเพื่อพระนิพพาน.

๒. ทรงแสดงอริยสัจจ์ ๔ คือ ทุกข์, เหตุให้ทุกข์เกิด,
ความดับทุกข์, ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ โดยละเอียด.

๓. ทรงแสดงว่าทรงรู้ตัวอริยสัจจ์ทั้งสี่, ทรงรู้หน้าที่อันควรทำ
ในอริยสัจจ์ทั้งสี่ และทรงรู้ว่าได้ทรงทำหน้าที่เสร็จแล้ว
จึงทรงแน่พระหฤทัยว่าได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
แล้ว (อันแสดงว่าทรงปฏิบัติจนได้ผลด้วยพระองค์เองแล้ว).

เมื่อจบพระธรรมเทศนา พระโกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรม
และได้ขอบวชก่อน. ต่อมา พระวัปปะกับพระภัททิยะ
สดับพระธรรมเทศนา ได้ดวงตาเห็นธรรมและได้ขอบวช.
ต่อมา พระมหานามะกับพระอัสสชิสดับพระธรรมเทศนาได้
ดวงตาเห็นธรรม และได้ขอบวช เป็นอันได้บวชครบทั้งห้ารูป.

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มิ.ย. 2020, 10:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 10:51
โพสต์: 2789


 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss :b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 8 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร