วันเวลาปัจจุบัน 19 ส.ค. 2025, 03:20  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


“อภิธรรม (สันสกฤต: abhidharma) หรืออภิธัมมะ (บาลี: abhidhamma) เป็นชื่อปิฎกศาสนาพุทธฉบับหนึ่งในปิฎกทั้งสามฉบับที่รวมเรียก "พระไตรปิฎก" อภิธรรมแปลว่าธรรมอันยิ่ง ปิฎกฉบับอภิธรรมนั้นเรียก "พระอภิธรรมปิฎก" ซึ่งว่าด้วยประมวลหลักธรรมและคำอธิบายที่เป็นหลักวิชาล้วนๆ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์และบุคคลเลย”



กลับไปยังกระทู้  [ 9 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ย. 2024, 09:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว




Screenshot_20240923_161157_TikTok.jpg
Screenshot_20240923_161157_TikTok.jpg [ 211.85 KiB | เปิดดู 2073 ครั้ง ]
[
๑๗. ปัญญาภูมินิทเทส
แสดงข้อเดียวก็มี แสดงสองข้อก็มี

[๕๔๖] ก็ไนบรรดาธรรมที่เป็นยอดในกถาเกี่ยวกับวัฏฏะเหล่านี้ ในบางพระสูตร
พระผู้มีพระภาคย่อมทรงแสดงเทศนามีธรรรมข้อเดียวเป็นมูล เช่นทรงแสดงมีอาทิว่า "ดูกร
ภิกษุทั้งหลาย ดังนี้แล สังขารมีอวิชชาเป็นที่อิงอาศัย วิญญาณมีสังขารเป็นที่อิงอาศัย"
อนึ่ง ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลตามเห็นแต่ความพอใจในธรรมทั้งหลายอันเป็นที่ตั้ง
แห่งอุปาทาน ตัณหาย่อมเจริญยิ่ง เพราะตัณหาเป็นปัจจัยจึงมีอุปาทาน" ดังนี้ ในบาง
พระสูตร ก็ทรงแสดงเทศนามีธรรมสองข้อเป็นมูลก็มี เช่นทรงแสดงมีอาทิว่า "ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย กายนี้ของคนพาลผู้มีอวิชชากางกั้น ประกอบด้วยตัณหาบังเกิดขึ้นแล้วอย่างนี้
กายนี้ด้วย นามรูปภายนอกด้วย ธรรม ๒ อย่างนี้ ด้วยประการฉะนี้ เพราะอาศัยธรรม
๒ อย่าง จึงมีผัสสะ อายตนะ ๖ คนพาลอันอายตนะ ๖ เหล่าใดถูกต้องแล้ว ย่อมเสวย
สุขทุกข์" ดังนี้ ในบรรดาเทศนาเหล่านั้น เทศนาว่า "เพราะอวิขชาเป็นปัจจัยจึงมีสังขาร" นี้
พึงทราบว่า เป็นเทศนามีธรรมข้อเดียวเป็นมูล ด้วยอำนาจอวิชชาในปัจจยาการนี้.
พึงทราบวินิจฉัยโดยความต่างแห่งเทศมาในปัจจยาการนี้อย่างนี้ก่อน.

[๕๘๖] กตฺถจิ โยค สุตฺเต แปลว่า ในบางพระสูตร. สองบทว่า เอกธมฺมมูลิกํ
เทสนํ ความว่า เทศนาชื่อว่า เอกธมฺมมูลิกา โดยความหมายว่า เทศนานี้มีธรรมข้อเดียว
เท่านั้นในบรรดาอวิชซาและตัณหาเป็นมูล, ซึ่งเทศนาอันมีธรรมข้อเดียวเป็นมูลนั้น อธิบาย
ว่า พระผู้มีพระภาคย่อมทรงแสดงปฏิจสมุปป่าทเทศนาโตยทรงกระทำธรรมข้อเดียวเท่านั้น
ในบรรดาอวิขชาและตัณหานั้นให้เป็นมูล.

(๑๑๙) เหตุชื่อว่า อุปนิสา โดยความหมายว่า เป็นที่อิงอาศัยแห่งผล, สังขาร
ชื่อว่า อวิชชูปนิสา โดยความหมายว่า มือวิชชาเป็นที่อิงอาศัย บทว่า อสุสาทานุปสฺสิโน
ควานว่า ผู้มีปรกติตามเห็นสุขและโสมนัสอันหมายรู้กันว่าเป็นที่น่าพอใจ เพราะเป็นธรรม
ชาติที่น่าพอใจในธรรมอันเป็นไปในภูมิทั้ง ๓ อันเป็นที่ตั้งแห่งอุปาทานเป็นวิสัย. ชี่อว่า
ของคนพาล เพราะประกอบไปด้วยลักษณะของคนพาล เพราะเหตุที่ยังละอวิชชาไม่ได้.
บทว่า เอวํ ความว่า เพราะความเป็นผู้มือวิชชากางกั้น และเพราะความเป็นผู้ประกอบไป
ด้วยตัณหา. สองบทว่า อย์ กาโย นี้ ความว่า กายอันมีวิญญาณนี้ซึ่งเป็นที่ประจักษ์แก่เรา
และท่านทั้งหลาย ได้แก่ขันธ์ ๕ หรือได้แก่อายตนะ ๖ เพราะอายตนะ ๖ นี้ ท่านกล่าว่า

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ย. 2024, 15:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว




Screenshot_20240923_125346_TikTok.jpg
Screenshot_20240923_125346_TikTok.jpg [ 303.55 KiB | เปิดดู 1882 ครั้ง ]
กถาว่าด้วยปฏิจจสมุปบาท

ผัสสะเป็นเหตุ โดยมีพระบาลีว่า สพายตนปจุจยา ผสฺโส เพราะอายตนะ ๖ เป็นปัจจัยจึง
ผัสสะ บทว่า สมุทาคโต แปลว่า บังเกิดขึ้นแล้ว. สองบทว่า พหิทฺธา จ นามรูปํ ความ
ว่า กายอันมีวิญญาณในภายนอก ได้แก่ขันธ์ ๕ หรืออายตนะ ๖. บทว่า อิตฺเถต๋ ด้วยบทเป็น
อิตฺถํ เอตํ แปลว่า นี้ ด้วยประการฉะนี้. ความว่า ขันธ์ ๕ ของตนและของคนเหล่าอื่น
คืออายตนะ ๑๒ ที่กำหนดด้วยความเป็นทวารและอารมณ์ ชื่อว่า ธรรม ๒ อย่าง. คำว่า
เพราะอาศัยธรรม ๒ อย่าง จึงมีผัสสะ มีความว่า ในปาฐะอื่นท่านกล่าวถึงธรรม ทั้งหลาย
จึงมีจักขุสัมผัสเป็นต้น เพราะอาศัยธรรม ๒ อย่าง มีจักษุและรูปเป็นต้น แต่ในที่นี้ท่านกล่าว.
หมายถึงอายตนะภายในและอายตนะภายนอก ท่านกล่าวว่า ได้ยินว่านามรูปนี้ ชื่อว่าเป็น
ธรรมคู่ใหญ่. ในอธิการนี้มีอธิบายดังนี้ ในปาฐะอื่นท่านกล่าวถึงธรรมมีจักษุสัมผัสเป็นต้น
โดยอาศัยธรรมที่เป็นคู่กัน ที่ท่านพระมหากัจจายนเถระกล่าวไว้ว่า ได้แก่จักษุและรูป ฯลฯ
ได้แก่ใจและธรรมทั้งหลาย โดยนัยมีอาทิว่า เพราะอาศัยจักษุและรูปจึงเกิดจักขุวิญญาณ
ขึ้น เพราะธรรม ๓ อย่าง ประชุมกันจึงเกิดผัสสะ ดังนี้

แต่ในที่นี้ พระผู้มีพระภาคตรัสผัสสะ เพราะอาศัยอายตนะภายในและภายนอก
เหล่านั้น โดยทรงถือเอากายมีจักษุเป็นต้น ที่ตรัสไว้ว่า กายนี้ด้วย ทรงกระทำธรรมที่เหลือ
มีจักษุเป็นต้น เป็นที่อาศัย ให้เป็นธรรมอาศัยจักษุเป็นต้นอย่างเดียว ว่าเป็นอายตนะภาย
ในโดยเป็นอย่างเดียวกัน และโดยทรงถือเอาอารมณ์มีรูปเป็นต้น ที่ตรัสไว้ว่า และนามรูป
ภายนอกว่าเป็นอายตนะภายนอก โดยเป็นอย่างเดียวเท่านั้น เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าว
ผัสสะอาศัยอายตนะภายในและภายนอกเหล่านั้น เพราะฉะนั้น กายและนามรูปนี้จึงชื่อว่า
เป็นธรรมคู่ใหญ่ ก็เพราะอธิบายอย่างนี้ ท่านอาจารย์จึงกล่าวว่า ควรแสดงความข้อนี้ว่า
ด้วยขันธ์ ๕ ด้วยอายตนะ ๖ ของตน และของบุคคลอื่น

จริงอยู่ อายตนะมีจักษุเป็นต้น พร้อมทั้งที่อาศัย ตรัสไว้ว่า กายนี้ชื่อว่า ชันธ์ ๕
ของตน, อายตนะมีรูปเป็นต้น ที่ตรัสว่า นามรูปภายนอกชื่อว่า ขันธ์ ๕ ของบุคคลเหล่าอื่น.
อนึ่ง การนี้จัดเป็นอายตนะภายใน ๖ รอบทน นานรูปกายนอกเป็นอายตนะภายนอกของ
คนเหล่าอื่นแล. เมื่อถือเอาเนื้อความโดยประการอื่น ด้วยคำที่ตรัสไว้ว่า กายนี้ในเพราะ
ธรรมสักว่าเป็นอายตนะภายในเท่านั้น และอายตนะภายในนั่นแหละ ก็ย่อมเป็นขันธ์ ๕ ของ
ตน เพราะฉะนั้น จึงไม่พึงมีการแสดงด้วยขันธ์ ๕ ของตน และของคนเหล่าอื่น. บทว่า
ฉเฬวายตนานิ ความว่า คนพาลซึ่งถูกผัสสะอันเกิดจากอายตนะเหล่าใด อันเป็นตัวเหตุ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ย. 2024, 07:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว




Screenshot_20240925-164907_TikTok.jpg
Screenshot_20240925-164907_TikTok.jpg [ 269.53 KiB | เปิดดู 1741 ครั้ง ]
ย่อมเสวยสุขและทุกข์ อายตนะเหล่านั้นก็มี ๖ เท่านั้น เป็นเหตุของผัสละ ด้วย อาทิ
ศัพท์ บัณฑิตพึงประกอบคำบาลีมีอาทิว่า เอเตยํ ว่า อญฺญตเรน อวิชฺชานิวรณสฺส ภิกฺขเว
ปณฺฑิตสฺส ตณฺหาย สมฺปยุตฺตสฺส แปลว่า หรือถูกอาตนะ ๖ เหล่านี้ อายตนะใดอายตนะ
หนึ่งถฟุกต้องแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย กายนี้ของบัณฑิตผู้มีอวิชชาหุ้มห่อ ประกอบแล้วด้วย
ตัณหา
จริงอยู่ ในสูตรนี้พระผู้มีภาคผู้ทรงกระทำสังขารให้เป็นกรรมยาศัยอวิชชาและ
ตัณหานั่นเอง แล้วทรงถือเอาวิญญาณ นามรูป และสหายตนะ ด้วยศัพท์ว่า กาย ทรงทำ
ผัสสะแห่งสฬายตนะในกายนั้น ให้เป็นธรรมอาศัยกายนั่นเอง แล้วทรงแสดงความที่เวทนา
เป็นปัจจัยพิเศษ ได้ทรงแสดงปฏิจจสมุปบาทอันมีอวิชชาและตัณหา ซึ่งเป็นอดีตอัทธาเป็น
มูล อันมีเวทนาเป็นที่สุดของคนพาลและบัณฑิต อนึ่ง เมื่อทรงแสดงความต่างกันของคน
พาลและบัณฑิตต่อไป ได้ทรงแสดงตัณหาพร้อมทั้งอวิขชา ซึ่งเป็นบ่อเกิดของเวทนาว่า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็กายนี้ของคนพาลผู้ถูกอวิชชาใดปกปิดไว้ และผู้ประกอบด้วย
ตัณหาใดเกิดขึ้น อริชชานั้นคนพาลก็ยังละไม่ได้ และตัณหานั้นก็ยังไม่สิ้นไปด้วย

ข้อนั้นเพราะเหตุไร ?
ดูกรภิกษุทั้งหมาย เพราะคนพาลไม่ได้ประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อความสิ้น
ทุกข์โดยชอบ เพราะฉะนั้น คนพาลเมื่อกายแตกตายไป จึงเป็นถึงกาย เรา
ย่อมกล่าว่า คนพาลนั้นเมื่อเข้าถึงกาย จึงไม่หยุดพ้นจากชาติ ฯลฯ จากทุกข์
และทรงกระทำอุปาทานและภพ ให้เป็นที่อาศัยตัณหาพร้อมทั้งอวิชชานั้น แสดงธรรมมี
ขาติเป็นต้น ด้วยคำมีอาทิว่า ย่อมเป็นผู้เข้าถึงกาย ตรัสปฏิจจสมุปบาทด้วยอำนาจมูลทั้ง ๒
จำเดิ.มแต่การตั้งขึ้นของปัจจุบันเหตุ, ส่วนสำหรับบัณฑิต ว่าโดยปริยายต่างจากที่กล่าวมา
แล้วนั้น ตรัสปฏิจจสมุปบาทโดยาฎีโลม ซึ่งมีมูลทั้ง ๒ จำเดิมแต่ควานสิ้นในใจจุบันหตุ
ฉะนี้แล

๒. คำวินิจฉัยโดยอรรถ

[๕๘๗] คำว่า โดยอรรถ คือ โดยความหมายแห่งบททั้งหลาย มีอวิชชาเป็นต้น
อรรถเหล่านี้คืออะไรบ้าง ? คือ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ย. 2024, 12:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว




ei_1727255324660-removebg-preview.png
ei_1727255324660-removebg-preview.png [ 87.44 KiB | เปิดดู 1742 ครั้ง ]
๒.๑ อวิยุชา โดยอรรถ

อวิชฺชา มาจากคำว่า อวินุทิยํ วินฺทติ แปลว่า ย่อมได้สิ่งที่ไม่ควรได้ อธิบายว่า
ทุจริตมีกายทุจริตเป็นต้นเป็นต้น ชื่อว่า อวินฺทิยํ แปลว่า ไม่คารได้ ด้วยธรรถว่า ไม่ควรเพื่อจะ
เจริญ ชื่อว่า อวิชฺชา เพราะอรรถว่า ย่อมได้สิ่งที่ไม่ควรได้นั้น

๒. โดยนัยตรงกันข้ามจากอรรถที่ ๑ นั้น อวิชฺชา มาจากคำว่า วินฺทิยํ น วินฺทติ
แปลว่า ย่อมไม่ได้สิ่งที่ควรได้ อธิบายว่า สุจริตมิกายสุจริตเป็นต้น ชื่อว่า วินฺทิยํ แปลว่า
ควรใส่ ชื่อว่า อวิชฺชา เพราะอรรถกา ย่อมไม่ได้ถึงที่ควรได้นั้น

๓. อวิชฺชา มาจากคำว่า อวิทิตํ กโรติ แปลว่า ย่อมกระทำไม่ให้ปรากฏ อธิบายว่า
ย่อมกระทำ อรรถว่า กองแห่งขันธ์ทั้งหลาย อรรถว่า เป็นเครื่องต่อแห่งอายตนะทั้งหลาย
อรรถว่า ว่างปล่าแห่งธาตุทั้งหลาย อรรถว่า เป็นใหญ่แห่งอินทรีย์ทั้งหลาย อรรถว่า แท้
แห่งสัจจะทั้งหลาย ไม่ให้ปรากฏบ้าง.

อวิชฺชา มาจากค้าว่า อวิทิตํ กโรติ แปลว่า ย่อมกระทำอรรถ ๔ อย่าง ที่กล่าว
ไว้ด้วยอำนาจความบีบคั้นเป็นต้น แห่งสัจจะ ๔ มิทุกข์เป็นต้น ไม่ให้ปรากฏบ้าง.

๕. อวิชฺชา มาจากคำว่า อนฺตวิรหิเต สํลาเร สพฺพโยนิคติภววิญฺญาณฏฺฐิติสตฺตา-
วาเสสุ สตฺเต ชวาเปติ
แปลว่า ย่อมยังสัตว์ทั้งหลายให้แสนไปในกำเนิด คติ ภพ วิญญาณ
ฐิติ และสัตตาวาส ในสงสารอันเว้นจากที่สุด.

๖ ชื่อว่า อวิชฺชา เพราะอรรถว่า แล่นไปในบัญญัติธรรมทั้งหลาย มิหญิงและชาย
เป็นต้น ซึ่งไม่มีอยู่โดยปรมัตถ์ ไม่แล่นไปในบัญญัติธรรมทั้งหลาย มีชันธ์เป็นต้น ซึ่งแม้มี
อยู่โดยปรมัตถ์.

๗. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า อวิชฺชา เพราะอรรถว่า แม้เพราะปกปิดซึ่งวัตถุและอารมณ์
ของวิญญาณ มีจักขุวิญญาณเป็นต้น และซึ่งธรรมทั้งหลายอันเป็นปฏิจจสมุปบาทและ
ปฏิจจสมุปปันนะ
๒.๒ ปัจจัย โดยอรรถ

ปัจจัย มีอรรถว่า ยํ ปฏิจฺจ ผลเมติ โส ปจฺจโย แปลว่า ผลอาศัยธรรรมใดย่อม
เกิดขึ้น ธรรมนั้น ชื่อว่า ปัจจัย
คำว่า ปฏิจจ อาศัย หมายความว่า ไม่เว้น คือไม่ปฏิเสธ.
คำว่า เอติ ความว่า ย่อมเกิดขึ้น และย่อมเป็นไป อีกอย่างหนึ่ง อรรถว่า เป็น
อุปการะ เป็นเรื่องเป็นราว อวิชชานั้นด้วย เป็นปัจจัยด้วย เหตุนี้ จึงชื่อว่า อวิชฺชา
ปจฺจโย
อวิชชาเป็นปัจจัย อวิชฺชาปจฺจยา แปลว่า เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ย. 2024, 14:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว




Screenshot_20240925-164452_TikTok.jpg
Screenshot_20240925-164452_TikTok.jpg [ 358.16 KiB | เปิดดู 1741 ครั้ง ]
๒.๓ สังขาร โดยอรรถ

สังขารมีรูปวิเคราะห์ว่า สงฺขตมภิสงฺขโรนฺตีติ สงฺขารา แปลว่า ธรรมทั้งหลาย
เหล่าใดย่อมปรุงแต่งเฉพาะสิ่งที่เป็นปัจจัยปรุงแต่ง เหตุนั้น ธรรมทั้งหลายเหล่านั้นชื่อว่า
สงฺขารา ธรรมที่ปรุงแต่ง สังขารมี ๒ อย่าง คือ : อวิชชาปัจจยสังขารา (เพราะอวิชยา
เป็นปัจจัยจึงมีสังขาร) ๑ สังขารที่มาโดย สงฺขาร ศัพท์ ๑.

ในบรรดาสังขาร ๒ อย่างนั้น สังขาร ๖ เหล่านี้ คือ. ปุญญญาภิสังขาร (อภิสังขาร
คือบุญ) ๑ อปุญญาภิสังขาร (อภิสังขาร คือ บาป) ๑ อาเนญชาภิสังขาร (อภิสังขาร คือ
อาเนญชา ไม่ใช่บุญไม่ใช่บาป) ๑ รวมเป็น ๓ กายสังขาร (ธรรมแต่งทางกาย) ๑ วจีสังขาร
(ธรรมแต่งทางวาจา) ๑ จิตตสังขาร (ธรรมแต่งทางจิต) ๑ รวมเป็น ๓ ชื่อว่า อวิชชาปัจจย-
ขาร อวิชชาปัจปัจยสังขารเหล่านั้นทั้งหมด เป็นเพียงกุศลเจตนาและอกุศลเจตนาฝ่าย
โลกียะเท่านั้น

ส่วนสังขาร ๔ เหล่านี้ คือ สังขตสังขาร (สังขารที่ปัจจัยแต่งขึ้น) ๑ อภิสังขต-
สังขาร (สังขาร คือ สิ่งที่กรรมแต่งขึ้น) ๑ อภิสังขรณกลังขาร (สังขาร คือ กรรมผู้แต่ง) ๑
ปโยคาภิสังยาร (สังฆาร คือ ความเพียร) ๑ เภป็นสังขารที่มาโตย สังขาร ศัพท์.

ในบรรดาสังขารทั้ง ๕ นั้น ธรรมพร้อมทั้งปัจจัยทั้งหมดที่กล่าวไว้ในพระบาลิเป็นต้น
ว่า อนิจฺจา วต สงฺขารา สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ ชื่อว่า สังขตสังขาร.

รูปธรรมและอรูปธรรมที่เป็นในภูมิ ๓ เกิดแต่กรรม ท่านกล่าวไว้ในอรรถกถา
ทั้งหลายว่า อภิสังขตสังขาร แม้อภิสังขสังขารเหล่านั้นก็ถึงการรวมอยู่ในพระบาลีนี้ว่า
อนิจจา วต สงฺขารา สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ นั่นเทียว ก็อาคตสถานแห่งอภิสังขต-

กีกุศลเจตนาและอกุศลเจตนาอันเป็นไปในภูมิ ๓ เรียกว่า อภิสังขรณกสังขาร
อาคตสถานแห่งอภิสังขาณกสังขารนั้นปรากฏในพระบาลีทั้งหลาย มีอาทิว่า "ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย บุรุษบุคคลผู้ตกอยู่ในอวิชชาย่อมสร้างสังขารที่เป็นบุญบ้าง
" ดังนี้.

ส่วนความเพียรทางกายและทางจิต เรียกว่า ปโยคาภิสังขาร ปโยคาภิสังขารนั้น
มาในพระบาสิทั้งหลาย มีอาทิว่า "ความดำเนินไปแห่งอภิสังขารมีประมาณเพียงใด เขาก็
ไปได้เพียงนั้น แล้วก็หยุด เหมือนเกวียนเพลาหัก ฉะนั้น"

อนึ่ง ใช่จะมีแต่สังขารที่มาโดย สังขาร ศัพท์ เหล่านี้แต่อย่างเดียวเท่านั้น ยังมี
สังขารที่มาโดย สังขาร ศัพท์ แม้อื่น ๆ อีกเป็นอันมาก โดยนัยมีอาทิว่า "ดูกรอาวุโสวิสาขะ
เมื่อภิกษุเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ วจีสังขารดับก่อน จากนั้นกายสังขารดับ จากนั้นจิตต
สังขารจึงดับ
" ดังนี้ ในบรรดาสังขารเหล่านั้น สังขารที่จะไม่พึงถึงการสงเคราะห์เข้าด้วย
สังขตสังขารไม่มีเลย เบื้องหน้าแต่นี้ไปก็พึงทราบคำที่กล่าวแล้วในพระบาลีทั้งหลาย มิอาทิ
ว่า "เพราะสังขารเป็นปัจจัยจึงมีวิญญาณ" ตามนัยที่ได้กล่าวไว้แล้วนั่นแหละ

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ย. 2024, 08:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว




Screenshot_20240925-192003_TikTok.jpg
Screenshot_20240925-192003_TikTok.jpg [ 333.39 KiB | เปิดดู 1660 ครั้ง ]
๑.๔ วิญญาณเป็นต้น โดยถรรถ

วนในคำที่ยังมิได้ว่าไว้ พึงทราบดังต่อไปนี้
วิญญาณ มีวิเคราะห์ว่า วิชานาตีติ วิญฺญาณํ ธรรมชาติใดย่อมรู้แจ้ง เหตุนั้น
ธรรมชาตินั้น ชื่อว่า วิญญาณ ธรรมชาติรู้แจ้ง
นาม มีวิเคระห์ว่า นมนิติ นามํ ธรรมชาตใดย่อมน้อมไป เหตุนั้น ธรรมชาตินั้น
ชื่อว่า นาม ธรรมชาติน้อมไป
รูป มีวิเคราะห์ รุปฺปตีติ รูปํ ธรรมชาดยย่อมแปรผัน เหตุนั้น ธรรมชาตนั้น ชื่อว่า
รูป ธรรมชาตแปรผัน
อายตนะ มิใเคราะห์ว่า อาเย ตโนติ อายตญฺจ นยตีติ อายตนํ ธรรมทชาตใดย่อม
แผ่ไปในการขยาย และย่อมนำไปให้ออกไป เหตุนั้น ชื่อว่า อายตนะ แผ่
ไปในการยายตัว และให้ต่อออกไป
ผัสสะ มีวิเคราะห์ว่า ผุสตีติ ผสฺโส ธรรมโดยย่อมถูกต้อง เหตุนั้น ธรรมนั้น ชื่อ
ผัสสะ ถูกต้อง
เวทนา มีวิเคราะห์ว่า เวทยตีติ เวทนา ธรรมชาติใดย่อมเสวยอารมณ์ เหตุนั้น
ธรรมชาตินั้น ชื่อว่า เวทนา เสวยอารมณ์
ตัณหา มีวิเคราะห์ว่า ปริตสฺสตีติ ตณฺหา ธรรมชาติใดย่อมระหาย หรือแปลว่า
ย่อมหวั่นไหว เหตุนั้น ธรามชาตินั้น ชื่อว่า ตัณหา ระหายหรือหรือหวั่นไหว
อุปาทาน มีเคราะหัว่า อุปาทิยตีติ อุปาทานํ ธรรมชาตใตย่อมถือมั่น เหตุนั้น
ธรรมขาตนั้น ชื่อว่า อุปาทาน ถือมั่น
ภพ มีวิเคราะห์ว่า ภวติ ภาวยติ จาติ ภโว ธรรมใดย่อมเป็นและย่อมทำให้เป็นขึ้น
เหตุนั้น ธรรมนั้น ชื่อว่า ภพ เป็นและทำให้เป็น
ชาติ มีวิเคราะห์ว่า ขนนํ ชาติ ความเกิด ชื่อว่า ชาติ ความเกิด.
ขรา มีวิเคราะห์ว่า ชิรณํ ชรา ความแก่ ชื่อว่า ขรา ความแก่.
มรณะ มีวิเคราะห์ว่า มรนฺติ เอเตนาติ มรณํ สัตว์ทั้งหลายย่อมตายด้วยธรรมชาต
นี้ เหตุนั้น ธรรมชาตนี้ ชื่อว่า มรณํ เป็นเหตุตาย.
โสกะ มีวิเคราะห์ว่า โสจนํ โสโก ความเศร้า ชื่อว่า โสกะ ความเศร้า.
ปริเทวะ มีวิเคราะห์ว่า ปริเทวนํ ปริเทโว ความคร่ำครวญ ชื่อว่า ปริเทวะ คร่ำ
ครวญ
ทุกข์ มีเคราะห์ว่า ทุกฺขยตีติ ทุกขํ ธรรมชาตโดยย่อมทำให้น้ำให้ลำบาก เหตุนั้น ธรรม
ชาตนั้น ชื่อว่า ทุกข์ ทำให้ลำบาก
อีกย่างหนึ่ง มีวิเคราะห์ว่า อุปฺปาทฏฺฐิติวเสน ทฺวิธา ขณตีติ ทุกขํ. ดังนี้ก็ได้ แปล
ว่า ธรรมชาตใตย่อมยขุดอยู่ (ซึ่งความสุข) ๒ ตอน คือ ตอนเกิดขึ้นและตอนตั้งอยู่ เหตุนั้น
ธรรมชาตนั้น ชื่อว่า ทุกข์ ขุดความสุข ๒ ตอน.
ไทมนัส มีวิเคราะห์ว่า ทุมฺมนภาโว โทมนสฺสํ ภาวะที่เสียใจ ชื่อว่า โทมนัส ความ
เสียใจ
อุปายาส มีวิเคราะห์ว่า ภุโส อายาโส อุปายาโส ความตรอมใจยิ่งนัก ซึ่ยว่า อุปา-
ยาส
ความตรอมใจยิ่งนัก.

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.ย. 2024, 13:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว




FB_IMG_1727261533517.jpg
FB_IMG_1727261533517.jpg [ 741.94 KiB | เปิดดู 1636 ครั้ง ]
แก้บทว่า สมฺภวนฺติ เป็นต้น

บทว่า สมฺภวนฺติ แปลว่า ย่อมมี คือบังเกิดเฉพาะ ไม่ใช่บังเกิดเฉพาะด้วยความ
โศกเป็นต้น อย่างเดียวเท่านั้น โดยที่แท้ พึงทำคำประกอบเข้ากับ สมฺภวนฺติ ศัพท์ ทุกบท
เพราะเมื่อถือความโดยประเภทนอกนี้ เมื่อกล่าวว่า "อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา" ก็จะไปพึง
ปรากฏความว่า สังขารกระทำอะไร แต่เมื่อมีการประกอบบทว่า สมฺภวนฺติ เข้าไปก็ย่อม
เป็นการกระทำการกำหนดปัจจัยธรรมและปัจจยุบบันนธรรมว่า อวิชชานี้ด้วย เป็นปัจจัยด้วย
เหตุนั้น จึงชื่อว่า อวิชฺชาปจฺจโย อวิชชาเป็นปัจจัย เพราะอวิชชาเป็นนั้น สังขารจึงมี
ดังนี้. ในบททั้งปวงก็นัยนี้.

ค่าว่า เอวํ เป็นคำชี้นัยที่ได้แสดงมาแล้ว ด้วยคำว่า เอวํ นั้น พระผู้มีพระกาคย่อม
แสดงว่า ปัจจยุปปันนธรรมทั้งหลายย่อมมีด้วยเหตุทั้งหลาย มีอวิชชาเป็นต้น
หาใช่มีด้วยเหตุทั้งหลาย มีพระอิศวรเนรมิตให้เป็นต้น.
คำว่า เอตสฺส คือ ตามที่กล่าวแล้ว.
คำว่า เกวลสฺส คือ ไม่เจือปน หรือทั้งสิ้น.
ค่าว่า ทุกฺขกฺขนฺธสฺส แปลว่า แห่งกองทุกข์ ไม่ใช่ของสัตว์ ไม่ของสุขและงาม
เป็นต้น
คำว่า สมุทโย คือ ความบังเกิด.
คำว่า โหติ คือ ย่อมมี.
วินิจฉัยโดยอรรถในปฏิจจสมุปบาทนี้ บัณฑิตพึงทราบอย่างนี้

[๕๗๗] บทว่า ปูเรตุ๋ แปลว่า เพื่อจะเจริญ อธิบายว่า เพื่อจะเข้าไปสั่งสม. อวิชชา
ท่านอาจารย์กล่าวว่า อวินฺทิยํ วินฺทติ แปลว่า ย่อมได้สิ่งที่ไม่ควรได้ เพราะความเป็นปัจจัย
พิเศษแก่กรรมที่จะทำให้ไปสู่ทุคติ และท่านกล่าวว่า วินฺทิยํ น วินฺทติ แปลว่า ย่อมไม่ได้สิ่ง
ที่ควรได้ เพราะปัจจัยพิเศษไม่มีแก่สิ่งที่ควรจะได้อย่างนั้น. การทำให้เป็นธรรมอาศัยตน
แล้วยังวิญญาณทั้งหลายมีจักขึวิญญาณเป็นต้นให้เป็นไป คือให้เกิตขึ้น ชื่อว่า อายตนะ.
ย่อมกระทำไม่ให้ปรากฏ คือมิให้มีใครรู้ได้ เพราะเป็นความไม่ตรัสรู้ ด้วยภาวะคือความ
หลงพร้อมนั่นเอง สองบทว่า อนุตวิรหิเต ขวาเปติ ความว่า ท่านเอา อ อักษร วิ อักษร
และ ย อักษร รวมกันกล่าวว่า อวิชชา เพราะลบตัวอื่น และลง ย อาคมตัวที่ ๒ ด้วย
อำนาจนิรุตติลักษณะ ๕ อย่าง คือ วัณณาคมะ ลงตัวอักษรใหม่ วิปริยายะ ย้ายตัวอักษร
วิการะ แปลงตัวอักษร วินาสะ ลบตัวอักษร และ ธาตุอัตถวิเลสโยคะ ประกอบความ
พิเศษแห่งธาตุ, ท่านอาจารย์ครั้นกล่าวความหมายของพยัญชนะแล้ว กล่าวว่า อีกอย่าง
หนึ่ง เป็นต้น เพื่อจะแสตงความหมายของสภาวะ อวิชชา ท่านกล่าวว่า ปกปิดวัตถุและ
อารมณ์วิญญาณ มีจักขุวิญญาณเป็นต้น เพราะอวิชชสไม่ม่อาจรู้วัตถุ และอารมณ์ของ
วิญญาณ บิจักขุวิญญาณเป็นต้นว่า นี้เป็นวัตถุ นี้เป็นอารมณ์ และเพราะปกปิดสภาวะแห่ง

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 พ.ย. 2024, 06:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว




ei_1731482131290-removebg-preview.png
ei_1731482131290-removebg-preview.png [ 177.95 KiB | เปิดดู 791 ครั้ง ]
วัตถุและอารมณ์นั่นเอง จึงพึงทราบการปกปิดปฏิจจสมุปบาทและปฏิจจสมุปปันนธรรม
เพราะปกปิดความที่ธรรมมีอวิชชาเป็นต้น เป็นปฏิจจสมุปบาท และเพราะความที่ธรรมมี
ชราและมรณะเป็นต้น เป็นปฏิจจสมุปปันนธรรม.

(๑๒๐) บทว่า อปจฺจกฺชิตฺวา ความว่า ไม่ปฏิเสธโดยกระทำให้ประจักษ์. อรรถว่า
เป็นอุปการะ
ความหมายว่า อุปการกะ ผู้อุดหนุน เป็นอรรถแห่งปัจจัยเป็นความหมาย
ของปัจจัย เหมือนอย่างคำว่า ปิณฺฑปาตาทิ สรีรสฺส แปลว่า ปัจจัยมีบิณฑบาตเป็นต้น เป็น
อุปการะแก่สรีระ.
บทว่า สงฺขตมภิสงฺขโรนติ ความว่า ธรรมทั้งหลายปรุงแต่งโดยประการที่เป็น
สังขาร. สังขารทั้งหลายที่มาโดยถือเอา สงฺขาร ศัพท์ ชื่อว่า สังขารที่มาโดย สงฺขาร ศัพท์.

แม้อวิชชาปัจจยสังขาร คือสังขารที่มีอวิชชาเป็นปัจจัยมาโดย สงฺขาร ศัพท์ โดยแท้ ถึง
กระนั้น อวิชชาปัจจยสังขารเหล่านั้น ก็เป็นประธานแห่งเทศนานี้ เพราะฉะนั้น ท่านจึง
กล่าวไว้แผนกหนึ่ง เพราะเหตุนั้น ในคำว่า สังขารมี ๒ อย่าง นี้ พึงเว้นอภิสังขรณกสังขาร
ในบรรดาสังขารที่มาโดย สงฺขาร ศัพท์ เสียแล้ว ประกอบสังขารที่มาโดย สงฺขาร ศัพท์
อื่นจากอภิสังขรณกสังขารนั้น. อีกอย่างหนึ่ง ท่านกล่าวความรวมไว้ว่า สังขารที่มาโดย
สงฺขาร ศัพท์.
ก็ส่วนหนึ่งที่ท่านถือเอาของสังขารที่มาโดย สงฺขาร ศัพท์นั้น ท่านถือเอา
โดยความเป็นสังขารที่จะพึงพรรณนาในที่นี้ ชื่อว่า อวิชชาปัจจยสังขาร เพราะฉะนั้น พึง
ทราบว่า ท่านกล่าวว่ามีสังขาร ๒ อย่าง เนื่องด้วยสังขารรวมกันทั้งหมดที่จะต้องพรรณนา
ด้วยคำว่า วจีสังขารดับก่อน เป็นต้น ท่านพระธัมมทินนาภิกษุณีกล่าวถึง วิตก วิจาร
อัสสาสะ ปัสสาสะ และ สัญญา เวทนา ว่าเป็น วจีสังขาร เป็นต้น มิใช่กล่าวถึงกายสัญ-
เจตนาเป็นต้น ทีได้กล่าวไว้ในอวิชชาปัจจยสังขาร.

ที่ชื่อว่า สังขตสังขาร เพราะถูกปัจจัยปรุงแต่งตามสมควรแก่สภาวะของตน. ใน
อรรถกถาท่านก็กล่าวความที่รูปธรรม อรูปธรรม ที่บังเกิดแต่กรรม เป็นอภิสังขตสังขาร
โดยอธิบายว่า แม้เมื่อความที่ธรรมทั้งปวงอันบังเกิดแต่ปัจจัยเป็นสังยตธรรมมีอยู่ ความ
เป็นสังขตธรรมที่มีความพิเศษยิ่ง ก็มีอยู่ในวิปากธรรมและกฏัตตารูปอันเป็นไปในภูมิ ๓
เพราะถูกกรรมชักจูง เหมือนดังมุ่งหน้าไปในธรรมนั้นว่า นี้เป็นผลของเราให้เกิดขึ้น. แต่
เพราะอาคตสถานอย่างนั้นไม่มีในพระบาลี ท่านอาจารย์จึงกล่าวว่า แม้อภิสังขตสังขาร
เหล่านั้นก็ถึงการรวมอยู่ในพระบาลีนี้ว่า อนิจฺจา วต สงฺขารา สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 พ.ย. 2024, 07:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว




illustration-guru-purnima-celebrated-by-hindus-buddhists-thank-their-teachers-ai-generated_852336-14345 (1).jpg
illustration-guru-purnima-celebrated-by-hindus-buddhists-thank-their-teachers-ai-generated_852336-14345 (1).jpg [ 132.77 KiB | เปิดดู 844 ครั้ง ]
หนอ. ธรรมทั้งปวงมีอุตุเป็นต้นเป็นสมุฏฐาน ท่านก็กล่าวว่า อนิจฺจา วต สงฺขารา สังขาร
ทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ. กุศลเจตนาและอกุศลเจตนาอันเป็นไปในภูมิ ๓ ชื่อว่า ท่านเรียกว่า
อภิสังขรณกสังขาร เพราะปรุงแต่งผลของตนขึ้นมา. ความเพียรอันยังกายประโยคให้
ตั้งขึ้น ชื่อว่า ความเพียรทางกาย. คำว่า แห่งอภิสังขาร ได้แก่ แห่งกำลังประโยค.

(๑๒๑) ธรรมชื่อว่า วจีสังขาร โดยความหมายว่า ปรุงแต่งวาจา. ธรรมชื่อว่า
กายสังขาร โดยความหมายว่า ถูกกายปรุงแต่ง. ธรรมเชื่อว่า จิตตสังขาร โดยความหมาย
ว่า ถูกจิตปรุงแต่ง หรือโดยความหมายว่า ปรุงแต่งจิต. แต่โดยย่อ ธรรมแม้ทั้งปวงพึง
พีงทราบว่า ชื่อว่า สังขาร โดยความหมายว่า ปรุงแต่ง และโดยความหมายว่า ถูกปรุงแต่ง
ตามควร. คำว่า คำที่กล่าวแล้ว ท่านอาจารย์กล่าวถึงความหมายของสังขาร และความ
หมายของปัจจัยเป็นต้น.

บทว่า นมติ แปลว่า ย่อมน้อมไปเฉพาะหน้าต่ออารมณ์ เพราะความเป็นธรรมที่รับ
อารมณ์ได้โดยส่วนเดียว. บทว่า ปริตสฺสติ แปลว่า ย่อมระหาย หรือแปลว่า ย่อมหวั่นไหว
เพราะความเป็นธรรมชาติเร่าร้อนด้วยตันหา. บทว่า อุปาทิยติ แปลว่า ย่อมถือมั่น บทว่า
ภวติ แปลว่า เป็นขึ้น ท่านอาจารย์กล่าวหมายถึงอุปปิตติภพ.

บทว่า ภาวยติ แปลว่า ทำให้เป็นขึ้น ท่านอาจารย์กล่าวหมายถึงกรรมภพ. ความ
เคลื่อนไปแห่งขันธ์ทั้งหลาย ชื่อว่า มรณะ เพราะฉะนั้น ท่านอาจารย์กล่าวว่า เป็นเหตุ
ตาย. ท่านกล่าวว่า ขุดอยู่ ๒ ตอน เพราะทำอธิบายว่า ทุกขเวทนาเป็นทุกข์ตอนเกิดขึ้น
และว่าเป็นทุกข์ตอนตั้งอยู่. อายาโส แปลว่า ความตรอมใจ คือความว้าเหว่ใจ.

คำว่า เป็นคำชี้นัยที่ได้แสดงมาแล้ว คือเป็นคำชี้ถึงวิธีตามที่ได้แสดงมาแล้ว. เกวล
ศัพท์ เป็นศัพท์บอกความหมายว่า ไม่เจือปน เหมือนอย่างในคำเป็นต้นว่า เกวลา สาลโย
แปลว่า ข้าวสาลีทั้งหลายล้วน ๆ. เป็นศัพท์บอกความหมายว่า ไม่มีส่วนเหลือ เช่นในคำ
เป็นต้นว่า เกวลา องฺคมคธา แปลว่า ชาวอังคะและชาวมคธทั้งสิ้น. เพราะฉะนั้น ท่าน
อาจารย์จึงกล่าวความหมายทั้ง ๒ ประการไว้.

ไมความหมายทั้ง ๒ ประการนั้น บทว่า อสมฺมิสฺสสฺส แปลว่า เว้นจากสุข. จริงอยู่
ธรรมชาติที่เวันจากความเกิดขึ้นและความสื่อมไปไรๆ ในกองทุกข์นี้จะมีอยู่ก็หามิได้. บทว่า
สกลสฺส ความว่า ไปสู่ภพทั้งปวงเป็นต้น และเป็นใปในกาลทั้งปวง.

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 9 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร