วันเวลาปัจจุบัน 19 ส.ค. 2025, 03:20  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


“อภิธรรม (สันสกฤต: abhidharma) หรืออภิธัมมะ (บาลี: abhidhamma) เป็นชื่อปิฎกศาสนาพุทธฉบับหนึ่งในปิฎกทั้งสามฉบับที่รวมเรียก "พระไตรปิฎก" อภิธรรมแปลว่าธรรมอันยิ่ง ปิฎกฉบับอภิธรรมนั้นเรียก "พระอภิธรรมปิฎก" ซึ่งว่าด้วยประมวลหลักธรรมและคำอธิบายที่เป็นหลักวิชาล้วนๆ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์และบุคคลเลย”



กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 พ.ย. 2024, 06:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว




illustration-guru-purnima-celebrated-by-hindus-buddhists-thank-their-teachers-ai-generated_852336-14345 (1).jpg
illustration-guru-purnima-celebrated-by-hindus-buddhists-thank-their-teachers-ai-generated_852336-14345 (1).jpg [ 132.77 KiB | เปิดดู 993 ครั้ง ]
ความพิสดารในการเข้านิโรธสมาบัติ

[๘๗๔] ก็ต่อไปนี้เป็นความพิสดาร :
ภิกษุในพระรรรรรมวินัยนี้ต้องการจะเข้านิโรธ ล้างมือและะเท้าดีแล้ว
นั่งบนอาสนะที่ปูลาดดีแล้ว ในโอกาสที่สงัด คู้บัลลังก์ตั้งกายตรง ทำดำรงสติไว้เฉพาะหน้า
เข้าปฐมฌามแล้วออก ย่อมพิจารณาสังขารทั้งหลายในปฐมฌานนั้น โดยความไม่เที่ยง
โดยความเป็นทุกข์ โดยความเป็นอนัตตา.

อธิบาย วิปัสสนา ๓ เฉพาะที่จะเข้านิโรธสมาบัติ

ก็วิปิสสนานั้นมี ๓ อย่าง คือ :
๑) สังขารปริคัณหณกวิปิสสนา (วิบัสสนาที่กำหนดจับสังขาร)
๒) ผลสมาปัตติวิปัสสนา (วิบัสสนาในการเข้าผลสมาบัติ)
๓) นิโรธสมาปัตติวิปัสสนา (วิปัสสนาในการเข้านิโรสมาบัติ)
ในวิปิสสนา ๓ อย่างนั้น สังขารปริคัณหณกวิปัสสนา จะเป็นอย่างอ่อนหรืออย่าง
กล้าก็ตาม ย่อมเป็นปทัฏฐานเท่งมรรคนั่นเอง ผลสมาปัตติวิปัสสนา เป็นอย่างกล้าเท่านั้น
จิตควร เป็นเช่นกับมรรคภาวนา ส่วนนิโรธสมาปัตติวิปัสสนา เป็นอย่างไม่อ่อนไม่กล้านัก
จึงควร เพราะเหตุนั้น ผู้เข้านิโรธสมาบัตินั่นย่อมพิจารณาสังขารทั้งหลายนั้นด้วยวิปัสสนา
ที่ไม่อ่อนนักไม่กล้านัก.

ลำดับการเข้าต่อไป

ต่อจากนั้น เข้าทุติยฌาน ออกแล้วพิจารณาสังขารทั้งหลายในทุติยฌานนั้นอย่างนั้น
แหละ ต่อจากนั้น เข้าตติดฌาน ฯลฯ ต่อจากนั้น เข้าวิญญาณัญจายตนะออกแล้วพิจารณา
สังขารทั้งหลายในวิญญาณัญจายตนะนั้นอย่างนั้นเหละ อนึ่ง เข้าอากิญจัญญายตน ออก
แล้วทำบุพกิจ ๔ อย่าง คือ :
๑) นานาพัทธิวิโกปนะ (ไม่ยังพัสดุที่เนื่องด้วยภิกษุต่างรูปให้กำเริบ)
๒) สังฆปฏิมานนะ (คำนึงถึงการรอคอยแห่งสงฆ์)
๓) สัตถุปักโกสนะ (คำนึงถึงการรับสั่งหาของพระบรมศาลดา)
๔) อัทธานปริจเฉทะ (การกระทำกำหนดเวลา)
ความพิสดารในการเข้านิโรธสมาบัติ

[๘๗๔] บุคคลเป็นผู้สามารถจะเข้านี้นิโรธสมาบัติได้ด้วยวิธีใด มีความประกอบด้วย
ผลทั้ง ๒ เป็นต้น นั้นข้าพเจ้าได้เห็นแจ่มแจ้งเลยทีดียว เพราะเหตุนั้น ท่านอาจารย์เมื่อ
จะแสดงอาการเข้านิโรธสมาสมาบัติอย่างเดียว จึงกล่าวว่า ทำภัตกิจแล้ว ดังนี้เป็นต้น
เป็นบุพกิจทั่วไปของภาวนาทั้งปวง. สองบทว่า ตตฺถ สงฺขาเร แปลว่า สังขารทั้งลายใน
ปฐมฌานนั้น หรือในจิตตุปบาทอันสัมปยุตกับปฐมฌานนั้น.

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 พ.ย. 2024, 11:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว




buddhist-monk-teaching-his-students-illustration-attention-detail-high-quality_639744-25011.jpg
buddhist-monk-teaching-his-students-illustration-attention-detail-high-quality_639744-25011.jpg [ 441.27 KiB | เปิดดู 891 ครั้ง ]
ท่านกล่าวว่า วิปสฺสติ ย่อมพิจารณา ดังนี้ ก็ในที่นี้ควรปรารถนาวิปัสสนาเช่นไรเล่า
เพราะเหตุนั้น ท่านอาจารย์ย่อมแสดงจำแนกวิปัสสนานั้นแหละเป็น ๓ อย่าง ด้วยคำว่า
ก็วิปัสสนานั่น ดังนี้เป็นต้น เพื่อจะอธิบายวิปัสสนานั้น. วิปัสสนาหากว่า เป็นอย่างอ่อน
ก็ย่อมยังมรรคที่เป็นทันธาภิญญาให้สำเร็จได้, หากเป็นอย่างกล้า ก็ย่อมยังมรรคที่เป็น
ขิปปาภิญญาให้สำเร็จได้ ที่กล่าวมานี้เป็นความต่างของความเป็นวิปัสสนาอย่างอ่อนและ
อย่างกล้า. ก็วิปัสสนาที่เข้าลักษณะ ย่อมเป็นปันปัจจัยแก่มรรคนั่นเอง เพราะเหตุนั้น ท่าน
อาจารย์เมื่อจะแสดงความข้อนี้ จึงกล่าวว่า สังขารปริคัณหณกวิปัสสนาจะเป็นอย่างอ่อน
หรืออย่างกล้าก็ตาม ย่อมเป็นปทัฏฐานแห่งมรรคนั่นเอง ดังนี้. ผลสมาปัตติวิปัสสนาเป็น
อย่างกลัาเท่านั้นจึงควร เพราะเมื่ออารมณ์คือสังขารมีอยู่ ก็เป็นไปโดยอาการหวนกลับ
จากสังขารทั้งปวงและเพราะเป็นปัจจัยแก่ผลที่เป็นวิสังขารได้เห็นกับมรรค. ด้วยเหตุจนั้น
ท่านอาจารย์จึงกล่าวว่า เป็นเช่นกับมรรคภาวนา เพราะเหตุที่นิโรธสมาบัติวิปัสสนาอ่อน
เกินไปยิ่งไปด้วยสมถะ ไม่สามารถยังสังขารทั้งหลายให้ดับได้ ก็เป็นอันจบลงด้วยสมถะกล้า
กินไป ยิ่งไปด้วยญาณก็เป็นอันจบลงด้วยผลสมาบัติ ในเพราะเห็นโทษในสังขารทั้งหลาย
อย่างยอดเยี่ยม ฉะนั้น ท่านอาจารย์จึงกล่าวว่า เป็นอย่างไม่อ่อนนักไม่กล้านักจึงควร

เอส โยค นิโรธสมาปชฺชนโก แปลว่า ผู้เข้านิโรธนั่น. คำว่า สังขารทั้งหลายนั้น
ได้แก่ สังขารในปฐมฌานทั้งหลายนั้น.
ด้วยคำว่า อย่างนั้นแหละ นี้ ท่านอาจารย์ย่อมชักเอาความข้อนี้ ว่าด้วยวิปัสสนา
ไม่อ่อนนักไม่กล้านักมา. แม้ในบทที่เหลือทั้งหลายก็มีนัยนี้. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า ควร
กล่าวว่า เข้าอากิญจัญญายตนะ ออกแล้วพิจารณาสังขารทั้งหลายในอากิญจัญญายตนะ
นั้นอย่างนั้นแหละ แต่ท่านอาจารย์มิได้กล่าวคำนั้นไว้ กล่าวว่า ทำบุพกิจ ๔ อย่าง ดังนี้
เท่านั้น เพราะมีนัยได้กล่าวแล้วในหนหลัง. คำนั้นเป็นเพียงมติของท่าน. เพราะว่าความ
เป็นไปของสมาธิ ก็โดยความเป็นไปของวิปัสสนา ฉะนั้น จึงควรออกจากสมาบัติแล้วทำ
บุพกิจ. จริงอย่างนั้น ท่านอาจารย์จักกล่าวคำเป็นต้นว่า เข้าอากิญจัญญายตนะแล้วออก
ทำบุพกิจนี้ ดังนี้แม้ต่อไป แต่จักไม่กล่าวว่า พิจารณาสังขารทั้งหลายในอากิญจัญญายตนะ
นั้นอย่างนั้นแหละ. คำว่า นานาพัทธอวิโกปนะ ไม่ยังพัสดุที่เนื่องด้วยภิกษุต่างรูปให้กำเริบ
ความว่า ไม่ยังบริขารที่ไม่เนื่องกับตนให้เสียหาย คือ อธิฏฐานโดยประการที่ของนั้นจะไม่
ยหาย. คำว่า สังฆปฏิมานนะ ได้แก่ คำนึงการรอคอยแห่งสงฆ์. คำว่าว่า สัตถุปักโกสนะ
แปลว่าคำนึงถึงการรับสั่งหาของพระบรมศาสดา คำว่า อัทธานปริเฉทะ เชื่อมความว่า
กระทำบุพกิจมีกาลแห่งชีวิตเป็นกำหนด

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร