วันเวลาปัจจุบัน 19 ส.ค. 2025, 03:20  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


“อภิธรรม (สันสกฤต: abhidharma) หรืออภิธัมมะ (บาลี: abhidhamma) เป็นชื่อปิฎกศาสนาพุทธฉบับหนึ่งในปิฎกทั้งสามฉบับที่รวมเรียก "พระไตรปิฎก" อภิธรรมแปลว่าธรรมอันยิ่ง ปิฎกฉบับอภิธรรมนั้นเรียก "พระอภิธรรมปิฎก" ซึ่งว่าด้วยประมวลหลักธรรมและคำอธิบายที่เป็นหลักวิชาล้วนๆ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์และบุคคลเลย”



กลับไปยังกระทู้  [ 8 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ต.ค. 2024, 12:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว




2024-10-31-113035249watermark.png.jpg
2024-10-31-113035249watermark.png.jpg [ 899.98 KiB | เปิดดู 1615 ครั้ง ]
วุฏฐานคามินีวิปัสสนา มีอุปมา ๑๒ ข้อ
(๗๘๙] คำว่า พร้อมทั้งญาณก่อนและหลัง ความว่า พร้อมกับญาณก่อนมีภยตุ-
ปัฏฐานญาณเป็นต้น และญาณหลังมีโคตรภูญาณเป็นต้น. บทว่า อุทฺทานํ ได้แก่ อุทเทส.
อุปมาเหล่านี้ ตั้งอยู่ในญาณใดญาณหนึ่ง ฯลฯ จะนำมาก็ควร เพราะได้เรื่องแห่งอุปมาที่
ควรแก่ฐานะของญาณนั้น. คำว่า แต่ในที่นี้ คือในส่วนแห่งวุฏฐานคามินีวิปัสสนานี้. บทว่า
สพฺพํ ความว่า ญาณทั้งปวงหรือกิจแห่งญาณทั้งปวงย่อมเป็นอันปรากฎ เพราะตั้งอยู่ใน
ท่ามกลางทำให้แจ้งชัด. ท่านกลัวไว้ในวิสุทธิกถา.

อุปมาด้วยค้างคาว

[๗๙๐] อุปมาข้อว่า ค้างคาว เล่ากันมาว่าค้างคาวตัวหนึ่ง คิดว่า "เราจักได้ดอก
ไม้หรือผลไม้ที่ต้นไม้นี้" เกาะที่ต้นมะชางมี ๕ กิ่ง พิจารณาดูกิ่งหนึ่งก็ไม่พบดอกหรือผล
อะไรที่ครถือเอาที่ที่งนั้นเลย พิจารมาดูที่งที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ แม้กิ่งที่ ๕ ก็ไม่พบหมือนกิ่ง
หนึ่ง ค้างคาวตัวนั้นคิดว่า "ต้นไม้นี้ไม่มีผลหนอ ที่ต้นไม้นี้ไม่มีอะไรที่ควรถือเอาเลย ทอด
อาลัยในตันไม้นั้น ไต่ขึ้นที่กิ่งทรงโผลหัวออกทางค่าคบ แหงนดูข้างบนบินไปในอากาศเกาะที่
ต้นไม้มีผลอื่น.

เทียบอุปมา
ในข้ออุปมานั้น ในเมื่อยคาวจรพึงเห็นปรียบดังค้างคาว อุปาทานขันธ์ ๕ เหมือนต้น
มะซาง ๕ กิ่ง ความยึดในขันธ์ ๕ ของโยคี เหมือนการเกาะของค้างคาวที่กิ่งนั้น การ
พิจารณารูปขันธ์ของโยคีแล้วไม่พบสิ่งที่ควรจะถือเอาที่ขันธ์ทั้ง ๕ นั้น จึงพิจารณาขันธ์ที่
เหลือ เหมือนการพิจารณากิ่งแต่ละกิ่งของค้างคาวนั้น แล้วไม่พบสิ่งที่ควรถือเอาอะไร
จึงพิจารณากิ่งที่เหลือ ญาณ ๓ มีมุญจิตกัมยตาญาณเป็นต้น ของโยคีผู้หน่ายด้วยอำนาจ
เห็นพระไตรลักษณ์ มีอนิจจลักษณะเป็นต้นในขันธ์ทั้ง ๕ เหมือนการทอดอาลัยในต้นไม้ว่า
"ต้นไม้ไม่มีผลหนอ" ของค้างคาวนั้น อนุโลมญาณของโยคี เหมือนการขึ้นไปข้างบนที่กิ่ง
ตรงของค้างคาวนั้น โคตรภูญาณ เหมือนการโผล่หัวแหงนไปข้างบน มรรคญาณ เหมือน
การบินไปในอากาศ ผลญาณ เหมือนการเกาะที่ต้นไม่มีผลต้นอื่น.

(๗๙๐] (๓๐๗) บทว่า นิลียิตฺวา ความว่า เข้าไป. บทว่า ปรามสิตฺวา ความว่า
พิจารณาดู. คำว่า ไม่พบสิ่งที่ควรจะถือเอา คือ ไม่เห็นสิ่งที่ควรแก่การถือเอา ได้แก่ สิ่ง
ที่เป็นสาระ คือความเที่ยงเป็นต้น. ความที่อนุโลมญาณเป็นเหมือนกี่งที่ตรง ก็ด้วยการข่ม
เป็นอย่างดีซึ่งอุปกิเลสมีมายาเป็นต้น อันกระทำความคดแห่งจิต. ความที่โคตรภูญาณเป็น
เหมือนการแหงนดูเบื้องบน เพราะการมองดูพระนิพพาน. ความที่มรรคญาณเป็นเหมือน
การบินไปในอากาศ เพราะตั้งอยู่ในพระนิพพานอันหาที่ตั้งมิได้.

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ต.ค. 2024, 13:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว




ei_1730348879855-removebg-preview.png
ei_1730348879855-removebg-preview.png [ 547.68 KiB | เปิดดู 1539 ครั้ง ]
อุปมาด้วยงูเห่า

[๗๙๑] อุปมาด้วยงูเห่า ได้กล่าวไว้แล้วในปฏิสังขาญาณมั่นเทียว แต่ในการเทียบ
อุปมาในอุปมาด้วยงูเห่านี้ มีความต่างกันดังนี้ โคตรภูญาณ อุปมาดังการสลัดงูไป มรรค-
ญาณ ดังการหยุดยืนแห่งบุรุษผู้ปล่อยแล้วมองดูทางที่มาอยู่ ผลญาณ เหมือนปล่อยแล้ว
ไปยั้งอยู่ในที่ไม่มีภัย.
(๗๙๑] โคตรภูญาณ ชื่อว่า อุปมาดังการสลัดงูไป เพราะปล่อยสังขารทั้งปวง
หน่วงเอาพระนิพพาน. มรรคญาณ ชื่อว่า ดังการหยุดยืนแห่งบุรุษผู้มองดูทางที่มาอยู่
เพราะเห็นอัตตาด้วยอำนาจการแทงตลอดด้วยอสัมโมหะ ท่านอาจารย์กล่าวถึงสถานที่
ที่ไม่มีภัยที่มาถึงแล้วว่า ยั่งยื่น มิได้กล่าวถึงการดำเนินไปถึงสถานที่ไม่มีภัยนั้น

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ต.ค. 2024, 14:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว




0B6C5403ADD6453A86EC04C8B38A3F6F.jpg
0B6C5403ADD6453A86EC04C8B38A3F6F.jpg [ 64.92 KiB | เปิดดู 1514 ครั้ง ]
อุปมาด้วยเรือน

[๗๙๒] ข้ออุปมาว่า เรือน มีความว่า เมื่อเจ้าของเรือนบริโภคอาหารเย็นแล้ว
ขึ้นที่นอนก้าวลงสู่ความหลับ เรือนถูกไฟไหม้ เขาตื่นขึ้นเห็นไฟก็ตกใจกลัว คิดว่า พึงเป็น
การดีหนอถ้าเรายังไม่ถูกไฟไหม้ออกมาได้" มองดูแล้วเห็นทางออกมาสู่ทางปลอดโดย
เร็ว หยุดยืนอยู่.
เทียบอุปมา

ในคำอุปมานั้น การยึดถือในขันธ์ทั้งห้าว่า "เป็นเรา เป็นของเรา" ของปุถุชนผู้โง่
เขลา เปรียบด้วยการบริโภคอาหารแล้ว ขึ้นที่นอนหลับไปของเจ้าของเรียน การปฏิบัติ
สัมมาปฏิปทาเห็นพระไตรลักษณ์ได้ภยตุปัฏฐานญาณ เปรียบหมือนเวลาตื่นขึ้นเห็นไฟแล้ว
กลัว มุญจิตุกัมยตาญาณ เปรียบได้กับการออกไปมองดูทาง อนุโลมญาณ เปรียบได้กับ
การเห็นทาง โคตรภูญาณ เปรียบได้กับการออกไป มรรคญาณ เปรียบได้กับการออกไป
โดยเร็ว ผลญาณ เปรียบได้กับการยืนอยู่ในที่ปลอดภัย.

(๗ฝ๙๒] (๓๐๘) ความที่ยึดถือว่า"เรา ของเรา"เพราะความไม่หยั่งรู้ความหมาย
ว่าตนเป็นต้น เป็นเหมือนกับการหลับไป. ท่านถือเอาแม้การพิจารณาแล้ววางเฉยด้วยศัพท์
ว่า มุญจิตุกัมยตา นั่นเอง. ความที่กิริยาทั้ง ๓ (ความต้องการจะปลดเปลื้อง การพิจารณา
ทาทาง และการวางเฉย) นั้น เป็นเหมือมการทางออก เพราะนัอมไปในการออกจาก
สงสาร. เมื่ออนุโลมญาณสำเร็จแล้ว มรรคก็สำเร็จที่เดียว เปรียบเหมือนเห็นทางแล้วก็
เดินทางได้ เพราะหตุนั้น อนุโลมญาณจึนเป็นหมือนการเห็นทาง. โคตรภูญาณ เปรียบ
กับการออกไป จากเรือนถูกไฟไหม้ เพราะเป็นการออกจากสังขารนิมิต. มรรคญาณ
เปรียบได้กับการออกไปโดยเร็ว เพราะประกอบด้วยความต่างแห่งกิจที่ทำให้สำเร็จในส่วน
ที่ควรสละและควรถือเอา.

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ต.ค. 2024, 16:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว




1-33.jpg
1-33.jpg [ 155.11 KiB | เปิดดู 1508 ครั้ง ]
    อุปมาด้วยโค

[๗๙๓] ข้ออุปมาว่า โค มีความว่า เล่ากันว่า เมื่อชาวผู้หนึ่งหลับในเวลากลางคืน
โคทั้งหลายแหกคอกหนีไป ในเวลาเช้ามืดเขาไปที่คอกนั้น รู้ว่าโคหล่านั้นหนีไปแล้ว
จึงติดตามรอยเท้าใคไป ได้เห็นโคของหลวง กำหนดโคของหลวงนั้นว่า "เป็นโคของเรา"
จึงนำมา ในเวลาสว่างจึงจำได้ว่า "โคเหล่านี้ไม่ใช่โคของเรา เป็นโคของหลวง" ก็กลัว ด้วย
คิดว่า "เราจักหนีไปเสียก่อน อย่าให้พวกราชบุรุษจะมาจับเราว่า 'ผู้นี้เป็นโจร" ให้ถึงความ
ฉิบหายย่อยยับ จึงทิ้งโคหนีไปโดยเร็ว ได้ยืนอยู่ในที่ไม่มีภัย.
เทียบอุปมา

ในคำอุปมานั้นเทียบได้ดังนี้ การยึดถือขันธ์ทั้งหลายว่า "เป็นเรา เป็นของเรา" ของ
ปุถุชนผู้โง่เขลา เปรียบได้กับการจับโคของหลวง ด้วยคิดว่า "เป็นโคของเรา" การรู้จักขันธ์
ทั้งหลายว่า "เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา" ด้วยอำนาจพระไตรลักษณ์ของโยคี
เทียบได้กับการรู้ว่า "เป็นโคของหลวง" เมื่อสว่างแล้ว ภยตุปัฏฐานญาณ เทียบได้กับเวลา
กลัว มุญจิตุกัมยตาญาณ เทียบได้กับความต้องการจะปล่อยโคไป โคตรภูญาณ เทียบได้
กับการปล่อยไป มรรค เทียบได้กับการหนีไป ผล เทียบได้กับการหนีไปอยู่ในที่ไม่มีภัย.
(๗๙๓] การยึดถือขันธ์ทั้งหลายที่พึงเห็นโดยความเป็นของคนอื่น และไม่
ที่จะพึงยึดถือว่าเป็นของเราว่า "เป็นเรา เป็นของเรา" ดังนี้ ท่านกล่าวว่า เปรียบ
เหมือนถือเอาโคของหลวงว่าเป็นของตน.

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 31 ต.ค. 2024, 17:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว




FB_IMG_1730369574388.jpg
FB_IMG_1730369574388.jpg [ 191.49 KiB | เปิดดู 1481 ครั้ง ]
อุปมาด้วยนางยักษ์

[๗๙๔] ข้ออุปมาว่า นางยักษ์ มีความว่า เล่ากันมาว่า บุรุษผู้หนึ่งสำเร็จการอยู่
ร่วมกับนางยักษ์ นางยักษ์นั้นตอนกลางคืนเข้าใจว่า "ชายผู้นี้หลับแล้ว" จึงไปป่าช้าผีดิบกิน
เนื้อมนุษย์ เขาคิดว่า "นางคนนี้ไปไหน" ตามไปเห็นกำลังเคี้ยวกินเนื้อมนุษย์ จึงรู้ว่าหญิงคน
นั้นเป็นอมนุษย์ กลัวด้วยมาคิดว่า "เราจักหนีไปก่อน เพื่อที่มันจะกินเราไม่ได้" หนีไปโดยเร็ว
ได้ยืนอยู่ในที่ปลอดภัย.
เทียบอุปมา

ในคำอุปมานั้น การยึดถือขันธ์ทั้งหลายว่า "เป็นเรา เป็นของรา" เปรียบเหมือนกับ
การอยู่ร่วมกับนางยักษ์ การเห็นพระไตรลักษณ์แห่งขันธ์ทั้งหลาย รู้ว่ามันเป็นของไม่เที่ยง
เป็นต้น เปรียบเหมือนกับการเห็นมันกำลังกินเนื้อมนุษย์อยู่ในป่าช้า จึงรู้ว่า "นางคนนี้เป็น
นางยักษ์" ภยตุปัฏฐานญาณ เปรียบเหมือนกับเวลากลัว มุญจิตุกัมยตาญาณ เปรียบ
เหมือนกับความต้องการจะหนีไป โคตรภูญาณ เปรียบเหมือนกับการทิ้งป่าช้าไป มรรค
เปรียบเหมือนกับการหนีไปโดยเร็ว ผล เปรียบเหมือนกับการยืนอยู่ในที่ปลอดภัย
[๗๙๔] (๓๐๙) การยึดถือขันธ์ทั้งหลายว่า "เป็นเรา เป็นของเรา" เพราะทีการ
เห็นในสิ่งที่มีภัยว่าไม่มีภัยเป็นหตุ เปรียบเหมือนการอยู่ร่วมกับยักษ์.โคตรภูญาณ ที่
ทิ้งป่าช้า คือสังขารเป็นไปด้วยอำนาจมีพระนิพพานเป็นอารมณ์ เปรียบเหมือนกับการทิ้งป่าช้า

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 พ.ย. 2024, 06:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว




Screenshot_20241002_072926_Facebook.jpg
Screenshot_20241002_072926_Facebook.jpg [ 257.99 KiB | เปิดดู 1450 ครั้ง ]
อุปมาด้วยทารก

[๗๙๕] ข้ออุปมาว่า ทารก มีความว่า เล่ากันมาว่าว่า หญิงคนหนึ่งเป็นคนรักลูก
นางนั่งอยู่บนปราสาท ได้ยินเสียงทารกในระหว่ารถนน รีบไปด้วยคิดว่า "ลูกของเราหนอ
จะถูกใครเบียดเบียน" ได้ถึงเอาลูกคนอื่นด้วยสำคัญว่า "เป็นลูกของหน" นางมารู้ว่า เด็ก
คนนี้เป็นลูกของคนอื่น" สะดุ้งกลัวอยู่ มองไปทางโน้นทางนี้ วางเด็กไว้ตรงนั้นเองด้วยมา
คิดว่า "ใคร ๆ อย่าพึงหาเราว่า 'นางคนนี้เป็นนางโจรลักเด็ก'" แล้วรีบกลับขึ้นปราสาทโดย
เร๊วนั่งอยู่

เทียบคำอุปมา

ในคำอุปมานั้น ความยึดถือขันธ์ทั้งห้าว่า "เป็นเรา เป็นของเรา" เปรียบได้กับการ
ถือเอาลูกของคนอื่นด้วยสำคัญว่าเป็นลูกของตน การรู้ว่า "ไม่ใช่เป็นเรา ไม่ใช่เป็นของเรา"
ด้วยอำนาจพระไตรลักษณ์ เปรียบได้กับการรู้ว่า "เด็กคนนี้เป็นลูกของคนอื่น" ภยตุบัฏฐาน
ญาณ เปรียบได้กับความสะดุ้งกลัวผิด มุญจิตุกัมยตาญาณ เปรียบได้กับการดูไปทางโน้น
ทางนี้ อนุโลมญาณ เปรียบได้กับการวางเด็กลงระหว่างถนนนั้นเอง โคตรภูญาณ เปรียบ
ได้กับเวลาวางแล้วยืนอยู่ระหว่างถนน มรรค เปรียบได้กับการขึ้นสู่ปราสาท ผล เปรียบ
ได้กับการขึ้นแล้วนั่งอยู่

[๗๙๕] บทว่า ปุตฺตติทฺธินี แปลว่า เป็นคนรักลูก. บทว่า โอตฺตปฺปนานา แปลว่า
สะดุ้งกลัวอยู่. อนุโลมญาณเปรียบเหมือนการวางเด็กไว้กลางถนนนั้นแหละ เพราะละ
สังขารได้ด้วยการข่มกองโลภะที่หยาบ ๆ เป็นต้น.

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 พ.ย. 2024, 12:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว


อุปมาด้วย หิว ระหาย หนาว ร้อน ความมืด ยาพิษ

[๗๙๖] ความหิว ๑ ความระหาย ๑ หนาว ๑ ร้อน ๑ ความมืด ๑ และ
ยาพิษ ๑ ก็อุปมา ๖ ข้อดังกล่าวมานี้ ท่านกล่าวไว้เพื่อแสดงความที่โยคีผู้ตั้งอยู่ในวุฏฐาน-
คามินีวิปัสสนาแล้ว เป็นผู้มุ่งน้อมโน้มโอนเอียงไปสู่โลกุตตรธรรม.

ขยายความอุปมาด้วยความหิว

เหมือนอย่างว่า บุรุษผู้ถูกความหิวครอบงำแล้ว หิวจัด ย่อมปรารถนาโภชนะที่มี
รสดี ฉันใด โยคาวจรผู้ถูกความหิวคือสังสารวัฏกระทบแล้วนี้ ย่อมปรารถนาโภชนะคือ
กายคตาสติมีรสเป็นอมตะ เหมือนฉันนั้น.
ขยายความอุปมาด้วยความระหาย

อนึ่ง บุรุษผู้มีคอและปากแห้ง ย่อมปรารถนาปานะมีเครื่องปรุงหลายอย่าง ฉันใด
โยคาวรรผู้ถูกความระหายคือสังสารวัฏถูกตัองแล้วนี้ ย่อมปรารถนาปานะ คืออัฏฐังคิก
มรรคอันเป็นอริยะนี้ เหมือนฉันนั้นนั่นแหละ.
ขยายความอุปมาด้วยความหนาว

อนึ่ง บุรุษถูกความหนาวเย็นสัมผัสแล้ว ย่อมปรารถนาความร้อน ฉันใด โยคาจร
ผู้ถูกความหนาวคือตัณหาสิเนหะ (น้ำมันคือตัณหา) ในสังสารวัฏถูกต้องแล้ว ย่อมปรารถนา
ไฟ คือมรรคอันเผากิเลสให้เร่าร้อน เหมือนฉันนั้น.
ขยายความอุปมาด้วยความร้อน

อนึ่ง บุรุษถูกความร้อนสัมผัสแล้ว ย่อมปรารถนาความเย็น ฉันใด โยคาจรผู้ถูก
ความร้อนคือไฟ ๑๑ กอง ในสังสารวัฏทำให้ร้อนนี้ ย่อมปรารถนาธรรมชาติเป็นที่เข้าไป
ระงับไฟ ๑๑ กอง คือพระนิพพาน เหมือนฉันนั้น.
ขยายความอุปมาด้วยความมืด

อนึ่ง บุรุษถูกความมืดครอบคลุมแล้ว ย่อมปรารถนาแสงสว่าง ฉันใด โยคาวจารผู้
ถูกความมืดคืออวิชชาครอบคลุมแล้วนี้ ย่อมปรารถนาธรรมชาติมีแสงสว่างอันสำเร็จด้วย
ญาณ คือมรรคภาวนา เหมือนฉันนั้น.

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 พ.ย. 2024, 14:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 พ.ค. 2011, 14:20
โพสต์: 8591


 ข้อมูลส่วนตัว


ขยายความอุปมาด้วยยาพิษ
อนึ่ง บุรุษผู้ถูกยาพิษเข้าแล้ว ย่อมปรารถนายากำจัดพิษ ฉันได โยคาวจรผู้ถูกยาพิษ
คือกิเลสนี้ ก็ย่อมปรารถนาโอสถอมฤตอันถอนยาพิษคือกิเลส ได้แก่ พระนิพพาน เหมือน
ฉันนั้น.
ด้วยเหตุนั้น ข้าพเจ้าจึงได้กล่าวไว้ว่า "เมื่อโยคาวจรนั้นรู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้
จิตย่อมถอย ย่อมหด ย่อมกลับ ไม่เหยียดยื่นไปในภพ ๓ ในกำเนิด ๔ ในคติ ๕ ในวิญ-
ญาณฐิติ ๗ ในสัตตาวาส ๙ อุเบกขา หรือความที่สังขารน่าเกลียด ย่อมตั้งมั่น เปรียบ
เหมือนหยาดน้ำทั้งหลายในใบปทุมที่เอียงไปนิดหน่อย ย่อมกลับ ไม่ยืดไป แม้ฉันใด" ทุกคำ
พึงทราบตามนัยที่กล่าวแล้วในเบื้องต้นนั่นแหละ.
(๗๙๖] (๓๑๐) ท่านกล่าวเพื่อแสดงความที่โยคีผู้ตั้งอยู่ในวุฏฐานคามินีวิปัสส.
นาแล้ว เป็นผู้มุ่งน้อมโน้มโอนเอียงไปสู่โลกุตตรธรรม อธิบายว่า มิใช่เพื่อแสดงอาการมี
ความกลัวเป็นต้น ของผู้ตั้งอยู่ในภยตุปัฏฐานญาณเป็นต้น เหมือนอย่างในญาณก่อน. ความ
ทุกข์คือความหิว เปรียบเหมือนวัฏฏทุกข์ เพราะเกิดขึ้นเนือง ๆ เพราะติดตามไปนาน และ
เพราะทนได้ยาก เพราะเหตุนั้น ท่านอาจารย์จึงกล่าวว่า ถูกความหิว คือสังสารวัฏ ดังนี้.
โภชนะ คือกายคตาสติ ชื่อว่า กายคตาสติโภชนํ แปลว่า โภชนะคือกายคตาสติ. ก็กาย-
คตาสตินั้นในที่นี้ ได้แก่ สัมมาสติสัมปยุตด้วยมรรค ท่านกล่าวว่า โภชนะคือกายคตาสติมี
รสเป็นอมตะ ด้วยอำนาจชำระกิจแห่งกายานุปัสสนาเป็นต้น และด้วยการบริโภครสเป็น
อมตะ. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ขนเหล่าใดย่อมบริโภค
กายคตาสติ ชนเหล่านั้นชื่อว่า บริโภคอมตะ ดังนี้.
ปานะ มีเครื่องปรุงหลายอย่าง มี : รสผลไม้ มะขามป้อม ขิง ถั่วเขียว และถั่ว
ราชมาส เป็นต้น.
ความที่ตัณหาสิเนหะ (น้ำมันคือตัณหา) เปรียบด้วยความหนาวเย็น เพราะกระทํา
ความไม่เป็นเสรีอย่างน่าสงสารเป็นต้น. คำว่า ไฟคือมรรค ได้แก่ ไฟที่เป็นใหญ่ กล่าวคือ
อริยมรรค.
ไฟ ๑๑ กอง มีไฟคือราคะเป็นต้น ย่อมเข้าไประงับที่ธรรมชาตินี้ เหตุนั้น ธรรมชาติ
นี้ชื่อว่า เอกาทสคฺคิวูปสมํ เป็นที่เข้าไประงับไฟ ๑๐ กอง ได้แก่ พระนิพพาน.
กถาว่าด้วยสังขารุเบกขาญาณ
(๓๐๐) คำว่า ถูกความมืดครอบคลุมแล้ว คือ ถูกควานมีดยังประกอบด้วยองค์
๘ ครอบงำแล้ว ด้วยภาวะที่ไม่พึงอาจจะกระทำประโยชน์ตนหรือประโยชน์ผู้อื่นไร ๆ ได้.
แสงสว่างอันสำเร็จด้วยญาณธรรมชาตินี้มีอยู่ เหตุนั้น ธรรมชาติชื่อว่า ญาณาโลกา แปล
ว่า มีแสงสว่างอันสำเร็จด้วยญาณ ได้แก่ มรรคภาวนา.

โอสถอันเป็นอมฤตหรืออันให้สำเร็จความเป็นอมฤต ชื่อว่า โอสถอมฤต ได้แก่ พระ
นิพพาน. ท่านอาจารย์เมื่อจะแสดงกิจของสังขารุเบกขาญาณที่ตนได้กล่าวไว้แล้วในหลัง
โดยเป็นคำย้ำ จึงกล่าวคำว่า เตน วุตฺตํ เป็นต้น.

.....................................................
พระธรรมคำสอน บัญญัติ ตรัส ไว้ดีแล้ว ไม่ต้องลด ไม่ต้องเพิ่ม ไม่ต้องแก้ไข ใดๆ ทั้งสิ้น


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 8 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร